ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #36 : CHAPTER 30 : คุณหมอกาอาระ (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.57K
      119
      9 ก.พ. 58

    บทที่ 30 คุณหมอกาอาระ

     

                แสงแดดยามเที่ยงวันที่เล็ดลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านสีครีม ทำให้อากาศภายในห้องนอนสไตล์โมเดิร์นที่แม้เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เต็มกำลังก็ยังร้อนระอุ ร่างแบบบางนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอนก่อนจะทนความร้อนที่ส่องโดนผิวกายไม่ไหวจนต้องยันตัวลุกขึ้นตื่นอย่างสะลึมสะลือ

     

                ทันทีที่ลืมตาตื่น ความปวดร้าวบริเวณศีรษะก็แล่นผ่านขึ้นมาเป็นริ้วจนเธอต้องยกมือกุมไว้แน่น ทั้งรู้สึกพะอืดพะอม วิงเวียนศีรษะ มิหนำซ้ำยังลำคอแห้งผากกระหายน้ำจนต้องกวาดสายตามองหาเครื่องดื่มดับกระหาย ใจชื้นขึ้นหน่อยเมื่อเห็นว่าที่ข้างเตียงมีเหยือกใส่น้ำพร้อมแก้ววางไว้บริการเสร็จสรรพ เมื่อได้รับน้ำแทรกผ่านลำคอ เจ้าของร่างระหงก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย หากแต่อาการปวดตุบๆที่ศีรษะกลับทำท่าเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น

     

                ฮินาตะนั่งนิ่งบนเตียง พยายามนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตนต้องมาเผชิญกับอาการประหลาดๆที่แสนจะทรมานพวกนี้ แล้วเธอก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อความเป็นจริงหลายอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวจนตั้งตัวแทบไม่ทัน เรื่องแรกคือตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่ในห้องที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เรื่องที่สองคือเธอเพิ่งแต่งงานไปเมื่อคืน สามคือเจ้าบ่าวของเธอคือชายที่เธอหลงรักมาเกือบยี่สิบปี สี่คือเธอเห็นเขาเมามายอยู่ที่ห้องรับแขก จากนั้น...

     

    หญิงสาวไม่กล้าขุดคุ้ยความทรงจำมากไปกว่านี้... เธอกระโดดลงจากเตียงลืมความเป็นกุลสตรีไปชั่วขณะ แล้วตรงรี่ไปที่ประตูบานสวยก่อนจะกระชากมันเปิดออกอย่างรวดเร็ว ภาพของบ้านสองชั้นที่ภายในตกแต่งเป็นสไตล์โมเดิร์นดูทันสมัยปรากฏแก่สายตา ฮินาตะจำได้แม่นว่ามันเป็นบ้านที่นารูโตะเคยพาเธอมาเที่ยวบ่อยๆ และบัดนี้มันก็กลายเป็นเรือนหอของพวกเธอไปเรียบร้อยแล้ว

     

    ร่างบางวิ่งทั่กๆลงบันไดสีขาวอย่างรีบเร่ง ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆหาตัวเจ้าของบ้านที่เธอกังวลว่าอาจจะคิดสั้นเพราะอกหักแล้วไปทำเรื่องไม่น่าให้อภัยอย่างการฆ่าตัวตายอยู่ที่ไหนซักที่

     

    “พี่นารูโตะ พี่นารูโตะคะ!?!” เสียงหวานตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอแทบจะร่วงลงไปกองที่ตาตุ่ม

     

    หลังจากวิ่งวนหาแทบจะทั่วบ้าน ร่างเล็กก็ลอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นเป้าหมายของเธอนั่งสาละวนอยู่กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องบางที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขก เสียงเคาะแป้นพิมพ์รัวๆแบบไม่มีหยุดพักทำให้เธอรู้ว่าเขากำลังติดลมกับโปรแกรมเจ้าปัญหาอะไรสักอย่างอีกแน่ๆ นารูโตะมักเป็นแบบนี้เสมอเวลาที่เขาใช้สมาธิเต็มที่กับงาน เขาจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างและแน่นอนว่าเสียงตะโกนเรียกของเธอก็ไม่อาจดังกระทบโสตประสาทของเขาได้  

     

                “พะ... พี่นารูโตะ...” เธอส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้งเมื่อขยับเข้าไปใกล้พอสมควร คราวนี้คนถูกเรียกดูเหมือนจะได้ยิน นารูโตะยอมละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมที่มีแต่ตัวอักษรกับตัวเลขเรียงติดกันเป็นพรืด แล้วเอี้ยวตัวมามองเธอ

     

                “ตื่นแล้วเหรอครับ?” เขาว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง “พี่ทำโจ๊กแก้เมาค้างให้น่ะ อยู่ในครัว ไปเอามาทานสิ” สั่งเสร็จก็หันกลับไปสนใจจอคอมเหมือนเดิม

     

                ร่างบางหน้าแดงเรื่อเพียงแค่ได้ยินว่าเขาเตรียมอาหารให้ เธอยืนเหม่อขัดเขินไม่ยอมขยับไปไหนจนคนสั่งต้องเอี้ยวตัวกลับมามองอีกที รอยยิ้มขำขันปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ฮินาตะสะดุ้งได้สติเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของคนตัวสูง

     

                “แต่ก่อนอื่นพี่ว่าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนเถอะ หน้าตาเราตอนนี้... ดูเหมือนไม่ใช่คนเลย”

     

                ประโยควิจารณ์ที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะทำให้ร่างเล็กหน้าร้อนซู่ด้วยความอับอาย ก่อนที่สายตาของเธอจะไปปะทะกับเงาของตัวเองที่ทอดอยู่บนผนังที่ทำด้วยกระจก ผมเผ้าชี้ฟูรุงรังอย่างคนเพิ่งตื่นนอน ใบหน้าที่บวมเป่ง กับคราบน้ำลายเล็กๆที่มุมปากทำเอาเธอแทบจะสลายตัวเองให้กลายเป็นอากาศ

     

                ฮินาตะก้มหน้าก้มตาวิ่งขึ้นบันไดกลับไปไม่พูดไม่จาจนคนมองตามหลุดหัวเราะพรืด ตั้งแต่รู้จักสนิทสนมกันมาหลายปี นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณหนูที่เรียบร้อยประหนึ่งผ้าพับไว้อย่างฮินาตะทำอะไรหลุดคาแร็กเตอร์อย่างการวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดที่ไม่สมกับเป็นกุลสตรี หรือการออกมาจากห้องนอนทั้งที่ไม่ได้จัดการตัวเองให้เรียบร้อย และถ้าบวกกับเรื่องเมื่อคืนที่สาวเจ้ายกสุราซดทั้งขวดอีก ก็ถือว่าเธอทำเขาช็อกแบบติดๆกันไปสามครั้งแล้ว ร่างสูงระบายยิ้มขำ...

     

    ต่อไปจะช็อกเรื่องอะไรดีล่ะ?

     

     

                เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา นารูโตะก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิดออกอีกครั้ง เขาเดาว่าร่างเล็กที่วิ่งหนีหายขึ้นไปแปลงโฉมเมื่อครู่คงจะกลับออกมาพร้อมกับรูปลักษณ์แบบเดิมที่เขาเห็นเป็นประจำเป็นแน่แท้ และเขาก็เดาไม่ผิดสักเท่าไหร่เมื่อเห็นร่างแบบบางในชุดมินิเดรสสีฟ้าเดินเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไปในครัว ซึ่งก็คงไปจัดการกับโจ๊กสูตรพิเศษที่เขาปรุงไว้อย่างสุดฝีมือ

     

                “ยกมานั่งทานตรงนี้สิครับ พี่มีเรื่องจะคุยด้วยพอดี” ร่างสูงตะโกนบอก ใช้เสียงระดับที่คิดว่าดังพอจะให้คนในครัวได้ยิน ไม่กี่นาทีถัดมาเขาก็เห็นร่างเล็กบางเดินก้มหน้าก้มตาถือชามใส่โจ๊กมานั่งแหมะอยู่ตรงโซฟาตัวที่อยู่ห่างจากเขาที่สุด

     

                “พะ... พี่นารูโตะ มีเรื่องอะไร จะ...จะคุยกับฉันคะ?” ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ ดวงตาสีมุกจ้องมองกุ้งตัวใหญ่ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในชามราวกับว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก นารูโตะพยายามจะไม่หัวเราะกับท่าทีเขินอายของคนตัวเล็ก เขาเริ่มเรื่องด้วยเสียงเรียบนิ่ง

     

     

                “เรื่องเมื่อคืน...”

     

                “ฉัน... ฉันจำได้ว่าต้องไปจ่ายตลาดค่ะ!” จู่ๆร่างบางพูดขัดเสียงดังพร้อมกับผุดยืนขึ้นจนคนเริ่มเรื่องตกใจ

     

    “หา?”

     

    “ขอตัวก่อนนะคะ!

     

                “เดี๋ยวสิครับ!” ร่างสูงร้องห้ามพร้อมกับปราดเข้าไปฉุดแขนคนคิดจะหนี

     

    “จะไปจ่ายตลาดตอนเที่ยงเนี่ยนะ?”

     

                “กะ...ก็... ฉันต้องเตรียมมื้อเย็น ถ้าช้าเดี๋ยวคุณพ่อจะดุ” เอ่ยแก้ตัวเสียงแผ่วผิดกับหัวใจที่เต้นโครมครามจนแทบจะระเบิด

     

                พอได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย นารูโตะก็แทบระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่ติดที่ว่าถ้าทำแบบนั้นเจ้าของข้อมือเล็กที่เขาจับอยู่อาจจะอับอายจนหัวใจวายตายไปก็ได้ สุดท้ายเขาก็ได้แต่กล้ำกลืนเสียงหัวเราะนั้นแล้วพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ

     

                “ฮะๆ...นะ...นี่ฮินะจัง...ฮะๆ ... ละ...ลืมอะไรไปรึเปล่าครับ?” ก็ยังมิวายหลุดขำออกมาจนคนถูกหัวเราะเริ่มมีอารมณ์โกรธ

     

    “ตลกมากเลยเหรอคะพี่นารูโตะ”

     

    “ฮะๆๆ พี่ขอโทษๆ พี่ไม่คิดว่าเราจะ... เพี้ยนขนาดนี้”

     

    “พี่นารูโตะ!!!

     

    “โอเค ไม่ขำแล้ว ฮ่าๆๆ” ถึงปากจะบอกไม่ขำแต่เสียงหัวเราะกลับดังสนั่น ร่างบางสะบัดมือออกอย่างหมั่นไส้ก่อนจะทิ้งตัวนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม ลืมความขัดเขินอับอายไปจนหมดสิ้น

     

    “เราแต่งงานกับพี่แล้วนะ ไม่ได้อยู่ที่บ้านฮิวงะแล้ว ไม่ต้องคร่ำเคร่งกับการเตรียมมือเช้ามื้อเที่ยงมื้อเย็นอะไรหรอก พี่ก็ไม่ได้ใจร้ายใช้เมียต่างทาสอะไรขนาดนั้น” หลังจากหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง คนตัวโตก็เริ่มอธิบายเป็นประโยคยาวยืด แต่เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาคนกำลังโกรธหน่อยๆหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก

     

                “มะ...เมีย...”

     

                “อื้ม เมียถ้าจะเรียกสุภาพกว่านั้นหน่อยก็ ภรรยาส่วนพี่ก็คือ สามีตอนนี้สถานะของเราทั้งคู่เป็นแบบนี้แล้ว หรือพี่พูดอะไรผิด?” พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง สังเกตปฏิกิริยาคนขี้อายอย่างใกล้ชิด

     

                “เปล่าค่ะ...” ร่างเล็กว่าพลางสั่นหัวปฏิเสธ แต่ทว่าน้ำเสียงเศร้าๆนั้นก็ทำคนชอบแกล้งขมวดคิ้วสงสัย

     

                “ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะครับ”

     

                “พี่นารูโตะคะ ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว... คือฉัน... ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะคะถ้าพี่จะ... หย่า...”

     

    “...”

     

    “ฉันไม่อยากทรมานพี่ ถ้าพี่ต้องการ...ฉันจะคืนอิสระให้ค่ะ

     

    บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลับมาเงียบกริบจนได้ยินเสียงของเครื่องปรับอากาศ มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดและทรมานใจ ทรมาน... จนเธอแทบจะทนไม่ไหว ฮินาตะนั่งหลับตานิ่ง ไล่หยดน้ำใสๆที่ทำท่าจะไหลออกไป เธอต้องเข้มแข็ง... อย่าให้เขาลังเลที่จะไปเพราะน้ำตาของเธอ

     

    ถ้าเขาอยู่แล้วเจ็บปวด...

    เธอก็ควรปล่อยเขาไป...

     

                “ ไม่อยากทรมานพี่? แล้วฮินะจังล่ะ... จะทรมานรึเปล่า?” เสียงทุ้มที่เจือไปด้วยความอบอุ่นเอ่ยถามหลังจากทิ้งให้บรรยากาศเงียบไปเกือบนาที ร่างสูงบีบมือเธอเบาๆ ส่งความห่วงใยผ่านมือนั้น...

     

                “ฉัน...ไม่...”

     

                “พี่รู้แล้วนะ ความรู้สึกที่เรามาต่อพี่น่ะ”

     

                “!!!

     

                “และพี่ก็รู้ว่าเราจำพี่ได้ ว่าพี่คือคนที่ช่วยเราเมื่อสิบเก้าปีก่อน” คำพูดของเขาช่วยเฉลยสิ่งที่เธอสงสัยมาตั้งแต่ตื่นนอน หญิงสาวตัวแข็งค้าง...

     

                “แสดงว่าเมื่อคืน...”

     

                “อืม... สารภาพมาหมดเปลือกเลย”

     

                แค่ได้ยินคำตอบที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ คนสารภาพแบบหมดเปลือกก็แทบจะเอาหน้ามุดพรมหนี ร่างแบบบางเกือบจะปีนข้ามโซฟาตัวใหญ่แล้ววิ่งกลับเข้าห้อง ล็อกประตู ไม่ยอมให้เขาเห็นหน้าเสียแล้วถ้าไม่ติดที่ว่ามือกาวของเขายังเหนี่ยวรั้งมือของเธอไว้เสียแน่นหนึบประหนึ่งติดกาวแห้งเร็วชั้นดี

     

                “จะรีบไปไหนล่ะครับ พี่ไม่ได้เล่าวีรกรรมของเราเมื่อคืนเลยนะ มีอย่างที่ไหน เจ้าสาวเมาถีบเจ้าบ่าวตกเตียงตั้งแต่คืนเข้าหอคืนแรก เหอะๆ ก้นกบพี่ยังระบมอยู่เลยนะครับ”

     

    คนชอบแกล้งยังคงเย้าแหย่ต่อ ยิ่งเห็นท่าทางอับอายขัดเขินของคนตัวเล็กมันก็ยิ่งทำให้ได้ใจ ใส่สีเติมไข่เพิ่มเรื่องราวให้ดูระทึกทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรเลย แต่ก็ดูเหมือนว่าสาวเจ้าจะเชื่อสนิท เพราะหลังจากฟังคำกล่าวหาที่ไม่มีมูลของเขา ดวงตากลมโตก็เบิกกว้าง ใบหน้าหวานถอดสีจนขาวซีดเหมือนไก่ต้ม ริมฝีปากบางสั่นระริก เค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก

       

                “จะ...จริงเหรอคะ!?!

     

                “พิสูจน์ดูมั้ยล่ะ เดี๋ยวถอดให้ดู” พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ทำท่าจะปลดกางเกงสามส่วนลายสก็อตที่ใส่อยู่จริงๆ เล่นเอาคนถูกกล่าวหาหน้าร้อนวูบ หันหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน

     

                “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเชื่อแล้ว” หญิงสาวละล่ำละลักบอก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ทำใจที่เต้นโครมครามให้สงบแล้วหันกลับมาพูดเสียงอ่อย

     

    “ฉันขอโทษค่ะที่...เอ่อ... เตะพี่ตกเตียง”

     

                “ถีบครับถีบ ไม่ใช่เตะ” เขาแก้ให้ก่อนจะย่นจมูกงอนๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังบูดบึ้งเหมือนเด็กน้อยจ้องมองเธอเคืองๆ

     

    “ฮินะจังตอนเมาน่ะแรงเยอะเอาเรื่องเลยนะ กว่าจะแบกกลับไปที่เตียงได้พี่ถูกทุบไปตั้งหลายครั้ง”

     

                “ขอโทษค่ะ...”

     

                เสียงหวานเอ่ยขอโทษทั้งที่จำไม่ได้สักนิดว่าเมื่อคืนตนทำอะไรไปบ้าง บรรยากาศดูจะคลายความตึงเครียดไปได้มาก ชั่วขณะหนึ่งเธอลืมไปเสียสนิทว่าเพิ่งจะพูดขอหย่ากับเขา แต่พอสติสตังกลับเข้าที่เข้าทาง ความเศร้าโศกที่ลืมเลือนไปทำให้เธอกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่

    เธอไม่อยากจะยอมรับเลยว่าพอได้อยู่ใกล้ๆเขาแล้วมีความสุขแทบบ้า ไม่อยากยอมรับเพราะไม่อยากเจ็บถ้าเขาตัดสินใจจะไป...  

     

                “พี่ไม่หย่าหรอกครับ... ไม่ว่าจุดเริ่มต้นมันจะเป็นแบบไหน แต่ตอนนี้ยังไงเราก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว พี่อาจจะไม่ใช่คนดีที่ควรคาดหวังอะไรนัก แต่พี่จะทำหน้าที่ของพี่ให้ดีที่สุด”

     

    ประโยคของเขาทำให้ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมอง แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าเขาจะไม่ยอมรับอิสระที่เธอมอบให้ นารูโตะยิ้มกับท่าทีงงงันของอีกฝ่ายก่อนจะพูดต่อ

     

                “มันอาจจะยากอยู่หน่อยเพราะพี่ใช้ชีวิตอิสระมาตลอด แต่ต่อจากนี้พี่จะคิดถึงครอบครัวให้มากๆ ถึงแม้มันจะรู้สึกแปลกๆก็เถอะที่จู่ๆน้องสาวสุดที่รักก็เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาแบบไม่ทันให้พี่ได้ตั้งตัว แต่ถึงยังไงตอนนี้ฮินะจังก็เป็นครอบครัวของพี่แล้ว พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้ฮินะจังต้องร้องไห้อีก”

     

    น้ำตาของเธอ...

    เห็นครั้งเดียวก็เกินพอ...

     

                ประโยคแห่งคำมั่นกับน้ำเสียงที่จริงจังของเขาขับให้น้ำตาที่กักเก็บไว้ไหลลงมาเป็นทาง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคนตัวเล็กทำเอาคนมองทำอะไรไม่ถูก

     

                “อ้าว พูดยังไม่ทันขาดคำ โจ๊กน่ะพี่ปรุงไว้เค็มพอดีแล้ว ไม่ต้องเติมน้ำตาให้มันหรอก” ร่างสูงพูดพลางระบายยิ้ม มือหนายกขึ้นลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

     

    “นี่กลายเป็นเด็กขี้แยร้องไห้บ่อยตั้งแต่เมื่อไหร่”

     

                “แต่พี่...ต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักนะคะ พี่จะไม่ได้กลับไปรอคนที่พี่รัก ฮึก... แล้วหัวใจของพี่ล่ะคะ มันไม่เจ็บเหรอ?” ร่างบางถามเสียงสั่น แค่จินตนาการถึงความเจ็บปวดของเขาหัวใจก็เหมือนถูกกรีด ถ้าเธอต้องทนเห็นสภาพช้ำปางตายของเขาแบบเมื่อคืน...

     

    เธอจะทนได้อย่างไร?

     

                นารูโตะยิ้มอ่อนใจกับคนตรงหน้า เขารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ใจดีจนยากจะหาใครมาเสมอ การที่เธอจะมาขอหย่าเพื่อคืนอิสระให้เขามันก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เพิ่งจะมามั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองเมื่อคืน... ตอนที่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับเขา...

     

                “ตอนแรกมันก็เจ็บนะ เจ็บมากๆเลยล่ะ แต่ตอนนี้มันแค่ระบม” ร่างสูงพูดตามความจริง ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลวูบสลดลงหากแต่ก็ไม่เคว้งคว้างไร้วิญญาณเหมือนที่ผ่านมา

     

    “พี่นอนคิดมาทั้งคืนนะครับ... ถ้าคนที่เธอรักคือหมอนั่น พี่ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง”

     

    “...”

     

    “ถึงจะเจ็บใจ เจ็บปวด... แต่พี่เชื่อว่าเธอจะต้องมีความสุข และก็ในฐานะของศัตรู... พี่เชื่อว่ามันจะไม่ทำให้คนที่พี่รักต้องเสียใจ มันจะต้องดูแลเธอได้ดีแน่ๆ อาจจะดีกว่าพี่ด้วยซ้ำ” รอยยิ้มเศร้าๆปรากฏบนใบหน้าหล่อคมอีกครั้ง แต่ทว่าพักเดียวมันก็หายไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มยินดีที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

     

    “ดังนั้นแล้วพี่ควรจะยิ้มยินดีกับเธอ แล้วกลับมาดูแลคนที่ควรดูแล”

     

                “พี่นารูโตะ...”

     

                “พี่ไม่รับปากหรอกนะว่าพี่จะสามารถรักฮินะจังเหมือนที่ผู้ชายรักผู้หญิงคนหนึ่งได้รึเปล่า แต่พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้เราต้องเสียใจ ให้เวลาพี่หน่อยนะครับ พี่เชื่อว่าซักวันนึง... หัวใจของพี่จะถูกเติมเต็มอีกครั้ง”

     

                คำพูดกับประกายแห่งความหวังในดวงตาของเขาไม่ได้โกหก...

                การเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนทั้งที่ยังตัดใจไม่ได้เป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้... ความรักอันบริสุทธิ์ของเธอจะช่วยถมช่องว่างในหัวใจของเขา มันอาจจะใช้เวลานาน... แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถรักผู้หญิงตรงหน้าได้สุดหัวใจ...

     

    เธอจะเป็นรักครั้งใหม่...

    และจะเป็น.... รักสุดท้าย...

     

                “ฉันจะรอวันนั้นค่ะ”

     

     

                เขินอ่ะ >< นารูโตะกับหนูฮิน่ารักมากกกกก ในขณะที่คู่นี้เริ่มจะหวาน คู่อื่นๆก็กำลังจะไปทัวร์ดินแดนมาม่ารสเข้ม อ้อ สำหรับใครที่ทวงคู่ซาอิอิโนะมา ไม่ต้องรีบค่ะไม่ต้องรีบ ไรต์รับรองว่าจะจัดให้อย่างถึงอกถึงใจแน่นอน ส่วนบักเป็ด... ตอนนี้ยังไม่มีคำบรรยายสำหรับเจ้านี่ ปล่อยให้รีดเดอร์ทรมานใจเล่นๆไปก่อน (แลดูชั่วเนาะ -0-)

     

    80%

     

                เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้วที่เธอเดินออกจากร้านขายเสื้อผ้าสำหรับคู่รัก มันเป็นร้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ในซอยซึ่งคั่นระหว่างห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่กับโรงแรมชื่อดัง ซากุระส่งยิ้มให้เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายร่างหนาหน้าตาดุดัน ก่อนจะพาตัวเองมายืนรอรถโดยสารประจำทางที่ป้ายรอรถหน้าห้าง

     

                เจ้าของใบหน้าหวานระบายยิ้มกว้างวาดรอยยิ้มชวนหลงจนคนที่ยืนรอรถแถวๆนั้นพากันหันมามองกันเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่จ้องกันตาเป็นมัน บางคนก็หลงเคลิ้มจนลืมดูว่ารถสายที่ตัวเองยืนรอมานานแสนนานได้เคลื่อนตัวออกจากท่าไปแล้ว หากแต่หญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มกลับไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเป็นจุดเด่น ดวงตาสีมรกตมองเสื้อคู่รักสองตัวที่ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในถุงพลาสติกที่มีตราของร้านประทับหราอยู่

     

    ยิ่งมองก็ยิ่งยิ้ม... ในหัวพลันจินตนาการว่าถ้าหากเขาคนนั้นยอม ใส่เสื้อคู่รักที่เธอซื้อให้มันจะเป็นอย่างไร?

     

    คงจะน่ารักไม่น้อย

     

    เธอตอบเอาเองในใจ เพราะตั้งแต่เห็นชายที่ชื่อ อุจิวะ ซาสึเกะ มา ไม่ว่าจะตามหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อต่างๆ หรือแม้กระทั่งตัวเป็นๆ เธอยังไม่เคยเห็นเขาแต่งกายด้วยสีอื่นเลยนอกจากสีดำ สีขาว สีเทา และสีโทนมืดมนหม่นหมองทั้งหลาย ถ้าจู่ๆเขาต้องมาใส่เสื้อยืดคอกลมสีชมพูแถมมีลายมิกกี้เม้าส์สุดน่ารักสกรีนไว้เสียเกือบครึ่งตัว มันก็คงจะน่ารักน่าหยิกน่าดู

     

    แค่คิดก็ขำ...

     

                ร่างบางสาบานกับตัวเองในใจว่าไม่ว่าอย่างไร วันนี้เธอก็จะต้องบังคับให้เขาใส่เสื้อคู่รักคู่กับเธอให้ได้ เธอมีความคิดที่จะแปลงโฉมราชาสุดมืดมนให้กลายเป็นเทพบุตรสุดน่ารักตั้งแต่ช่วงอาทิตย์ก่อน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสปลีกตัวไปหาซื้อเสื้อคู่รักสำหรับภารกิจลับนี้สักที แต่เพราะวันนี้ซาสึเกะแอบแวบหายออกไปจากบ้านตั้งแต่ก่อนที่เธอจะตื่นเพราะเพลียจัดในช่วงบ่าย หญิงจึงถือโอกาสนี้มาซื้อของทำเซอร์ไพรส์เขา

    แค่นึกถึงใบหน้าเหวอๆของราชาจอมโหดตอนที่ถูกบังคับให้ใส่เจ้าเสื้อแสนน่ารักตัวนี้ ปีศาจตัวน้อยๆในตัวเธอก็พากันลิงโลด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอซื้ออะไรสักอย่างให้เขา...

     

    เป็นครั้งแรก...

    ที่เธอซื้อของให้ใครสักคนในฐานะ คนรัก...   

     

                “แม่หนูจ๊ะ”

     

                เสียงแหบๆของใครคนหนึ่งปลุกเธอตื่นจากภวังค์ความคิด หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียกก็พบหญิงชราอายุน่าจะเลยเลขหกเดินกะโผลกกะเผลก ถือข้าวของรุงรังตรงเข้ามาหา ใบหน้าของอีกฝ่ายดูซูบซีดอ่อนแรงจนเธอต้องเข้าไปพยุงก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

     

                “เรียกหนูเหรอคะคุณยาย”

     

                “จ้ะ” หญิงชราตอบพร้อมพยักหน้าให้ก่อนจะหยุดเว้นวรรคพักหายใจแล้วเอ่ยต่อ

     

    “ยายจะถามทางไปโรงพยาบาลกลางน่ะจ้ะ ยายมาจากต่างจังหวัด... มาเยี่ยมลูกชาย แต่ยายไม่รู้จะไปยังไง”

     

                “โรงพยาบาลกลาง...” หญิงสาวทวนคำพลางนึก “จากตรงนี้มันไกลนะคะ แถมไปลำบากด้วย ต้องต่อรถเมล์ตั้งสามสายแน่ะ หนูว่าขึ้นแท็กซี่ไปดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหนูเรียกให้... คุณยาย!!!

     

                เสียงหวานร้องตะโกนอย่างตกใจเมื่อจู่ๆคนมาถามทางก็วูบหมดสติ ปล่อยข้าวของรุงรังร่วงจากมือทั้งอย่างนั้น เคราะห์ยังดีที่เธอปราดเข้าไปพยุงร่างผอมบางนั้นไว้ได้ทันก่อนที่ทั้งร่างจะล้มกระแทกพื้น

     

                “คุณยายเป็นอะไรคะ!?! คุณยาย!” ร้องเรียกเสียงลนลานอย่างไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อสัมผัสผิวกายของคนหมดสติแล้วพบว่ามันเย็นชืดประหนึ่งร่างไร้ลมหายใจต่างจากคนเป็นลมปกติ คนที่ยืนรอรถอยู่ใกล้ๆกันส่งเสียงฮือฮาอยากรู้อยากเห็นก่อนจะมีเสียงตะโกนแว่วๆจากฝูงคนมุงว่าให้เรียกรถพยาบาล

     

                “รถพยาบาล... ต้องเรียกรถพยาบาล” พึมพำเสร็จมือบางก็คว้ามือถือกดเบอร์โทรฉุกเฉินเรียกรถพยาบาลทั้งที่มือยังสั่น

     

                “คุณยาย อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคะ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว” พูดกล่อมไปเหมือนกล่อมตัวเองเสียมากกว่า หัวใจเต้นระรัวด้วยกลัวว่าหญิงชราที่เพิ่งพบหน้ากันจะเป็นอะไรไป ก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่เดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากโรงแรมสไตล์วิคตอเรียที่ตั้งเยื้องๆกัน เรือนผมสีแดงหม่นๆกับใบหน้าหล่อเหลาติดจะดุทำให้เขาโดดเด่นแตกต่างจากคนอื่น หญิงสาวจำเขาได้ทันทีเพราะเพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน และก็จำได้แม่นเสียด้วยว่าเขาเป็น... หมอ...

     

                “หมอ... หมอ ใช่สิ นั่นก็หมอ!” พูดกับตัวเองพร้อมระบายยิ้มกว้างอย่างดีใจ หัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาหน่อยที่บังเอิญมีบุคคลที่ต้องการเดินผ่านมาพอดี ร่างบางรวบรวมสติก่อนจะตะโกนเรียกเป้าหมายเสียงดัง

     

                “คุณ! คุณคะคุณ!

     

                แต่เสียงของเธอคงจะเบาไปเพราะเรียกอยู่นานเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน แถมยังเดินตรงไปที่สปอร์ตคาร์คันสีขาวที่จอดอวดสวยอยู่ริมถนนอีกต่างหาก เมื่อเห็นดังนั้นคนกำลังร้อนใจก็แทบจะพ่นไฟได้ ร่างบางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเปล่งเสียงเรียกที่ดังกว่าครั้งไหนๆ

     

                “คุณทานุกิ!!!

     

    เงียบ...

     

                แต่ทว่าก็ได้ผลเมื่อเป้าหมายตวัดสายตาคมกริบหันมามอง...

                ซากุระหอบแฮก เหนื่อยเหลือเกินกว่าจะเรียกเขาได้ แต่แล้วเธอก็ต้องตัวชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นสายตาดุๆที่มองมา

     

    เขาคงจะโกรธ...

     

                แต่เพราะตอนนี้ในมือของเธอมีคนป่วยอยู่จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอื่น หญิงสาวส่งเสียงเรียกขอความช่วยเหลืออีกหน

     

                “ช่วยมาทางนี้หน่อยค่ะ ตรงนี้มีคนเจ็บ”

     

                เมื่อสแกนด้วยสายตาดูแล้วเห็นว่าคนที่บังอาจเรียกเขาด้วยถ้อยคำหยาบคายคือหญิงสาวที่พบกันเมื่อคืนวาน ใบหน้าหล่อเหลาก็ระบายยิ้มแปลกๆ จะโกรธก็ไม่เชิง หมั่นไส้ก็ไม่ใช่ จะว่าขำก็ไม่เหมือน รวมๆกันแล้วมันจึงกลายเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับจะบอกว่าเขากำลังคันไม้คันมืออยากบีบคอใครสักคนเต็มแก่

    ร่างสูงเดินดุ่มๆเข้าไปหาคนเรียกที่กำลังประคองศีรษะของหญิงชราคนหนึ่งไว้บนตัก เขานั่งยองๆข้างเธอก่อนจะพูด

     

                “เจอกันอีกแล้วนะครับ แต่มันจะไม่เสียมารยาทไปหน่อยเหรอที่เรียกคนที่ไม่รู้จักกันว่า ทานุกิน่ะ” พูดเสียงเครียดพลางยืมแกนๆแต่สาวเจ้าดูเหมือนจะไม่สนใจ เธอมองเขาด้วยแววตาที่ตื่นตระหนก

     

                “เอาเป็นว่าฉันขอโทษก็แล้วกันค่ะ แต่คุณอย่าเพิ่งพูดมากเลย ช่วยดูคุณยายให้หน่อยนะคะ” ร่างบางเอ่ยขอโทษเสียงร้อนรนพลางขอร้องให้เขาช่วยดูอาการคนป่วยที่เหมือนหน้าจะซีดลงอีก แต่คุณหมอหนุ่มก็ทำเพียงกลอกตาไปมาเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย

     

                “แล้วคุณรู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นหมอ”

     

                “ฉันได้ยินคุณซาโซริเรียกคุณน่ะค่ะ คุณยายเป็นยังไงบ้างคะ”

     

                “อ้อ เค้าเป็นคุณยายของคุณเหรอ หน้าตาไม่ยักจะเหมือนกัน”

     

                “เอ๊ะ! คุณหมอ คนเจ็บอยู่ตรงหน้าแท้ๆทำไมคุณเอาแต่ชวนคุยคะ! ถ้าท่านเป็นอะไรล่ะก็ เป็นความผิดของคุณคนเดียวเลย!” ตวาดแว้ดออกมาอย่างเหลืออดเมื่อคนที่เปรียบเสมือนความหวังเอาแต่ทำเป็นเล่น ดวงตาสีมรกตตวัดมองคุณหมออย่างขุ่นเคืองจนคนถูกมองหนาวยะเยือกไปถึงสันหลัง ชายหนุ่มยกมือขึ้นเหมือนยอมแพ้

     

                “โอเค ผมไม่เล่นแล้วก็ได้” เขาว่าพร้อมกับหัวเราะ หลังจากนั้นใบหน้าเปื้อนยิ้มก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง ร่างสูงหันมาสั่งเธอเสียงเฉียบ

     

    “คุณเอากระเป๋าวางรองใต้ขาคนไข้ก่อน ทำยังไงก็ได้ครับให้ตำแหน่งขาสูงกว่าศีรษะ แล้วจับตัวตะแคงมาทางผม” พูดจบก็หยิบไฟฉายขนาดเล็กที่พกติดตัวส่องตรวจดูการหดตัวของรูม่านตาจากนั้นก็วัดชีพจรที่ข้อมือ

     

                “คุณยายของคุณมีโรคประจำตัวอะไรมั้ยครับ?” ร่างสูงถามเสียงเครียด ใบหน้าของเขาฉายแววกังวลจนคนมองชักใจไม่ดี ต่อมความสงสารในตัวเกิดปฏิกิริยาทันทีเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจอันหนักหน่วงของคุณหมอหนุ่ม

     

                “มะ...ไม่ทราบค่ะ...” พูดเสียงสั่นเพราะก้อนแข็งๆจุกอยู่ที่คอ หยดน้ำใสๆรื้นขึ้นที่ตา

     

    “ท่านแค่มาถามทางฉัน แล้วจู่ๆ...ฮึก...  ท่านก็ล้มลงไป”

     

    พอเห็นสาวเจ้าบ่อน้ำตาแตกคนเป็นหมอก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ เห็นผู้หญิงขี้ใจอ่อนมาหรือก็เยอะ แต่ก็เพิ่งจะเคยเห็นพวกที่ใจอ่อนหวั่นไหวง่ายจนน่าเป็นห่วงก็คราวนี้แหละ

     

                “อืม... ผมว่าอาจจะหมดสติเพราะเป็นโรคหัวใจ” ชายหนุ่มสรุปเป็นประโยคสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำเอาคนฟังแทบช็อก

     

                “โรคหัวใจ!?!

     

                “ยังไม่ฟันธงครับ” เขารีบค้าน ก่อนจะอธิบายต่อ “แต่อัตราการเต้นของหัวใจต่ำผิดปกติ แต่มันก็อาจเป็นเพราะซิกไซนัสซินโดรม... เอ่อ...ผมหมายถึงตัวควบคุมการเต้นของหัวใจเสื่อมน่ะครับ ยังไงก็ต้องรอให้แพทย์เฉพาะทางวินิจฉัยหาสาเหตุอีกที ว่าแต่คุณเรียกรถพยาบาลแล้วใช่มั้ยครับ?”

     

                “ค่ะ... ฮึก... แต่คุณช่วยอะไรคุณยายไม่ได้เลยเหรอคะ ฉันสงสาร... คุณยาย... ฮึก... ท่านมาจากต่างจังหวัด มาเยี่ยมลูกชาย... ฮึก... แล้วคุณยายมาป่วย ฮึก... โรคหัวใจ... คุณยายจะเป็นอะไรมั้ยคะ?”

     

                “ผมยังไม่ได้บอกซักหน่อยว่าเป็นโรคหัวใจ แค่สันนิษฐาน...”

     

                “แล้วทำไมคุณถึงไม่รู้เรื่องล่ะคะ คุณเป็นหมอไม่ใช่เหรอ?... ฮึก...” ต่อว่าแบบพาลๆจนคนช่วยชักเดือด ต้องรีบเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิด

     

                “อ้าวคุณ ผมเป็นหมอก็จริงครับ แต่เป็นหมอสูติฯ นี่ก็ทำได้แค่สันนิษฐานไปตามที่เรียนมาคร่าวๆ เรื่องหัวใจน่ะผมไม่เชี่ยวชาญหรอก แต่ถ้าอยากมีลูกล่ะก็ให้มาหาผม ผมจัดให้ได้”

     

                ได้ฟังดังนั้นคนกำลังสติแตกก็มองหน้าเขานิ่ง เช็ดน้ำตาออกลวกๆ สูดน้ำมูกฟื้ดฟ้าดเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด เธอเบะปากน้อยๆอย่างรังเกียจก่อนจะบ่นพึมพำ

     

                “โรคจิต...วิปริต วิตถาร...”

     

                “นี่คุณกำลังว่าใคร...”

     

                ประโยคที่เหลือของเขาถูกกลบด้วยเสียงหวูดของรถพยาบาลที่ดังมาแต่ไกล และเสียงนั้นเองที่ดึงความสนใจของหญิงสาวไปจนหมด เธอพูดกับร่างไร้สติของหญิงชราด้วยท่าทางดีอกดีใจ

     

                “คุณยาย! รถพยาบาลมาแล้วค่ะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคะ”

     

                .ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่รถพยาบาลจอดเทียบใกล้ๆกับจุดที่พวกเธออยู่ บุรุษพยาบาลและพยาบาลสาวก็ลำเลียงคนป่วยเข้าไปอยู่ในรถฉุกเฉินที่มีอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือครบครันได้สำเร็จ พยาบาลสาวคนสวยหันมาส่งยิ้มให้คุณหมอหนุ่มที่กำลังจัดแจงสวมเครื่องช่วยหายใจให้หญิงชราก่อนจะพูด

     

                “จะไปด้วยกันมั้ยคะคุณหมอ?” พูดพร้อมกับยิ้มหวานหยดแต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ

     

                “ผมมีเรื่องต้องจัดการต่อน่ะครับ พวกคุณไปเถอะ ถ้าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับอาการเพิ่มเติมก็โทรมาถามผม อ้อ ฝากบอกแผนกERด้วยครับว่าผมสงสัยว่าผู้ป่วยอาจจะเป็นเกี่ยวกับโรคหัวใจ ทางที่ดีควรเตรียมแพทย์เฉพาะทางรอไว้ อะไรๆมันจะได้ไม่สายเกินแก้” สั่งเสียงเฉียบแล้วก็กระโดดลงจากรถฉุกเฉินมายืนข้างๆสาวสวยที่ตอนนี้ใบหน้ามอมแมมไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งสนิท

     

                “นึกว่าจะไปกับรถพยาบาลซะอีก” เสียงทุ้มเอ่ยลอยๆ แต่คนที่ยืนมองรถคันสีขาวที่เปิดหวูดเสียงดังแล่นออกไปก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังพูดกับตน หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆก่อนจะตอบ

     

                “ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องรีบกลับ...บ้าน...”

     

                เสียงช่วงท้ายขาดหายไปก่อนที่ร่างเล็กจะล้มพับไปต่อหน้าต่อตา คนตัวสูงตาเบิกโพลงอย่างตกใจก่อนจะตวัดมือคว้าเอวบางเอาไว้แล้วช้อนตัวขึ้นอุ้ม

     

                “คุณซากุระ!!! ส่งเสียงเรียกเสียงดังแต่คนหมดสติก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว ร่างสูงลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะบ่งบอกว่าเธอแค่หมดสติไปเฉยๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นเป็นห่วง

     

    “จะช่วยคนอื่นก็ไม่ได้ดูตัวเองเลยนะ”

     

                พูดอย่างอ่อนใจเสร็จก็อุ้มร่างแบบบางเดินกลับเข้าไปในโรงแรมหรูสไตล์วิคตอเรียที่เขาเป็นเจ้าของ

     

    เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่งที่แอบสะกดรอยตามหญิงสาวตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้านอุจิวะ ดวงตาแสนร้ายกาจจ้องมองเป้าหมายที่บัดนี้ถูกคุณหมอหนุ่มพาตัวเข้าไปในโรงแรมก่อนจะแสยะยิ้มชั่วร้าย มือกร้านหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นเก๋ากึ๊กออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรหานายจ้าง...

     

    “ผมมีเรื่องจะรายงานครับ คุณคาริน...”

     

     

     

                หึๆ ถึงกับต้องเปลี่ยนชื่อตอนเพราะหักเรื่องหลบกะทันหัน แถมต้องเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ใหม่ด้วย รออีก 20%ที่เหลือนะคะ ไม่น่าจะเกินพรุ่งนี้ไรต์จะมาอัพให้หายปวดตับกัน สำหรับน้องๆม.6ที่เพิ่งสอบโอเน็ตเสร็จ พี่ล่ะอยากจะเตรียมของขวัญน่ารักๆให้จริงๆ แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้ ยังไงก็ขออวยพรให้คะแนนออกมาดีๆนะคะ อะไรผ่านไปแล้วก็อย่าซีเรียส พี่เข้าใจฟีล ปีที่แล้วพี่ก็สอบ 555

     
     

    100%

     

     

                ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูงทำให้ร่างเล็กที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงภายในห้องที่ตกแต่งด้วยสไตล์โบราณสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ต้องขยับตัวยุกยิกควานหาความอบอุ่นจากผ้าห่มผืนใหญ่

     

    ภาพของหญิงสาวที่นอนขดตัวแน่นแถมยังส่งเสียงงึมงำๆในลำคอเหมือนเด็กๆทำให้คนมองส่ายหน้าอย่างระอา ร่างสูงปิดตำราแพทย์ที่เอามาอ่านฆ่าเวลาก่อนจะเดินไปหยิบรีโมทปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นราวๆสองถึงสามองศาเซลเซียส จากนั้นก็กลับมานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือต่อ แต่พอสายตาเจ้ากรรมเห็นเจ้าของร่างระหงยังคงพยายามใช้มือผอมบางดึงๆผ้าห่มขึ้นคลุมกาย คุณหมอหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางโน้มตัวช่วยสาวเจ้าขยับผ้าห่มอีกแรง และก็เพราะแรงช่วยเหลือจากเขานั่นเองที่ทำให้คนนอนรู้สึกตัว

     

    ร่างบางปรือตาขึ้นเล็กน้อย แพขนตาหนากระพริบถี่ๆสองสามทีก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะเบิกโพลงเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้เพียงไม่กี่คืบ

     

    “กรี๊ด!!!

     

    จะว่าเพราะความตกใจก็ว่าได้ที่ทำให้หญิงสาวฟาดมือเข้าที่ใบหน้าดุๆของคุณหมอผู้หวังดีจนอีกฝ่ายหน้าหันไปอีกทาง ตำราแพทย์สุดรักสุดหวงที่วางไว้ข้างเตียงร่วงตุ้บลงที่พื้นทั้งยังแผ่กระจายจนเกิดรอยยับย่นไปหลายหน้า

     

    “หยุด!” ชายหนุ่มตวาดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง เขาขยับใบหน้าที่ชาหนึบเพราะแรงตบเต็มแรงก่อนจะพูดต่อ

     

    “และก็ไม่ต้องถามว่า คุณทำอะไรฉัน เหมือนนางเอกละครหลังข่าวด้วย คุณเป็นลมที่หน้าโรงแรมผมก็เลยอุ้มคุณขึ้นมาพักที่นี่ และผมก็ไม่ได้ล่วงเกินอะไรคุณแม้แต่นิดเดียว เช็คดูได้เลย”

     

    พอได้ฟังคำอธิบายร่างบางก็สำรวจร่างกายตัวเองอย่างงงงัน เมื่อพบว่าไม่มีส่วนไหนสึกหรอก็หันมาส่งยิ้มแห้งให้คนที่เพิ่งถูกตนประทุษร้ายอย่างรู้สึกผิด

     

    “ขอโทษค่ะ คุณ... เอ่อ... ไม่เจ็บใช่มั้ยคะ?” ขอโทษเสียงอ่อยพลางค่อยๆก้าวขาลงจากเตียง ฝ่ายคนถูกตบก็ทำเพียงปรายตามองก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด ร่างสูงก้มลงเก็บตำราแพทย์ที่นอนแอ้งแม้งหมดสภาพ แล้วเอามือลูบๆหน้าที่ยับย่นพยายามจะทำให้มันเรียบแต่ทว่าก็ไร้ผล

     

    “คุณฟื้นแล้วก็ดี ผมจะได้ไปทำธุระของผมบ้าง เสียเวลาอยู่เฝ้าตั้งหลายชั่วโมง” บ่นเสร็จก็เชิดหน้าใส่ แต่สาวเจ้าดูท่าจะไม่สนใจว่าเขาอุตส่าห์อุทิศเวลาให้ เพราะเพียงได้ยินประโยคของเขา ใบหน้าของเธอก็ตื่นตระหนกพลันก็ขาวซีดลงเหมือนไก่ต้ม

     

    “ตะ... ตอนนี้กี่โมงคะ?” ถามเสียงสั่นทั้งที่ที่ข้อมือตัวเองก็มีนาฬิกา แต่คนถูกถามก็ยังใจดีตอบให้

     

    “อีกสิบห้านาทีจะสองทุ่ม”

     

    ได้ยินเท่านั้นล่ะร่างเล็กก็แทบจะกระโจนออกจากห้องไปไม่คิดหน้าคิดหลัง เดือดร้อนคนตัวสูงต้องเก็บข้าวเก็บของของเจ้าหล่อนวิ่งตามออกไปด้วย

     

    นี่มันวันซวยอะไรของเขากัน!?!

     

    ภาพของเจ้านายสุดหล่อที่วิ่งทั่กๆตามสาวสวยผ่านห้องล็อบบี้ในโรงแรมทำเอาพนักงานหลายคนงงเป็นไก่ตาแตก แค่ตอนที่เห็นเจ้านายของตนลงทุนอุ้มร่างไร้สติขึ้นไปนอนพักถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสูงสุดของโรงแรมนั่นก็ว่าแปลกแล้ว ยิ่งมาเห็นสภาพหิ้วข้าวของพะรุงพะรังวิ่งตามกันแบบนี้ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ แต่ถึงจะสงสัยยังไงก็ไม่มีใครกล้าสอดไปถาม เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าของโรงแรมคนปัจจุบันเป็นคน... ดุ

     

    “คุณน่าจะปลุกฉันนะคะ” เป็นประโยคแรกที่เธอพูดหลังจากพาตัวเองมายืนอยู่ที่ป้ายรอรถที่เดิมได้

     

    “ก็เห็นว่านอนสบายๆอยู่ และผมก็คิดว่าคุณต้องการพักผ่อน ไม่มีหมอคนไหนจะปลุกคนไข้ที่นอนไม่ได้สติโดยไม่จำเป็นหรอกนะ”

     

    “โธ่ ทีแบบนี้ล่ะจิตวิญญาณความเป็นหมอลุกโชนเชียวนะคะ” เธอเหน็บแบบพาลๆ ก่อนจะพูดต่อ

     

    “ยังไงฉันก็ขอบคุณคุณมากนะคะที่ช่วยเหลือไว้ตั้งหลายครั้ง ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสฉันจะมาตอบแทนให้แน่นอนค่ะ”

     

    “ตอบแทน?” ร่างสูงทวนคำก่อนจะฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “อ้อ ใช่สิ ผมไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรีๆ”

               

    “นี่คุณ... คิดจะทวงค่าตอบแทนจริงๆเหรอคะ” หญิงสาวว่าเสียงร้อนรน เธอไม่ได้มีปัญหาเรื่องจะตอบแทนเขา แต่ตอนนี้ปัญหาของเธอคือเธอกลับบ้านช้ากว่ากำหนดไปนานโข แต่คนจะทวงค่าตอบแทนดูเหมือนจะไม่เข้าใจ

     

                “อ้าว คุณพูดมาเองนะครับว่าจะตอบแทนผม”

     

                “แต่ฉันไม่มีเวลา...”

     

                “นี่นามบัตรของผม” เขาพูดพร้อมกับยัดบัตรแข็งๆใส่มือเธอ ซากุระรับมาแบบงงๆก่อนจะพลิกบัตรรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าดู มันเป็นบัตรสีดำที่ดีไซน์ไว้อย่างหรูหรา มีตัวอักษรสีขาวเขียนบอกตำแหน่งเจ้าของบัตรที่เป็นทั้งหมอและเจ้าของโรงแรมซึนะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังของเธอ ร่างบางอาศัยแสงไฟจากหลอดนีออนข้างถนนอ่านชื่อของเขาที่เขียนเป็นตัวโรมันจิ Sabaku no Gaara

     

    “ซาบาคุ โนะ กาอาระ?”

     

    หญิงสาวทวนคำ ดวงตาสีมรกตมองหน้าของเขาสลับกับชื่อในนามบัตร คุณหมอหนุ่มนาม กาอาระถอนหายใจอีกระลอกเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านิ่งงันไป เขาดีดนิ้วเปาะเรียกสติของเธอคืนก่อนจะพูดต่อ

     

    “ผมเพิ่งเปิดโรงแรมที่ฮอกไกโด แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดให้บริการ ผมอยากให้คุณช่วยไปเป็นแขกคนแรกให้ที อยากให้วิจารณ์หน่อยว่าโรงแรมของผมควรจะเพิ่มหรือปรับปรุงอะไรบ้าง และคุณก็ต้องไปด้วยนะครับ ถือว่าเป็นการตอบแทนผม”

     

    !!!

     

    พูดจบก็หยิบมือถือสมาร์ทโฟนเครื่องบางมากดดูตารางงานที่แน่นเอี๊ยดโดยไม่สนใจใบหน้าที่ตื่นตกใจของเธอเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพึมพำบางอย่างเหมือนคิดกับตัวเองซะมากกว่า และไม่กี่วินาทีถัดมาเจ้าของดวงตาสีโอปอลก็เงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วพูด

     

    “อืม... เรานัดกันอาทิตย์หน้าเป็นไง จะวันไหนคุณก็เลือกมาเลยเพราะผมลาพักร้อนทั้งอาทิตย์อยู่แล้ว โทรมานัดผมแล้วผมจะส่งที่อยู่โรงแรมไปให้ ค่าที่พักกับค่าอาหารฟรีแต่ค่าเดินทางคุณคงต้องออกเอง เป็นไงครับ แฟร์ดีใช่มั้ยล่ะ?”

     

    ข้อเสนอของเขาน่าสนใจ... แต่เธอรู้ตัวดีว่าคงไปไม่ได้

     

    ซาสึเกะไม่อนุญาต...

     

                เขาไม่เคยอนุญาตให้เธอไปไหนไกลหูไกลตา กลับบ้านต้องตรงเวลา ห้ามหนีเที่ยว ห้ามออกต่างจังหวัด แค่จะไปสังสรรค์กับเพื่อนสมัยม.ปลายเขายังห้าม แล้วนับประสาอะไรกับการไปเป็นแขกทดลองที่โรงแรมในฮอกไกโดที่อยู่เหนือสุดของประเทศแบบนั้น ปกติเธอเองก็ไม่ใช่คนคิดมากแบบนี้ แต่หมู่นี้ชักจะคิดเล็กคิดน้อยเป็นพิเศษ

    หลายครั้งหลายคราที่อยากจะขอออกไปเปิดหูเปิดตาที่สถานที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านกับบริษัทบ้าง อยากจะให้เขาพักผ่อนจากงานที่คร่ำเคร่งแล้วไปเที่ยวกันตามประสาคู่รักทั่วไป แต่เธอก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้...

     

    ความสัมพันธ์...

    ต้องปิดเป็นความลับ...

     

                “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะครับ แต่คุณโทรบอกผมล่วงหน้าซักสองสามวันก็จะดี ที่โรงแรมผมมีบ่อน้ำพุร้อนด้วย ผมจะได้ให้คนเคลียร์พื้นที่สำหรับลงแช่ไว้ให้”

     

                “ฉันยังไม่ได้บอกนี่คะว่าจะไป” หญิงสาวพูดขัดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ดวงตาสีมรกตหลุบต่ำ ไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นความอ่อนแอของตัวเอง

     

    “ฉัน... ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนหรอกค่ะ”

     

                “เจ้าของของคุณเขาหวงขนาดนั้นเชียว?” คุณหมอหนุ่มสวนขึ้นอย่างรู้ทัน ใบหน้าแสนดุระบายยิ้มเจ้าเล่ห์

     

    !!!

     

    “หึๆ แต่ผมบังคับว่าต้องไปนะครับ ไม่งั้นผมจะถือว่าคุณเป็นพวกไม่รู้คุณคน”

     

                “แต่ว่าฉัน...”

     

                “แท็กซี่มาโน่นแล้ว” เขาเปลี่ยนประเด็นก่อนที่เธอจะทันเอ่ยปฏิเสธ มือหนายัดข้าวของของเธอใส่มือคืนเจ้าของ ร่างสูงเปิดประตูรถแท็กซี่ที่จอดเทียบข้างทางให้ก่อนจะพูดบางอย่างเมื่อเธอเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว

     

    “เดินทางกลับบ้านดีๆนะครับ และผมก็ขอแนะนำว่าคุณควรไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล การเป็นลมหมดสติของคุณคราวนี้ผมคิดว่ามันมีสาเหตุ ไม่แน่...คุณอาจจะมีข่าวดี”

     

                “ข่าวดี?” หญิงสาวทวนคำ จู่ๆหัวใจดวงน้อยก็เต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

                “งั้นเอางี้ พรุ่งนี้คุณแวะไปที่โรงพยาบาลกลางสิ ผมมีเวรตรวจตอนบ่ายพอดี เดี๋ยวผมจะตรวจให้เป็นกรณีพิเศษ” เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมแต่เพิ่มข้อเสนอให้ และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอสับสนเข้าไปใหญ่

     

                “ ตรวจ?แต่คุณ... เป็นหมอสูติฯ”

     

                “ก็มาที่แผนกสูติ-นรีเวชฯนั่นแหละครับ ถ้ามาก่อนเที่ยงผมเลี้ยงข้าวฟรีด้วยนะ โปรดีๆแบบนี้ไม่คว้าไว้ล่ะเสียดายตาย” 

     

    .

    .

    .

     

     

                คำพูดของคุณหมอหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้ากันยังคงก้องอยู่ในหัว ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร การที่หมอจากแผนกสูติ-นรีเวชฯบอกให้เธอไปตรวจร่างกายที่แผนกนั้นมันก็คงมีไม่กี่สาเหตุ และถ้าบวกกับที่ประจำเดือนของเธอขาดไปตั้งแต่เดือนที่แล้วนั่นก็ยิ่งเข้าเค้า มันก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอจะสรุปออกมาได้ว่าเธออาจจะกำลัง...

     

    ท้อง...

     

                มือเล็กลูบที่หน้าท้องแบนราบของตัวเองอย่างเหม่อลอย ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาในหัว ทั้งตื้นตัน ดีใจ แต่ก็เคล้าไปด้วยความเศร้าอยู่ลึกๆ ถ้าในท้องของเธอมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เป็นพยานรักระหว่างเธอกับซาสึเกะจริง ตอนนี้เขาจะมีหน้าตาเป็นแบบไหนนะ? จะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง? จะหน้าตาเหมือนเธอหรือเหมือนซาสึเกะ? เธอตั้งคำถามในใจพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา...

     

    เพราะคำถามที่เธออยากจะรู้คำตอบมากที่สุด...

    คือ เขาจะมีสิทธิ์เรียกซาสึเกะว่า พ่อหรือเปล่า?

     

                รถแท็กซี่ชะลอความเร็วลงก่อนจะจอดที่หน้าปากซอยทางเข้าบ้านอุจิวะเพราะเธอไม่สามารถให้โชเฟอร์ขับเข้าไปส่งถึงหน้าบ้านได้ ซากุระจ่ายค่ารถก่อนจะลงจากแท็กซี่แล้วเดินเท้าต่ออีกราวๆสิบนาทีก็มายืนอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังงามที่คุ้นตา ไฟที่คฤหาสน์เปิดอยู่ไม่กี่ดวงทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้อิทาจิคงจะไม่อยู่บ้าน หญิงสาวละสายตาจากคฤหาสน์ทรงโบราณก่อนจะเดินเท้าเข้าไปยังบ้านทรงยุโรปที่ตั้งเยื้องไปทางด้านหลัง คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรถสปอร์ตเปิดประทุนสีแดงเพลิงจอดอยู่หน้าบ้าน ใกล้ๆกันมีรถยุโรปสีดำซึ่งเป็นรถประจำตำแหน่งของซาสึเกะจอดอยู่ข้างๆ หญิงสาวคิดว่าอาจจะเป็นรถของซาโซริที่ขยันเปลี่ยนแทบทุกเดือนจึงไม่ได้ติดใจอะไร เธอรู้ดีว่านอกจากเพื่อนสนิทอย่างทนายซาโซริกับเลขามือซ้ายมือขวา และพ่อครัวแล้ว ซาสึเกะจะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่างเข้าไปในบ้านเป็นอันขาด

     

                ร่างบางสูดหายใจเข้าลึก มือกำถุงพลาสติกที่ข้างในมีเสื้อคู่สุดหวานแหววไว้แน่น เขาจะต้องว้ากเธอแน่ที่เธอกลับมาช้า แต่ว่าข่าวดีของเธออาจจะทำให้เขาคลายความโกรธลงไปบ้าง...

     

    แต่เธอคงคิดผิด...

     

                เพราะวินาทีที่มือเรียวเล็กจับที่จับประตูเพื่อเปิดประตูออก คนข้างในก็พุ่งพรวดออกมาซ้ำยังผลักจนเธอล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้น ข้าวของในมือกระจัดกระจายไปอยู่คนละทิศละทาง หากแต่มือข้างหนึ่งยังคงกุมที่ท้องไว้อย่างทะนุถนอม ซากุระเงยหน้าขึ้นมองคนผลักอย่างตกใจ แล้วก็ต้องชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นว่าข้างกายเขามีสาวสวยเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงที่เธอเห็นเมื่อวานยืนส่งยิ้มเวทนามาให้ แต่ที่ทำให้หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นก็คือสายตาแสนดุร้ายของซาสึเกะ...

     

                เขามองเธออย่างรังเกียจ... ดวงตาสีรัตติกาลแววโรจน์ไปด้วยความโกรธแค้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยถามอะไร ร่างสูงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชิงชัง... ขยะแขยง...  

     

     

                “รีบไสหัวออกไปจากบ้านฉันซะ!!!

     

     

     

    ครบ 100%แล้ว เย้!!! กว่าจะได้ครบทั้งตอนอย่าว่าแต่นักอ่านดีใจเลยค่ะ ไรเตอร์นี่น้ำตาปริ่มอ่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะถ่วงเวลาให้ยืดยาวแต่ว่าสังขารไม่เอื้อจริงๆ T^T

                ฉากสะเทือนขวัญเริ่มแล้ว อ่านแล้วน้ำตาจะไหล สงสารหนูกุอย่างแรง อิเกะเปิดตัวมาด้วยประโยคนี้ ตอนหน้าก็ไม่ต้องเดาเลยว่ากุจะถูกยำเละแบบไหน โอ๊ย! กำลังท้องกำลังไส้แล้วดูมันผลักเมียซะล้มกลิ้งเลย เอ่อ... ลัทธิแอนตี้พระเอกยังเปิดรับสมัครนะคะ -.,-

     

    ปล. ตอนนี้เทใจไปให้กาอาระกับบักโตะ พ่อพระผู้แสนใจดี

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×