ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] พ่อของผมดีที่สุดในโลก [JB&BamBam Ft.MarkBam]

    ลำดับตอนที่ #3 : แม่ครับ...พ่อเรียกผมว่าไอ้โป่งเหน่ง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.72K
      42
      7 มิ.ย. 59



    แม่ครับ...พ่อเรียกผมว่าไอ้โป่งเหน่ง

              





              ตอนเด็กๆ ผมชอบไปเที่ยวสวนสัตว์ เพราะผมรู้สึกมีเพื่อน ผมชอบไปคุยกับสัตว์ที่นั่น ผมรู้ว่านิสัยผมดูแปลกๆ หน่อย แต่ผมน่ะพออยู่กับคนอายุไล่ๆ กัน จะชอบพล่ามเรื่อยเปื่อย และไม่ค่อยมีใครฟังผมรู้เรื่องเท่าไร 


             ผมรบเร้าพ่อพาผมไปบ่อยๆ และ 2 วัน ก่อนจะเข้าไปเรียนที่โรงเรียนครั้งแรก ผมก็ขอพ่อให้พาไปอีก ทันทีที่ได้ยินคำขอ พ่อก็บ่นตามประสาคนแก่ ที่ขี้เกียจออกจากบ้านว่า


    “ไปอีกละ ไอ้หมูเอ้ย ไปได้ทุกวัน เปิดสวนหมูเลยไหม เดี๋ยวพ่อทำคอกให้ เลี้ยงไว้คุยจะได้ไม่เข้า ไม่ต้องเสียค่าเข้าด้วย” 


    พ่อชอบเรียกผมว่า 'ไอ้หมู' ประจำ ผมก็เริ่มชักจะหงุดหงิดนิดหน่อย ตัวผมเล็กนะ แต่หัวผมมันดันใหญ่ วันนั้นเลยเกิดการโต้เถียงเรื่องรูปร่างของผมขึ้น


    “ไอ้หมูอีกแหละ เหมือนหมูแต่หน้าเถอะ ตัวแบมผอมจะตาย ถ่ายทอดกรรมพันธุ์มายังไงเนี้ย ไม่โอเคเลย” 


    ผมเดินไปส่องกระจกแล้วตบแก้มตัวเองเผื่อมันจะตอบลงบ้าง “เหมือนไอ้ขนมสกายแล็บที่ขายแถวหน้าปากซอยเลย”


    “หือ??” พ่อหมุนเก้าอี้หันมามองผม ผมเสมองไปข้างหลัง เห็นภาพหมีกริซลีติดอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์หลังเต่าสีชมพูแปร๋นของพ่อ ผมจำได้ว่ามันเป็นภาพที่ผมกับพ่อตามไปถ่ายมันถึงอลาสก้ามาเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อจะเอามาเขียนหนังสือเล่มใหม่ของพ่อ 


    เราสองคนนอนรอมันอยู่นานสองนาน แถมตอนนั้นมันหนาวมากด้วย รอกันจนแน่ใจว่ามันคงไม่หมีมาเผ่นพล่านแถวนี้แล้วละ พวกเราเลยลงความเห็นกันว่าจะกลับ เพราะคิดว่ามันคงเป็นช่วงหมีจำศีลไป 


              แต่โชคยังเข้าข้างเราอยู่ เผอิญมีหมีตัวหนึ่งมันเดินผ่านมาพอดี ผมกับพ่อรีบหมอบลงทันที พ่อรัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง ส่วนผมพยายามกลั้นหายใจ จ้องมองมันทุกอริยาบถเพราะกลัวมันจะเข้ามาใกล้ แล้วกระซวกคอพวกผมด้วยกรงเล็บก่อนได้กลับบ้าน 


    แต่ผมกับพ่อยังคงรอดปลอดภัย ครบ 32 ประการ ก็เราน่ะเป็น คู่หูอิม นี่น่า ไม่มีอะไรทำร้ายพวกเราได้ นอกจากข้าวหมด 

    (แต่คุณยาย ชอบเรียกพวกเราว่าคู่หูอิมอิม เพราะอิมอย่างเดียวมันห้วนไป ผมเคยบอกให้พ่อเปลี่ยนเป็นยอดชายนายตระกูลอิมแทน แต่พ่อดันบอกว่าเอา บอมแบมยอดนักผจญภัย ดีกว่า เฮ้อ...คู่หูอิม คงจะดีที่สุดแล้ว)


    “ไอ้ขนมแล็บ ๆ นี่มันเป็นยังไง พ่อไม่ยักกะเคยเห็น”


    “ก็ขนมโป๊งเหน่งไงพ่อ ที่มันหัวกลม ๆ ลูกใหญ่ แล้วก็เสียบไม้เล็ก ๆ อะ”


    “เออ เข้าท่าแหะ เหมือนแบมดี งั้นพ่อไม่เรียกเราไอ้หมูละ พ่อเรียกว่าไอ้โป่งเหน่งแทนละกัน”


    “โห พ่อชื่อมันแบบ... อย่าให้แบมโมโหจนต้องตัดลูกตัดพ่อนะ”

    “โหะ เล่นใหญ่”


    “ยิ่งกว่ารัชดาลัยจำไว้เลย อิม แจบอม” ผมกอดออกฉับ เรียกชื่อพ่อห้วนๆ ให้รู้ไว้ซะมั้ง อย่าแหยมกับพี่แบม


    “โอเคครับคุณอิม กันต์พิมุกต์” พ่อยกมือยอมแพ้ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าเสื้อคลุมขึ้นมาใส่ เห็นแค่นั้นผมก็รู้หน้าที่ วิ่งไปหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังค์ 


    แล้วเราก็ออกไปสวนสัตว์กัน  


              เราสงบศึกกันเสียดื้อๆ แบบนี้ประจำนั้นแหละ







    ผมกับพ่อนั่งดูโชว์ปลาโลมากัน วันนั้นเป็นอังคารมั้ง ถ้าผมจำไม่ผิด เพราะคนไม่ค่อยเยอะเท่าไร มีผมกับพ่อสองคน แล้วก็มีครอบครัว พ่อแม่ลูก(มากันครบเลยแฮะ) อีก 2-3 ครอบครัว ผมดูแล้วก็สงสัยขึ้นมาอย่างหนึ่ง เลยสะกิดพ่อ แต่กว่าพ่อจะยอมละสายตาจากปลาโลมารอดห่วงได้ ผมก็ต้องสะกิดแรง ๆ ไปหลายที


    “พ่อ แบมสงสัยอะ ปลาโลมามันไม่อายเหรอเวลามีคนมานั่งจ้องมัน แล้วมันเคยเขินเวทีไหมอะ”


               ผมกับพ่อมองหน้ากัน พ่อเกาคางท่าทางกำลังคิดตามที่ผมพูด ก่อนตอบออกมาสั้นๆ แค่ว่า


    “เอ่อ...นั่นสิ พ่อก็ไม่รู้แหะ”


               



    คำถามเรื่องปลาโลมายังวนเวียนในหัวผมจนถึงทุกวันนี้ แต่ผมว่าผมได้คำตอบแล้วละ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนปลาโลมาในสวนสัตว์ ทุกคนมองมาที่หน้าชั้นเรียน จ้องผมกันใหญ่ สิ่งเดียวที่ผมคิดออกคือ ค่อย ๆ ฉีก ยิ้มแล้วโบกมือ ทำตัวให้มนุษย์รักเข้าไว้

    อาจารย์ประจำชั้นมองการกระทำของผมแล้วหัวเราะออกมา (เออแหนะ ก็แทนที่จะช่วยกันให้หายอาย ทำให้อายหนักกว่าเดิมอีก)


    “เอ้า กันต์พิมุกต์ แนะนำตัวสิจ๊ะ” 


    ต้องแนะนำด้วยเหรอ อาจารย์ก็พูดชื่อออกไปแล้วนิ 


              แต่ผมก็คิดได้ว่า อาจารย์บอกให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ยายผมสอนมา เป็นเด็กใหม่ใครว่าอะไรก็ทำตามไปก่อน อย่าเพิ่งเหิมเกริม


    กว่าจะพูดได้ ปากของผมมันสั่นไปหมด ผมต้องกำหนดลมหายใจเพื่อทำใจให้สงบ คนมันไม่เคยพูดต่อหน้าคนเยอะแบบนี้นิ แล้วผมก็ตัดสินใจเริ่มพูด


    “อะ...เอ่อ คือ ระ ระ เร เราชื่อ”


    “เห้ย ติดอ่างเหรอวะไอ้เด็กใหม่” 


    อ้าว ไอ้นี่ ... 


    ผมสูดหายใจลึก หลับตาปี๋ แล้วตะโกนสุดเสียง “เราชื่อกันต์พิมุกต์ อิมนะ ชื่อเล่นชื่อแบมแบม อายุ 11 ปี  บ้านอยู่ซอย 8 ตรงข้ามตลาด เดินผ่านร้านส้มตำป้าแป้วไป”


    พัง....


    ทั้งห้องนิ่งสนิท มองผมเป็นตาเดียวกัน แม้แต่อาจารย์ประจำชั้นผมยังยืนเงียบ ถ้ามีเสียงจิ้งหรีดหรือเสียงร้องกากากา แบบในการ์ตูนก็คงจะเข้ากับบรรยากาศตอนนี้ 


              แล้วไอ้คนที่แซวผมเมื่อกี้มันก็ลุกขึ้นยืน ก่อนปรบมือเสียงดัง 


              “เอ้า ปรบมือให้น้องแบมแบมสิวะ แนะนำตัวประทับใจพี่แจ็คมากเลยครับน้อง” มันว่าแล้วทุกคนก็ดูเหมือนจะคล้อยตาม แม้แต่อาจารย์ 


    ตอนแรกผมคิดว่ามันกำลังล้อเลียนผมรึเปล่า หรือผมมกำลังถูกรับน้องเข้าให้แล้ว แต่ก็ไม่น่าจะใ่่ช่ เพราะเขากวักมือเรียกผมให้ไปนั่งกับกลุ่มเพื่อของเขา ผมหันไปขอความเห็นอาจารย์


    ท่านหันมายิ้มแล้วพยักหน้าบอกผมว่าไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว กลุ่มนั้นนิสัยดี ผมเลยเดินตัวลีบไปนั่งข้าง ๆ ผู้ชายที่ใส่หูฟัง เพราะมันว่างอยู่โต๊ะเดียว


    อาจารย์ออกไปแล้ว ปล่อยให้ผมทำความรู้จักกับกลุ่มเพื่อนใหม่ในชั้นเรียนตามลำพัง ผู้ชายสามคนหมุนเก้าอี้หันมาหาผมและแนะนำตัว คนแรกตัวเตี้ยๆ ตันๆ หน่อย ผมจำได้ว่าชื่อ "แจ็ค" เพราะเขาเป็นคนเดียวกับที่แซวผมเมื่อกี้ 


    คนต่อมา ผมว่าหน้าตาเขาออกจะเหมือนตัวนากทะเลที่ผมกับพ่อเจอกันตอนไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นไม่มีผิด ต่างแค่เขาส่วมแว่นเท่านั้น  เขาบอกว่าเขาชื่อ "เจมส์"


    ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายตัวสูง ๆ ชื่อยศ เขาดูเท่และดูเป็นคนอันตรายมากเลยละ แต่พอเขาอ้าปากพูดเท่านั้นแหละ ถ้าบอกว่าเขาเกิดพร้อมผม ผมก็เชื่อนะ เขาเหมือนเด็กในร่างยักษ์เลยแหะ 


    พอทุกคนแนะนำตัวเสร็จ ผมเลยหันไปมองผู้ชายด้านข้าง เหมือนเขาจะรู้ตัว เขาถอดหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วก็พูด 


    “มาร์ค”  แค่นั้น พูดจบแล้วเขาก็หยิบหูฟังมายัดกลับเข้าไปในหูเหมือนเดิม


    ผมนั่งอ้าปากค้างกับการแนะนำตัวของเขา แอบตกใจเล็กน้อยที่เจอการแนะนำตัวที่ทั้งห้วนและสั้นสุด เท่าที่ผมเคยเจอมา มันสั้นกว่าตอนที่ผมแนะนำตัวกับแม็คซิมัส กวางมูสที่ผมเจอตอนไปแคนาดากับพ่อซะอีก ขนาดผมไม่เคยมีเพื่อนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักคน ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีปฏิสัมธ์กับคนอื่นมากกว่าเขาเลย 


    “ช่างไอ้มาร์คมันเถอะ" แจ็คตบบ่าผม "มันพูดมากไม่ได้ ดอกพิกุลมันจะร่วง”  


    “ว่าแต่นายเถอะ เพิ่งจะ 11 เองเหรอ เป็นน้องพวกเราตั้ง 2 ปีแนะ” แจ็คถามผมต่อ


    “อือ ตอนแรกแบม เอ่อ...ผมเรียน Home School เลยจบป.6 ไวน่ะครับ” ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเองว่ายังไง เพราะติดเรียกชื่อตัวเองกับพ่อ เวลาคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ๆ ผมก็แทนตัวเองว่าแบมเสมอ เพราะผู้ใหญ่ส่วนมากเอ็นดูเวลาผมใช้ชื่อตัวเองแทนตัว 


              อันที่จริงผมไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกับคนอายุไล่ๆ กันเท่าไรหรอก ออกจะประหม่าหน่อย เลยคิดว่าการแทนตัวเองว่าผมน่าจะสุภาพสุด


    “เรียกตัวเองว่าแบมก็ได้ เอาที่ถนัด แต่จะใช้กูมึง ก็ไม่มีใครถือนะ” ยศพูด ก่อนเจมส์จะเอ่ยเสริมว่า “ปกติพวกเราไม่พูดเพราะหรอก ยังไงก็เพื่อนร่วมชั้นกัน พวกเราไม่ถือเรื่องอายุหรอกเอาจริง อย่างไอ้เหี้ยพี่แจ็คมันก็ซ้ำชั้นมาสองปีละ ไม่เห็นมีใครเคารพมันสักคน”


    แจ็คตบหน้าผากเจมส์ดังแปะ ผมเห็นหน้าผากขาวเป็นลอยมือ คงเจ็บน่าดู เพราะเจมส์ตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้เลย “หุบปากไปเลยไอ้เจมส์ อย่าให้กูไปคว่ำแผงลูกชิ้นบ้านมึงนะ”


    “อ้าว ไอ้เหี้ยพี่แจ็ค มึงคว่ำทิ้งแล้วแม่กูจะเอาอะไรขายอะ ค่อยดูกูจะเอาไปบอกแม่ มึงอดแดกลูกชิ้นฟรีแน่” 


    “กูก็จะบอกคุณนายอ้อยว่ามึงน่ะ แอบดอยเงินทอนตอนมาซื้อแตงกวาบ้านกู” 


    “หูย เฮียแจ็คของน้องเจมส์ครับ มึงอย่าตัดรายได้หลักกูเลย ดอยได้แค่ครั้งละ 5 บาท 10 บาท มึงก็รู้คุณนายอ้อยให้ค่าขนมกูวันละ 20 เองมันไม่พอใช้ เฮียแจ็คคนหล่ออย่าฟ้องแม่น้องเจมส์เลยนะเฮียนะ” เจมส์บีบแขนสลับทุบเบาๆ เอาอกเอาใจเต็มที่ แจ็คหัวเราะเหมือนพอใจที่ตัวเองเถียงชนะ 


    ผมก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ เอ่อ สังคมมัธยมนี้แปลกแหะ หยอกพ่อเล่นแม่กันได้ด้วย


    “ไร้สาระอีกละพวกมึงอะ” ยศหันไปแห้ว แจ็คสันยักไหล่ ไม่สนใจแถมยังชี้ตรงต้นแขนให้เจมส์รู้ว่าตัวเองอยากให้นวดตรงไหน อีกต่างหาก 


              ยศส่ายหน้าแล้วหันมาพูดกับผมต่อ แต่เรียกว่าซักไซ้เลยก็ว่าได้ “ว่าแต่แบมเถอะ ทำไมได้เรียน Home School อะ” 


    ผมเห็นแอบเห็นว่าคนชื่อมาร์คกดหยุดเพลง เสียงหมุนของเทปคาสเซ็ทหยุดไปแล้ว แต่เขาไม่ได้ถอดหูฟังออก 


              แต่ท่าทางมาร์คน่าจะรวย เขาใช้ Sony Walkman ด้วย


    “พ่อแบมไม่ค่อยอยู่เป็นที่น่ะ หอบแบมไปโน้น มานี้ด้วยบ่อย ๆ เพราะไม่อยากทิ้งไว้บ้านคนเดียว ก็เลยได้เรียน Home School ไปก่อน” 

    “โหวววว พ่อแบมเป็นสายลับเหรอ? ต้องหนีการไล่ล่าผู้ร้ายรึเปล่า ต้องมีรหัสสายลับด้วยไหม” เจมส์ตาโตด้วยความตื่นเต้น ผมไม่รู้ว่าเขาจินตนาการไปไกลแค่ไหน และถ้าให้ผมเดาเขาคงเป็นสาวกเจมส์ บอนด์แน่เลย


              แจ็คด่าเจมส์ว่าเพ้อเจ้อแล้วก็ดีดหน้าผากอีกคนไปหนึ่งที เจมส์ทำหน้าบุ้ยแล้วนวดแขนแจ็คต่อ เหมือนไจแอ้นกับซูเนโอะเลย


    “ไม่ใช่หรอก พ่อเราเป็นนักเขียน เขียนเกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยวน่ะ นี่พ่อเราเพิ่งตัดสินใจว่าหางานทำเป็นที่เป็นทาง พ่อเลยตัดสินใจลงหลักปักฐานที่ไทยกัน เพราะเป็นบ้านเกิดแม่น่ะ” 


    “อ่อออ” ทั้งสามลากเสียงยาว แล้วพูดพร้อมกันว่า “แบบนี้น่ะเอง” 


    แต่มาร์คเขาหันมามองผม ดึงหูฟังออก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “แล้วบ้านเกิดพ่อนายละ”


    “เกาหลีครับ” มาร์คพยักหน้า ผมได้ยินเขาพึมพำว่า "มิน่าละ นามสกุลแปลกๆ" 


                ผมไม่ได้ทันได้พูดอะไรต่อ มาร์คก็ก้มลงไปค้นแล้วหนังสือออกจากลิ้นชักใต้โต๊ะ กางออกแล้วดันมาให้ผมดูด้วย “คาบแรกวิชาคณิต นายยังไม่มีหนังสือใช่ไหม” ทุกอย่างมันดูรวดเร็วและห้วนๆ ผมทำได้แค่อ้าปากค้างและพยักหน้า งงกับการกระทำของเขาเหมือนกัน แจ็ค เจมส์ ยศทำตาโต เหมือนตกใจอะไรสักอย่าง แต่ละคนก็รีบลากเก้าอี้กลับเข้าที่ ไม่ถึง 1 นาทีอาจารย์ก็เข้ามา 


    หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย




    Wednesday 12/08/1998

    (บันทึกก่อนนอน :  เลิกเรียนแล้วคนชื่อมาร์คก็ไม่เห็นปริปากสักคำ 

    แต่เจมส์ชวนผมไปปาร์ตี้ลูกชิ้นที่บ้านเขาด้วยครับแม่ 

    แต่ไอ้ปาร์ตี้ลูกชิ้นนี้มันคืออะไรกันละ)



    ตอนนี้ฝนกำลังตกละ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วได้แต่คิดว่าถ้าวันนั้นฝนไม่ตกหนัก...ตอนนี้แม่ก็คงอยู่กับผมและพ่อ


    แต่เพราะฝนตกนั่นแหละที่พาให้พ่อกับแม่ได้อยู่ใกล้กัน พ่อบอกผมว่า วันนั้นแม่จะไปมหาลัย ท่านเดินผ่านหน้าร้านของพ่อ พ่อเห็นว่าข้างนอกฟ้าครึ้มๆ แต่แม่ไม่ได้พกร่มไว้กับตัว เพราะมัวแต่เดินก้มหน้าอ่านหนังสือจนไม่สนใจว่าสภาพอากาศเป็นยังไง พ่อเลยแอบออกมาตอนคุณปู่เผลอ คว้าร่ม แล้ววิ่งตามคุณแม่ไปห่างๆ พอฝนเริ่มลงเม็ด พ่อก็ทำเนียนกางร่มแล้วเดินไปยืนข้างๆ แม่ 


    พ่อบอกว่าจังหวะที่แม่เงยหน้ามามองพ่อ ใจมันแทบหยุดเต้นเลยละ พ่อก็ไม่ได้คุยอะไรกับแม่ ชี้ไปที่ร่มพอให้แม่รู้ว่า "กางให้ จะไปส่งที่มหาลัย" เพราะพ่อน่ะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อีกอย่างภาษาเกาหลีของแม่ก็ดูจะไม่ได้แข็งแรงอะไร เพราะเวลามาสั่งวาฟเฟิลที่ร้านของคุณปู่ก็ได้แต่ชี้เอาตามเมนู พ่อไม่เข้าใจเลยว่าแม่มาเรียนที่นี้ได้ยังไงในเมื่อพูดเกาหลีไม่ได้สักคำ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป


    ก็จะให้ถามยังไงละ ก็พ่อไม่รู้จะใช้ภาษาไหนคุยดี นอกจากภาษามือชี้โบ้ ชี้เบ้เท่านั้น


    อันที่จริงพอพ่อจบม.6 ก็ไม่คิดจะเรียนต่อมหาลัยอีก เพราะขี้เกียจและกิจการวาฟเฟิลของคุณปู่ก็ไปได้ดี พ่อคิดว่าจะสานต่อ แต่เป็นเพราะแม่ พ่อเลยกลับบ้านไปคุ้ยหาหนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษ ขึ้นปัดฝุ่นแล้วตั้งใจอ่านมันอีกครั้ง  




    Tag #ฟิคคุณพ่อแจบอม



    O W E N TM.








    วันนี้พ่อโทรมาถามว่าทำไมไม่กลับบ้าน
    ได้แต่ไขว้นิ้วแล้วบอกว่า ยังสอบไม่เสร็จ
    พ่อตอบกลับมาแค่ว่า
    "ทีเงินหมดละกลับไวเชียว"
    ตอนนี้เงินหนูก็หมดนะพ่อ 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×