พร้อมกับการแตกกระจายสลายตัวออกของชาวบ้านในทันทีพริบตาเดียวก็หายไปหมดสิ้นคงเหลือแต่มีนาและเมษาที่ยืนเก้ออยู่และก็เป็นเพราะผลงานของสองนางนี้โดยแท้ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายต่างก็จับกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยพูดวิจารข่าวของมีนาและเมษาไปต่างๆนาๆ…..จะกล่าวถึงเมืองอรัญวาสีที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของภูเขาหิมาลัยซึ่งเป็นเมืองเพื่อนบ้านของเมืองสุวรรณภูมิ..เมืองอรัญวาสีปกครองเมืองด้วยพระราชาทรงเป็นพระประมุกเช่นเดียวกับเมืองสุวรรณภูมิและเมืองอโยธยา..พื้นที่โดยรอบของเมืองอรัญวาสีมีลักษณะเป็นภูเขาสูงต่ำกระจายสลับกับพื้นราบลุ่มอยู่รอบเมืองผู้คนส่วนมากของเมืองนี้มีอาชีพทำนาทำไร่ปลูกพืชผักผลไม้บ้างหาของมีค่าในป่าเอามาขายบ้างก็ล่าสัตว์อาชีพทั้งหลายเหล่านี้สามารถเลี้ยงผู้คนทั้งเมืองได้อย่างสบายเพราะเป็นยุคกาลความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้นาๆพันธุ์ต้นกำเหนิดของแม่น้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์..ในยุคนี้ประชาชนของเมืองต่างๆก็มีอาชีพคล้ายคลึงกันเพราะอยู่ในยุคการของความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์พยากรทางธรรมชาติอันมหาศาล..เมืองอรัญวาสีนี้เป็นเมืองที่มีเจ้าลัทธิที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาต่างๆมากมายและมีศูนย์กลางความรู้อยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่า..ตักศิลา..ที่หมู่บ้านนี้มีหลากหลายสำนักที่เปิดสอนวิชาการแขนงต่างๆท่านเจ้าสำนักมีทั้ง..พราหมณ์..ฤษี..และท่านเจ้าลัทธิต่างๆเน้นสอนเรื่องของจิตวิญญาณ..การต่อสู้การใช้อาวุธต่างๆและหนึ่งในสำนักที่โดดเด่นอยู่ชั้นแนวหน้าของเมืองนี้ก็คือสำนัก..ลัทธินิครน..ในครั้งพุทธกาลท่านเจ้า.ลัทธินิครน.ผู้เจนจบพระเวทย์ถึงฝั่งไตรเพททั้งสามโลกและบุตรชาย.สัจจะกะแห่งนิครน.ผู้มีความปรีชาสามารถในเชิงปฏิภาณอันยอดเยี่ยมไม่มีใครเสมอเหมือนทั้งสองเคยได้ต่อกรด้วยปัญญากับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วและทั้งสองก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป.และท่านเจ้าลัทธินิครน.คนล่าสุดนี้มีทายาทคนเดียวเป็นบุตรชายทายาทคนนี้ไม่ได้เรียนรู้ในเชิงวิชาการเพียงอย่างเดียวยังเรียนรู้การต่อสู้ด้วยอาวุธต่างๆอีกด้วยและเขาก็แตกฉานในวิชาการต่อสู้อันสูงสุดเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีเพลงดาบที่เป็นหนึ่งในชมพูทวีปนามของเขาคือ “ไตรเทพ” ดาบของเขานั้นบรรพบุรุตได้เล่าว่าเหล็กที่ใช้หลอมทำดาบนั้นได้นำมาจากสามโลกคือ..โลกสวรรค์..โลกมนุษย์..โลกบาดาล..เอามาตีหลอมรวมเข้าจนเป็นเนื้อเดียวกันดาบนั้นทั้งแกร่งทั้งคมฟันเหล็กขาดเหมือนฟันหยวกกล้วยตัวดาบยังเปล่งแสงได้ในยามรัตติกาลเหมือนมีแมลงหิ่งห้อยนับแสนอยู่ในตัวดาบ.ไตรเทพมีเพื่อนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยอาวุธหลายคนหนึ่งในนั้นคือ..นิกะ..สตรีผู้แอบหลงรักไตรเทพอยู่นิกะมีความเชี่ยวชาญในการยิงธนูเป็นเลิศสามารถยิงธนูออกไปครั้งเดียวสามดอกและเข้าเป้าที่อยู่ห่างกันได้อย่างแม่นยำทั้งสามดอก…..ภายในอนาเขตของสำนัก.นิครน.มีบริเวณเนื้อที่กว้าง
ขวางพอสมควรมีต้นไม้น้อยใหญ่ปลูกขึ้นอยู่โดยรอบเพื่อให้ความร่มรื่นสลับกับบ้านชั้นเดียวที่ก่อด้วยอิฐยึดติดด้วยยางไม้ที่เหนียวเป็นพิเศษซึ่งมีอยู่หลายหลังภายในเขตของสำนักส่วนบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ตรงกลางนั่นก็คืออาศรมของท่านเจ้าลัทธิ “มาหาพ่อแต่เช้ามีอะไรหรือไตรเทพ” ท่านเจ้าลัทธิ.นิครน.นั่งอยู่บนหลังเสือที่เสียชีวิตไปแล้วแต่นิยมเอามาทำเป็นที่นั่งสำหรับท่านเจ้าสำนักเพื่อเพิ่มบารมีให้ดูเข้มขลังขึ้นส่วนชายหนุ่มที่ถูกถามนั้นรูปร่างสูงสง่าใบหน้าคมสันดูมีสง่าราศรีเหนือบุรุตทั้งหลายผมดกดำยาวปกหลังสยายเป็นลอนเล็กน้อยใส่เสื้อสีดำกำมะหยี่หุ้มรัดไหล่ด้วยปลอกสีทองทั้งสองข้างกางเกงขายาวสีดำรองเท้าหนังสีดำหุ้มเกือบถึงเข่าห่มผ้าคลุมไหล่สีดำมีดาบเล่มใหญ่พร้อมฝักสะพายอยู่ด้านหลังรูปร่างและการแต่งกายนั้นดูเหมือนดั่งเทพนักรบ
“ข้าอยากจะออกท่องเที่ยวไปทำธุระที่เมืองสุวรรณภูมิซักระยะเลยถือโอกาสนี้มากราบลาท่านพ่อเพื่อจะได้ออกเดินทางพรุ่งนี้แต่เช้า” ท่านเจ้าลัทธิขมวดคิ้วจ้องหน้าไตรเทพ “ไตรเทพเจ้าบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงให้พ่อฟังซิว่าเจ้าไปเพื่ออะไรกันแน่” “เมืองสุวรรณภูมิเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางหรือเสาหลักของพระพุทธศาสนาในยุคนี้ข้าจึงอยากจะไปที่นั่นเพื่อขอท้าสู้กับยอดฝีมือของทางพระพุทธศาสนาด้วยอาวุธถ้าข้าชนะก็จะเป็นการล้างอายให้กับลัทธินิครนของเราได้” “แต่ที่พ่อรู้มาทางพระพุทธศาสนาที่เมืองสุวรรณภูมิไม่มีผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยอาวุธมีแต่ปราชญ์และบัณฑิตผู้เลิศด้วยปัญญาถ้าลูกขอท้าสู้ด้วยปัญญาละก็พ่อว่าเจ้าต้องคิดผิดแน่ๆเพราะว่าผู้นำพระพุทธศาสนาที่นั่นก็คือ.พระมหาโพธิธรรมเถระเจ้า.ซึ่งเป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้แจ้งในธรรมแล้วและเจ้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาจึงไม่อาจต่อกรด้านปัญญากับพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยปัญญาอันเหนือโลกแล้วได้แน่” พูดจบท่านเจ้าลัทธิก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นกังวลกับการไปครั้งนี้ของไตรเทพเพราะบทเรียนจากบรรพบุรุตในครั้งพุทธกาลสอนให้รู้ว่าไม่ควรไปท้าสู้ด้านปัญญากับปราชญ์ของพระพุทธ
ศาสนาอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่ได้ท้าสู้ด้วยปัญญาแต่ข้าจะให้ทางพระพุทธศาสนาคัดเลือกคนดีที่มีฝีมือการต่อสู้ด้วยอาวุธที่เก่งที่สุดเพื่อมาสู้กับข้า” ท่านเจ้าลัทธิจ้องหน้าของไตรเทพเหมือนกับจะชั่งใจอะไรอยู่ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้แล้วการศึกในครั้งนี้พ่อขอยกสิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับลูกก็แล้วกัน..แล้วก่อนจะออกเดินทางจะไม่ไปบอกลานิกะเขาก่อนหรือไตรเทพ” ไตรเทพนิ่งไม่ตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ลูกก็แล้วกันพ่อขออวยชัยให้เจ้ามีชัยชนะกลับมาสมความตั้งใจของเจ้าไตรเทพ” “ข้าขอกราบลาท่านพ่อล่วงหน้าในตอนนี้เลยเพราะพรุ่งนี้ข้าจะได้ออกเดินทางแต่เช้ามืด” ไตรเทพน้อมศรีษะลงคาราวะท่านเจ้าลัทธิแล้วหันหน้าเดินออกจากบ้านทันทีท่านเจ้าลัทธิก็ส่งเสียงตามหลังมา “ขอให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่จงเป็นของเจ้าไตรเทพ” กล่าวถึงนิกะซึ่งเป็นลูกสาวของท่านมหาฤาษีสันชัยซึ่งเชี่ยวชาญการยิงธนูเป็นเลิศซึ่งนิกะก็เป็นฝ่ายแอบหลงรักไตรเทพอยู่ในใจเงียบๆและทางผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็ชอบพอกันอยู่ “นิกะนั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่” นิกะกำลังเพลินดูเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ภายในห้องถึงกับสดุ้งเจ้าของเสียงทักก็คือแม่ของนิกะนั่นเองนิกะรีบเสื้อผ้าซุกเอาไว้ทันที “ไม่มีอะไรหรอกแม่นิกะกำลังพับเก็บเสื้อผ้าให้เข้าที่อยู่จ๊ะ” “ไม่ใช่ละมั้งแม่เห็นแว๊บๆนิกะกำลังดูเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ใช่ไหมอย่าโกหกแม่นะบอกมาซะดีๆว่าเสื้อผ้าชุดนั้นเป็นของนิกะหรือว่าเป็นของใครเอ่ย” นิกะทำท่าขวยเขินเมื่อแม่รู้ทันความในใจของตน “เอาละเมื่อนิกะไม่อยากจะบอกแม่ก็ไม่อยากจะรู้หรอกที่แม่มานี่ก็เพื่อจะชวนนิกะไปเป็นเพื่อนแม่หาซื้อกับข้าวที่ตลาดนิกะมีธุระที่ไหนหรือเปล่าลูก” นิกะสบโอกาสที่จะไปหาซื้อของขวัญเพิ่มเติมให้กับไตรเทพจึงรับปากทันที “แม่มาถูกจังหวะจริงๆนิกะกำลังอยากจะไปหาซื้อของใช้ที่ตลาดอยู่พอดี” นิกะลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดแขนแม่แล้วพากันเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่ตลาดทันที…..ย้อนกลับมายังเมืองสุวรรณภูมิหลังจากที่ฉันอาหารเที่ยงเสร็จแล้วสามเณรสูญญตาก็ได้เข้าศึกษาพระธรรมกับท่านพระมหาโพธิธรรมเถระเจ้าผู้เป็นอาจารย์เป็นประจำอยู่เช่นนี้เกือบจะทุกวันทำให้เณรสุญญตาเกิดความสงสัยในตัวของอาจารย์อยู่เหมือนกันว่าหลายปีมานี้ท่านอาจารย์ทำไมจึงได้ติวเข้มตนอยู่คนเดียวทั้งที่ในวัดนี้ก็มีสามเณรและพระภิกษุตั้งมากมายครั้นจะเอ่ยปากถามก็ไม่กล้าเพราะท่านอาจารย์ไม่ชอบตอบคำถามส่วนตัวเพราะไม่เป็นประโยชน์ไปในทางความรู้แห่งธรรม..เณรสูญญตาจึงได้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจตลอดมาและวันนี้รู้สึกว่าจะเป็นวันที่พิเศษกว่าทุกวันเพราะว่าหลังจากอบรมสั่งสอนธรรมให้ตนตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำก็ยังไม่ปล่อยให้ตนกลับที่พักหลังจากเก็บหนังสือตำราเรียบร้อยแล้วเณรสูญญตาก็กลับมานั่งลงต่อหน้าของท่านพระเถระเจ้า “สูญญตาเจ้าคงแปลกใจมากซินะวันนี้ก็ค่ำแล้วอาจารย์ก็ยังไม่ให้เจ้ากลับห้องพัก” เณรสูญญตายังคงนั่งนิ่งรอฟังพระเถระเจ้าอยู่อย่างสงบ
“วันนี้อาจารย์จะตอบความสงสัยที่ค้างอยู่ในใจของเจ้าให้กระจ่างแจ้งที่อาจารย์ได้อบรมสั่งสอนเจ้ามาหลายปีนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้ใช้ปัญญาความรู้ที่อาจารย์ได้ถ่ายทอดให้กับเจ้าเอาไปไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการชี้แนะสั่งสอนธรรมให้กับคนที่ออกนอกลู่นอกทางแห่งศีลธรรมให้กลับเข้ามาศรัทธาในพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความสมัคสมานสามัคคีขึ้นในหมู่คณะเพื่อประโยชน์และความสุขในธรรมอันเกษมของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย..และในวันข้างหน้าต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องใช้ปัญญาในการต่อสู้กับอุปสรรคและมหันตภัยมืดอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลที่จะเข้ามาครอบงำและกลืนกินจิตวิญญาณของเหล่าสัตว์ทั้งโลกให้ตกอยู่ในความมืดมิดสิ้นกาลนาน” คำพูดของพระเถระเจ้าทำให้สูญญตาเป็นกังวลขึ้นมาทันที “ที่ท่านอาจารย์พูดมานั้นน่าจะเกินความสามารถของกระผมที่จะต่อสู้กับมหันตภัยมืดอันยิ่งใหญ่ได้กระผมเห็นว่าควรจะเป็นทหารซึ่งมีอาวุธและร่างกายที่แข็งแรงจึงจะเหมาะสมกับการศึกในครั้งนี้” “มหันตภัยมืดนี้ก็คือมารและมารเหล่านี้ไม่มีศาสตราหรืออาวุธใดในโลกที่จะปราบมันได้นอกจากอาวุธแห่งปัญญาเท่านั้นเพราะปัญญาคืออาวุธที่สว่างและคมกล้าที่สุดในจักรวาล” “ท่านอาจารย์มีเคล็ดลับความรู้พิเศษอะไรที่จะสั่งสอนกระผมเพื่อได้เอาไว้ใช้ในวันนั้นที่จะมาถึงได้หรือเปล่าครับ” “สูญญตาความรู้ทุกอย่างอาจารย์ได้สอนเจ้าไปหมดแล้วมีแต่เจ้าที่ต้องขนขวายหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง..การศึกษาหาความรู้ทางธรรมด้วยการท่องบ่นจากตาราหรือฟังแต่คำสั่งสอนจากอาจารย์มา..สิ่งที่ได้ก็คือความทรงจำ..แต่ถ้าเพิ่มเติมความรู้จากตำราและคำสั่งสอนจากอาจารย์ด้วยการลงมือปติบัติและค้นคว้าหาแก่นธรรมด้วยตนเองผลที่จะเกิดตามมาก็คือ..ปัญญาธรรมความรู้แจ้ง” พระเถระเจ้ามองดูเณรสูญญตาที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความเมตตาก่อนที่จะพูดขึ้นต่อ “สูญญตาทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงแปรผันอยู่ตลอดเวลา..วันและเวลาของอาจารย์ก็เหลือน้อยนักจำจะต้องจากเจ้าไปในวันข้างหน้าและผู้ที่จะมาแทนที่อาจารย์นั้นก็คือเจ้านั่นเอง..การที่จะเป็นอาจารย์สอนผู้อื่นนั้นต้องสอนตนเองให้ได้เสียก่อนจึงจะสมควรเป็นอาจารย์ที่ดีที่สมควรจะสอนผู้อื่นได้..สูญญตาเจ้าเป็นผู้มีปัญญาวันนี้เจ้าเป็นศิษย์ที่ดีวันข้างหน้าเจ้าต้องเป็นอาจารย์ที่ดีได้เช่นกันทุกสิ่งทุกอย่างอาจารย์ได้สอนเจ้าไปหมดแล้วเจ้าคงเข้าใจดีแล้วซินะสูญญตา” “ศิษย์ซาบซึ้งในคำสอนและเข้าใจดีทุกอย่างครับท่านอาจารย์” พระเถระเจ้านิ่งมองเณรสูญญตาก่อนที่จะพูดขึ้น “พรุ่งนี้เช้าเณรสูญญตาไม่ต้องออกบิณฑบาตร” “ทำไมละครับท่านอาจารย์” “เพราะโยมพ่อโยมแม่ของเณรได้มานิมนต์ให้เณรไปฉันเช้าที่บ้านกับพระลูกวัด” “ท่านอาจารย์ไม่ไปกับกระผมหรือครับ” “อาจารย์รับกิจนิมนต์ไปทางอื่นจึงไม่อาจไปกับเณรได้..นี่ก็สมควรแก่เวลาที่เณรจะได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องได้แล้ว” สามเณรสูญญตาก้มลงกราบพระเถระเจ้าสามครั้งด้วยความนอบน้อมแล้วลุกขึ้นเดินมุ่งหน้ากลับห้องพักของตนเณรสูญญตาเดินไปก็ครุ่นคิดไปตลอดทางพอเดินไปถึงหน้าห้องก็เอื้อมมือเข้าจับบานประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไปในห้องที่มืดมิดพร้อมควานหาไม้ขีดไฟเมื่อเจอไม้ขีดไฟแต่ยังไม่ได้จุดก็มีเสียงทักขึ้นก่อน “สูญญตาเจ้าไปไหนมาถึงกลับห้องมืดเช่นนี้” เป็นเสียงของสามเณรดีโด้เพื่อนร่วมห้องที่ดับไฟนอนแต่หัวค่ำ..เณรสูญญตาจุดไฟตะเกียงให้สว่างขึ้นเผยให้เห็นรูปร่างอันสมบูรณ์อวบอ้วนของสามเณรดีโด้ที่นอนขาไข่วห้างรออยู่บนที่นอนดูจากรูปร่างและหน้าตาก็รู้ว่าเป็นคนอารมณ์ดี ...เพื่อนแท้คู่คิดมิตรแท้คู่ธรรม… “ท่านอาจารย์มีธุระสำคัญให้ทำก็เลยกลับห้องค่ำไปหน่อย” เณรดีโด้ลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนแล้วถามต่อ “ท่านอาจารย์ให้สูญญตาทำอะไรบ้างถ้าหนักมากก็แบ่งให้เราช่วยได้นะ” สามเณรดีโด้พูดด้วยความจริงใจ “ไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะสิ่งที่ท่านอาจารย์พูดยังมาไม่ถึง” “ท่านอาจารย์ช่างมีเมตตาต่อสูญญตามากเป็นพิเศษขนาดเรามีศักดิ์เป็นหลานยังไม่ได้รับความเมตตาเหมือนสูญญตาเลย..คิดดูซิขนาดสิ่งที่ยังมาไม่ถึงท่านยังบอกให้สูญญตารู้ก่อนผู้อื่นอีกด้วย” เณรสูญญตากลัวว่าเณรดีโด้จะถามมากเรื่องจึงรีบชิงพูดเรื่องอื่นขึ้น “พรุ่งนี้โยมแม่ได้นิมนต์ให้เราไปฉันเช้าที่บ้าน..เณรดีโด้จะไปกลับเราหรือเปล่า” เณรดีโด้ยิ้มขึ้นด้วยความดีใจรีบตอบรับทันที “เราไปแน่สูญญตานี่ถ้าเจ้าไม่ชวนข้าไปด้วยละก็ข้าคงขุ่นเคืองเจ้าไปหลายวันแน่..เจ้าอย่าลืมนะว่าข้าเป็นศิษย์รุ่นพี่ของเจ้าเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันอยู่วัดเดียวกันนอนห้องเดียวกันอีกด้วย..ข้าดีโด้ในฐานะศิษย์รุ่นพี่จำจะต้องติดตามเจ้าไปเพื่อคอยดูแลและเป็นพี่เลี้ยงให้กับเจ้า” สามเณรดีโด้พล่ามยืดยาวเณรสูญญตาฟังไปก็ยิ้มไป “ถ้าอย่างนั้นเราต้องพักผ่อนกันแล้วพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า” สามเณรดีโด้รีบล้มตัวลงนอนพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงต้นคอแล้วหลับตาลงทันทีเณรสูญญตายิ้มให้ในความว่าง่ายของเณรดีโด้แล้วก็กางที่นอนออกก้าวขึ้นไปนั่งคุกเข่าลงบนที่นอนยกมือขึ้นประนมกราบลงบนหมอนสามครั้งเสร็จแล้วนั่งประนมมือเปล่งวาจาขึ้น “สุริยันสาดแสง..แทงทะลวงหิมาลัย” สวดขึ้นสามจบเสร็จแล้วก็นั่งลงในท่าบำเบ็ญสมาธิ..เณรดีโด้ที่แกล้งนอนหลับตาได้หรี่ตาขึ้นมองดูเณรสูญญตานั่งบำเพ็ญสมาธิซึ่งเป็นกิจปติบัติที่เณรดีโด้ได้เห็นเป็นประจำอยู่ทุกวันและก็เป็นประจำที่เณรดีโด้ได้เผลอหลับไปก่อนเณรสูญญตาเสมอ…..วันเวลาหมุนไปไม่คอยท่าใครคนที่มีปัญญาย่อมไม่ให้วันเวลาที่มีค่าดั่งทองหมุนผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ …ทายาทนิครนขอทวงถอนแค้นที่แน่นฝังอกมานานนับพันปี… “เอ้กอีเอ้ก..เอ้ก” เสียงไก่เริ่มขันแสดงว่าจะเริ่มเป็นเช้าของวันอีกครั้ง…ไตรเทพทายาทของลัทธินิครนคู่ปติปักษ์ของพระพุทธศาสนาก็ได้เริ่มออกเดินทางในทันทีชาติบุรุตนักสู้ผู้กล้าแกร่งและทนงในเพลงดาบอันล้ำเลิศก็ควบม้าอาชาไนยพุ่งลิ่วดุจสายลมออกจากเมืองอรัญวาสีผ้าคลุมสีดำกำมะหยี่ปลิวสะบัดยามปะทะกับสายลมแล้วภาพของบุรุตผู้ควบม้าอาชาไนยก็ค่อยๆจางหายลับออกไปจากสายตาท่ามกลางสายหมอกอันสลัวในยามเช้า…..เช้าของวันเดียวกันนี้นิกะได้แต่งตัวเต็มยศสะพายธนูพร้อมซองใส่ลูกธนูมาเต็มที่..ผู้เป็นแม่กับพ่อกำลังนั่งรับลมในยามเช้าอยู่ในระเบียงชายคาบ้านมองเห็นนิกะและจิรายะสองศรีพี่น้องแต่งกายเต็มยศเหมือนกำลังจะออกศึกเพื่อไปรบพากันควบม้าเหยาะๆมาที่ทั้งสองนั่งอยู่ “นิกะนั่นเจ้ากับจิรายะจะพากันไปไหน” นิกะไม่กล้าตอบผู้เป็นแม่ได้แต่ส่งสายตาไปหาพี่ชาย..จิรายะรู้ทันก็ช่วยพูดแก้ตัวให้ “ข้าว่าจะไปชวนไตรเทพเข้าป่าล่าสัตว์แถวเทือกเขาหิมาลัยซักหน่อยแม่พอดีเห็นนิกะกำลังว่างก็เลยชวนไปเป็นเพื่อนด้วย” ทางแม่ก็พอจะรู้แต่กลัวนิกะจะเสียหน้าจึงแสร้งพูดไปตามจิรายะ “จิรายะช่วยดูแลความปลอดภัยให้น้องด้วยนะ” “แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนิกะโตแล้วนิกะดูแลตัวเองได้” “พ่อขอให้เจ้าทั้งสองคนเดินทางด้วยความปลอดภัย” ทั้งสองยกมือขึ้นคาราวะแล้วพูดขึ้นพร้อมกัน “ข้าขอลาท่านพ่อท่านแม่” ทั้งสองก็ควบม้าออกจากสำนักมุ่งหน้าสู่สำนักนิครนทันทีไม่นานเท่าไรก็มาถึงทั้งสองควบม้าเข้าไปภายในสำนักแลเห็นแต่ลูกศิษย์ของท่านเจ้าลัทธิกำลังฝึกซ้อมฟันดาบกันอยู่ทั้งสองก้าวลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปยังอาศรมหลังใหญ่ที่อยู่กลางบริเวณของสำนักเมื่อเข้าไปในอาศรมก็มองเห็นท่านมหาวีระเจ้าแห่งลัทธิ.นิครน.คนปัจจุบันนั่งมาดเคร่งครึมอยู่บนหลังของแผ่นหนังเสือ..นิกะและจิรายะเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าท่านเจ้าลัทธิ “ท่านเจ้าลัทธิไตรเทพอยู่ที่ไหน” “พวกเจ้ามาช้าไปแล้วนิกะ.จิรายะ.ไตรเทพได้ออกเดินทางไปเมืองสุวรรณภูมิเมื่อเช้านี่เอง” “เขาไปเมืองสุวรรณภูมิ..ไปทำธุระอะไรหรือท่านเจ้าลัทธิ” “เขาไปเพื่อขอท้าสู้กับยอดฝีมือทางอาวุธของทางพระพุทธศาสนา..เจ้าสองคนมาก็ดีแล้วก็อยากจะให้เจ้าทั้งสองออกเดินทางไปสมทบกับไตรเทพถ้ามีอะไรร้ายแรงจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที” “ท่านเจ้าลัทธิไม่ต้องเป็นห่วงหรอกไตรเทพเขามีฝีมือดาบที่เป็นหนึ่งในแผ่นดินไม่มีใครทำอันตรายเขาได้หรอกแต่เพื่อความไม่ประมาทข้าและพี่จิรายะจะตามไปช่วยอีกสองคน” “ถ้าอย่างนั้นข้าและนิกะขอลาท่านเจ้าลัทธิก่อนจะได้รีบออกติดตามไปให้ทันไตรเทพ..และข้าขอวานท่านเจ้าลัทธิให้ช่วยส่งคนไปบอกท่านพ่อและท่านแม่ของข้าด้วยเรื่องที่ข้าและนิกะจะออกติดตามไตรเทพไปที่เมืองสุวรรณภูมิ” พูดจบทั้งสองก็ลุกขึ้นหันหน้าเดินออกจากห้องโดยมีเสียงของท่านเจ้าลัทธิพูดตามหลังมา “ขอให้เจ้าทั้งสองเดินทางด้วยความปลอดภัย” ทั้งนิกะและจิรายะพอขึ้นหลังม้าได้ก็รีบควบม้าออกจากสำนักนิครนมุ่งหน้าสู่เมืองสุวรรณภูมิทันที…..จะกล่าวถึงสามเณรสูญญตาที่ได้รับนิมนต์จากพ่อและแม่ให้มาฉันเช้าที่บ้านพร้อมด้วยสามเณรดีโด้และพระภิกษุอีกสามรูป…หลังจากได้ฉันพัฒตาหารเช้าผ่านไปและให้ศีลให้พรแก่ญาติโยมทั้งหลายเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาที่พระสงฆ์จะลากลับวัด..สุเมทาและยาณีจึงกล่าวกับพระภิกษุผู้เป็นประธานสงฆ์ณะที่นั้น “ท่านพระสงฆ์ผู้เจริญกระผมใคร่อยากจะขอนิมนต์สามเณรสูญญตาและสามเณรดีโด้ให้อยู่ต่ออีกซักช่วงเวลาจะได้หรือเปล่าครับ” “เจริญพรโยมทั้งสองไม่มีปัญหาแต่ประการใดส่วนอาตมาก็ขอลากลับวัดก่อนก็แล้วกัน” “นิมนต์พระคุณเจ้า” พระภิกสุทั้งสามรูปก็คล้องสายสะพายบาตรขึ้นใส่บ่าลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านโดยมีสุเมทาและยาณีตามออกมาส่งถึงหน้าบ้านเสร็จจากส่งพระภิกษุสงฆ์แล้วยาณีและสุเมทาก็เดินกลับเข้ามาในบ้านนั่งลงตรงด้านหน้าของเณรสูญญตา “ลูกเณรสูญญตาที่พ่อและแม่ได้นิมนต์ลูกเณรมาในวันนี้ก็เพื่อจะให้ลูกเณรได้ชี้แจงแสดงธรรมให้กับพ่อและแม่และชาวเพื่อนบ้านทั้งหลายได้รับฟังกันเพื่อจะได้เป็นบุญกุศลและเกิดปัญญาความรู้ทางธรรมเพื่อให้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรมสืบต่อไป..และถ้าจะเป็นการถูกต้องอย่างยิ่งก็สมควรที่จะให้สามเณรดีโด้เป็นผู้แสดงโวหารธรรมก่อนจึงจะถูกต้องเพราะเป็นศิษย์รุ่นพี่” พอยาณีพูดจบสามเณรดีโด้ก็ให้รู้สึกร้อนรุ่มในใจจึงรีบออกลีลาโวหารเพื่อเอาตัวรอด “โยมทั้งสองจ๋าเณรว่าเป็นการไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เณรเป็นผู้แสดงธรรมณะสถานที่แห่งนี้..ทางที่ถูกควรจะเป็นเณรสูญญตามากกว่าเพราะเป็นลูกเจ้าบ้านและเณรสูญญตาจะแสดงธรรมได้ล้ำลึกมากกว่าเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนความรู้ทางธรรมมาเป็นพิเศษจากท่านพระมหาโพธิธรรมเถระเจ้าผู้แตกฉานในธรรมและเป็นผู้ที่เลิศด้วยปัญญาอันสุดยอดในยุคนี้ก็ว่าได้” การที่สามเณรดีโด้พูดออกมายาวยืดขนาดนี้นั่นก็เพราะว่าถ้าเกิดญาติโยมทั้งหลายได้ถามปัญหาธรรมอันเกินปัญญาความรู้แห่งตนแล้วถ้าตนตอบไม่ได้ก็จะเป็นการเสียหน้าของตนอย่างใหญ่หลวงในฐานะศิษย์พี่ที่สู้ศิษย์น้องไม่ได้..จึงคิดหาวิธีเอาตัวรอดปลอดภัยเอาไว้ก่อนตามอุปนิสัยอันยอดเยี่ยมของตัวเอง..จะว่ากันไปแล้วสิ่งที่โดดเด่นของสามเณรดีโด้ก็คือความเป็นมิตรแท้ที่จริงใจต่อสามเณรสูญญตาและมีลิ้นที่รับรู้ได้ว่าอาหารใดเลิศรส..ชอบกินจุกกินจิก..ชอบพูดโวหารเพ้อเจ้อพอสมควรและท้ายสุดคือการรู้รักษาเอาตัวรอดอันยอดเยี่ยมทั้งหมดนี้คือความสามารถของสามเณรดีโด้ที่ไม่เป็นรองใครในแผ่นดินนี้ “ถ้าอย่างนั้นก็ให้สามเณรสูญญตานั่นแหละเป็นผู้ที่แสดงธรรมในครั้งนี้” เป็นเสียงของคุณยายซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันและคุณยายยังพูดต่อไปอีก “ตอนนี้เพื่อนบ้านทั้งหลายก็พากันเข้ามานั่งจับจองที่นั่งในบ้านกันเต็มแล้ว..ยายเชื่อว่าทุกคนคงอยากจะฟังโวหารธรรมจากสามเณรสูญญตาผู้เป็นศิษย์รักของพระมหาโพธิธรรมเถระเจ้าผู้เป็นสุดยอดแห่งปัญญาธรรมและเสาหลักแห่งพระพุทธศาสนาในยุคนี้นับตั้งแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันต์เข้าสู่ปรินิพพานได้ขวบพันปีแล้ว..และสามเณรสูญญตาจะแสดงธรรมได้ล้ำลึกเหมือนผู้เป็นอาจารย์หรือไม่” เสียงคุณยายพูดก็ยิ่งเป็นการเรียกความสนใจจากผู้คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมาได้ยินเข้าจึงพากันเข้ามามุงดูกันแน่นหน้าบ้าน “ยาณีเธอเป็นแม่ของสามเณรสูญญตาควรจะเป็นผู้กล่าวคำเชิญให้สามเณรแสดงธรรมได้แล้ว” สุเมทาเหลียวมองยาณีเพราะเห็นด้วยกับคุณยาย..ยาณีจึงประนมมือขึ้นต่อหน้าของสามเณรสูญญตาที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้สี่ขาตัวใหญ่ส่วนสามเณรดีโด้ได้ถอยเยื้องไปนั่งที่ด้านหลัง “ขออันเชิญองค์เณรผู้ทรงศีลผู้เป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะธรรมที่จะแสดงในวันนี้คือสัจธรรมความรู้ที่มาจากพระพุทธเจ้าโดยแท้และข้าพเจ้าขออันเชิญสามเณรสูญญตาได้ชี้แจงแสดงธรรม..ณะกาลบัดนี้เถอด” แล้วน้ำเสียงอันสดใสไพเราะปานเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น “ธรรมที่จะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้รับฟังต่อไปนี้มีชื่อว่า..แก่นธรรมที่ทำให้คนเป็นคน..และธรรมอันนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า..ศีลธรรม..หรือศีลที่ทำให้คนเป็นคนนั่นเองและศีลที่ว่านี้ก็คือศีลห้าหรือข้อห้ามไม่ให้ผู้คนล่วงละเมิดทั้งห้าข้อ..ข้อหนึ่ง..ปานาติปาตา..เวระมณี..ห้ามทำให้ชีวิตสัตว์ทั้งหลายตกล่วง..ข้อสอง..อทินนาทานา..เวระมณี..ห้ามลักทรัพย์หรือคดโกงเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน..ข้อสาม..กาเมสุมิจฉาจารา..เวระมณี..ห้ามล่วงละเมิดทางเพศกับสตรีที่ไม่ใช่ภรรยาของตนเอง..ข้อสี่..มุสาวาทา..เวระมณี..ห้ามพูดเท็จหลอกลวงห้ามพูดยุแยงให้ผู้อื่นแตกแยกกัน..ข้อห้า..สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา..เวระมณี..ห้ามดื่มสุราหรือสิ่งเสพติดที่ทำให้ขาดสติ..นี่คือกฏข้อห้ามของศีลห้าครอบจักรวาลมีหลายท่านสำคัญผิดคิดว่ารักษาศีลมากจะได้บุญมากแต่ความจริงไม่ใช่เพราะศีลที่มากออกไปล้วนแตกแขนงออกมาจากศีลห้าทั้งนั้น..ต่อให้รักษาศีลมาก..ศีลน้อยหรือศีลทั้งร้อยแปดอานิสงส์ก็ไม่อาจสู้ศีลห้าได้เพราะนี่คือแก่นแห่งศีลหรือจะเรียกว่าโคตรรากเหง้าแห่งศีลก็ว่าได้เพราะมีอยู่ประจำโลกมาก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาซะอีกอานิสงส์ที่ได้จากการรักษาศีลทั้งห้าข้อนี้ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดินและจักรวาล” ผู้คนทั้งหลายที่นั่งอยู่ภายในบ้านและที่ยืนรายร้อมอยู่หน้าบ้านต่างก็พากันนิ่งเงียบเหมือนดั่งต้องมนต์สะกดจากน้ำเสียงอันเจือยแจ้วไพเราะเสนาะโสตและเป็นจังหวะจังโคนของเณรสูญญตาที่ยังคงแสดงธรรมต่อไป “การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐผลก็มาจากศีลห้า..ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นพระราชาหรือพระมหาจักพรรดิ์ก็ล้วนได้มาจากอานิสงส์ที่รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัดในชาติก่อน..หรือแม้แต่การที่จะเกิดมาเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลกคือการอุบัติขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าก็ล้วนมาจากศีลห้าทั้งนั้น..เห็นแล้วว่าอานิสงส์ของศีลห้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใดฉนั้นแล้วผู้คนทั้งหลายให้พากันตั้งมั่นในศีลห้าเทอญ..เพื่อชาติกำเนิดการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยปัญญา..ด้วยรูปทรัพย์อันงามสง่า..และมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ..เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษย์และเดรัจฉาน..และอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ด้วยความเมตตาปรานี..ด้วยอานิสงส์แห่งการมีศีลตลอดการเทอญ” ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็ประนมมือขึ้นด้วยความซาบซึ้งแล้วเปล่งวาจา “สาธุ” หญิงชราเพื่อนบ้านได้จับมือของยาณีมากุมไว้ “ยาณียายภูมิใจในตัวของเณรสูญญตาเหลือเกินช่างเป็นบุญวาสนาของเธอยิ่งนักที่มีลูกเป็นผู้มีบุญและมีปัญญาล้ำเลิศเช่นนี้..ยายภูมิใจแทนเธอจริงๆยาณี” ยาณีไม่ตอบแต่รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆซึมออกมาจากขอบตาจึงรีบเอาผ้าซับออกเพราะกลัวสุเมทาจะเห็นเข้า “ลูกเณรได้แสดงธรรมจบลงแล้วจะกลับวัดเลยหรือเปล่า” “ยังหรอกโยมพ่อลูกเณรอยากจะอยู่แสดงธรรมต่อไปอีก” “ก็ดีนะซิยายยิ่งอยากจะให้เณรสูญญตาแสดงธรรมให้ยายได้ฟังเยอะๆใช่ไหมพวกเรา” คุณยายหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อนบ้านก็ไม่ผิดหวังเพราะได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นทำให้สามเณรสูญญตาเริ่มแสดงธรรมเรื่องที่สองต่อ “ธรรมเรื่องที่สองมีชื่อว่า..พระอรหันต์ในบ้าน” เมื่อได้ยินชาวบ้านต่างก็หันหน้าเข้ามองกัน “สูญญตาเธอพูดผิดหรือเปล่าที่ฉันพอจะรู้พระอรหันต์ท่านจะอยู่ที่วัดหรือไม่ก็อยู่ตามป่าตามถ้ำ” เป็นเสียงของสามเณรดีโด้ที่กระซิบมาจากด้านหลัง “เณรดีโด้ไม่ต้องเป็นห่วงฉันจะอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจเดี๋ยวนี้” เณรสูญญตามองไปที่คุณยาย “ก่อนอื่นเณรขอถามคุณยายก่อนว่าพระอรหันต์ที่คุณยายพอจะคาดเดาออกมีอยู่กี่องค์ในแผ่นดินนี้” คุณยายที่นั่งอยู่ใกล้ยาณีทำท่าอึกอักก่อนที่จะตอบ “เออคือว่า..ที่ยายพอจะรู้จักก็มีอยู่องค์เดียวในแผ่นดินนี้ก็คือท่านพระมหาโพธิธรรมเถระเจ้าของเมืองเรานี่แหละ” “แล้วคุณยายพอจะรู้ไหมว่าพระอรหันต์ส่วนมากท่านจะนำพักอยู่ณะที่แห่งใดบ้าง” “ที่ยายพอจะรู้มาส่วนมากท่านจะอยู่ที่วัดหรือไม่ก็ปลีกวิเวกอยู่ตามถ้ำตามป่าภูเขาทั่วไป..ยายก็แก่จนปูนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินเลยว่าพระอรหันต์ท่านจะอาศัยอยู่ตามบ้านคนทั่วไป” “พระอรหันต์ที่คุณยายรู้จักช่างหาได้ยากเย็นยิ่งนักแต่พระอรหันต์ในบ้านช่างหาได้ง่ายดายนักแลเพียงแต่ทุกคนต่างก็มองข้ามท่านไปเอง” เพื่อนบ้านต่างก็พานิ่งเงียบรอฟังการสนทนาของเณรสูญญตากับคุณยาย “แล้วเณรสูญญตาพอจะบอกยายได้ไหมว่าพระอรหันต์ในบ้านท่านมีลักษณะอย่างไร” “ได้อยู่แล้วแต่เณรจะขอถามคุณยายก่อนว่าพระอรหันต์ที่คุณยายรู้จักท่านมีดีอย่างไรบ้าง” “ดีของท่านมีมากมายนับไม่ถ้วนที่พอจะชี้แจงได้ก็คือท่านเป็นผู้ที่หมดความโกรธและมีความเมตตาอยู่เสมอถ้าได้ทำบุญกับท่านก็จะได้เห็นอานิสงส์ผลบุญทันตาเห็นในชาตินี้..คราวนี้เณรสูญญตาพอที่จะบอกถึงพระอรหันต์ในบ้านให้ทุกคนได้รู้ได้หรือยัง” “ใครกันหนอที่คอยไกวเปลร้องเพลงขับกล่อมให้เราได้นอนหลับ..ใครกันหนอเมื่อครั้งที่เราเป็นเด็กเราเคยหยิกข่วนทุบตีท่านแต่ท่านก็ไม่เคยโกรธเคืองเราแม้แต่น้อย..ใครกันหนอในยามที่เราเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยแต่ท่าทางของท่านเหมือนกับเจ็บปวดแทบขาดใจหรือแม้แต่ชีวิตของท่านก็สละเพื่อเราได้” เณรสูญญตากล่าวมาถึงตรงนี้คุณยายก็ร้องอ๋อขึ้น “พระอรหันต์ในบ้าน..ณะที่นี้เณรคงหมายความถึงแม่ของทุกคนใช่ไหมจ๊ะ” “ถูกต้องแล้วคุณยายแม่ก็คือพระอรหันต์อีกประเภทหนึ่งที่อาศัยอยู่ภายในบ้านกับลูกๆทุกคนคุณธรรมของท่านก็ไม่แตกต่างจากพระอรหันต์ที่คุณยายรู้จัก..ท่านเป็นผู้ที่หมดความโกรธความเกลียดต่อลูกให้อภัยลูกได้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของท่านก็สละเพื่อลูกๆได้เสมอความอดทนต่อความลำบากของพระอรหันต์ในบ้านองค์นี้ไม่มีขีดจำกัดในการที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในการประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ..ท่านเฝ้าอบรมเลี้ยงดูฟูมฟักมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเฝ้าถนุถนอมเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็งทั้งชายและหญิงก็เริ่มโบยบินหนีหายไม่กลับมาเมื่อกาลเวลาผ่านไปพระอรหันต์ในบ้านของเราก็เริ่มแก่ชราลงช่างเป็นที่น่าเสียดายที่ลูกๆหลายคนกลับทอดทิ้งพระอรหันต์ชราองค์นี้ไป..พระอรหันต์บ้านในยามชราหูก็ตึงตาก็ฝ้าฟางเดินหลังโก่งก้มๆเงยๆเพราะชีวิตและเรี่ยวแรงเริ่มเหลือน้อยเต็มทนในยามจะกินก็ลำบากในยามจะนอนก็ลำบนต้องทนทุกข์ทรมานทุกเช้าค่ำเพราะไร้ลูกหลานคอยปนิบัติดูแล” สามเณรสูญญตาหยุดชำเลืองตามองไปรอบๆก็เห็นดวงตาของหลายๆคนเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าบ้างก็เริ่มซับน้ำตาและคนส่วนมากก็มีสีหน้าที่เศร้าเพราะเริ่มคิดถึงพระคุณของแม่ “ผู้ใดละทิ้งแม่ในยามชราสิ้นเรี่ยวแรงก็จะเป็นบาปกรรมหนักทำให้ตกนรกหมกไหม้ทั้งที่มีชีวิตอยู่และเมื่อยามสิ้นชีวิตลง..ถ้าลูกๆสำนึกได้ก็ยังไม่สายเกินไปจงรีบกลับไปขอขมาท่านแล้วอยู่ดูแลปนิบัติท่านเหมือนที่ท่านเคยดูแลเราเมื่อตอนเป็นเด็กผู้ที่คอยปนิบัติดูแลแม่ที่ชราอยู่เป็นประจำก็จะเป็นที่สรรเสริญของเหล่าเทวดาและเป็นที่ยกย่องของผู้คนทั้งแผ่นดิน..เมื่อท่านสิ้นชีวิตลงประตูสวรรค์ก็จะเปิดรอรับท่านและอานิสงส์ที่ปนิบัติบำรุงแม่ที่เป็นพระอรหันต์บ้านอยู่เป็นประจำก็จะนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ท่านทันตาเห็นในชาตินี้และเจริญข้ามไปจนถึงชาติหน้าและตลอดกาล” เมื่อแสดงธรรมจบลงสามเณรสูญญตาสังเกตเห็นได้ว่าหลายคนมีสีหน้าที่เศร้าดวงตาแดงเหมือนกับผ่านการร้องให้มาและอีกหลายคนกำลังเอาผ้าขึ้นซับน้ำตา “สูญญตาทำไมเธอเทศนาเรื่องที่เศร้าแบบนี้ทำให้ฉันอดคิดถึงแม่ไม่ได้” เป็นเสียงของสามเณรดีโด้ที่พูดสั่นรัวปนเสียงสะอื้นดังมาจากด้านหลังส่วนด้านหน้าก็มีเสียงพูดมาจากคุณยายที่สั่นเครือเช่นเดียวกับสามเณรดีโด้ “เณรสูญญตาช่างเทศนาได้ลึกซึ้งจับใจยายจริงๆ..ทำให้ยายอดคิดถึงแม่ที่จากไปแล้วไม่ได้” เณรสูญญตาเห็นทุกคนกำลังตกอยู่ในอารมณ์อันเศร้าโศกจึงคิดที่จะเปลี่ยนบรรยากาศให้คลายจากความโศกเศร้า “ต่อจากนี้ไปเณรจะเปิดโอกาสให้ญาติโยมทั้งหลายได้ซักถามปัญหาธรรมที่ค้างคาใจกับสามเณร”
ความคิดเห็น