มหาสูญตาหัวใจแห่งพุทธะ
การดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรมและความไม่ประมาทเพื่อเป็นกุศลแก่ผู้อ่านและผู้แต่
ผู้เข้าชมรวม
177
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มหาสูญญตาหัวใจแห่งพุทธะ
พุทธศักราชหนึ่งพันปีมารฟื้นคืนพลังจะหวลกลับมาที่โลก..พุทธศักราชสองพันห้าร้อยถึงสองพันหกร้อยปีดินน้ำไฟลมจะแปรปรวนไปทั่วโลกทำให้เกิดภัยภิบัติทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์ให้ล้มตายลงเป็นจำนวนมาก..พุทธศักราชสองพันหกร้อยถึงสามพันปีจิตวิญญาณของมนุษย์จะเริ่มเสื่อมถอยจากศีลธรรมและมนุษย์กับสัตว์จะรวมเป็นร่างเดียวกัน..พุทธศักราชสามพันถึงสี่พันปีมนุษย์จะพากันละทิ้งคำสอนของศาสดาละทิ้งพระเจ้าออกไปจากจิตใจแล้วพากันรับเอาศาสดาและพระเจ้าองค์ใหม่เข้ามาแทนที่ในจิตใจนั่นก็คือความสะดวกสบายความเจริญทางด้านวัตถุและเทคโนโรยี่อันไร้ขีดจำกัด..เมื่อพุทธศักราชเดินมาถึงยุคห้าพันปีเทคโนโรยี่ที่เจริญอย่างไร้ขีดจำกัดจะนำพาให้มนุษย์ก้าวเข้าไปสู่ดินแดนของพระเจ้าจะทำให้มนุษย์ส่วนมากพากันหลงระเริงตนและมนุษย์ส่วนมากในยุคนี้จะไม่รู้จักระอายในการทำชั่วและจะไม่เกรงกลัวในบาปกรรมกันอีกต่อไป..และมนุษย์ต่างก็คิดว่าเผ่าพันธุ์ของตนเองคือพระเจ้าสมควรที่จะอยู่ปกครองโลกใบนี้แต่เพียงเผ่าพันธุ์เดียวจึงเกิดความอิจฉาริษยากันขึ้นนำมาซึ่งการแตกแยกความสามัคคีกันออกเป็นเสี่ยงๆแล้วเปิดศึกสงครามเข้าเข่นฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันลามออกไปทั่วโลกซึ่งจะทำให้โลกมนุษย์กลายเป็นนรกอเวจีไปในทันที..นี่ก็คือภัยบิบัติอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์และสัตว์ทั้งโลก..และวันดับโลกที่แท้จริงก็จะมาถึงมนุษย์และสัตว์ทั้งโลกในวันนี้เอง………. สัจธรรมจริงแทรกไว้ในนิยาย…สมควรที่ชาวพุทธและคนทั้งโลกพึงต้องรับรู้เพื่อเตือนสติตนเองและสั่งสอนลูกหลานให้พากันตั้งตัวอยู่ในความไม่ประมาทก่อนที่วันดับโลกจะมาถึง.................................
มหาสูญญตาหัวใจแห่งพุทธะ) ปัญญาคืออาวุธที่สว่างและคมกล้าที่สุดในจักรวาล (ภารโรงวัด)ตอนที่หนึ่ง…มารฟื้นคืนพลัง…เริ่มบทกาลมงคล………………………………..กาลนั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถราชกุมารพระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ทรงเสด็จออกผนวชและพระองค์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสมดังใจปารถนาในครานั้นจอมราชันย์มาร.อวิชชา.เจ้าแห่งความมืดมิดของจักรวาลกลัวว่าพระองค์จะนำสัจธรรมออกมาเผยแผ่เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้พ้นจากอำนาจของตน..มาร.อวิชชา.พร้อมด้วยลูกอีกสี่ตนคือ..มารตัณหา..มารโทสะ..มารกาม..และนางมารราคะ..ได้ยกกองทัพมารมาเพื่อจะสยบพระพุทธเจ้าแต่มาร.อวิชชา.ลูกๆกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และพลังเสื่อมไปนานนับพันปี..กาลต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธุ์เข้าสู่ปรินิพพานคงเหลือไว้เพียงแต่สัจธรรมและคำสอนเอาไว้เป็นตัวแทนของพระองค์และพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ให้มนุษย์และเหล่าเทวดาได้กราบไหว้บูชาและหัวใจของพระองค์ก็ได้กลายเป็นลูกแก้วทั้งหกจัดวางเรียงเอาไว้เป็นปริศนาธรรมเพื่อรอให้ปุถุชนมาไขปริศนาธรรมนี้ให้ออกถ้ามาร.อวิชชา.ราชันย์แห่งความมืดมิดได้ฟื้นคืนพลังและหวลกลับคืนมาที่โลกนี้อีกเพราะในจักรวาลนี้มีก็เพียงแต่อาวุธแห่งปัญญาของพระบรมสารีริกธาตุแห่งหัวใจของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะปราบมาร.อวิชชาได้…และกาลเวลาหนึ่งพันปีก็ได้หวลกลับมาบรรจบครบรอบแล้ว..มหันตภัยมืดอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลก็ได้หวลกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้ง......... “เอ้ก อีเอ้ก เอ้ก” เสียงไก่เริ่มขันแสดงว่าเช้าของวันใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นและแสงอาทิตย์กำลังจะสาดส่องลงบนพื้นโลกเพื่อขับไล่ความมืดแห่งรัตติกาลให้หายไปตามวัตถจักรที่วนเวียนอยู่ประจำโลกนี้มายาวนานไม่รู้จบสิ้นช่างเหมือนกับการเวียนว่ายตายเกิดของมวลสัตว์บนโลกใบนี้โดยแท้…..ณ.หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตดินแดนของเมืองสุวรรณภูมิก็เริ่มมีเสียงดังจอแจออกมาจากบ้านหลายๆหลังซึ่งเป็นธรรมดาของชาวบ้านที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อหุงข้าวทำอาหาร “ยาณีวันนี้เธอทำอาหารอะไรบ้างมีอะไรพิเศษเอาไว้ใส่บาตรให้ลูกเณรสูญญตามั่งหรือเปล่า” เสียงดังออกมาจากบ้านสองชั้นก่อสร้างด้วยอิฐอย่างดีแสดงว่าเจ้าของบ้านมีฐานะดีเพราะรอบนอกบ้านนั้นส่วนมากจะเป็นบ้านชั้นเดียว “ฉันก็ทำกับข้าวพิเศษเหมือนทุกวันนั่นแหละจ๊ะพี่สุเมทา” เจ้าของเสียงเป็นสตรีอายุกลางคนนางหนึ่งกำลังขมักเขม้นทำอาหารอยู่ในครัว “มีอะไรให้พี่ช่วยทำหรือเปล่ายาณี” สุเมทาพูดพร้อมกับเดินมาถึงหน้าประตูครัวเผยให้เห็นใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยหนวดเครากับร่างกายที่สูงบึกบึนแต่ดวงตานั้นดูอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความเมตตายานีเงยหน้าขึ้นมอง “ไม่ต้องหรอกพี่ฉันทำใกล้จะเสร็จหมดแล้วนี่คงใกล้จะถึงเวลาที่ลูกเณรสูญญตาจะมาบิณฑบาตรแล้วซินะพี่” สุเมทาไม่พูดได้แต่ผยักหน้าพร้อมกับส่งสายตามองไปยังยาณีผู้เป็นภรรยาที่กำลังทำอาหารอยู่สุเมทาครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมาคนและยาณีได้แต่งงานกันตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตนและยาณีนั้นก็รักกันอยู่แล้วจึงเป็นการลงตัวของทั้งสองฝ่ายซึ่งยาณีก็เป็นกุลสตรีทุกระเบียบนิ้วการบ้านการเรือนไม่มีบกพร่องตนและยาณีมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนนั่นก็คือเณรน้อยสูญญตานั่นเองแต่เป็นเพราะความต้องการของบรรพบุรุตที่สั่งสมมาหลายชั่วคนว่าถ้าลูกหลานในตระกูลแต่งงานถ้ามีลูกคนแรกเป็นผู้ชายเมื่อเริ่มโตพอสมควรแก่การศึกษาหาความรู้ในวัยเด็กให้ถวายตัวเข้ารับใช้พระพุทธศาสนาคือให้บวชเณรนั่นเอง…สุเมทาไม่อาจขัดความต้องการของบรรพบุรุตได้ทำให้ตนและยาณีจึงต้องอยู่กันสองคนในบ้านหลังนี้เพราะตนกับยาณีมีลูกเพียงคนเดียวก็คือเณรสูญญตานั่นเอง…จะกล่าวถึงเณรน้อยสูญญตาซึ่งกำลังจัดระเบียบการครองผ้ากับพระภิกษุที่อยู่ในอารามสงฆ์ “สูญญตาครองผ้าเรียบร้อยหรือยัง” เสียงนั้นก้องกังวาลมีพลังยิ่งนักแต่น้ำเสียงเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอเณรสูญญตาสดุ้งเล็กน้อยรีบเดินจ้ำพรวดพร้อมกับส่งเสียงตอบรับ “ผมกำลังจะลงไปแล้วครับท่านอาจารย์” อารามสงฆ์ที่เณรสูญญตาอยู่นั้นเป็นตึกสามชั้นตัวตึกเป็นศิลาแลงวางซ้อนทับกันแล้วก่อฉาบด้วยเลนโคลนผสมด้วยยางไม้ที่เหนียวเป็นพิเศษแต่ละชั้นประกอบด้วยห้องพักของภิกษุและสามเณรแต่ละชั้นมองจากภายนอกจะเห็นแต่หน้าต่างติดอยู่รอบตัวตึกถ้ามองจากชั้นบนห่างออกไปจะเห็นเจดีย์ที่สูงถึงเก้าชั้นฐานเจดีย์มีลักษณะสี่เหลี่ยมและค่อยๆลดหลั่นความกว้างของฐานเมื่อสูงขึ้นตัวยอดสูงสุดมีลักษณะทรงกลมปลายสุดแหลมตัวฐานใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า…ตัวเจดีย์นี้ตั้งอยู่ตรงกลางรายล้อมรอบข้างด้วยกุฏิสงฆ์ซึ่งมีความสูงต่ำลดหลั่นกันไปวัดนี้ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงของเมืองสุวรรณภูมิและอยู่ใกล้ประตูเมืองด้านหลังที่ใช้สันจรติดต่อโลกด้านนอกเมืองพระภิกษุสามเณรก็ใช้ทางนี้ออกบิณฑบาตรเช่นกัน…สามเณรสูญญตาซึ่งอยู่ชั้นสองของตึกได้เดินลงมาถึงชั้นล่างแล้วรีบเดินเข้าไปหาผู้ที่ส่งเสียงเรียกตนทันที “สูญญตามาแล้วออกบิณฑบาตได้” เจ้าของเสียงเป็นพระเถระผู้มีอายุแต่ยังคงลักษณะอันสง่าสงบดูมีตบะน่าเลื่อมใสยิ่งนักท่านพูดแล้วก็ออกเดินนำหน้าทันทีตามหลังด้วยพระอีกสามรูปและสามเณรสูญญตาพระเถระเจ้าพาทั้งหมดออกเดินบิณฑบาตรมาที่นอกเมืองซึ่งเป็นเส้นทางเดินไปยังบ้านของยาณีและสุเมทา..ภูมิประเทศภายนอกเมืองมีภูเขาล้อมรอบสามด้านเปิดทางออกทางใหญ่ไว้ทางทิศตะวันออกเพื่อใช้เป็นทางสันจรออกติดต่อกับเมืองต่างๆซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมากพอสมควรและมีอยู่สองเมืองใหญ่เพื่อนบ้านที่พอจะติดต่อไปมาหากันได้ก็คือ..เมืองอรัญวาสีซึ่งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของภูเขาหิมาลัย..ส่วนทางทิศตะวันตกนั้นคือเมืองอโยธยา..ทั้งสองเมืองเพื่อนบ้านนั้นถูกกางกั้นด้วยภูเขาหิมาลัยอันมหึมายิ่ง…ย้อนกลับมายังพระเถระเจ้าได้พากันเดินบิณฑบาตรมาถึงบ้านของยานีพอดี “นิมนต์พระคุณเจ้า” ยาณีกับสุเมทายืนอยู่ที่หน้าบ้านทั้งสองมองไปยังเณรสูญญตาสายตาทั้งสองนั้นดูอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความรักและห่วงใยในสามเณรสูญญตายิ่งนัก “ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยในตัวของสามเณรหรอกนะโยมทั้งสอง” พระเถระกล่าวขึ้นพร้อมกับเปิดฝาบาตร “เป็นบุญของเณรแล้วที่ได้เข้ามารับใช้พระศาสนา” ยาณีและสุเมทาก็นำข้าวและอาหารใส่บาตรพระเถระและพระสงฆ์และเณรสูญญตาเมื่อปิดฝาบาตรลงพระเถระได้กล่าวขึ้นต่อ “กาลต่อไปนี้เณรจะเป็นผู้มีคุณต่อมวลมนุษย์ยิ่งนัก” “ลูกเณรยังเด็กอยู่จะทำคุณประโยชน์อะไรให้กับมวลมนุษย์ได้ละครับพระคุณเจ้า” “ได้ซิโยมคุณประโยชน์ของเณรไม่ใช่การใช้กำลังแต่เป็นการใช้ปัญญาซึ่งการเวลาที่เณรจะใช้ปัญญาในการช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ทั้งโลกก็เวียนมาบรรจบครบรอบแล้ว” “ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นหรือค่ะพระคุณเจ้าฟังดูแล้วน่ากลัวมากนะค่ะแล้วเณรสูญญตาตัวเล็กแค่นี้จะมีปัญญาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งโลกได้หรือเจ้าค่ะ” นี่ไม่ใช่เสียงของยาณีแต่เป็นเสียงของเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันและได้มายืนร่วมฟังอยู่ด้วย “ฉันก็อีกคนหนึ่งละมีนาที่ไม่เชื่อเหมือนกัน” นี่เป็นเสียงของสตรีสองนางที่อยู่ในแก๊งเดียวกัน..พระเถระเจ้าคุ้นเคยกับเสียงนี้ดีแล้วจึงไม่ใส่ใจแล้วพูดขึ้นต่อ “ตัวของเณรและปัญญาเปรียบเหมือนกับกุณแจที่จะไขความลับแห่งปริศนาธรรมพระบรมสารีริกธาตุของหัวใจพระพุทธเจ้าออกมาให้ได้” “เณรเป็นคนนะเจ้าค่ะไม่ใช่กุณแจจะได้เอาไปไว้ไขสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้” มีนาส่งเสียงสูงปรี๊ดออกมาสมกับฉายาเม้าตลาดแตกสิ้นเสียงมีนาเมษาก็รับช่วงต่อทันที “ไขปริศนาอะไรดิฉันไม่รู้แต่ถ้าไปไขกุณแจบ้านคนอื่นละก็เป็นเรื่องผิดกฏหมายบ้านเมืองนะเจ้าค่ะ” สุดที่สุเมทาจะทานทนจึงกัดฟันแล้วถลึงตามองด้วยความดุดันของสายตาทำให้ทั้งสองนางต่างพร้อมใจกันเงียบและพร้อมใจกันซอยเท้าออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อหมดอุปสรรคทางเสียงลงพระเถระเจ้าจึงได้พูดขึ้นต่อ “และสิ่งที่เป็นปริศนาธรรมนี้เณรจะต้องเป็นผู้ออกค้นหาด้วยตัวเอง” “แล้วสิ่งที่เป็นปริศนาธรรมนี้อยู่ที่ใดหรือครับและการออกค้นหาจะลำบากหรือนำอันตรายมาสู่ตัวเณรหรือเปล่าครับ” “ทุกคนเกิดมามีสังขารย่อมมีทุกข์เป็นธรรมดาจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อยแล้วแต่บุญกรรมนำแต่ง..ส่วนเรื่องของเณรนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเขาเป็นผู้มีธรรมและธรรมก็ย่อมรักษาผู้ประพฤติปติบัติตนอยู่ในกรอบแห่งธรรมเสมอ..และการออกค้นหาสิ่งที่เป็นปริศนาธรรมนั้นก็ต้องให้การเวลาและชะตากรรมเป็นผู้กำหนดก็แล้วกัน” พูดจบท่านก็ออกเดินมุ่งหน้ากลับวัดทันทีโดยมีพระสงฆ์ที่ร่วมกลุ่มออกเดินตามคงเหลือแต่สามเณรสูญญตารั้งท้ายยาณีจึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “ลูกเณรอยู่ที่วัดลำบากกายลำบากใจหรือเปล่า” เณรสูญญตาผู้บริสุทธิ์สดใสในวัยเด็กแต่แฝงไว้ด้วยความฉลาดและไหวพริบแห่งปัญญาพูดตอบ “โยมพ่อโยมแม่ไม่ต้องเป็นห่วงลูกเณรหรอกนะท่านอาจารย์รักและเมตตาในตัวลูกเณรมากและอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ในทางธรรมให้ลูกเณรอยู่เสมอและท่านอาจารย์ยังชมลูกเณรอยู่บ่อยๆว่าเป็นผู้มีปัญญาและมีไหวพริบที่เกินตัว” พูดจบก็ส่งรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และงดงามให้ทำให้ยาณีถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจออกมาส่วนสุเมทานั้นภายนอกยังคงนิ่งสุขุมส่วนในใจนั้นเขาภาคภูมิใจจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ “การที่โยมพ่อและโยมแม่ได้มอบลูกเณรให้เข้ามารับใช้พระศาสนาก็เหมือนกับการยกลูกเณรให้เป็นลูกของพระพุทธเจ้า..นั่นก็เท่ากับเป็นการว่าโยมพ่อและโยมแม่ได้ผูกจิตสัมพันธุ์เป็นเครือญาติของพระพุทธเจ้าแล้ว” พูดแล้วเณรสูญญตาก็เหลียวมองไปทางพระเถระเจ้าซึ่งเดินนำหน้ากลับวัดไปไกลพอสมควร “โยมพ่อโยมแม่ลูกเณรขอตัวก่อนนะครับเดี๋ยวจะตามท่านอาจารย์ไม่ทัน” พูดจบก็รีบเดินจากไปทันทีโดยมียาณีและสุเมทามองตามไปด้วยความตื้นตันใจ “ปกติแล้วพระเถระเจ้าเป็นผู้สัมรวมกายวาจายิ่งนักถ้าไม่หนักหนาแล้วจะไม่พูดออกมาเด็ดขาดถ้าท่านพูดออกมาเช่นนี้แสดงว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่” สุเมทาพูดขึ้นทำให้ยาณีต้องหันมามองหน้าทั้งสองต่างมีสีหน้าที่เป็นกังวล…กล่าวถึงมีนาและเมษาที่หลบภัยสายตาของสุเมทาออกมายืนอยู่ที่มุมหนึ่งของท้ายหมู่บ้านพอตั้งหลักได้ทั้งสองนางก็สำแดงเดชของฉายาเม้าตลาดแตกออกมาทันที “เจ้าค่าเอ้ยข่าวล่ามาด่วนจ้า” เสียงอันดังแสบแก้วหูของสองนางที่ตะเบ็งแข่งกันได้เรียกจำนวนผู้คนให้เข้ามาชุมนุมณะที่นั้นอย่างรวดเร็วและมากมายดั่งต้องมนต์ขลังก็ไม่ปาน “แกมีข่าวด่วนอะไรมีนา” ชายสูงอายุผู้หนึ่งถามเมษาสวนขึ้นทันที “จะมียักษ์ร้ายจากนอกโลกเข้ามาจับคนกินนะซิ” ทุกคนทำหน้าตาตื่นส่งเสียงฮือฮา “นี่แกไปเอาข่าวร้ายแบบนี้มาจากไหนกันเมษา” สตรีนางหนึ่งที่อุ้มลูกมาด้วยถามขึ้นเสียงดังแต่ครั้งนี้มีนาเป็นคนตอบ “ก็พระเถระเจ้านะซิท่านพูดเมื่อเช้านี่เอง” เรื่องตลบตะแลงปั้นน้ำเป็นตัวเป็นเรื่องถนัดของสองนางนี้อยู่แล้ว “พวกมันจะยกทัพกันเข้ามาเพื่อจับคนกินให้หมดทั้งโลก” ทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียดใคร่อยากรู้อยากถาม “แล้วใครจะช่วยเราได้ละเมษา” หญิงชราพูดแทรกขึ้นเร็วมีนารอท่าอยู่แล้วตอบขึ้น “ในโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยคนทั้งโลกให้รอดพ้นจากมหันตภัยนี้ได้คือ” มีนาหยุดพูดทำหน้าตาตื่นเพื่อเร่งเร้าให้ชาวบ้านทั้งหลายร้อนรุ่มในการอยากรู้มากขึ้นยิ่งนิ่งชาวบ้านก็ยิ่งพากันส่งเสียงถามระเบ็งเซ็งแซ่ว่าผู้นั้นเป็นใครกันแน่..มีนาไม่ตอบแต่เหลือบตามองไปยังเมษาทำให้ชาวบ้านทั้งหมดมองตามไปยังเมษาเป็นจุดเดียวเมื่อเรียกความสนใจได้สมควรแก่กาลเวลาแล้วเมษาก็เผยไต๋ “เณรสูญญตา” ชาวบ้านทั้งหมดพร้อมใจกันพูดซ้ำขึ้น “เณรสูญญตา”
ผลงานอื่นๆ ของ บุญมาพึ่ง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ บุญมาพึ่ง
ความคิดเห็น