รูปที่สอง the second picture
เรื่องราวของ ผม ที่ได้รับมอบหมายให้มาถ่ายรูปไปจัดแสดง ในงานนิทรรศการ ผมหาแรงบันดาลใจ ในการถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนได้มาพบกับเธอ จากนั้นความสัมพันธ์ ระหว่างผมกับเธอจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ผู้เข้าชมรวม
122
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เรื่องราวของ ‘ผม’ ที่ได้รับมอบหมายให้มาถ่ายรูปไปจัดแสดง
ในงานนิทรรศการ ผมหาแรงบันดาลใจ
ในการถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนได้มาพบกับเธอ จากนั้นความสัมพันธ์
ระหว่างผมกับเธอจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ห่างหายจากวงการนิยายไปซะนาน...
คราวนี้ได้มาลงงานอีกก็ยังรู้สึกไม่ชินกับหน้าบทความแบบใหม่เท่าไหร่ คงเป็นเพราะเว้นช่วงไปนาน
งานนี้เป็นเรื่องสั้นที่เขียนส่งครูร่วมกับเพื่อนอีกคนค่ะ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป มีอะไรอยากคอมเม้นต์ก็เชิญได้เลยนะคะ
งานไม่ได้ต้องการคอมเม้นต์เพื่อกำลังใจ แต่เป็นการที่ต้องเอาคอมเม้นต์ไปส่งให้ครูค่ะ...
ฝากผลงานด้วยนะคะ
ปล. พล็อตเรื่องได้แรงบันดาลใจมาจากมังงะที่เคยอ่านนะคะ
ปลล. รอบแรกเบลอๆ เผลอกดบันทึกไปหลายรอบ เลยเด้งขึ้นมาหลายบทความ ขออภัยด้วยค่ะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ภาพที่ปรากฏตรงหน้าให้ความรู้สึกเหมือนกับสิ่งที่ผมกำลังต้องการ แสงแบบนี้...องค์ประกอบแบบนี้ ทุกอย่างดูลงตัวจนอดใจยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพไว้ไม่ได้
ผมมองดูภาพตรงหน้าอีกครั้ง หญิงสาวคนหนึ่งกำลังลงสีบนผ้าใบใหญ่ ท่าทางของเธอดูเรียบเฉยขณะทำงาน แต่ผมสัมผัสได้ว่า เธอกำลังวาดความรู้สึกบางอย่างลงไป ผมเหลือบมองภาพเขียนนั้น ด้วยหวังจะรู้ว่าเธอวาดมันออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ว่า...
ภาพนี้ต้องการจะสื่ออะไร?
...
“เอ้า! มีงานด่วนแจ้งมานะครับ อีกหนึ่งเดือนจะมีนิทรรศการศิลปะที่หอประชุมใหญ่ มีคำสั่งให้ชมรมด้านศิลปะทุกชมรมส่งผลงานไปจัดแสดง นั่นก็รวมชมรมถ่ายรูปของเราด้วย ช่วงนี้ก็หาโอกาสเก็บผลงานดีๆมาให้ได้นะครับ ทราบแล้วแยกย้ายได้!”
ข่าวสดๆร้อนๆเพิ่งแจ้งมาจากรุ่นพี่ประธานชมรมถ่ายรูป เรื่องนิทรรศการศิลปะที่จะจัดขึ้นเดือนหน้า ผมเองก็สงสัยว่า ปีนี้ให้ชมรมถ่ายรูปเข้าร่วมด้วยหรือ? ปกติเห็นมีแต่ชมรมศิลปะ
“เฮ้ยแก คิดว่าไงวะ มีไอเดียอะไรไหม” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น “ทางนี้นี่เล็งสวนแถวบ้านแม่เจ้านั่นไว้ว่ะ เห็นมันบอกว่าดอกไม้สวย” เพื่อนของผมชี้ไปทางเพื่อนร่วมชมรมอีกคนหนึ่ง
“ไม่รู้สิ เราก็กะว่าจะไปเดินหาแรงบันดาลใจในมหาฯลัยก่อนเนี่ย”
“ก็ดีนะ... งั้นเราไปละ พอดีนัดกับน้องไว้ตอนบ่ายสาม แล้วเจอกัน!”
เมื่อเพื่อนสนิทวิ่งออกไปแล้วก็เหลือผมคนเดียว ผมเก็บข้าวของแล้วเดินออกจากห้อง วันนี้มีเวลามาก ก็เลยเดินสำรวจไปหลายๆที่ ทั้งสวนในมหาวิทยาลัย ห้องวิทยาศาสตร์ ดาดฟ้าอาคารเรียน และอีกหลายๆที่ เก็บรูปมาได้มากเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่ถูกใจเสียที วันนี้ก็เลยล้มเลิกไปก่อน
หลายวันผ่านไป เข้าใกล้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ผมพยายามหามุมดีๆเช่นเคย บางทีก็ลองถ่ายรูปในมุมที่แตกต่าง ทำบ่อยๆให้ชินมือมากขึ้น ภาพที่ได้ออกมาก็สวยดี แต่ก็ยังไม่ถูกใจเต็มที่
จู่ๆก็นึกถึงตึกเรียนเก่าที่ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจให้ดี ทีนั่นยังเปิดใช้อยู่ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีคนเข้าไปทำกิจกรรมสักเท่าไหร่ หลายๆชมรมก็ย้ายออกไป เหลือแต่ชมรมเล็กๆที่ไม่มีที่อยู่ในอาคารใหม่ ยิ่งเข้าช่วงเย็นแบบนี้ นักศึกษาจำนวนมากทยอยกลับที่พัก เป็นไปได้ยากกว่าเดิมที่จะมีห้องชมรมไหนเหลือคนอยู่
ผมเดินเข้ามาหามุมถ่ายรูปสวยๆในตึกนี้อีกครั้ง ด้วยคิดว่าบรรยากาศคลาสสิกของที่นี่น่าจะจุดประกายความคิดดีๆได้ ผมจำไม่ได้ว่าเข้ามาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่เข้ามาก็รู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเสมอ
แต่ครั้งนี้มีอะไรแปลกไป...ประตูบานหนึ่งเปิดอยู่ พร้อมกับเสียงกุกกักเล็ดลอดออกมา
สองเท้าก้าวเข้าไปใกล้ ระวังไม่ให้เกิดเสียง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าใครมาทำอะไรที่นี่ ในเวลาแบบนี้
แล้วผมก็ค้นพบว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังวาดรูปบนผืนผ้าใบ ภาพนั้นใหญ่พอที่ผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นจะต้องยืนวาด เธอตวัดพู่กันลงสีทีละน้อย และเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเป็นบางคราว บรรยากาศรอบข้างดูเงียบสงบ
แต่ภาพนั้นต้องการจะสื่ออะไรนะ...
ผมยกกล้องขึ้นบันทึกภาพผ่านประตูที่เปิดทิ้งไว้ เป็นเวลาใกล้กันกับที่เธอรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว หญิงสาวหันมาทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“เฮ้! เอ่อ...บังเอิญผมผ่านมาแถวนี้น่ะ! ไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายจริงๆนะ ถ้าไม่พอใจเดี๋ยวผมลบให้ก็ได้!”
ผมลนลานคว้ากล้องขึ้นมาค้นหารูปเมื่อสักครู่ แล้วกำลังจะเลื่อนไปกดปุ่มลบภาพ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เห็นเธอมองมานิ่งๆแล้วหันกลับไปวาดภาพต่อดังเดิม ผมก็รู้สึกโล่งอก ว่าอย่างน้อยเธอก็คงไม่โกรธ
“นี่...ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ห้องชมรมศิลปะย้ายไปอยู่ตึกใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ผมรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปชวนเธอพูดคุย แต่ก็ไม่มีคำตอบรับใดๆ
“ภาพนี้จะเอาไปจัดแสดงในนิทรรศการสินะ ปีนี้ชมรมถ่ายรูปของผมก็ได้ร่วมด้วยล่ะ ตื่นเต้นมากๆเลย หวังว่าจะได้เจอกันนะ”
เธอพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงว่ารับรู้
“ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ?”
พอหญิงสาวทำทีเป็นไม่สนใจจะตอบคำถาม สีหน้าของผมก็หดหู่ลงเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้น...ผมขอนั่งดูเธอวาดรูปอีกสักพักได้ไหม?”
เธอพยักหน้าตอบรับ ผมจึงยิ้มกว้างอย่างโล่งใจ
ผมนั่งดูเธอวาดรูปไปเรื่อยๆ งานของเธอไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไหร่ เธอลงสีบนผ้าใบช้าๆ ไม่รีบร้อน สีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ตั้งใจทำ แต่บางครั้งก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ
“นี่...ห้องชมรมศิลปะก็ย้ายไปที่ตึกใหม่แล้ว ทำไมเธอยังอยู่ที่ห้องเก่าอีกล่ะ” ผมถามขึ้น
เธอมองมาที่ผมก่อนจะถอนหายใจ เธอหลุบตาลงต่ำอยู่สักครู่ ก่อนจะหันกลับไปวาดภาพต่อ และก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเช่นเคย
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นระหว่างผมกับเธอ
หลายวันผ่านไป เรื่อยมาจนเป็นสัปดาห์ นี่เป็นสัปดาห์ที่สองในการทำงานแล้ว ผมยังคงแวะเวียนมาหาเธอเรื่อยๆที่ห้องชมรมศิลปะเก่าแห่งนี้ เพื่อมาถ่ายรูปเก็บไปใช้ในนิทรรศการ
เธอก็ยังยืนอยู่ที่จุดนั้น...มองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเช่นเคย
“ผมว่า ภาพนี้ใช้สีสดใสวาดก็น่าจะสวยนะ แต่ที่เธอใช้สีมืดแทนนี่ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆเลย”
เธอมองภาพของตัวเองสักครู่ แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ครั้งนี้ ผมเองก็เดินไปดูบ้าง ว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกหน้าต่าง อะไรที่เธอชอบหันไปมองมันนัก
ภาพเบื้องล่าง... ชมรมกรีฑา งั้นเหรอ
ที่ตรงนั้น ผู้ชายรุ่นคราวคราวกันกันกับผมจำนวนหนึ่งกำลังฝึกซ้อมวิ่งตามคำสั่งของครูฝึก ผมแอบเห็นนักวิ่งที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยด้วย
“เข้าใจแล้วล่ะ...จากตึกนี้เท่านั้นถึงจะมองเห็นชมรมกรีฑาได้สินะ” ผมพูดลอยๆ แล้วเธอก็ชะงักเล็กน้อย “เธอ...มีคนที่อยากเจออยู่ที่นั่นเหรอ?”
“คงอย่างนั้น...” เธอว่าแล้วหลบตา
จะว่าไป ช่วงนี้เธอก็เริ่มตอบอะไรผมบ้างแล้วล่ะ
“มีคนที่แอบชอบเหรอ”
เธอพยักหน้าเบาๆ
“งั้นก็...ขอโทษที่ผมถามมากไปนะ แต่พอจะบอกได้ไหมว่าใคร”
เธอส่ายหน้า...
“ถ้ามัวมาหยุดอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อไหร่เรื่องนี้มันจะคืบหน้าต่อล่ะ...ได้บอกอะไรกับเขาไปรึยัง”
“แค่คุยกันก็ยังไม่เคยเลย...” เธอหันกลับมาวาดภาพของตัวเอง “คิดว่าหลังจากเสร็จงานนี้ก็จะตัดใจแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ ทำไมเธอไม่ลองไปคุยกับเขาสักครั้งล่ะ?”
เธอส่งยิ้มบางๆกลับมาแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากวันนั้นผมก็พูดคุยกับเธออีกหลายเรื่อง เราสองคนมีสิ่งที่ชื่นชอบตรงกันมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอก็มีทีท่าว่าจะดูดีขึ้น เธอเริ่มเปิดใจและเปิดปากคุยกับผมมากกว่าเดิม
ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะคุยถึงผู้ชายที่เธอแอบชอบเพราะเธอดูไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไรเมื่อพูดถึง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างเสมอ
“นี่...เธอไม่คิดจะลองไปสารภาพรักกับเขาบ้างเหรอ?” ผมพูดขึ้นหลังจากที่กำลังพูดถึงฉากในละครเมื่อคืนตอนที่นางเอกมาสารภาพรักกับพระเอก โดยเพิ่งมานึกได้ว่าตัวเองพูดเรื่องต้องห้ามเสียแล้ว
เธอชะงักฝีแปลงลงแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นั้นสินะ...” จู่ๆเธอก็พูดขึ้น ทีนี้ก็ถึงคราวที่ผมชะงักบ้างแล้ว บ้าน่า...นี่ผมพูดออกไปแบบไม่คิดสุดๆนึกว่าจะโดนเธอเงียบใส่เสียอีก
หลังจากนั้นเธอก็เก็บอุปกรณ์และกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ทิ้งให้ผมนั่งงงกับท่าทีของเธอ ผมสงสัยจริงๆว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
วันต่อมาผมเข้ามาและก็พบกับอะไรที่แปลกไป ผืนผ้าใบใหญ่นั้นเป็นสีขาวล้วนไร้การแต่งแต้ม
“อ้าว... รูปเดิมไปไหนแล้วล่ะ?”
“ฉันเก็บไปแล้ว นี่จะวาดใหม่” เธอพูดเรียบๆเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
“หา! อีกแค่ไม่กี่วันเองนะ เธอจะทำทันเหรอ!”
“แน่นอน...” เธอว่าแล้วก็หันไปร่างภาพต่อ “ถ้าทำงานแล้วมีแรงบันดาลใจที่ดี งานก็จะไปได้สวยอยู่แล้วน่ะ”
ผมนั่งลงยังเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งเป็นประจำ นึกสงสัยว่าทำไมจู่ๆเธอถึงจะมาเปลี่ยนใจเอาเวลานี้ รู้สึกว่าภาพที่แล้วก็ลงสีเสร็จไปมากกว่าครึ่งแค่นิดเดียว แล้วคราวนี้จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะทำเสร็จ
ผมกังวลกับงานของเธอชิ้นนี้เหลือเกิน...
ทว่าสิ่งที่ผมคิดกลับไม่เป็นดังคาด ภายในเวลาไม่นานนักรูปวาดนั้นดูมีความคืบหน้ามากกว่าปกติ แน่นอนว่าผมยังไม่สามารถเข้าใจว่าภาพที่เธอวาดคืออะไร แต่เมื่อเธอเริ่มลงสี เฉดสีที่เธอลงในรูปที่สองนั้นแตกต่างจากรูปแรกโดยสิ้นเชิง จากโทนมืดดูหดหู่กลายเป็นสีร้อนแรงและสดใส
ผมนั่งมองอย่างใจจดใจจ่อ จนลืมที่จะลุกขึ้นไปถ่ายรูปบริเวณรอบข้างอย่างที่ชอบทำ แต่ก็ยังไม่ลืมบันทึกภาพของเธอซึ่งให้อารมณ์ที่แตกต่างจากครั้งที่วาดภาพก่อน
ในการทำงานของเธอครั้งนี้ เธอไม่ได้เหม่อลอยออกนอกหน้าต่างอย่างทีเคย แต่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับรูปภาพตรงหน้า นั้นอาจทำให้งานของเธอคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจในการทำงานครั้งนี้ของเธอมากที่สุดก็คือ รอยยิ้มบางๆที่หาได้ยากยิ่งของเธอ เธอยิ้มบางๆระหว่างลงสี แสดงให้เห็นเลยว่าเธอกำลังมีความสุขกับงานมากแค่ไหน ผมอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพนี้เอาไว้ ยอมรับเลยว่าผมเริ่มหลงเธอจริงๆซะแล้ว
งานไปได้สวยเพราะมีแรงบันดาลใจที่ดีงั้นหรือ แล้วแรงบันดาลใจที่ว่านั่นคืออะไรกันนะ...
“เมื่อภาพนี้เสร็จสมบูรณ์ ฉันจะสารภาพรักกับคนที่กำลังชอบอยู่ตอนนี้”
คำพูดของเธอทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ เป็นครั้งแรกที่เธอเป็นฝ่ายพูดกับผมก่อน แต่ผมรู้สึกว่าบางอย่างในใจผมได้พังทลายลงไป
“งั้นเหรอ...ดีแล้วล่ะ” ผมพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดแรง
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอพูดด้วยเสียงเรียบๆ แต่ด้วยความที่คุยกันอยู่เกือบเดือนหนึ่งก็พอทำให้เข้าใจได้ว่าเธอกำลังเป็นห่วง
“ไม่...เปล่าหรอกฉันไม่ได้เป็นอะไร”
ผมเริ่มสับสนในตัวเอง ผมเป็นคนบอกและสนับสนุนให้เธอไปสารภาพรักกับคนที่แอบชอบ แต่พอเธอบอกว่าจะไปจริงๆ ในใจก็รู้สึกแปลกๆ ไม่อยากให้เธอไปสารภาพเลย ผมไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
หรือว่า...ผมจะรักเธอเข้าให้ซะแล้ว
สัปดาห์สุดท้ายมาถึงเสียที ผมแทบจะนั่งนับวันรอให้ถึงเทศกาล ไม่ใช่เพราะว่าอยากให้ภาพของตัวเองได้ขึ้นจัดแสดงเร็วๆ แต่เป็นเพราะว่าอยากเห็นภาพของเธอได้แสดงมากกว่า มะรืนนี้จะเป็นวันเปิดงานแล้ว ผมได้เดินไปดูสถานที่จัดงานมา ห้องโถงนั้นถูกแต่งเป็นสีขาวสะอาดเพื่อให้ผลงานที่จัดแสดงดูเด่นขึ้น ผมตื่นเต้นมาก และคิดว่าคงตื่นเต้นไม่แพ้ทุกคนที่มีโอกาสจัดแสดงผลงาน
ผมวิ่งไปหาเธอที่ห้องชมรมศิลปะเก่าเช่นทุกวัน นึกแล้วก็ใจหายที่อีกหน่อยก็คงจะไม่ได้เจอกับเธอแล้ว เมื่อจบนิทรรศการแล้ว ต่างคนก็ต้องต่างไป จะมีโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันต่อไหมนะ...
เมื่อผมไปถึงห้องชมรม ผืนผ้าใบใหญ่ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมที่คุ้นตา แต่ว่าวันนี้มันกลับมีผ้าคลุมทับไว้อีกชั้น นั่นหมายความว่าภาพวาดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนหญิงสาวคนเดิมที่เคยพบ วันนี้ก็หันมานั่งจดจ่อกับสมุดสเก็ตภาพตรงหน้าแทน
“รูปเสร็จแล้วเหรอ?”
“อืม...”
เธอตอบรับและหันมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่ว่าพักหลังๆมานี้ไม่ค่อยได้เห็นเธอหันไปทางนั้นบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีอะไรเปลี่ยนไปสินะ
“ตกลงว่าเธอได้ไปสารภาพรักแล้วหรือยัง?”ผมลองถามเธอดู ถึงผมจะเป็นคนถามเอง แต่ลึกๆก็กลัวคำตอบอยู่เหมือนกัน
“ยังหรอก...ยังไม่กล้า ขอรวบรวมความกล้าก่อน ไว้จบงานนิทรรศการก่อนแล้วกัน”
เธอพูดขึ้นแต่ยังก้มหน้าก้มตาวาดรูปลงบนสมุดไปเรื่อยๆ ผมเห็นเธอพลิกหน้าใหม่อยู่ครั้งสองครั้ง วันนี้เราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากเท่าหลายวันที่ผ่านมา ผมลุกไปเดินเล่นรอบห้องฆ่าเวลา อยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือนแล้วงั้นเหรอ... พอคิดว่าจะเร็วมันก็เร็ว แต่จะช้ามันก็ช้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจริงแน่ๆ คือ กาลเวลาเปลี่ยนใจคนย่อมเปลี่ยน
แต่ผมไม่รู้ว่าใจเธอจะเปลี่ยนสักนิดเหมือนที่ใจผมเปลี่ยนแบบนี้ไหม...
“นี่นาย...” เธอปิดสมุดในมือ แล้วเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบกันไปนาน “ตอนนั้นอยากรู้ใช่ไหมว่าคนที่ฉันแอบชอบคือใคร?”
“อ้อ ผมจำได้ แต่ถ้าเธอลำบากใจจริงๆไม่ต้องบอกก็ได้นะ”
เธอไม่พูดอะไร แต่ลุกขึ้นมาแล้วยื่นสมุดสเก็ตเมื่อสักครู่ให้กับผม
“คำตอบที่นายอย่างรู้อยู่ในนี้แล้วนะ หลังจบงานนิทรรศการแล้วค่อยเปิดดู” เธอว่าแล้วยิ้มให้
“เปิดดูให้ละเอียดจนถึงหน้าสุดท้ายด้วยล่ะ”
ผมรู้สึกกระวนกระวายใจมาตั้งแต่เย็นวันนั้น...
ถึงตอนนี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าผมหลงรักเธอเข้าจริงๆ ยิ่งใกล้ชิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่า ผมอยากเป็นคนที่ทำให้เธอยิ้มได้มากกว่านี้ อยากให้เธอยิ้มอยู่แบบนี้ ไม่ได้ทำหน้าเบื่อโลกเหมือนวันแรกๆที่เจอกัน เทียบกันแล้ว เธอที่เป็นแบบนี้ตัวเป็นตัวของตัวเองมากกว่ากันเยอะ
พิธีเปิดนิทรรศการมีขึ้นในช่วงเช้าของวัน ผมพยายามมองหาเธอตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ยังไม่พบ ผมเดินไปรอบๆงาน ก่อนอื่นก็ต้องไปที่ส่วนจัดแสดงรูปถ่าย หลายๆภาพเป็นผลงานของเพื่อนๆผมเอง ผมชมงานพวกนั้นออกมาแล้วก็ยิ้ม จนกระทั่งมาหยุดที่งานของตัวเอง
เป็นภาพของเธอในห้องชมรมศิลปะนั่นแหละ...
น่าเสียดายที่รุ่นพี่อนุญาตให้เลือกแค่รูปถ่ายที่ดีที่สุดมาจัดแสดงแค่รูปเดียว ไม่อย่างนั้นผมคงจะเอารูปที่ถ่ายครั้งแรก มาเปรียบเทียบกับรูปที่สองนี้แน่นอน
กาลเวลาเปลี่ยนใจคนย่อมเปลี่ยน...
ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงส่วนจัดแสดงภาพศิลปะ ก็เห็นภาพที่คุ้นตาอยู่ไม่ไกล ผมมองภาพนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่เข้าใจว่าภาพนี้ต้องการจะสื่อความหมายว่าอย่างไรกัน
ผมคิดว่าที่รูปแรกมันออกมาเป็นโทนมืดเพราะเธอกำลังจะตัดใจจากเขา ส่วนรูปนี้มีสีสันร้อนแรงสดใสดูแล้วอบอุ่นต้องเป็นเพราะผมไปพูดจนความรักที่เธอมีต่อเขากลับมาลุกโชติในใจอีกครั้งหนึ่งเป็นแน่
ผมนี้มันบ้าจริงๆไปพูดซะไม่เหลือโอกาสให้ตัวเองเลย แต่ก็ไม่อยากไปขัดเธอหรอก ผมอยากให้เธอมีความสุขกับคนที่เธอชอบ
รูปที่สอง...งั้นเหรอ
มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ ผมมองภาพนี้แล้วมีความสุข
ผมอยากให้เธอรักผมได้เหมือนที่เธอรักเขาบ้าง ความรักที่เต็มไปด้วยความร้อนแรง สดใส และอบอุ่น
นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น ผู้คนมากมายเดินผ่านไปดูราวกับเป็นอากาศธาตุ ความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมอง ทั้งเรื่องความหมายของภาพนี้ ทั้งเรื่องเธอ...
ผมตัดสินใจหยิบสมุดของเธอขึ้นมาเปิดดู พลิกเปิดไปทีละหน้า สมุดเล่มนี้ผ่านการใช้งานมาไม่มากนัก มีภาพสเก็ตสิ่งของและธรรมชาติเล็กน้อย และก็มีรูปผู้ชายคนหนึ่ง...
เหมือนผมจะเคยเห็นเขาคนนั้นผ่านๆที่ชมรมกรีฑานะ... ท่าทางจะหมดหวังแล้วสิ
“เปิดดูให้ละเอียดจนถึงหน้าสุดท้ายด้วยล่ะ”
จู่ๆก็นึกถึงคำที่เธอพูดไว้ ทำให้ผมเลือกที่จะพลิกสมุดไปหน้าสุดท้าย ซึ่งคาดว่าเป็นรูปที่เธอว่าในวันนั้น ตอนนั้นความกลัวแล่นเข้ามาในใจอย่างน่าประหลาด ฉับพลันที่หน้ากระดาษพลิกมา ผมหยุดนิ่ง...
ผมรีบวิ่งออกไปทันที
ผมวิ่งตามหาเธอไปทั่วงาน ไปทุกชมรม ทุกชั้นแสดง ทุกหนทุกแห่ง ผมวิ่งจนเหนื่อยหอบแต่ผมก็หาเธอไม่เจอ อีกไม่นานงานก็จะเลิกแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันนะ อยากจะไปถามคนแถวๆนี้ดูแต่ก็นึกได้ว่าสุดท้ายผมยังไม่ได้รู้ชื่อของเธอเลย ทำไมผมถึงได้แย่ขนาดนี้
งานใกล้เลิกเต็มที ท้องฟ้าเป็นสีส้ม ความมืดเริ่มใกล้เข้ามา ตอนนี้ผมอยากเจอเธอมาก แต่ผมคิดอะไรไม่ออกเลย หัวสมองโล่งขาวโพลน เธอไปอยู่ที่ไหนกันนะ ผมนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ริมสนาม ถึงแม้จะเหนื่อยมากเพราะไม่ค่อยได้ออกแรงมากบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้หรอก ผมนั่งอยู่สักพักก็เงยหน้าขึ้นตั้งใจว่าจะดูท้องฟ้ายามเย็น แต่แล้วผมก็พบว่าผมนี้มันโง่จริงๆทำไมแค่นี้ถึงนึกไม่ออก
ตึกๆๆ
เสียงฝีเท้าดังบนทางเดินที่แสนคุ้นเคย ผมตั้งความหวังบางอย่างไว้ในใจและพุ่งตรงไปยังห้องชมรมศิลปะเก่า ที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด
รอยยิ้มที่แสดงความดีใจขนาดนี้ผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อไหร่กันนะ
ผมหยุดหอบหายใจตรงหน้าประตูที่เปิดอ้าไว้ สายลมอ่อนๆพัดจากหน้าต่างในห้องมาถึงตัวผม เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับหญิงสาวคนเดิมบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับเมื่อวานซืน
ผมชูสมุดสเก็ตภาพของเธอขึ้น เพื่อให้เข้าใจว่าผมมาที่นี่ตามที่ได้ตกลงกับเธอไว้ หญิงสาวมองมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใส
“นึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว...”
...
แม้จะยังไม่เข้าใจว่ารูปวาดของเธอต้องการจะสื่ออะไร แต่ผมคิดว่าเวลานี้มันคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ
จบ.
ผลงานอื่นๆ ของ Punchi-Karamel ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Punchi-Karamel
ความคิดเห็น