คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แม่ครับ...พ่อมีปัญหากับภาษาไทยแล้วละ
แม่ครับ...ผมว่าพ่อมีปัญหากับภาษาไทยแล้วละ
พ่อขับรถมาจอดที่หน้าประตูโรงเรียนเอกชนเล็ก ๆ ในตัวเมือง ผมมองผ่านรั้วสีน้ำตาลแล้วถอนหายใจ ตึกทุกตึกดูเล็กไปหมด จำนวนนักเรียนคงไม่ได้มากมายนัก มันทำให้ผมรู้สึก
ไม่อยากเข้าไปเลยแฮะ
“ถอนหายใจเสียงดังเชียวไอ้หมู” ผมหันไปมองพ่อ ทำตาปรือหน่อย ๆ ทำไมมันรู้สึกหมดกำลังใจอย่างนี้นะ
“เอาน่า เดียวก็ได้เพื่อนเอง” พ่อโยกหัวและพยายามให้กำลังผมด้วยภาษาไทยแปร่ง ๆ ของพ่อ ถึงพ่อผมจะอยู่ประเทศไทยมาเกือบ 10 ปีแล้วก็ตาม แต่ผมไม่เคยเห็นว่าพ่อจะพูดชัดขึ้นมาเลยสักนิด
โชคดีที่ตอนเด็กผมดูการ์ตูนบ่อย ภาษาไทยผมเลยแข็งแรงมากทีเดียว เอาเป็นว่าฟังยังไงก็ไม่เพี้ยนแบบที่พ่อพูด
ผมเรียนด้วยตัวเองที่บ้าน แบบที่เขาเรียกว่า Home Shcool นั่นแหละ พ่อจ้างคุณครูมาสอนภาษาไทยให้ผมโดยเฉพาะ ถ้าให้เรียนพูดภาษาไทยจากพ่อนะ คงไม่น่ารอด ส่วนวิชาอื่น พ่อผมเป็นคนสอนผมเองทั้งหมด
พ่อของผมเก่งนะ ทำได้ทุกอย่างเลย ยกเว้นพูดภาษาไทยให้ชัด
“กลัวรึไง” พ่อเลิกคิ้วถามผม คงเพราะผมทำหน้ายุ่งและไม่ยอมเคลื่อนที่ไปไหนสักที
“กลัวสิ” ผมพูดเสียงอ่อย
“จะกลัวอะไร เราขอพ่อมาเรียนเองนะ” มันก็จริงที่พ่อพูด ผมเป็นร้องแง้ว ๆ อยากเข้าเรียนที่โรงเรียนเอง
“โห้ย ก็ตอนนั้นแบมอยากมีเพื่อนนี่น่า”
“แล้วตอนนี้ไม่อยากมีแล้ว?"
"อยากครับ"
"อยากมีเพื่อนก็ต้องลง แล้วไปเข้าเรียนนะ” พ่อดันหลังผมให้ลงจากรถ แต่ผมก็นั่งนิ่งตัวแข็งอยู่แบบนั้น
พ่อพยายามหว่านล้อมผมทุกทาง แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ นะ ก็ผมน่ะ เข้าเรียนตั้งกลางเทอมเลยนะ
ให้ตายเถอะ คนอื่นเขาคงมีเพื่อนกันไปหมดแล้วมั้ง
โรงเรียนเล็กแค่นี้ คงรู้จักกันทั้งสายชั้นแล้วละ
ยิ่งคิดยิ่งวิตก
“เอ้าไป ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวพ่อต้องรีบไปทำงานนะ” พ่อโบกมือไล่ผมเหมือนไล่ลูกไก่ของบ้านป้าปิ่นที่หลุดเข้ามาอึเรี่ยราดจนเต็มสวนหลังบ้านไปหมด
ป้าปิ่นเป็นเพื่อนบ้านที่ชอบยื่นหน้าข้ามรั้วมาทักทายพ่อผมประจำในทุกเช้า ถึงผมจะเพิ่งอายุ 11 ปีก็เถอะ แต่ผมก็ดูออกว่าป้าปิ่นน่ะแอบปลื้มพ่อของเขาอยู่แน่ ๆ แต่ติดว่าป้าปิ่นมีลุงชาติอยู่แล้ว พ่อผมคงเสร็จป้าปิ่นแน่ๆ
ข้อดีอย่างเดียวของป้าปิ่นคือ ขนม เวลาป้าปิ่นไปเที่ยวที่ไหน ผมมักจะได้รับอานิสงส์เป็นขนมตะกร้าโต ๆ ทุกครั้ง
มีพ่อหล่อก็ดีแบบนี้สินะ
“ลงก็ได้” ผมพูดน้ำเสียงยอมแพ้ ไหล่ลู่ตก เอื้อมมือไปเปิดประตูอย่างเอื่อยเฉื่อย
อ่าา...แค่แรงเปิดประตูยังไม่มีเลย จนพ่อต้องเอื้อมมื้อมาเปิดประตูให้ผมแทน สงสัยท่านคงจะรำคาญที่ผมทำท่าทางเหมือนเต่าขาเจ็บ
ก็ไอ้ประเภทช้าอยู่แล้ว ยังจะมาบาดเจ็บทำให้ช้าลงไปกว่าเดิมอีก
ผมกำลังบาดเจ็บทางใจอยู่นี่น่า
การนอนไม่พอมันทำให้ผมปวดใจมาก ๆ เลยนะ
ผมคลานลงจากเบาะลงมายืนอยู่ข้างนอกรถ เกาะประตูรถด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย เหมือนเด็กที่กำลังจะถูกดึงหมอนข้างออกในตอนเช้า พ่อเลิกคิ้วมองผม แสดงท่าทางที่ผมพอจะเดาได้ว่าพ่อกำลังถามผมทางสายตาว่า 'ทำไมไม่เข้าไปสักที'
“พ่อ”
“หืม?”
“ผมกลับไปเรียนที่บ้านเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”
ถึงเมื่อเช้าผมจะฮึดเต็มที่จากการขอกำลังใจกับรูปภาพของแม่ก็เถอะ แต่พอมันมาถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้วผมไม่อยากเข้าไปเลยแม้แต่นิด
คนที่เรียน Home School มาตลอด แบบผมมันจะเข้าสังคมได้เก่งแค่ไหนกันเชียว ยิ่งเมื่อวานผมดูละครที่มีการกลั่นแกล้งกันในโรงด้วย กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตี 3 ตอนนี้หนังตาผมมันเลยไม่พร้อมเปิดสักเท่าไร
แถมตอนตี 4 ยังสะดุ้งตื่นขึ้นอีก เพราะผมดันคิดถึงเรื่องเล่าจากคุณยาย ท่านเล่าให้ผมฟังเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนที่พ่อพาผมไปเยี่ยมคุณตาและคุณยายที่อำเภอบ้านเกิดของแม่ พ่อบอกว่าจะพาไปหากำลังใจก่อนเข้าโรงเรียนครั้งแรก
ผมรักคุณตากับคุณยายมากพอ ๆ กับคุณปู่และคุณย่าที่เกาหลีเลยล่ะ
ตอนที่เจอคุณยาย ผมถลาเข้าไปกอดท่านทันที เราถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเกือบ 30 นาทีได้ แล้วผมค่อยวกกลับมาถามท่านเรื่องเกี่ยวกับการเข้าโรงเรียนครั้งแรกของท่าน
เพราะคุณยายของผม ท่านก็เคยเรียน Home School เหมือนผม ก่อนพ่อและแม่ของท่านจะส่งท่านเข้าโรงเรียนสตรีล้วนที่มีชื่อเสียง (สมัยนั้นมีผู้หญิงไม่กี่คนที่จะได้รับการศึกษา)
ท่านเล่าเรื่องวันแรกที่เข้าเรียนโรงเรียนสตรีล้วน เป็นอะไรที่ประทับใจมาก เพราะรองเท้าของท่านถูกเอาไปทิ้งถังขยะ วันต่อมาชุดนักเรียนก็ขาด ไม่ขาดก็หาย
ท่านอยู่มาได้สักพัก ถึงรู้ว่ามันคือการรับน้อง บางคนก็โดน บางคนก็ไม่ ที่คุณยายผมโดนอาจจะเป็นเพราะชอบทำหน้าบึ้งตึง เข้ากับคนยาก วางตัวสูงกว่าคนอื่น นานทีเดียวกว่าท่านจะยอมปรับนิสัย
ท่านสอนผมแค่ว่าให้ผมยิ้มไว้ ยิ้มจากใจ แล้วเพื่อนจะเข้ามาเอง
ผมเชื่อท่านนะ เพราะคุณยายผมท่านเป็นคนยิ้มง่าย ใครๆ ก็รักท่าน มครได้อยู่ใกล้ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย การเผื่อแพร่ความสุขให้คนรอบข้างมันมักจะส่งผลดีต่อเราเสมอ นั่นเป็นคำสอนของท่าน
หลังจาวันนั้นผมก็ฝึกยิ้มทุกวัน แต่มันก็ยังดูแปลกๆ อยู่ดี แลัผมก็ฝันร้ายเรื่องถูกแกล้งทุกวัน ผมกลัวมันจริงๆ นะ
“มาตั้งขนาดนี้แล้วสู้สิ ฮึ้บ” พ่อชูกำปั้นขึ้นฟ้า แล้วทำท่าฮึ้บเรียกพลังแบบที่ผมและพ่อทำประจำเมื่อรู้สึกท้อ
ผมได้แค่เอ่ยคำว่า “ฮึ้บ บบ...” แบบยานคางตอบกลับไป
“เสียงไม่มีพลังเลย หรือต้องคุยกับแม่ก่อน” พูดจบ พ่อผมก็ควักล็อคเก็ตในกระเป๋าเสื้อด้านหน้าของพ่ออกมา ข้างในล็อกเก๊ตเป็นภาพพ่อยืนคู่กับแม่ออกมาโชว์ต่อหน้าผม แล้วมันก็ได้ผล เวลาผมเห็นรอยยิ้มของแม่ในรูปภาพนี้ ผมก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รู้แค่มันทำให้ผมมีความสุข ทำให้ผมรู้สึกสนิทกับแม่
ทั้งๆ ทีเราจากกันตั้งแต่ผมยังเด็กและผมก็จพไม่ได้ว่าอ้อมกอดของแม่น่ะ อุ่นแค่ไหน
“ฮึ้บ!” ผมเปล่งเสียงทรงพลัง
“มันต้องยังงี้สิลูกพ่อ เอ้า ปิดประตูรถได้แล้ว เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับนะ”
“ครับ” ผมยิ้มกว้างตอบกลับไป
“ไปล่าเพื่อนให้ได้นะ” พ่อผมพูดส่งท้าย ก่อนจะบึ่งรถออกไปทำงาน ผมมองท้องฟ้า ขอกำลังใจจากแม่อีกสักรอบ ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าโรงเรียน
ว่าแต่...เมื่อกี้พ่อผมใช้คำว่าออกล่าเหรอ?
สงสัยกลับบ้านไปต้องสอนภาษาไทยให้พ่อเพิ่มแล้วละ
.........................
Wednesday 05/08/1998
(บันทึกระหว่างเรียน :
นั่งข้างผู้ชายชื่อมาร์คแหละ เขาจะเป็นเพื่อนผมไหมแม่ ทำไมเขาเงียบจัง)
ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเมื่อเช้าเขียนถึงตรงไหน อ่า... ใช่ ถึงตอนที่พ่อผมคุยกับแม่ครั้งแรกสินะ
ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าท่านสานสัมพันธ์กันยังไงหลังจากแม่กลับประเทศไทยไป ก็ตอนนั้นน่ะ ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าตอนนั้นน่ะมี e-mail ใช้รึยัง
แต่พ่อเล่าว่าไม่ถึงครึ่งปี แม่ผมก็กลับไปที่นั้นอีกเพื่อเรียนต่อ
แต่ดูเหมือนแม่ผมจะเลือกจังหวะเรียนต่อพลาดไปสักหน่อย ช่วงปี 1980 ดันเกิดการประท้วงระหว่างนักศึกษากับทหารที่เกาหลี โชคดีที่แม่ผมเรียนอยู่ที่โซล และการประท้วงเกิดที่กวางจู พ่อผมเล่ายาวเหยียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เล่าว่ามันน่ากลัวและเป็นข่าวดังแค่ไหน
แต่ผมไม่ได้สนใจฟังเท่าไร ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลเกินตัวที่ผมจะต้องรู้ด้วยซ้ำ ในเมื่อผมเกิดและโตที่ประเทศไทยนี่น่า จะบอกว่าโตที่ไทยก็ไม่ถูก เพราะผมท่านกระเตงผมไปทุกประเทศที่ท่านไป
.............................
#ฟิคคุณพ่อแจบอม
ความคิดเห็น