เรื่องจิงจากชิวิตของชายคนนึง - เรื่องจิงจากชิวิตของชายคนนึง นิยาย เรื่องจิงจากชิวิตของชายคนนึง : Dek-D.com - Writer

    เรื่องจิงจากชิวิตของชายคนนึง

    อันนี้และครับได้อ่านกันตาระบมแน่ปล.เศร้าสุดๆ

    ผู้เข้าชมรวม

    555

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    555

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 พ.ค. 50 / 18:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ระวังเสียสายตานะครับ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทที่ 1 ประถมอันเลือนลาง

      สมัยที่ผมเป็นยังเป็นเด็ก ได้ถูกสอนมาเรื่อยๆว่า

      ผู้หญิงนั้นเป็นเพศแม่ เราไม่ควรไปลบหลู่ หรือดูถูกเค้า

      อาจเป็นเพราะว่า บ้านผมมีผู้หญิงเยอะมากกว่าผู้ชายอยู่

      หลายคน ทำให้ คำสอนนั้น เป็นคำสอนที่ฮิตที่สุดในบ้านของผม

      เอาละ เข้าเรื่องกันดีกว่า เกริ่นนำแค่นั้นพอหล่ะ หะหะ


      เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ในระดับประถมศึกษา ผมได้

      แอบชอบ เน้นนะครับว่า แอบชอบ เท่านั้น มันอาจจะดูแก่แดดไปหน่อย

      สำหรับใครบางคน แต่เป็นเรื่องจริงสำหรับผมแน่นอน(ก้อแหง่หล่ะสิ ตัวผมเองนี่น้า)

      ตอนแรกผมก้อไม่รุ้หรอกว่า มันเป็น การ ชอบ การ หลงรัก จนเมื่อมาถึงวันสุดท้ายของ

      ป.6 (โรงเรียนผมมีแค่ระดับชั้น อนุบาล-ป.6 เท่านั้นครับ) เป็นวันสอบ ตอนเช้าก็เข้าแถวกัน

      ตามปกติ ร้องเพลงชาติ พอร้องจบ ครูใหญ่(ใครช่วยบอกหน่อยได้ไหม ทำไมตอนประถม

      เรียก ครู พอมัธยม เรียก อาจารย์) ก็ออกมาพูดแสดงความยินดี ถึงระดับชั้น ป.6 และได้ร้อง

      เพลง โรงเรียน ผมก็ยังคงยืนร้องเพลง โรงเรียน ตามปกติ แต่ที่ แปลกไปจากเวลาอื่นคือ

      สายตาผม ได้แต่ จับจ้อง หญิงสาวคนนึง หญิงสาว ที่ผมแอบชอบ แอบรัก โดยที่เค้าไม่รู้

      ตัวเลยสักน้อย สักพัก น้ำตาก็เริ่มไหล อ่ะ ไม่ใช่น้ำตาผมนะ น้ำตาเพื่อนข้างๆผม - - มันก็เข้า

      มากอดผม !! เห้ย อย่าอิจฉาผมนะ เพราะมันเป็นผู้ชาย (เอ๊ะ หรือจะมีคนอิจฉา) ผมมองหน้า

      มัน มันยังไม่หยุด มีหลายคนมากที่ร้องไห้ แต่ทำไม ผมรู้สึกเฉยๆก็ไม่รู้ จนคนที่ผมหลงรัก

      เริ่มมีน้ำตาไหลรินลงมาข้างแก้มที่ขาวใส ดูสะอาด และเธอคนนั้น ก็เริ่มกอดกับเพื่อนสาวของ

      เธอที่อยู่ข้างๆ เวลานั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความยินดี แต่!! ทำไม ผมถึงกลับไม่

      รู้สึกอะไรเลย ในความรู้สึกผมตอนนั้น มันก็เหมือนวันๆนึง เท่านั้นเอง จนมาถึง ชั่วโมงสอบ

      วิชาสุดท้าย พอสอบเสร็จ ต่างคนต่างแลกกันเซ็นต์เฟรนชิบ โดยที่ครูประจำชั้นยังนั่งมอง

      นักเรียนที่แสนน่ารัก ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ตอนนั้น ผมนั่งมองเพื่อนในห้อง

      กำลังแลกเฟรนชิพกัน สักพักก็มีเสียงนึงเรียกขึ้นมา เธอคนนั้น นั่นเอง !!

      เค้ามาให้ผมเซนต์ เฟรนชิพให้ ผมก็เซนต์ไปโดยที่เนื้อความที่ผมเซนต์ไปมีดังนี้


      To…. เธอคนนั้น

      เราดีใจนะ ที่ได้มาเจอเธอ และได้อยู่ชั้นเดียวกับเธอ ยังไง ก็ขอให้โชคดีนะ

      From
      คนที่แอบมอง


      สั้นมากๆ ผมจำได้ แม่น และมั่นใจ ว่า ในเฟรนชิพนั้น เนื้อความแบบนี้ หลังจากนั้น สักพัก

      ผมก็ไปไหว้ครู แล้วก็เดินกลับบ้าน คนเดียว ถือกระเป๋าใบใหญ่ๆ อีกมือถือปิ่นโต พะรุงพะรัง

      มากๆ และพอกลับมาถึงบ้าน หวัดดีพ่อแม่ และ ญาติๆ จนครบ เค้ามารวมญาติกันเพราะจะ

      พาผมไปฉลองเรียนจบชั้นประถม แต่ ตอนนั้น ทำไมความรู้สึกผม ถึงไม่มีความรู้สึกยินดี ใน

      จิตใจเลย กลับเป็นความกระวนกระวายใจ ที่จะไม่ได้เจอเธอคนนั้น !! ผมก็ขึ้นมาอยู่บนห้อง

      นั่งบนเตียง โยนกระเป๋า ถอดถุงเท้า ผมเปิดกระเป๋า หยิบเฟรนชิพ ของผมขึ้นมา ... แต่

      มันเป็นเฟรนชิพ ที่ ไม่มี ลายเซนของเธอคนนั้น ผมไม่กล้าให้เธอคนนั้น อ่าน เรื่องราวเกี่ยวกับ

      ตัวผม ไม่ต้องการให้รู้ว่าผมคิดอะไร ผมเลยไม่ให้เธอเซน ผมเปิดทีละหน้า อ่านของเพื่อนๆที

      ละคน อ่านไปสักพัก น้ำตาเริ่มคลอ ชีวิต วัยประถม กำลังจะจบแล้วหรือนี้!! พอขึ้น ม.1 เรา

      จะเจออะไรมั้ง!! สักพัก น้ำตาไหล ลงมาเป็นทางยาวอาบแก้มของผม ตอนนั้นในหัวผมมีแต่

      เสียงนึงที่พูดออกมาว่า จะไม่ได้เจอเธอคนนั้น แล้วใช่มั้ย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ วนเวียนไป มา จนผม

      หลับไป



      และนั้น คือ เหตการณ์ที่ทำให้ผมได้รู้จัก คำว่า เสียดาย ที่ไม่รีบทำอะไรลงไป ก่อนที่จะไม่มี

      โอกาสจะได้ทำ จนถึงตอนนี้ ถ้าย้อนเวลาได้ ผมคงจะบอกเธอคนนั้น ไป ถึงแหม่ ผลลัพธ์ จะ

      ออกมาแบบไหนก็ตาม หะหะ ต่อๆ



      บทที่ 2 มัธยมแห่งความไม่แน่นอน

      ผมได้สอบเข้า ม.1 ที่ รร ชายล้วน อันดับ 1 ของฝั่งธนฯ ที่บ้านภูมิใจมากครับ

      ถึงแม้ว่าจะติดเป็นตัวสำรองอันดับที่ 160 ก็เหอะ หะหะ ชีวิตผมตอนช่วง ม ต้น เป็น

      ชีวิต ที่ผมจะพูดว่าเป็นช่วงชีวิตที่ ดี – ดีมาก เลยก็ได้ เพราะมันเป็นชิวิตที่ เพอเฟค และ

      อบอุ่น สุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการคบเพื่อน ที่ผมได้กลุ่มเพื่อนที่ดีมากๆ ทั้งเรื่องเรียน เล่น และ

      ความเข้าใจกัน (ไม่ใช่ความรักนะคับ อย่าลืมๆ ชายล้วนๆ) จนมาถึงช่วง ม.3 เป็นช่วงที่ต้อง

      เลือกสายที่เราจะเรียนต่อ เกรดของกลุ่มเราแต่ละคนไม่มีใครต่ำกว่า 3 เลยคับ เป็นความ

      ภูมิใจ ของ อาจารย์ประจำชั้น (เห็นม่ะ เปลี่ยนเปง อาจารย์หล่ะ) ที่จะให้กลุ่มเราทุกคนเลือก

      เรียนในสาย วิทย์-คณิต อาจารย์ให้ใบมาเพื่อจะกรอกว่าเราจะเรียนต่อในสายอะไรครับ ผม

      กลับมาที่บ้าน ตอนนั้น ช่วงปี 98 พอดี บอลโลกที่ ฝรั่งเศสเป็นแชมป์ครับ ผมนั่งคิด

      ประมาณ 5 นาที และกรอกลงไปว่า จะเรียนต่อในสาย “ ศิลป์-ภาษาฝรั่งเศส “ ครับ ที่บ้าน

      ผมใจดีมากๆครับ ยอมรับในการตัดสินใจของผม และวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปยื่นใบนี้กับอาจารย์

      อาจารย์แปลกใจมากครับ แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ผมจะเรียนสายนี้แน่นอน อาจารย์ก็โอ

      เคคับ แต่ เพื่อนผมในกลุ่มทุกคนเลือกไปทางสาย วิทย์-คณิต หมดเลย ผมต้องหาเพื่อนใหม่

      อีกแล้วหล่ะสิ !! ก็ไม่เป็นไรครับ ทำใจ เลือกทางที่เราชอบดีกว่า จะได้ออกมาดี


      ขึ้น ม.4 หล่ะครับ ชีวิต ม. ปลาย ที่ สนุกสนานของใครหลายๆคน

      แต่ผมคิดว่า คงไม่มีชีวิตใคร สับสนได้เท่าชีวิตผม

      ม.4 เทอม 1 เป็นช่วงเวลาที่แย่ แต่ยังไม่แย่ที่สุดสำหรับ ผมหรอกครับ

      พ่อแม่ผม เลิกกัน ท่านทั้งสองคน ต่างย้ายไปอยู่ที่อื่น ทำให้ที่บ้านผม เหลือ

      เพียงแค่ ผม กับ ป้า และ น้า เท่านั้น (แต่ผมเรียกป้ากับน้าผมว่า อาโกว นะ แหะๆ พอดีเปง

      ลูกคนจีนอ่า) ยังไม่เท่าไรครับ ผมยังคงใจแข็ง อาจเป็นเพราะว่า เริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็น

      ผู้ใหญ่ ทำให้ชีวิตยังไม่ออกนอกลู่นอกทาง พอมา ม.4 เทอม 2 ผมเริ่มติดเกม ออนไลน์ เกม

      นึง ยอมรับครับ ว่า นิสัยไม่ดีเลย (นู๋ๆไม่ควรเอาอย่างนะคับ) โดดเรียนไปเล่นเกม บ่อย

      มากๆ ประมาณว่า เดือนนึง เรียน 4 สัปดาห์ ผมโดดไป 2 สัปดาห์อ่ะคับ จนโดนเชิญผู้

      ปกครอง ป้าผมก็เลยมาที่ โรงเรียน มาคุยกับอาจารย์เรื่องที่ พ่อแม่ ผมแยกกัน โดยที่ผม ยืน

      รออยู่หน้าห้อง สักพัก อาโกว ก็ออกมาแล้วพาผมกลับบ้าน พอมาถึงบ้าน ท่านบอกว่า จะให้

      ผมไปอยู่กับ พ่อ ซึ่งตอนนั้น พ่อผม อยุ่กับแฟนใหม่ของเค้า ผมก็ไม่ไปครับ หนีออกจากบ้าน

      เลย ทั้งชุดนักเรียนนั้นหล่ะ ไม่ได้พกอะไรไปเลย สถานที่ไปนะครับ !! บ้านเพื่อนผมที่อยู่

      แถวนั้น หะหะ ก็นั่งคุยกับเพื่อนผมคับ เค้าก็บอกให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ คุยกับอาโกวผมดีๆ เพื่อน

      ผมคนนี้นิสัยดีมากครับ รุ้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ประถม หลังจากนั้น อาโกว ก็มาตามผมกลับ

      บ้าน ผมก็กลับ แล้วบอกกับอาโกวผมว่า จะไม่โดดเรียนอีกแล้ว จะเลิกติดเกม แต่ผมจะอยู่

      บ้านหลังนี้ต่อไป ซึ่ง ผมทำได้จริงๆคับ ด้วยการ เปลี่ยนพาสเวิด ของไอดีเกมนั้น โดยที่ใส่

      พาสเวิดใหม่ ด้วยการ กด คีย์บอร์ดมั่วๆไปเลยครับ รวมทั้งพาสเวิดเมลล์ที่ใช้สมัครด้วย

      (ลองเอาไปใช้ได้นะ ไม่ว่ากัน ^^) ผมกลับมาตั้งใจเรียน


      จนถึง ม.5 เทอม 1 เกรดขึ้น กระฉูดครับ ช่วงนั้น ผมก็มาติดอีกเกมแทน ฮา~~

      เกมนี้ เป็นเกมที่ บอทเยอะที่สุดใน ประเทศไทย เลยก็ว่าได้

      ผมว่าเพื่อนๆรู้อ่ะ เอิ้กๆ แต่ ผมจัดระเบียบเวลาเล่นเกมอย่างดีแล้ว ครับตอนนั้น

      พอมาถึง ม.5 เทอม 2 ผมมีปัญหากับทางบ้านอีกแล้ว คือพ่อกับแม่ ในที่สุด

      ท่านทั้งสอง ตกลงที่ จะหย่ากัน โดยที่ ท่านมาถามผมก่อน ผมก็ตอบท่านไปว่า ยังไงก็ได้

      ทั้งๆที่ในใจ มันรู้สึกแย่มากๆ (ไม่ได้อ่อนแอนะครับ แต่ถ้าใครไม่โดนแบบนี้ก็คงไม่รู้หรอก)

      ก็โอเคคับ ท่านทั้งสองคน หย่ากันเป็นทางการเรียบร้อย ตอนนั้นผมรู้สึกกลายเป็นคนมอง

      โลกในแหง่ร้ายไปเลย จนผมมีเรื่องกับอาจารย์ผู้ชายท่านนึงจนได้ ตอนนั้น ผมไว้ผม(เส้น

      ผม)ยาว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า อาจารย์ท่านอารมณ์เสียมาจากที่ไหนมาก่อนหรือป่าว มาถึง

      ก็กระชากเส้นผมของผม ไป ด่าๆๆๆๆๆ แล้วเอากรรไกรมาตัด อารมณ์ผมขึ้นเลยครับ โกรธ

      มากๆ (ต้องเข้าใจครับ วัยรุ่นๆ) ซัดเปรี้ยงเข้าไปที่หน้าอาจารย์ แว่นหลุดเลย ....

      ( -/\- ขอโทษครับ อาจารย์)

      แน่นอนครับ ใบแดงคับ ไล่ออก!! อ่ะ ไม่สิ โดนเชิญออกครับ อาโกวผมเสียใจมาก

      ผมก็เสียใจครับ อารมณ์ชั่ววูบจริงๆ หลังจากโดนเชิญออก

      และก็ได้รับ ทรานสคริป ชั้น ม.5 เทอม 1 มา เกรด อย่างหรูครับ แต่ผมกลับต้องใช้ใบนี้

      ไปสมัครเรียน กศน. เพื่อจะให้จบ ม.ปลาย รู้สึกเสียใจมากๆครับ

      แต่ตอนนั้น ผมก็ยังติดเกมนั้นอยู่นะ ที่บอทเยอะๆอ่ะ หะหะ จนได้รู้จักกับเธอคนนึง !!


      จะเข้าเรื่องหล่ะๆ รอแปบๆ

      ผมก็เล่นเกมนี้กับเธอคนนั้นครับ เธอเล่นพรีซ ผมเล่นฮันเตอร์ อ่ะ เกมไรว้า คริคริ ไปด้วยกัน

      ตลอดครับ จนขอเมลล์เธอมาคุย msn ก็คุยกับไปเรื่อยๆ จนนัดเจอกัน ก่อนที่ผมจะไป

      เอนทรานซ์ เราก็ได้เจอกันครับ เธอ.... น่ารักมาก ตัวเล็กๆ สูง 155 เอง ใครที่เคยคุยกับผม

      ใน msn คงเคยเห็นรูปของเธอคนนั้นแล้ว เป็นครั้งแรกครับ ที่ผมนัดเจอคนที่ไม่เคยเห็นหน้า

      มาก่อน เรานัดกันที่ประตูทางเข้าห้าง ผมเห็นเธอเดินมาแต่ไกล ( ที่ผมรู้เพราะเธอบอกว่าเธอ

      ใส่เสื้อลายอะไรมา ) ผมแกล้งเดินสวนครับ ตื่นเต้นมากๆครับ และในที่สุด เสียงโทรศัพท์ผม

      ก็ดังขึ้น ผมรับ เธอบอกว่ามาถึงแล้ว แต่ผมตอบกลับไปว่า รอสักพัก ผมใกล้ถึงแล้ว (ทั้งๆที่

      ผมมาถึงประมาณ 10 นาทีแล้ว) ผมเข้าไปทักเธอ บรรยากาศ มาคุ เข้าควบคุม ฉับพลัน

      เงียบครับ เงียบทั้งคู่เลย จนในที่สุด เธอก็พูดออกมา เราจะกินอะไรกันดี ผมก็บอกให้เธอเป็น

      คนเลือกครับ และสุดท้าย เราสองคนก้อมาจบลงที่ร้าน บาบีคิว พลาซ่า ก็นั่งกินไป

      บรรยากาศเริ่มดีขึ้นแล้วครับ เราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ จนผมรวบรวมความกล้าออกไปถามว่า

      "แล้วตกลง เรายังจะเป็นแฟนกันอยู่มั้ย...." มาคุเข้าควบคุมสถานการณ์อีกแล้วครับ เงียบ~~

      เธอก็ถามกลับมาว่า "แล้วผมอยากให้เป็นต่อมั้ยหล่ะ" ผมรีบตอบเลยครับ "เป็นสิ" ( เราตกลง

      เป็นแฟนกันในเกมอ่ะครับ ก่อนที่จะเจอกัน หะหะ ) หลังจากนั้น ผมก็ไปส่งเธอขึ้นรถกลับ

      บ้านครับ วันนั้น เห็นอะไรก็เป็นสีชมพูครับ เป็นวันแรกในชีวิต ที่ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตน จิงๆ

      แบบคนอื่นสักที คืนนั้นเราโทรคุยกันประมาณ 2 ชั่วโมงครับ เยอะมากๆ โชคดีที่ใช้ pct



      บทที่ 3 มหาลัยกับความทรงจำในอดีต

      ขึ้นปี 1 เราคบกันมาเรื่อยๆคับ เล่นเกมด้วยกันไปเที่ยวด้วยกัน แล้วมีวันนึง กิลด์เรานัดมีทติ้ง

      ครับ แต่ผมติดเรียน (ตอนนั้นเอนท์ไม่ติดครับ เข้ามหาลัยเอกชนแห่งนึง) เธอคนนั้นก็ไปครับ

      หลังจากกลับมาบ้านผมก็โทรคุยตามปกติ จนมาวันนึง เพื่อนผมในเกมครับ ที่ไปมีทติ้ง เค้า

      ก็มาคุยกับผม ว่า"เค้าชอบเธอคนนั้น" (เพื่อนคนนี้ ไม่รู้ว่าผมกับเธอคนนั้นเป้นแฟนกันครับ) ผม

      ก็ถามว่า ทำไมถึงชอบหล่ะ เพื่อนผมก็บอกว่า น่ารักดี แค่นั้นเอง ผมก็ ไม่บอกอะไรครับ หลัง

      จากนั้น ผมกับเธอคนนั้น ก็คบกัน จนช่วงปิดเทอม เค้าบอกว่า ต้องไปซ้อมลีดที่ รร อ่อ เค้า

      เด็กกว่าผม ปึนึงครับ ลืมบอกๆ ผมก็ไม่ว่าอะไร จนเพื่อนผมอีกคนในเกมโทรมาบอกผมว่า

      วันนี้เค้านัดมีทติ้งกัน ทำไมไม่ไปหล่ะ ผมก็ งง อ้าว นัดเมื่อไร เพื่อนผมก็บอก รายละเอียด

      ทั้งหมด ปรากฏว่า หลังจากที่ผมโทรเชค จากเพื่อนๆในกิลทั้งหมดก็ได้รู้ว่า เธอคนนั้น ไป

      กับเพื่อนผม สองต่อสอง!! ผมรู้สึกโกรธมากๆเลยครับ แต่ยังระงับอารมณ์อยู่ เพราะเหตุการณ์

      ตอน ม.5 ทำให้ผมใจเย็นขึ้นเยอะ พอตกเย็น เธอคนนั้น ก็โทรมา ผมก็ลองใจถามไปว่า ซ้อม

      ลีด เป็นยังไงมั้ง เธอตอบว่า ก็ดี เหนื่อย ปวดขาด้วย ช่วงจังหวะนั้น สติผมจะขาดแล้วครับ

      น้ำตาเริ่มไหลออกมาเป็นทาง แน่นหน้าอก เจ็บใจมากๆครับ และผมก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียง

      เรียบๆอีกว่า "เที่ยวกับคนนั้น สนุกมั้ย ..." เธอเงียบครับ แล้วก็ถามว่า ผมรู้ได้ไง ผมเงียบครับ

      เธอพูดออกมาว่า ขอโทษนะ ผมตอบไปว่า ไม่เป็นไร ทั้งๆที่ความรู้สึกผมมันไม่ใช่เลย หลัง

      จากนั้น เราสองคน ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ผมเปลี่ยนเมลล์ เปลี่ยนเบอร์ จนมาถึง ช่วง ปี

      1 เทอม 2 ได้ข่าวจากเพื่อนในเกมว่า เธอไปคบกันเพื่อนของผมแล้ว ตอนนั้น สำหรับผม แย่

      ไปหมดเลยคับ รู้สึกแย่มากๆ วันๆผมได้แต่เรียน กลับมา อยู่บ้าน ดูทีวี ถึง ตี 2 – 3 ถึงจะ

      นอนอ่ะครับ มันนอนไม่หลับเลย พอหลับตาลง มันก็พาแต่นึกถึงตอนที่เราคบกัน ผมรักแฟน

      คนนี้มากๆครับ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเค้าเห็นคนนั้นดีกว่า เค้าก็ไปจากผม ผมก็

      พยายามคิดเรื่องอื่น แต่สุดท้ายก็วนเข้ามาเรื่องนี้จนได้อยู่ดี เพลงผมฟังไม่ได้เลย มันพาลนึก

      ถึงแต่เรื่องของเธอคนนั้น


      โอเคคับ ในที่สุด ผมก้อ ซิ่ว 555 มา มหาลัยแถวบ้าน เนื่องจาก ตอนนั้น เป็นช่วงหมดอาลัย

      ตายอยาก จิงๆ เริ่มดีขึ้นแล้วครับ ก็เข้ามาเรียนที่นี้ โดนรับน้องสนุกสนานครับ ไม่โหด รุ่นพี่

      ใจดี ^^ และในที่สุด ผมก็ได้รับเลือกเป็นคนนำบูม >.</ ภูมิใจๆ เพราะว่า เพื่อนมันไม่ออก

      ผมโดนถีบออกไปกลางวง นำบูม แล้วรุ่งคับ เลยได้รับเลือก พอจบเทศกาลรับน้อง ก็เข้ามา

      เทศกาล กีฬามหาลัยครับ ผมลง ฟุตบอลไปคับ ตอนนั้น ผมก็แอบปิ้งๆคับ เธอคนนั้น แอบ

      มองอีกแล้ว!! หะหะ จนมาวันนึง นั่งเล่นกับเพื่อนในกลุ่ม อยู่ที่ซุ้มเอก ครับ เพื่อนมันก็ช่างหา

      หัวข้อสะเทือนใจจิงๆ หัวข้อของมันคือ ..”ชอบผู้หญิงคนไหนอยู่วะ” หะหะ โดนเลยคับ

      แต่ละคนก็ตอบไปๆ จนวนมาถึงผม ผมก็ไม่ตอบครับ เดินออกมา บอกว่าจะไปหาอะไรกิน

      จนเดินมาถึงหน้าซุ้ม เธอคนนั้นที่ผมชอบนั่งอยู่ครับ เพื่อนที่อยู่หลังช้างในซุ้มมันก็

      ตะโกนออกมาบอกว่า “เห้ย อย่าลูกหมาดิ คนอื่นเค้าบอกกันหมดแล้ว “ เอาหล่ะครับ

      อารมณ์ขึ้นเลยคับ โดนด่าลูกหมา ผมก็เอาเลย เสนอมา ต้องสนอง ชี้ไปที่เธอคนที่ผมแอบ

      ชอบ แล้วตะโกนไปบอกเพื่อนที่อยู่ข้างในซุ้มว่า “ เนี้ย ชอบคนเนี้ย “ โอ้โห... ทั้งซุ้มครับ

      รุ่นพี่ ปี 2 3 4 มองกันเป็นตาเดียว ดังคับ ดังเลย งานนี้ !! ห้าห้า จากนั้นก็เดินออกไปซื้อ

      ของกินคับ พอตกเย็น กำลังจะกลับบ้าน เดินไปเจอเธอคนนั้นพอดี เอาหล่ะคับ ไหนๆเมื่อ

      กลางวันก็หน้าด้านแล้ว ตอนเย็นอีกนิดจะเป็นไร ขอเบอร์ครับ ขอเบอร์เลย ได้ด้วย !! เหมือน

      เดิมครับ โทรคุยคืนแรก 2 ชม เปงอย่างต่ำ หะหะ จากนั้น ก็ได้รู้ครับ ว่าเธอคนนี้ ลง

      วอลเล่ย์ สนามซ้อมใกล้ๆกันครับ จากนั้น พอผมซ้อม บอลเสด เธอคนนี้ก็จะมานั่งรอ

      กลับบ้าน โหย สุดๆคับ เพื่อนๆอิจฉากันใหญ่ โดนล้อตลอด แฟนมารับแล้วๆ บางวันก็แม่มา

      รับแล้วๆ (นี้หล่ะครับเหตุผลที่ผมเรียกแม่ รู้กันหรือยังคับ คนที่ไปมีทติ้ง vol. 1) จนหลังจาก

      ที่ โทรคุยกันได้ประมาณ 2 สัปดาห์ วันนั้นผมก็ไปส่งเธอเหมือนเดิม จนตอนที่เธอจะเดินไป

      ต่อรถ กลับบ้านของเธอ ผมก็รวบรวมความกล้า ถามเธอออกไปว่า "เรามาเป็นแฟนกันนะ...."

      เธอก็ตอบมาว่า ไม่เป็น (แต่ทำหน้าทะเล้นใส่นะครับ) จนผมต้องพูดว่า โอเค เราเป็นแฟนกัน

      แหละ เธอก็ทำหน้าดุๆใส่ผม ผมก็บอกว่า ก็คนอื่นเค้าเข้าใจกันว่าเราเป็นแฟนกันแล้ว ก็ทำ

      ข่าวลือ ให้เป็นเรื่องจริงสิ แล้วผมก็ทำหน้าทะเล้นใส่เธอมั้ง ก็โอเคคับ หลังจากวันนั้นมา

      เราก็เป็นแฟนกัน เราก็คบกันมาเรื่อยๆคับ จนมาวันนึง ผม ออน msn แล้วมีคนแอดมา

      ยังไม่ใส่ใจเท่าไรครับ จนเค้าทักมา แล้วทำให้ผมรู้ว่า เค้าคนนั้นคือแฟนเก่าผม ....

      ความ ทรงจำในอดีต ย้อนกลับมาเล่นงาน ผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ความคิดต่างๆนาๆ ทะลักเข้ามาใน

      หัวผมอย่างรวดเร็ว บล็อก ดีลีท ดีมั้ย ทำไงดีๆๆๆๆๆ ผมก็ถามแฟนเก่าผมไปว่า เอาเมลล์มา

      จากไหน เธอก็บอกเอามาจาก เพื่อนในเกม ผมนั้นเอง ผมก็ สงบสติอารมณ์สักพัก ก่อนจะเริ่ม

      คุยกับตัวเองว่า ตอนนี้เรามีแฟนอยู่แล้วนะ อีกอย่างเค้าก็มีแฟนแล้วนะ คงจะเป็นเพื่อนกันได้

      ท่องไว้ๆ เพื่อน เท่า นั้น เพื่อน เท่า นั้น ก็โอเคคับ คุยแบบเพื่อน หลังจากนั้น ผมก็ใช้ชีวิต

      ตามปกติ เด็กปี 2 ครับ เจอหน้าแฟนคนนี้ทุกวันที่ไปเรียน เพราะเรียนอยุ่ห้องเดียวกัน

      บ้านอยู่ใกล้กัน อยากเจอก็โทรหา เธอน่ารักนะครับ ในสายตาผม แต่น่ารักในสายตาคนอื่น

      ป่าวผมไม่รู้ ( ต้องถามคนที่ไปงาน มีทติ้ง vol.1 ครับ ) แล้วก็มีวันนึง แฟนเก่า ผมมาปรึกษา

      เรื่องแฟนเค้า(ซึ้งก็คือเพื่อน”เก่า” ผมนั้นเอง) เค้าทะเลาะกันคับ จะเลิกกัน ก็ให้คำปรึกษาเค้า

      ไปแบบเป็นกลางนะครับ แต่ก่อนที่เค้าจะ ออฟไลน์ ผมบอกเค้าไปว่า "ยังเป็นไปได้ไหม ถ้า

      เราจะกลับมาคบกันใหม่" เค้าบอกกลับมาว่า ไม่รู้สิ เรื่องของอนาคต ผมเลวใช่มั้ยคับ!! ผมมี

      แฟนอยุ่แล้ว แต่ยังคิดอะไรแบบนั้นออกไป !! ผมเลวมากๆใช่มั้ยคับ T-T ผมนอนไม่หลับเลย

      ครับ คืนนั้น ผมพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไง


      จนมาวันเวลาผ่านไป

      ผมเจอเค้าใน msn อีกครั้ง เค้าเลิกกับแฟนคนนั้นแล้วครับ แล้วเค้าก็ทิ้งเบอร์ไว้ให้ผมก่อนที่เค้า

      จะ ออฟไลน์ ไป จนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมมานั่งพิมพ์ fiction ให้คนอื่นได้อ่าน ผมยังไม่ปิดหน้า

      msn ที่เค้าทิ้งเบอร์ไว้ให้ผมเลยครับ ผมไม่อยากเมม ไม่อยากจด แต่ก็ไม่กล้าปิด เพราะ

      กัวเบอร์จะหายไป อย่าพูดว่า มี chat log ครับ เพราะผมคงไม่เข้าไปดู ถ้าผมปิดหน้า msn

      นี้ไป มันเป็นการตัดสินใจอ่ะครับ ผมควรทำไงดี T-T




      บทที่ 4 ท่วงทำนองสู่การตัดสินใจ

      ในที่สุด ผมก็ได้ตัดสินใจลงไปด้วยการ ปิดหน้าต่าง msn ลงไป

      และล้มตัวนอนลงบนเตียง ใจนึงก็นึกเสียดายอดีตที่เคยมีมา อีกใจก็รู้สึกดีใจที่เราเลือกที่จะ

      ก้าวเดินต่อไป หลังจากคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตาผมก็ค่อยๆหลับลง จนในที่สุดผมก็หลับไป

      ในคืนนั้นผมฝัน ฝันเห็นเธอคนนั้น เธอคนที่เคยเป็นแฟนคนแรกของผม คนที่เคยเป็นทุกสิ่ง

      ทุกอย่าง ในความฝันมันเลวร้ายยิ่งนัก มันเป็นฉากเหมือนเรากำลังเดินเล่นกันอยู่ที่สวน

      สาธารณะแถวบ้าน และในขณะที่ผมกำลังจะจับมือเธอ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผมก็ไม่

      สามารถที่จะจับมือเธอได้สักที เธอซึ่งอยู่ห่างกับผมเพียงแค่ไม่ถึงเมตร และผมก็ตื่นขึ้นมา

      ด้วยเสียงโทรศัพท์ มีคนโทรเข้า หลังจากที่ ขยี้ตา อย่างพอประมาณ ก็กดรับ ผมนึกว่าแฟน

      ผมแน่นอน เพราะปกติ เธอคนเป็นมาปลุกผมทุกเช้าอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ครับ เป็นรุ่นพี่ของผม

      ซึ่งวันนี้ผมนัดที่จะไปเอาซีดีอนิเมะ และไปนั่งคุยกัน ผมนั่งคุยกับพี่คนนี้สักพักนึง พี่เค้าได้เล่า

      เรื่องของพี่เค้าให้ผมฟังมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เค้าเคยแอบรักคนๆนึง แต่ถึงอย่างไร

      ก็ไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ไม่ใช่ ไม่อยากติดต่อนะครับ แต่ผู้หญิงคนนั้นเค้าย้ายบ้านไป โดยที่ไม่

      ได้ทิ้งที่อยู่ที่ผู้หญิงคนนั้นย้ายไป เข้าเรื่องๆ หลังจากที่ผมกลับมาถึงบ้าน ผมก็มาเปิดคอมพ์

      นั่งเล่น เนท เหมือนเคย และผมก็ ออน msn แต่ ตั้ง busy ไว้ครับ (โรคจิตเนอะ) ผมก็เล่น

      อะไรไปเรื่อยๆ เชคเมลล์ ดูเวปข่าว ฟังเพลง เล่นเกม จนในที่สุด หลังจากที่ผมเล่นดอทเอ

      เสด ก็ออกมาที่หน้าวินโดว เห็นมีคนทักมาจาก msn แต่ คนนั้น ออฟไลน์ไปแล้ว ผมก็ลอง

      เปิดดูข้อความที่เค้าพิมพ์ไว้ ปรากฏว่าเป็นแฟนเก่าผมเองครับ เธอทักมา ก็ทักมาเรื่อยๆ ถาม

      ว่าไม่อยู่หรอ ทักหลายครั้งมากๆ จนถึงประโยคสุดท้าย เค้าพิมพ์ไว้ว่า " ยังรอโทรศัพท์อยู่

      นะ " หลังจากที่ผมเห็นประโยคนี้ ผมก็อึ้งครับ... นิ่งสักพัก ในใจเริ่มสับสน เราจะไปเปิด

      chat log เพื่อที่จะเอาเบอร์แฟนเก่าผมมาแล้ว โทรไปดีมั้ย หรือยังไงดี เราควรจะโทรไป

      บอกว่า อย่าติดต่อกันอีกดีมั้ย ความคิดต่างๆนาๆ เข้ามาในหัวผมอย่างรวดเร็ว จนในที่สุด


      ผมก็ได้ทำการเปิด chat log และ รีบโทรไปหาเธอคนนั้น ตู๊ดดดด..... ตุ๊ดดด...

      กระเทยย.... เกย์ ..... ( มุขครับ ถึงไม่ฮาก้อจะเล่น ) ผมคิดไว้แล้วครับ ว่าพอเธอรับ

      แล้วผมจะพูดอะไรมั้ง ผมคิดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่พอเธอคนนั้นรับ ในหัวผมกลับขาวโพลน นึก

      อะไรไม่ออก ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เตรียมจะพูดมา ได้แต่พูดคำว่า หวัดดี แล้วก็เงียบ โดยที่

      ปล่อยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนพูดเสียมากกว่า จนเธอพูดออกมาว่า " ขอโทษนะ แต่ตอนนี้ เรารู้

      แล้วหล่ะ ว่าเราควรอยู่กับใคร " อึ้งครับ เงียบ ประโยคนี้ มันทำให้ผมคิดมาก คิดไปว่า เค้า

      กำลังว่าเราอยุ่หรือป่าว เค้าพูดแบบนี้แสดงว่า เค้าอยากไปอยู่กับแฟนของเค้า หรือ ว่าเค้า

      อยากรู้กับเรา(คิดมากเนอะ) ผมก็ตอบกลับไปแบบทีเล่นทีจิงว่า " หะหะ แล้วอยากอยู่

      กับใครหล่ะ " เงียบครับ เงียบเลย เราสองคนเงียบกันไปประมาณ 10 นาที ก่อนที่ผมจะ

      ลองพูดออกไปเช็คว่า สายไม่ได้หลุดนะ แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกัน ผมโดนที่บ้านผมเรียก

      ไปทำงานบ้าน ผมเลยต้องขอตัววางโทรศัพท์ก่อน ก่อนที่ผมจะวาง เค้าได้พูดมาว่า

      " เราขอโทรไปหาเธอมั้งได้ไหม " ตั้งแต่ที่ผมคบกับเค้ามาจนเลิกกัน ผมเป็นฝ่ายโทรไปหา

      เธอมาตลอดคับ พอได้ฟังประโยคนี้ ผมเริ่มรู้สึกดีใจ ปนกับความกลัวใจตัวเอง จะทรยศต่อ

      แฟนคนปัจจุบันของผม ผมเลยพูดไปว่า " อืม ได้ แต่ ไม่ รู้ จะ ได้ คุย หรือ ป่าว นะ "

      เล่นตัวครับ เล่นตัวชะมัดเลย หลังจากนั้นเราก็วางโทรศัพท์ ผมก็ไปทำงานบ้านของผม

      โดยที่ในใจนึกแต่ว่า ถ้าเธอคนนั้นโทรมาจิงๆ จะทำไงดี จะรับแล้วคุยดีมั้ย หรือจะตัดสาย

      หรือจะ บลา บลา บลา.. ความคิดออกมาเรื่อยๆคับ จนถึงขั้น ที่ผมคิดจะเปลี่ยนเบอร์อีกครั้งเลยหล่ะ


      พอตกดึก แฟนผมก็โทรมา ผมก็คุยๆกับเธอเหมือนเช่นเคย เราก็คุยเรื่อยเปื่อย

      กันมาตลอด แต่ในหัวผมนึกแต่เรื่องของแฟนเก่า ว่าควรจะบอกเธอดีมั้ย จนผมเริ่มเงียบ

      เพื่อใช้ความคิด เธอจับผิดผมได้ครับ เพราะปกติ ผมไม่ใช่คนเงียบ และผมก็ตัดสินใจ บอก

      ทุกอย่างกับเธอออกไป เล่าทุกอย่าง ตั้งแต่ อดีต จนถึงปัจจุบัน เธอก็รับฟังครับ และเธอ

      ก็พูดกับผมว่า " เราเชื่อใจในตัวนายนะ " จุกครับ..... จุกเลย... น้ำตาเริ่มไหลลงมาเป็นทาง

      อาบแก้ม รู้สึกผิดมากๆครับ ผมมีแฟนที่ดีขนาดนี้ ทำไมผมถึงคิดเรื่องโง่ๆแบบนั้นได้อีก

      ผมพยายามคุยกับเธอแบบปกติที่สุด แต่เธอก็ยังจับว่าผมกำลังร้องไห้ได้ เธอก็ปลอบผม

      " ทุกคนย่อมมีความลังเลในจิตใจอยู่แล้วหล่ะ เพียงแต่ว่า มันจะย้อนมาทำร้ายตัวเราได้มาก

      ขนาดไหน สำหรับนาย การเสียน้ำตาไป ขอให้เป็นการแลกกับอดีตที่ผ่านมาก็พอ " พอจบ

      ประโยคนี้ ผมร้องไห้โฮ ออกมาเลยครับ ผมมันเลวจิงๆ หลังจากที่ผมเริ่มหยุดร้อง เริ่มรู้สึก

      ดีขึ้น ผมก็ขอเวลาเธอครู่นึงครับ โดยที่โทรไปหาแฟนเก่าผม และทำการรวมสาย โดยที่

      แฟนเก่าผมไม่รู้หรอกครับว่า ในสายมีแฟนผมอยู่ด้วย ผมพูดกับแฟนเก่าประโยคแรกเลยคับว่า

      " ผมตัดสินใจแล้วหล่ะ เราคงเป็นได้แค่เพื่อนกัน " แฟนเก่าผมเงียบครับ และสักพักเธอเริ่ม

      พูดออกมาด้วยเสียงปนน้ำตาว่า " กลับไปเป็นแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วหรอ " ผมก็ตอบ เป็น

      ไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมมีคนที่ผมใช้คำว่า " รักที่สุด " สำหรับผมได้อยู่ เพียงคนเดียว

      เธอก็เข้าใจครับ และยอมรับมันด้วยน้ำตา หลังจากนั้น ก็วางโทรศัพท์จากแฟนเก่าผมไป

      และเริ่มคุยกับแฟนผมต่อ แฟนผมพูดมาประโยคแรกว่า " รักที่สุดหรอ... เชยวะ " ......

      ......... พูดไม่ออกครับ เปลี่ยน feel ไม่ทัน แล้วเค้าก้อพูดออกมาอีกว่า " ก็ยังดี ถ้าหาคำที่

      เชยกว่านี้มาพูดอีก คงรู้สึกแย่ " อ่า ตกลงผมผิดใช่ม่ะเนี่ย -.-" หลังจากนั้นเราสองคนก็คุย

      กันต่อสักพัก แล้วต่างคนต่างขอตัวไปนอนครับ โดยที่คืนนี้ เป็นคืนที่ผมรู้สึกว่า ผมได้รู้ใจ

      ตัวเองจริงๆ




      บทที่ 5 ผู้ใหญ่กับสิ่งลวงตา

      และแล้ว เวลาก็ล่วงเลยผ่านไป 4 ปี ผมว่า ช่วงชีวิตของผม ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากที่สุด

      ได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ จนเต็มอิ่ม มีทั้งแฟน ทั้งเพื่อน รู้สึกเต็มอิ่มในชีวิต แต่

      พอมา ปี 4 เทอม 2 !! ฝึกงานครับ ฝึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฝึกเพื่อจะบินได้ เอ๊ะ ไม่ใช่หล่ะ

      ผมได้เข้าฝึกงานที่ บริษัท เกมแห่งนึง !! ไม่ขอเอ่ยนามนะครับ เวลาในการฝึกงานทั้งหมด

      3 เดือนครับ ได้เข้ามาอยู่ ฝ่ายบุคคลครับ ( ก็เรียนมาทางภาษานิ ) แต่แฟนผม ได้ฝึกงาน

      ที่การบินไทยครับ (เอ้า ทำไมทีงี้เอ่ยได้หล่ะ) ห่างครับ ห่างกันมากๆเลย ตอนแรกก็วิตก

      กังวล ว่า รักแท้มันจะแพ้ใกล้ชิดหรือป่าว เค้าต้องไปทำงานที่ดอนเมืองครับ แต่ผมอยู่

      แถวฝั่งธนฯเหมือนเดิม เค้าต้องไปเช่าหออยู่ ส่วนผมอยู่ที่บ้านเหมือนผม ทำไมดูเหมือน

      เค้าจะค่อยๆห่างเราไปเรื่อยๆนะ หรือเราคิดมากไปเอง ผมได้แต่นึกในใจแบบนี้เท่านั้น

      เคยลองพูดแหย่ๆเค้าไปว่า “สักวัน รักแท้ จะแพ้ คอลเกต มั้ยน้า“ เสี่ยวแดรกครับพี่น้อง

      เธอตอบกลับมาว่า “ จำคืนวันนั้นได้ม่ะ ตอนปี 1 เราเป็นยังไงตอนนั้น ก็เปงยังงั้นตอนนี้

      อ่ะแหละ “ โอเคคับ เชื่อ เชื่อสนิทใจ เลย และเราก็ต้องจากกันเป็นเวลา 3 เดือน

      ซึ่งผมได้ บอกกับตัวเองไว้แล้วว่า จะไม่มีทางจะนอกใจเค้าอีก และผมก็ทำได้แค่ คุย

      โทรศัพท์ กับ msn เพียงบางวันเท่านั้น เพราะว่า เค้ากลับถึงหอ ดึกมาก ไม่เข้าใจ

      เหมือนกันว่า งานเยอะ ขนาดนั้นเลยหรอ ขนาดแค่ ฝึกงาน บางวันเราคุยกันได้เพียง

      5 นาที บางวันเราก็ไม่ได้คุยเลย เราเริ่มห่างกันมากขึ้น ผมก็ได้แต่นับวันรอ

      ให้จบการฝึกงาน


      จนมาถึงวันสุดท้าย วันที่ จบการฝึกงาน ผมรีบโทรไปหาเธอ แต่...

      ฮัลโหล ..... !! เห้ย เสียงผู้ชายรับ ผมนึกในใจ ไม่หรอกๆ เราโทรผิด ใช่มั้ย โทรผิดๆ

      ไม่ก็ วางโทรศัพท์ไว้ที่อื่น สักพัก เธอก็มารับ ผมยิงคำถามด้วยความโกรธ ว่า คนนั้นใคร

      ทำไมมารับโทรศัพท์ของเธอ ฯลฯ ผมนึกว่า เธอจะตอบผม แต่เธอกลับอารมณ์เสียใส่ผม

      แทน จนในที่สุด พวกเราก็ พูดกันไม่รู้เรื่อง ในเมื่ออารมณ์อยู่เหนือสติ ผมวางโทรศัพท์

      กระแทกไปด้วยความรุนแรง มันน่าโมโหจิงๆใช่มั้ย ทำไม ผู้ชายคนนั้นถึงมารับโทรศัพท์

      ของแฟนเรา ทำไม เค้าถึงอยู่ด้วยกัน นี้มันก็ดึกแล้วนะ ทำไม ทำไม ทำไม ในหัวผม

      มีแต่คำถามพวกนี้ ลอยไปลอยมา ผมมองไปที่โทรศัพท์ของผม หวังให้เธอคนนั้นโทรมา

      แต่ก็ไม่มีวี่แวว ที่เธอจะโทรกลับมาเลย ผมได้แต่นั่งมองโทรศัพท์ นั่งมองไปเรื่อยๆ

      เหม่อลอย จนในที่สุด โทรศัพท์ก็ดัง ผมมองไปที่นาฬิกา ขณะนั้นเป็นเวลา ตี 5 นี้

      ผมกลั้นใจ เดินไปรับโทรศัพท์ เสียงของเธอพูดดังขึ้นมา แล้วในที่สุดผมก็ได้รับรู้ความ

      จริงทั้งหมด ผู้ชายคนนั้น คือแฟนเก่าของเธอ ก่อนที่จะมาคบกับผม เธอบอกให้ผมนึกย้อน

      กลับไปตอนที่ ผมขอเธอเป็นแฟน ทำไมเธอถึงไม่ยอมเป็นแฟนผมสักที จนผมต้องติต่างไป

      เอง ว่า เธอเป็นแฟนผมแล้ว เพราะว่า ขณะนั้น เธอยังไม่ได้เลิกกับแฟนเก่าของเธอนั้นเอง

      แต่เธอก็บอกว่า ตอนนั้นเธอกับแฟนเก่าของเธอกำลังจะเลิกกันแล้ว แต่ยังเลิกกันไม่ได้

      เพราะฝ่ายชายไม่ยอม ตอนนี้ เธอกับแฟนเก่าเธอได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะบังเอิญฝึก

      งานที่เดียวกัน (ซึ่งอันนี้ผมไม่เชื่อ ผมว่าเค้าคงมีคุยๆกันมั้ง)เค้าก็พูดๆ แต่สมองผมไม่

      อยากที่จะรับรู้อะไรแล้ว ผมก็เลยได้แต่พูดออกมาว่า "แล้วจะเอายังไง"


      เธอเงียบ... และพูดออกมาว่า "ขอโทษนะ แต่ต้องขอผิดสัญญาที่บอกไว้ว่า

      เราสองคนจะไม่มีวันพูดคำว่า เลิกกัน "


      เพียงแค่ประโยคนี้ มันทำให้ผมทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น น้ำตาที่ไม่ได้ไหลรินมา

      เป็นเวลา 4 ปี ค่อยๆไหลออกมา ผมเลยถามเค้าไปอีกว่า

      “ ตั้งแต่เมื่อไร “

      เค้าก็ตอบกลับมาว่า ตั้งแต่ปี 3

      พวกเค้ากลับมาติดต่อกันตั้งแต่ปี 3 จนถึง ปี 4 เทอม 2 จน ผมรู้ความจริงทั้งหมด

      ทุกอย่างที่เธอทำให้ผม มันเป็นเพียงภาพลวงตา ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้

      ชีวิตผมมันถูกลิขิตไว้ว่าต้องเจอแต่เรื่องแบบนี้หรือไง ผมมองไปที่ หน้าโต๊ะคอมพ์

      มีกรรไกรวางไว้ อยู่ ผมหยิบมันมากางออก แล้วกำไว้ในมือ และผมก็พูดกับเธอไปอีกว่า


      “ โอเค งั้น ลาก่อน “


      แล้วผมก็วางโทรศัพท์ไป ผมนั่งกำ กรรไกร จนแน่น

      จนมันบาดนิ้วของผม เลือดไหลรินออกมา พร้อมๆกับน้ำตา ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจ

      ที่จะทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตลงไป นั้นคือการ

      “ ฆ่าตัวตาย “

      ( โปรดใช้วิจารนญาณใน การอ่าน เด็กๆควรมีผู้ปกครองนั่งอ่านไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้คำแนะนำ )

      ในขณะที่ผมกำลังจะปาดไปที่ข้อมือของผม เสียงของอาโกวผม (ป้า) ก็ดังขึ้น

      ยังไม่นอนอีกหรอ ลูก.. (อาโกวท่านเรียกผมว่าลูกนะ) ผมไม่ตอบ ได้แต่เงียบ

      อาโกวผมก็ถามต่อ “ ออกไปช่วยอาโกวเปิดร้านหน่อยหล่ะกัน “ ผมวางกรรไกรลง

      และเดินไปเปิดประตูห้องออก อาโกวเห็นที่มือผมเลือดออก ที่หน้าผมเต็มไปด้วยน้ำตา

      ท่านก็ตกใจ และรีบถามว่าเป็นอะไร ผมไม่ทำอะไร แต่ได้เข้าไปกอดอาโกวผม

      คนที่เปรียบเสมือนแม่ของผม ผมพูดออกไปทั้งน้ำตาว่า

      “ เค้าไปแล้ว เค้าไปจากผมแล้ว ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว “

      อาโกวผมตีที่หลังผมเบาๆ ทีนึง แล้วบอกว่า

      “ แล้วคนที่เอ็งกอดอยุ่ตรงนี้หล่ะ ต้นไม้หรือไง “

      ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วก็ตามอาโกวผมลงไปทำแผล แล้วอาบน้ำ

      ออกไปช่วยอาโกวผมเปิดร้านตอนเช้า และได้ใส่บาตรร่วมกับอาโกวผม

      ผมรู้สึกสงบใจอย่างแปลกๆ ทั้งๆที่เมื่อคืนพึ่งเกิดเรื่อง พอปิดร้าน ผมก็ได้ ไปซื้อ พวงมาลัย

      มากราบอาโกวผม ที่ช่วยให้ผม มีชีวิตต่อไปได้ และผมก็นอนคุยกับอาโกวผม

      โดยที่ผมหนุนตักท่านอยุ่ มันทำให้ผมรุ้สึกอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทำไม

      การที่คนเรายิ่งโตขึ้น ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ถึงได้เจอแต่สิ่งที่โหดร้าย

      สิ่งที่เป็นเพียงภาพลวงตามากขึ้นๆ....


      บทที่ 6 วันใหม่กับตัวตนใหม่

      แกร๊กๆ เสียงดังขึ้นมาที่ข้างหูผม ผมเริ่มรู้สึกตัว และเริ่มๆคันที่ใบหู เกิดอะไรขึ้น

      หลังจากที่เริ่มรู้สึกตัวเต็มที่ก็ได้รู้ว่า อาโกวของผมกำลังแคะหูให้ผมอยู่นั่นเอง

      สบายมากๆเลยครับ ตอนเด็กๆท่านทำให้ผมบ่อย แต่พอโตขึ้นมาก็ไม่ค่อยมีโอกาส

      ที่จะทำแบบนี้ หลังจากนั้น ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำ เพื่อที่จะขึ้นมานอนที่ห้องครับ

      ง่วงมากๆ ผมก็ขึ้นมาบนห้อง สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนเช่นทุกวัน และ

      หลังจากที่ผมกำลังจะนอนลง ผมได้สัญญากับตัวเองไว้ว่าพรุ่งนี้ตื่นมา

      ผมจะไม่คบกับผู้หญิงคนไหนอีก ผมจะอยู่ดูแลอาโกวผมจนกว่าผมจะตาย

      คืนนั้นผมนอนหลับสนิทมากๆเลยครับ อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยที่ไม่ได้นอนเมื่อวาน

      หรือเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ผมไม่ได้ฝันเลย และตื่นขึ้นมากับเช้าที่สดใส

      ผมใช้ชีวิตประจำวัน แบบคนว่างงานมาเรื่อยๆ ( ก็ฝึกงานเส็ดแล้วนิ ) รอวันที่

      เกรดจะออก กับ รับปริญญาเท่านั้น จนในที่สุด วันที่ผมเชื่อว่า

      ใครหลายๆคนก็รอที่จะให้ถึงวันนั้นเร็วๆ วันที่เราจะพูดได้ว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตขั้น

      แรกแล้ว แน่นอนครับ มันคือวันรับปริญญา หลังจากที่เราต้องซ้อมกันอย่างหนักเป็นเวลา

      เกือบสัปดาห์ ในที่สุดที่เราซ้อมมาทั้งหมด จะได้นำมาใช้ในวันนี้แล้วครับ

      ผมต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะไปรับชุดครุย และรีบตรงไปที่มหาลัยอย่างเร็วไว

      ชื่อของผมอยู่ในลำดับกลางๆครับ ไม่ต้นไม่ท้าย ในห้องประชุมเงียบมากครับ

      ถึงแม้คนจะเยอะ ก็จะมีเสียงคนคุยกันลอยมาเป็นบางครั้งบางคราวครับ

      ผมก็พยายามมองหาเธอคนนั้น คนที่ตอนนี้เป็นเพียงแค่อดีตคนรัก

      มองหาเท่าไรก็ไม่เจอครับ แต่ละคนดูคล้ายๆกันหมดเลย T-T จนมาถึงช่วงเวลาของผม

      จะบอกว่ายังไงดี พอรับมาปุ๊บ มันจะรู้สึกดีใจสุดๆ อยากจะถอดชุดครุย กระโดด

      โยนหมวก ณ ตอนนั้นเลย แต่ก็ทำไม่ได้คับ T-T ผมต้องกลับมานั่งที่ แล้วผมก็รอลุ้น

      จนถึงชื่ออดีตแฟนผม เธอดูดีมากๆครับ แต่เพราะอย่างนั้น มันถึงทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดใจ

      ไปอยู่กับเค้าคนนั้น มันทำให้เธอดูดีขึ้นขนาดนี้เลยหรอ ช่างมันๆ

      เราสัญญากับตัวเองไว้แล้ว หลังจากที่ผมออกมาหน้าหอประชุม ก็ได้ถ่ายรูปกับญาติๆ

      และเพื่อนๆ แต่ กับเธอคนนั้น ผมคงไม่มีทางที่จะได้ถ่ายรูปคู่อีก หลังจากนั้น

      ผมก็พักผ่อนเป็นเวลา 2 เดือน เที่ยว เล่น กับเพื่อนซะเต็มที่เลย

      ก่อนที่จะเริ่มสมัครงานตามที่ต่างๆ ผมยื่นใบสมัครไปหลายที่มาก แต่มีเพียงไม่กี่ที่

      ที่เรียกผมไปสัมพาด และในที่สุด ผมก็ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทเกมที่เดิม =.=”

      เพราะว่ารู้จักกับรุ่นพี่ในนั้นจนสนิทกันแล้ว เค้าเลยช่วยให้เข้าได้ ผมได้เข้ามาทำงานที่นี้

      โดยที่ทางบริษัทก็รับพนักงานเพิ่มพอดี นอกจากที่มีผมเป็นพนักงานใหม่ ก็มี

      ผู้หญิงอีกสองคนที่ได้เข้ามาทำงาน ใน แผนก Pr เธอสองคนจบมาจากที่เดียวกันห้องเดียว

      กัน เป็นเพื่อนกันอ่ะแหละ แต่ บุคลิกของทั้งสองคนไม่เหมือนกันเลย

      คนนึงดูเรียบร้อยมากๆ อีกคนกระโดกกระเดกกล้าแสดงออก

      ผมก็ไม่ได้สนใจคับทำงานประหลกๆ ไปวันๆ เพื่อที่ตอนเย็นจะรีบกลับบ้านไปพักผ่อน

      ตอนนี้ผมใช้ชีวิตอยู่เพื่ออาโกวของผมซะมากกว่า ท่านเริ่มชราลงมาก ร้านที่ปกติเคยเปิด

      ก็ไม่ค่อยได้เปิดสักเท่าไร พอผมเริ่มทำงานได้สักเดือนกว่าๆ

      ผมก็เริ่มสนิทกับคนในแผนก และก็นอกแผนก โดยที่ส่วนมาก

      นอกแผนกที่มาสนิทด้วยก็คือ แผนกPr หล่ะคับ เพราะต้องติดต่องานหลายๆงานด้วยกันอยู่

      บ่อยๆ จนผมเริ่มสนิทกับเธอสองคนนั้น ไปกินข้าวกับเธอสองคนนั้นบ่อยๆ

      สนุกดีครับ พยายามไม่คิดอะไรครับ ยึดสัญญาของวันนั้นเป็นหลัก เห็นเป็นแค่เพื่อนครับ

      ชีวิตผมเริ่มมีสีสันขึ้นมาอีกครั้งเพราะเธอสองคนนี้ครับ จนมีอยู่วันนึง

      เราสามคนไปเที่ยวคาราโอเกะกัน ร้องเพลงกันสนุกสนาน จนมาถึงตอนนึง

      เธอคนที่ดูเรียบร้อยๆ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ช่วงเวลานั้น มันทำให้ผมเห็นว่า

      ผู้หญิงที่กระโดกกระเดก ดูเหมือนม้าดีดกะโหลกคนนี้ ก็เรียบร้อยเป็น

      ผมก็ งง ครับเกิดอะไรขึ้น อยู่เธอคนนั้นก็หยุดร้องเอาดื้อๆ และสักพัก

      ก็มีเสียงพูดออกมาจาลำโพงว่า “ เราชอบนายนะ “ หะ............ อึ้ง เงียบ มาคุ ~~

      “ คบกับเรานะ “ - -“

      ผมยังอึ้งอยู่ครับ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี

      “ เธอยังไม่ต้องให้คำตอบก็ได้ “ น้าน เหมือนเธอรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

      ผมก็ยังอึ้งอยู่คับ หน้าของเธอเริ่มแดงก่ำ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ได้เปิดออก

      เธอคนที่เรียบร้อยๆกลับมา ก็ งง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ตอบไปว่า

      สงสัยเธอคนนั้นเริ่มเมาแล้วมั้ง แล้วก็ตกลงกลับบ้านกันโดยที่ผมเป็นคนไป

      ส่งเพราะมีรถอยุ่คนเดียว T-T สุภาพบุรุษคับ ก็วนรถมาส่งเธอคนที่ร่าเริงก่อน

      เพราะบ้านเธออยู่ใกล้กับที่ทำงาน หลังจากนั้นผมก็วนรถไปส่งคนที่เรียบร้อยๆ

      พอถึงหน้าบ้านของเธอ เธอก็เปิดประตูลงจากรถ โดยหันกลับมาบอกกับผมว่า

      เด๋วโทรไปหา ปล่อยผมนั่ง งง ในรถซะหล่ะ ทำไมวันนี้ ถึงเกิดแต่เรื่องที่ผมไม่เข้าใจเนี่ย

      ผมกลับมาบ้าน สักพัก โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เธอคนที่เรียบร้อยๆโทรมาครับ

      ก็คุยกันสักถาม บอกว่าถึงบ้านแล้ว บลา บลา บลา จนเค้ามาถามว่า

      ผมมีแฟนหรือคนที่คบอยู่หรือป่าว ผมก็ถามเธอกลับไปว่า ทำไมถึงถามแบบนี้

      เธอก็เงียบ แล้วสักพักเธอทำเป็นถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า

      ก็เราชอบนาย....

      ซะงั้นคับ ตอนที่ไม่มีใครก็ไม่มีเลย พอมีมาก็มาทีละสองคน ทำไงหล่ะคับทีนี้

      ผมก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วก็ตอบกลับไปว่า ยังไม่มีหรอกแฟนอ่ะ เธอก็บอกมาว่า

      เก็บไปคิดหล่ะกัน เราจะไม่คาดคั้นอะไรนายมาก “ โอ้ว วิชาการ มั่กๆ “

      ประโยคนี้เกิดขึ้นมาในหัวทันใด หะหะ แล้วผมจะทำไงต่อดีหล่ะคับเนี่ย คำสัญญา

      กับคนสองคน เลือกอีกแล้วคับ และหลังจากวางโทรศัพท์ผมก็ไปอาบน้ำ

      และเข้านอนเหมือนเช่นทุกวัน เพื่อจะเก็บแรงไว้ลุยงานในวันพรุ่งนี้....

      บทที่ 7 การเริ่มต้นของจุดจบ

      และพอตื่นเช้ามา ไปที่ทำงาน ผมก็ได้เจอเธอสองคนพร้อมๆกันครับ โดยที่เธอที่ร่าเริง

      เดินเข้ามาตบหลังผม และพูดว่า ขอบใจมากนะเมื่อวาน แล้วเธอก็ยิ้มลากเพื่อนเธออีกคนไป

      ทำงาน โดยที่เพื่อนเธออีกคนหันมายิ้มให้ผมก่อนเดินจากไปครับ

      ผมนั่งลงที่โต๊ะทำงานของผม งานกองพะเนินอยู่ตรงหน้าผม ตกใจครับ

      ทำไมวันนี้งานมันเยอะอย่างนี้ พอมาเปิดดูเอกสารก็ถึงจะเข้าใจ

      วันนี้บริษัทเปิดรับพนักงานเพิ่มนี้เอง หลังจากทำงานเสดจนพักเที่ยง

      เราสามคนก็ได้ไปกินข้าวกันเช่นเคย แต่ที่ต่างจากเช่นเคย คือ บรรยากาศมาคุ ครับ

      แต่ยังคงมีเพียงเธอคนที่ร่าเริง คุยจ้อๆ นินทาคนนู้นที คนนี้ที สนุกดีครับ

      เธอเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนไม่มีความทุกข์เลย

      ผมจะรู้สึกสนุกไปกับเธอทุกครั้งที่เธอนินทาคนอื่น รู้สึกแปลกดีครับ

      ผู้หญิงคิดอะไรกันได้ถึงขนาดนี้เลยหรอเนี่ย หลังจากที่เรานั่งทาน+เม้าท์กันสักพัก

      ก็เช่นเคยครับ เธอคนที่เรียบร้อยๆก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเหมือนทุกครั้งครับ

      พอเธอคนนั้นลุกไปปั้บ เธอคนที่ร่าเริงๆ ยิงคำถามใส่ทันทีครับ “ตัดสินใจได้หรือยังค่ะ”

      น้ำเป๊ปซี่ที่อยู่ในปากผมแทบพุ่งครับ ไม่ทันตั้งตัวจิงๆ

      ผมก็เลยต้องรีบตอบไปว่า “ เย็นนี้ได้ไหม “ เธอก็ตกลงครับ

      หลังจากผมได้สติ แล้วนึกดูอีกที หะ เย็นนี้ ... ตอบออกไปแบบนั้นได้ไงเนี่ย T-T

      พอเธออีกคนกลับมา พวกเราก็เช็คบิล และกลับบริษัทกันครับ พอตกเย็นเลิกงาน

      ก็กลับบ้านกัน โดยที่ผมกลับกับ เธอคนที่ร่าเริงๆ เพียงสองคน เป็นปกติอยู่แล้ว

      เนื่องจากเธอคนที่เรียบร้อยๆ บ้านอยู่อีกทางครับ ผมก็ขับรถไปส่งเธอที่หอ

      ที่เธอเช่าอยู่ใกล้ๆกับ บริษัท ครับ ก่อนที่เธอจะลงจากรถ เธอก็ทวงคำตอบผมอีกรอบ

      ผมได้แต่อ้ำอึ้งคับ เพราะว่าเวลาในการตัดสินใจมันน้อยเกินไป

      เธอก็ยังทวงคำตอบอยู่จนผมใจอ่อน ผมยอมรับนะว่า ผมก็ชอบเธออยู่เหมือนกัน

      เธอสดใส ร่าเริงได้ตลอดเวลาจิงๆ ผมชอบคนประมาณนี่ย อยู่แล้วไม่เครียด หะหะ

      ในที่สุด ความต้องการก็เข้ามาแทนที่สัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเอง

      ผมตอบตกลงที่จะลองคบกับเธอดูครับ หลังจากที่บอกตกลง

      เธอก็เข้ามาหอมแก้มผมทันทีเลยครับ งง+อึ้ง+ช๊อก+บลาบลาบลา

      เธอช่างกล้า.... หลังจากนั้น เธอก็พูดออกมาเป็นชุดเลยครับ

      กฎ กติกา มารยาท ในการคบหากัน

      จนมาถึงข้อสุดท้าย เธอบอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่อยากให้ถึงข้อนี้เลย

      กฎข้อนั้นคือ “เวลาจากกัน เราจะไม่มีน้ำตา จะมีเพียงรอยยิ้ม ให้กันเท่านั้น”

      ผมก็ยิ้มรับครับ รู้สึกดีใจ ที่ได้แฟนน่ารักแบบนี้ มองโลกในแหง่ดีแบบนี้

      และผมก็บอกกับเธอไปว่า “คงไม่มีทางเป็นไปได้หรอกข้อนี้”

      เธอทำหน้าเสียและถามกลับมาว่าทำไม ผมเลยตอบกลับไปว่า

      “เพราะเราคงไม่จากกันไปไหนหรอก” และผมก็ยิ้ม เธอลงจากรถ

      แล้วบายๆ พร้อมกับบอกว่าเด๋วโทรหานะ ผมก็ยิ้มๆ แล้วออกรถ พอกลับมาถึงบ้าน

      อาโกวผมทักเลยครับ มีอะไรดีๆหรอ ยิ้มแป้นมาเชียว ผมก็ไม่พูดอะไร

      แต่ผมก็เข้าไปนั่งข้างๆอาโกว นั่งดูทีวีด้วยกัน สักพักโทรศัพท์ผมก็ดัง

      แต่ ไม่ใช่เธอคนที่เป็นแฟนผมแล้ว แต่เป็นอีกคน ที่ผมต้องให้คำตอบเค้า

      ผมกลั้นใจกดรับ เสียงของเธอก็ลอยเข้าหูมา เพียงแต่ มันเป็นเรื่องงานล้วนๆ

      จนคุยกันมาสักพัก เธอก็ขอคำตอบผม ผมตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับเธอทั้งหมดครับ

      และเธอก็เข้าใจดี (ผมแปลกใจมากเลย ที่มีผู้หญิงแบบนี้อยุ่ในโลกด้วย)

      หลังจากวางโทรศัพท์กับเธอคนนั้นไป อาโกวผมก็บอกว่าผมทำถูกแล้วหล่ะ

      (เหมือนท่านรู้ว่าผมต้องการคำพูดนี้อยู่เลย) ผมก็ยิ้มๆ และขอตัวไปอาบน้ำ

      พอมาถึงตอนดึกๆ เธอซึ่งเป็นแฟนผมแล้ว ก็โทรมาครับ เราคุยกันสนุกมากๆ

      เธอทำให้ผมมีความสุขมากๆกับการนินทา+จิปาถะ

      หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยขึ้น แบบสองต่อสองนะครับ

      แต่ผมกลับต้องเสียรอยยิ้มของเพื่อนเธอคนนั้นไป

      ผมพยายามที่จะเข้าไปคุยกับเธอคนที่เรียบร้อยๆ แบบปกติ เธอก็ตอบกลับ

      แบบปกติเช่นเดิม เพียงแต่ น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม ผมก็ทำใจหล่ะครับ

      ผู้หญิงโกรธอย่าเอาเรือไปขวาง อันตรายครับ ผมกับแฟนผม เรามีความสุขกันมาก

      จนผ่านมา 2 ปี วันที่เป็นวันครบรอบที่เราคบกันมา 2 ปี

      ผมตัดสินใจที่จะขอหมั้นกับแฟนผม ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก

      วันนี้เรามาฉลองกันที่โรงแรมแห่งนึงใน กทม. ครับ หลังจากที่ท่านอาหารกันเสด

      ก็นั่งชม วิว กันสักพัก ผมก็ตัดสินใจที่จะคว้าแหวนที่อยู่ในกระเป๋าของผมออกมา

      และขอเธอหมั้นครับ เธอทำหน้าตกใจ สักพักก็น้ำตาไหลออกมา

      เพียงแต่มันเป็นน้ำตาของความดีใจครับ

      ผมค่อยๆสวมแหวนใส่นิ้วนางข้างซ้ายของเธออย่างช้าๆครับ ^^

      แต่ผมยังไม่หยุดแค่นั้นครับ ผมยังมีพูดหยอกๆปิดท้ายไปว่า

      “อ่า ในที่สุด ผมก็โดนใส่โซ่ล่ามซะหล่ะ อิอิ”

      เธอตีที่แขนผมเบาๆและบอกกับผมว่า เธอดีใจมากๆครับ หลังจากนั้น

      ผมก็พาเธอไปหาอาโกวผม และเริ่มคุยเรื่องแต่งงานกัน

      โดยเธอขอเวลา 5 เดือนครับ เพื่อที่จะให้ที่บ้านของเธอรู้จักกับตัวตนของผม

      ผมก็ตกลงครับ หลังจากนั้น เราสองคนก็ยังไปทำงานปกติ

      เพียงแต่จะโดนล้อจากเพื่อนๆในบริษัทมากขึ้นเท่านั้น

      “อยากอุ้มหลานเร็วๆนะ”

      “งานแต่งขอที่โรงแรมนี้นะ”

      และอีกหลายๆประโยคครับ ผมรู้สึกดีนะ ที่โดนล้อแบบนี้ หะหะ จนในที่สุด

      ผมก็ได้ไปที่บ้านของเธอ พบพ่อกับแม่ของเธอ ท่านทั้งสองคนใจดีกับผมมากๆครับ

      ทุกอย่างดูราบรื่นเพื่อรอให้ถึงวันแต่งงานเท่านั้น แต่ 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันแต่งงาน

      แจกการ์ดแต่งงานเกือบครบทุกคนแล้ว

      แต่ อาโกว ของผม กลับป่วยลงด้วยโรคเบาหวาน+ไต ครับ

      คืนนั้นอาโกวผมถูกส่งไป รพ. เพื่อทำการรักษา ผมได้แต่นั่งรอหน้าห้องผ่าตัด

      อาโกวผมต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วนครับ หลังจากผ่าตัดผ่านไปประมาณครึ่ง ชม.

      คุณหมอก็ออกมา และบอกกับผมว่า ต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนไต

      เนื่องจากไตของอาโกวผมไม่ทำงานแล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าต้องทำยังไงมั้งครับ

      พึ่งเจอเหตุการณ์นี้ครั้งแรก หมอบอกว่าอาโกวผมฟอกไตมานานแล้ว

      จนถึงที่สุดแล้ว ตอนนี้มีทางรอดทางเดียวคือต้องทำการเปลี่ยนไตเท่านั้น

      และหมอยังบอกมาอีกว่า ไตที่เค้าบริจาคมาตอนนี้ ไม่มีเหลือพอสำหรับอาโกวผม

      จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะมอบไตข้างนึงให้กับอาโกวผม

      หลังจากที่ผมบอกหมอไป ผมก็โดนจับไปตรวจเลือด และอีกหลายๆอย่าง

      จนแน่ใจแล้วว่า ไตของผมสามารถเข้ากับร่างกายของอาโกวผมได้

      มีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน และหลายๆอย่างคล้ายกัน ผมได้แต่คิดในใจว่า

      ยังไงผมก็ไม่ยอมเสียอาโกวคนนี้ของผมไปแน่

      เพราะตอนนี้ผมอยู่กับอาโกวคนนี้เพียงสองคนเท่านั้น

      อาโกวผมอีกคนนึงได้แต่งงานและย้ายออกไปอยู่กับสามีเค้าแล้ว

      พอผมกรอกใบบริจาคไตเสด

      นางพยาบาลก็เข้ามาบอกให้ผมนั่งเพื่อทำการฉีดยาสลบเข้าทางหลังก่อน

      และผมก็หลับไป....

      บทที่ 8 บทสรุปแห่งชีวิต ( The end )

      พอรู้สึกตัว ผมก็อยู่ในห้องพยาบาลซะแล้ว โดยที่เตียงข้างๆ มีอาโกวผมนอนหลับอยุ่

      ผมก็กด สัญญาณเพื่อเรียกพยาบาลครับ พอนางพยาบาลเข้ามาให้ห้อง

      สิ่งที่ผมถามอย่างแรกเลยว่า วันนี้วันที่เท่าไร เธอก็ตอบมา

      เหลืออีก 5 วันถึงวันแต่งงานครับ

      ผมรู้สึกลำบากใจอย่างมาก แต่ว่าการแต่งงานนี้คงต้องเลื่อนไป

      ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยๆสักพัก แฟนผมก็เข้ามาเยี่ยมพร้อมกับพ่อแม่ของเธอครับ

      ผมก็บอกเธอว่าตอนนี้ผมเหลือ ไต เพียงข้างเดียวแล้วนะ

      คงใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาลำบากหน่อย เธอก็ยิ้ม แล้วบอกว่าไม่เป็นไร

      ผมก็ขอโทษเธอที่จะต้องเลื่อนการแต่งงานออกไป เธอไม่ว่าอะไร เวลาผ่านไป

      จนถึงวันที่อาโกวผมท่านสามารถออกจาก โรงพยาบาลได้

      แฟนผมกับผมก็พาท่านกลับบ้าน หลังจากกลับมาถึงบ้าน

      ผมกับแฟนผมก็ได้ขึ้นไปนั่งคุยกันบนห้องของผม ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย

      จนในที่สุดแฟนผมก็ได้บอกผมว่า มหาวิทยาลัยที่เธอกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท

      ได้ให้ทุนการศึกษาเธอเพื่อจะไปเรียนต่อที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยการศึกษานี้

      จะเป็นการศึกษาในปริญญาเอก เป็นเวลา 2 ปี โดยที่เธอชวนผมกับอาโกวผมไปด้วย

      ผมบอกว่า ขอไปถามอาโกวผมก่อน เธอก็ตกลง พอผมเดินทางถึงห้องอาโกวผม

      ผมก็นั่งลงข้างๆท่าน และ ผมก็เริ่มถามท่านออกไปว่า

      ท่านจะไปกับแฟนผมด้วยหรือป่าว ท่านเงียบ แล้วกลับมาว่า ท่านเกิดที่นี้ โตที่นี้

      ท่านขอตายที่นี้ ผมเงียบคับ พูดอะไรไม่ออก

      แต่ในใจผมก็นึกคำตอบเตรียมไว้ที่จะบอกแฟนผมไว้แล้วเหมือนกัน

      ว่ายังไงๆ ผมก็จะอยู่ดูแลอาโกวผมแน่นอน และผมก็ได้บอกแฟนผมไป

      เธอทำหน้าเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและบอกผมว่า ถ้าเป็นเธอ

      เธอก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน และเธอก็ถามว่า จะแต่งก่อนที่จะให้เธอไปเรียนต่อไหม

      ผมบอกว่า รอเธอกลับมาดีกว่า เธอก็ตกลง

      และเราก็เกี้ยวก้อยสัญญากันว่าจะไม่นอกใจกัน แบบเด็กๆ

      แต่พอมาถึงวันที่เธอจะต้องออกเดินทาง ผมไปส่งเธอที่สนามบิน

      ทำไมผมถึงรู้สึกเสียใจแบบนี้ เป็นเช้าที่ดูมืดมัวสำหรับผม ผมคิดมากเป็นพิเศษ

      เพราะผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ผมพาเธอมาถึงสนามบิน

      ก่อนเวลาที่เธอจะต้องขึ้นเครื่องประมาณ ชั่วโมงนึง เราก็ไปหาร้านกาแฟ

      เพื่อจะนั่งรอเวลา เราสองคนก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ แต่ส่วนมากผมไม่ค่อยคุยหรอก

      ฟังเธอคุยเสียมากกว่า วันนี้เธอดูสดใส ร่าเริงเป็นพิเศษ

      อาจจะเพราะดีใจที่ได้ไปต่างประเทศ

      สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เธอเคยบอกกับผมว่าอยากไปประเทศนึง

      (จากหลายประเทศมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮอลแลนด์ บลาบลาบลา)

      แต่ ผมกลับรู้สึกเสียใจ และกลัว ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก

      สักพัก ผมมองนาฬิกา เหลือเวลาอีกเพียง ครึ่งชั่วโมง ซึ่งตอนนี้

      สายการบินเริ่มเรียกให้ขึ้นเครื่องแล้ว ผมรู้สึกใจหายที่เธอจะต้องจากผมไปนานถึง 2 ปี

      เธอก็บอกผมว่าต้องไปแล้ว ผมก็ลุก เอาเงินไปจ่ายที่เคาท์เตอร์

      และเดินถือกระเป๋าไปส่งเธอที่ทางเข้า ตอนที่ยื่นกระเป๋าให้เธอ

      ผมรู้สึกว่าน้ำตาผมมันเริ่มคลอที่เบ้าตาแล้วครับ แต่พยายามกลั้นไว้

      เธอเห็นผมเป็นแบบนั้น เธอล้อผมใหญ่เลยครับ และเธอก็พูดมาอีกว่า

      “ไหนเคยสัญญากันไว้ไง ว่าเวลาจากกัน เราจะไม่จากกันด้วยน้ำตา แต่จากกันด้วยรอยยิ้มไง”

      แต่พอเธอพูดจบประโยค น้ำตาผมก็ไหลลงมาแล้วครับ ผมก้มหน้าลง

      ไม่กล้าสบตาเธอคับ เธอเข้ามาเช็ดน้ำตาให้ผม ผมเงยหน้ามองไปที่หน้าเธอ

      น้ำตาของเจ้าสาวในอนาคตของผม ค่อยๆไหลลงมาเป็นทางบนแก้มใสๆของเธอ

      เธอพยายามพูดออกมาว่า “ต้องยิ้มสิ ยิ้มให้เราเห็นก่อนนะ” ผมพยายามยิ้ม

      เพื่อให้เธอสบายใจ ในที่สุด เราทั้งสองคนก็ต้องแยกจากกัน

      เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมยังใช้ชีวิตแบบปกติแต่สิ่งที่เพิ่มมาในชีวิตประจำวันของผม

      ก็คือการบอกกับตัวเองอยู่เสมอๆว่า ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ เด๋วเธอก็กลับมา

      อยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดเวลาผ่านไป 2 ปีครับ วันนี้ เป็นวันที่เราจะได้เจอกัน

      เป็นวันที่คนรักของผมจะกลับมา ช่วงเวลาสองปีที่ผมทรมานจะจบลง

      ผมรีบตื่นแต่เช้าเพราะต้องการที่จะไปรับเธอที่สนามบิน

      ผมโทรไปบอกเธอแต่เธอกลับบอกว่าไม่ต้อง ให้ไปเจอกันที่บ้านของเธอเลยดีกว่า

      เพราะเวลานั้นเธอขึ้นแท๊กซี่มาแล้ว และผมก็มาถึงบ้านเธอ ผมเข้าไปสวัสดีพ่อแม่ของเธอ

      ซึ่งกำลังนั่งรอลูกสาวของตนกลับมาเช่นกันครับ ผมนั่งรออยากกระวนกระวายใจ

      อยากจะเจอเธอเร็วๆ เวลาผ่านไป ชั่วโมง สองชั่วโมง ยังไม่มีวี่แว่ว

      ผมโทรไปก็ไม่ติด เริ่มร้อนใจหนักเลยครับ สักพัก ที่บ้านเธอก็มีโทรศัพท์มา

      รถที่เธอนั่งมาโดนชนครับ เธอบาดเจ็บสาหัส และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

      โดยที่รถที่ชนเธอมาคนขับหนีไปครับ และที่หนักกว่านั้นคือ

      คนขับแท็กซี่ที่เธอนั่งมากตายคาที่ครับ พอแม่เธอได้รับข่าวนี้ ท่านก็เป็นลมทันที

      โดยที่ผมกับพ่อของเธอรีบตรงไปที่โรงพยาบาลที่รับตัวเธอไปรักษา

      ผมรู้สึกใจเสียมาก น้ำตาไหลออกมาตลอดเวลา

      ภายในใจได้แต่ภาวนาขอให้เธอปลอดภัย และยังมีชีวิตอยู่ พอมาถึงโรงพยาบาล

      หมอได้มาบอกอาการ กระดูกซี่โครงหักเข้าไปทิ่มปอด ขาซ้ายหัก กระดูกต้นคอร้าว

      อาการสาหัส พักอยู่ห้อง ICU ต้องรอดูอาการอีกคืนนึงครับ

      ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ก็จะมีโอกาสรอด พอผมได้ฟังแบบนั้นผมถึงกับทรุดลงไปกับพื้น

      น้ำตาไหลไม่หยุด ทางฝั่งพ่อของเธอก็เป็นเช่นผมครับ แต่ท่านดูจะใจเย็นกว่าผมเยอะ

      ผมนั่งรอเธอที่หน้าห้อง ICU และพยายามมองผ่านกระจกเข้าไปมองเธอ

      ในใจผมภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอร้องอย่าให้เธอต้องจากผมไปเลย

      "ทำไม ทำไมทุกคนที่ผมรักต้องจากผมไปแบบนี้ สวรรค์"

      ผมได้แต่พร่ำเพ้ออยู่ในใจแบบนี้ สายตาผมนั่งเหม่อลอย มองเธอที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

      เวลาผ่านไปเท่าไรผมไม่ทราบ ผมก็ยังนั่งภาวนา สวดมนต์

      ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ขณะนี้ เพื่อที่จะขอให้เธอฟื้นขึ้นมา สักพัก คุณหมอ

      ก็มาตรวจ พอคุณหมอออกมา ท่านก็บอกว่าให้เค้าไปเฝ้าในห้องได้

      ผมก็เข้าไปนั่งลงอยู่ข้างเตียง หน้าเธอดูซีดมาก มีรอยแผล ฟกช้ำ

      เมื่อตอนที่ผมเห็นหน้าเธอเป็นแบบนั้น น้ำตาผมที่แห้งเหือดไป ได้กลับมาไหลอีกครั้ง

      เธอดูน่าสงสารมาก ทำไมคนดีๆถึงต้องมาเจอแบบนี้

      ผมพยายามจับมือของเธอที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ผมนั่งมองหน้าเธอ

      นั่งมองไปเรื่อยๆ หวังว่าเธอจะฟื้นขึ้นมา แล้วทำหน้าทะเล้นใส่ให้ผมตกใจเล่น

      แต่มันเป็นไปไม่ได้ เธอยังคงนอนนิ่ง สายตาผมเหลือบไปมองนาฬิกา

      ขณะนั้นเวลาประมาณ ตี 3 ผมยังคงนั่งเฝ้าเธอ ภาวนาให้เธอรอดพ้นจากคืนนี้ไป

      สักพัก เสียงจากเครื่องวัดการเต้นของหัวใจเธอดังเริ่มเร็วขึ้น ผมเริ่มใจไม่ดี

      รีบกดสัญญาณเรียกพยาบาลด่วน สักพัก คุณหมอและพยาบาลวิ่งมาที่ห้อง

      พร้อมกับเชิญให้ผมออกนอกห้อง ตอนนั้น สติผมแทบไม่เหลือแล้ว

      ตาเหม่อลอยจ้องไปที่เธอ หมอทำการปั้มหัวใจเธอหลายต่อหลายครั้ง แต่

      เสียงจากเครื่องวัดตอนนี้มันช่างเป็นเสียงที่บาดหัวใจผมเหลือเกิน

      หัวใจเธอไม่เต้นแล้ว.... คุณหมอก็พยายามปั้มหัวใจเธอต่อไป

      ผมได้แต่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้าอยู่นอกห้อง ICU กลับมานะ อย่าทิ้งผมไปนะ

      ถ้าจะไปมาเอาผมไปด้วย เวลาที่ผ่านมาผมรอคุณมาตลอด

      คุณจะจากผมไปแบบนี้ไม่ได้นะ ผมไม่ยอม

      น้ำตาไหลทะลักออกมาเฉกเช่นน้ำที่อยู่ในแก้วที่แตก ทุกอย่างมันช่างมืดมน

      จนนางพยาบาลต้องมาให้ผมไปที่ห้องพักแล้ว ฉีดยาระงับประสาทให้ผม

      สักพักผมเริ่มที่จะไม่รับรู้อะไร

      และหลับไป

      ................................

      ……………

      ………

      ….

      ..

      “แม่คะ อ่านอะไรอยู่หรอคะ”

      “ไดอารี่ของพ่อนะลูก แม่ไปเจอที่ห้องเก็บของนะ”

      “ไหนๆ ขอนู๋ดูด้วยคนสิ”

      “ไม่ต้องอ่านหรอกลูก ^^ สักวันคงมีคนเขียนให้ลูกอ่านเองแหละ แต่แม่จะขอบอกอะไรลูก

      ไว้อย่างนะ ถ้าลูกหาผู้ชายที่ดีกว่าพ่อไม่ได้ แม่จะไม่อนุญาติให้ลูกแต่งงานกับคนนั้นแน่ๆ”

      “โห แม่ ยังงี้นู๋ก็ได้ขึ้นคานนะสิ”

      ความรักมันอาจจะเป็นเพียงอารมณ์ๆนึง ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่า

      คุณพร้อมที่จะซื่อสัตย์กับมันหรือไม่ ก็แค่นั้น......

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×