ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผีครับมีเรื้อยๆ

    ลำดับตอนที่ #47 : ผีกระสือ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 142
      0
      27 พ.ค. 50

    ผีไทยที่มีคนรู้จักมากที่สุดเห็นทีต้องยกให้“ผีกระสือ”เพราะเป็นผีซึ่งมีการนำมาเล่าหลายรูปแบบ ทั้งในนวนิยาย นิยายภาพ ( โดยทวี วิษณุกร ผู้เป็นคนแรกที่วาดรูปลักษณ์ของผีกระสือจนเป็นที่รู้จัก แพร่หลาย) ภาพยนตร์ และละครทีวี“ผีกระสือ” มีแทบทุกภาคของเมืองไทย ทางภาคเหนือเรียกสั้นๆ ว่า “ผีสือ”ภาคใต้เรียกว่า “ผีกละ” ภาคอีสานเรียกว่า “ผีโพง”ผีกระสือไม่ใช่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว หากเป็นผีที่เกิดจากคนซึ่งมีชีวิตอยู่แต่แยกจิตวิญญาณ ออกไปเป็นผีกระสืออีกร่างหนึ่งจะว่าคนเดียวมีสองร่างก็พอได้และที่ออกจะแปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นผีกระสือจะผูกขาดอยู่เฉพาะ เพศหญิง คือเป็นผู้หญิงเท่านั้นไม่เคยปรากฏมีผู้ชายเป็นผีกระสือ ความเป็นมา หรือเหตุเกิดเป็นผีกระสือไม่แจ้งชัดว่าเหตุใดคนธรรมดาจึง ได้แบ่งภาคเป็นผีกระสือบ้างก็ว่าเป็นวิญญาณผู้หญิงที่เข้ามาสิงในร่างผู้หญิงบ้างก็ว่าเป็นมรดกตกทอดของอาถรรพณ์วิญญาณเร้นลับ ซึ่งจะต้องสืบต่อกันมา หากไม่มีลูกหลานสืบทอดเป็นทายาทเป็นผีกระสือจะตายไม่ได้ ถึงแก่หง่อมอย่างไรก็ยังมีชีวิตมีลมหายใจอยู่ บ้างก็ว่าเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีผู้มีกรรมสืบทอดต่อๆ กันไป จนกว่าวิบากกรรมนี้จะจบสิ้น
    การปรากฏตัวของผีกระสือมีลักษณะเป็นดวงไฟดวงโตสีเขียวเรืองๆ ลอยวูบวาบในเวลากลางคืนตามชายทุ่งชายหนอง ว่ากันว่าผีกระสือออกหากินพวกของสดของคาว เช่น กบ, เขียด หรือพวกอาจมสกปรกที่คนไปถ่ายทิ้งไว้แถบละเมาะไม้ชายเขตบ้าน บางทีดวงไฟผีกระสือก็จะมาลอยวูบวาบตามฐานวัด (ส้วม) เมื่อกินอาจมจนอิ่มแล้ว หากเห็นผ้าถุง ผ้านุ่งของใครตากลืมทิ้งไว้ ผีกระสือก็จะใช้ผ้าดังกล่าวเช็ดปากทิ้งรอยไว้เป็นด่างดวง เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าของผู้มาเห็นผ้าถุง ผ้านุ่งของตัวเองถูกกระสือแอบมาเช็ดปาก หากอยากรู้ว่าใครเป็นผีกระสือ เขาจะนำผ้าไปนึ่งหรือต้ม คนที่เป็นผีกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปาก เหมือนถูกน้าร้อนลวก กระทั่งทนไม่ไหว ต้องยอมมาปรากฎตัวขอร้องผู้ที่ต้มหรือนึ่งผ้าซึ่งมีรอยเช็ดปากให้เลิกกระทำ แต่ผีกระสือบางรายอับอายที่ให้ใครรู้ว่าตนเป็นผีกระสือ ยอมทนทรหดปวดแสบปวดร้อนจนปากเน่าพุพองอย่างน่าเวทนา
    นอกจากของสดของคาว และอาจมที่ผีกระสือชอบกิน ผีกระสือยังชอบกินน้ำเลือดน้ำเหลืองที่หญิงคลอดลูกใหม่ๆ ชำระล้างลงไปใต้ถุน หรือผีกระสือบางตัวอุกอาจถึงขึ้นแอบขึ้นไปกินตับไตไส้พุงเด็กทารกที่เกิดใหม่ โดยมุดลอดขึ้นไปตามร่องอุจจาระ ปัสสาวะ
    ด้วยเหตุนี้สมัยโบราณตามบ้านนอกชนบท บ้านใดเรือนใดมีหญิงเพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ เขาจะเอา หนามพุทรามาสะสมไว้ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องถ่ายอุจจาระ-ปัสสาวะ และเป็นร่องที่ใช้ชำระล้าง น้ำเลือดน้ำเหลือง สกปรกไปจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
    การที่ใช้หนามพุทรามากองสะสมไว้ดังกล่าว เนื่องจากความเชื่อว่าผีกระสือไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพราะกลัวหนามจะเกี่ยวไส้ของมัน เหตุที่ผีกระสือทะนุถนอม ระแวดระวังสำไส้ มีผลมาจากเวลาผีกระสือออกไปหากินยามค่ำคืน มันจะถอดไปแต่หัวและอวัยวะภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด ไส้ ส่วนร่างก็นอนหัวขาดอยู่ที่บ้านเรืองของตน
    ดังนั้นเวลาเจอหนามพุทรา ผีกระสือจึงกลัวหนามแหลมจะเกี่ยว ลำไส้เอาไว้ การสือบทอดการเป็นผีกระสือรุ่นต่อๆ ไปก็คือคนที่เป็นผีกระสือจะใช้ น้ำลายป้ายหรือหลอกให้คนอื่นกินน้ำลายตน ใครที่โดนน้ำลายป้ายหรือกินน้ำลายคนเป็นผีกระสือ เขาจะกลายเป็นผีกระสือ รุ่นต่อไปทันที ในหนังสือเรื่อง “ประเพณีเนื่องในการเกิด” ของเสถียร โกเสศ ได้เขียนถึงผีกระสือตอนหนึ่งว่า…
    “คนเป็นผีกระสือนั้นตายยากตายเย็นนัก เวลาจะตายต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น ไม่ตายได้ง่ายๆ จนกว่าลูกหลานคนใดรับทายาทเป็นผีกระสือต่อไป” โดยรับเอาน้ำลายของผีกระสือ บ้วนใส่ให้ คนที่เป็นผีกระสือจึงจะตายได้ เรื่องน้ำลายนี้แหล่ะ มักถือกันว่าเป็นของขลังหรือของอะไรในลักษณะนั้น อย่างไรก็ตามทางภาคอีสานถือกันว่าถ้าเป็นผีปอบถ่มน้ำลายรดถูกใคร ผู้นั้นจะต้องเป็นผีปอบ จำพวกเดียวกับผีกระสือของภาคนั้น
    “ข้าพเจ้าเมื่อเด็กเคยอยู่ในถิ่นที่มีผีกระสือชุกชุม เป็นถิ่นที่มีพวกเชื้อมอญ เชื้อทวายอยู่มาก เคยได้ยินได้ฟังเรื่องผีกระสืออยู่บ่อยๆ ที่ข้างบ้านข้าพเจ้ามียายแก่คนหนึ่งนอนเจ็บอยู่นาน ชาวบ้านเขาว่าเป็นผีกระสือตายยากนัก เพราะไม่มีลูกหลานคนใดรับน้ำลายเป็นผีกระสือต่อไป ข้าพเจ้ากลัวจนไม่กล้ากล้ำกรายเข้าไปเล่นซนในบริเวณบ้านของแก ต่อมาแกก็ตาย จะเป็นเพราะมีใครรับ เป็นทายาท หรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่จำเรื่องได้แม่นยำจึงนำมาเล่าในที่นี้ด้วย พอดีเมื่อเร็วๆ นี้ ยายแก่คนหนึ่ง เคยอยู่บ้านข้าพเจ้ามาตั้งแต่ยังสาว มาหาข้าพเจ้า จึงถือโอกาสแกถามถึงเรื่องนี้ แกบอกว่ายายแก่ ผีกระสือคนนั้นไม่มีลูกหลานรับใช้จึงต้องใช้แมวรับแทน คือเอาน้ำลายของแกป้ายแมวแกถึงได้ตาย…สนุกดี” ผู้ที่เป็นผีกระสือมักจะเป็นยายแก่มากกว่าเป็นสาวๆ เหตุที่เป็นเช่นนี้ไม่มีประวัติบอกกล่าวเล่าขานว่าเป็นเพราะอะไร
    ในบ้านนอกชนบท สมัยก่อนๆจะพบเห็นดวงไฟผีกระสือบ่อยมาก ตามชาสทุ่งชายหนอง มองเห็นดวงไฟสีเขียวๆ สว่างวาบๆ ลอยเรื่อยตามพื้นดินยอดหญ้า หากจะลอยสูงก็สูงไม่เกินศีรษะคน เคยมีผู้วิเคราะห์ว่าจะเป็นปฏิกิริยายาของแก๊สบางอย่างหรือฟอสฟอรัส และมีการพิสูจน์กันขึ้น โดยมีคนใจกล้ากลุ่มหนึ่งเมื่อเห็นดวงไฟผีกระสือสว่างวูบวาบในตอนกลางคืนจึงเดินเข้าไปหา แต่น่าประหลาดที่ดวงไฟกลับลอยหนีไปเรื่อยๆ ตามไม่ทันเสียที ทำให้ไม่สามาถอธิบายได้ว่าเป็นแก๊สทำปฏิกริยา หรือเป็นอะไรกันแน่ ผีกระสือใช่ว่าจะเป็นผีที่มีอยู่ในไทยเท่านั้น ในประเทศมาเลเซียก็มีผีกระสือเหมือนกัน เขาเรียกผีชนิดนี้ว่า "ฮันตูปีนังกาลัน" เวลาออกหากินจะเป็นดวงไฟสว่างวาบๆ ลักษณะเดียวกันผิดเพี้ยนแค่สีของดวงไฟ กระสือไทยดวงไฟเป็นสีเขียว แต่กระสือมาเลย์ดวงไฟเป็นสีเหลือง ส่วนพฤติกรรมในการออกหาของสดของคาวหรือของอาจมสกปรกเหมือนกันทุกอย่าง รวมไปถึงกลัวหนามแหลมจะเกี่ยวลำไส้เช่นเดียวกัน
    ผีกระสือมาเลย์เวลาจะถอดศีรษะไปแบบเดียวกับผีกระสือไทยจะมีผิดเพี้ยนตรงที่ว่า กระสือไทยอดอวัยวะทั้งพวง แต่กระสือมาเลย์เอาแต่ไส้ไปเท่านั้น ผีกระสือมาเลย์ออกจะดุกว่า ในกรณีชอบลกินเลือดผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ ดังนั้นเมื่อมีผู้หญิงคลอดลูก เขาจะใช้กิ่งและใบไม้หนามชนิดหนึ่งคล้ายลำเจียกของไทยมาสะมาแขวนไว้รอบๆ ที่แม่และเด็กอยู่ บางทีก็ใช้ตัวเบ็ดตกปลามาแขวนไว้รอบบ้านด้วย สำหรับเด็กหมอผีจะเจิมหน้าผากด้วยคาถาอาคมป้องกันผีกระสืออีกชั้น ผีกระสือมาเลย์หรือผีฮันตูปินังกาลันมีเรื่องเล่าไว้มากมายทีเดียว เช่น มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเขายืนยันว่าเป้นเรื่องจริง กล่าวคือ มีครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อ,แม่กับลูกชายตัวเล็กๆเวลาที่พ่อไม่อยู่บ้าน แม่จะใช้น้ำมนต์ทารอบๆคอ แล้วศีรษะกับไส้ก็จะลอยออกไปหากิน โดยมีแสงสีเหลืองสว่างวาบๆ ตรงลำไส้ และส่งเสียงชู่ๆ ไล่สัตว์อื่น ไม่ให้เข้าใกล้ขดไส้ ก่อนที่พ่อหรือสามีจะกลับเธอก็จะรีบมาถึงก่อนและต่อศีรษะติดกับร่างดังเดิม วันหนึ่งผู้เป็นพ่อออกไปเที่ยวบ้านเพื่อน แม่ก็จัดแจงเอาน้ำมนต์มาทารอบๆคอ จากนั้นศีรษะกับสำไส้ก็แยกจากตัว แล้วลอยออกไปทางหน้าต่าง เจ้าลูกชายเห็นเช่นนั้น จึงทดลองทำเลียนแบบแม่ โดยเอาน้ำมนต์มาทารอบๆคอตัวเองบ้าง ศีรษะกับลำไส้ก็หลอุลอยออกจากร่างทันที เด็กตกใจสุดขีดร้องเรียกให้คนช่วยดังลั่นว่า "ช่วยด้วย! หัวฉันหลุดจากตัวแล้ว" ชาวบ้านได้ยินกันทั่วแต่ไม่กล้าเข้าไปช่วย กระทั่งหัวของแม่รีบลอยวูบๆ กลับมา
    ต่อจากนั้นครอบครัวนี้ก็อพยพไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากอับอายที่ความลับของตนถูกเปิดเผย...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×