ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    No name เปิดตำนานไร้นาม

    ลำดับตอนที่ #2 : Myra&Guy(50%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 105
      0
      31 ธ.ค. 55

    ได้ยินเสียงไวโอลินดังแผ่วมาแต่ไกลๆ ไพเราะจับใจ หวานใดจะปาน ยินเสียงบรรเลง ดั่งเทพขับขาน สอดคล้องกังวาน สุขสันกล่อมใจ

    (ดัดแปลงจากบทเพลงพระราชนิพพนธ์ ใกล้รุ่ง)

         เสียงขับร้องหวานๆดังผ่านรั้วหน้าบ้านของผม ผมมองลอดออกไปเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งสะพายกล่องข้างหลัง เสื้อแขนกุดสีส้มกางเกงยีนส์ขาสั้นเดินผ่าน ดูจากกล่องน่าจะเป็นไวโอลิน ผมละสายตาจากหนังสือมองเธอสักพักแล้วหลับมาอ่านหนังสือต่อ

         ต้องเรียกได้ว่าหนังสือยิ่งไม่ได้อ่านนานยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวเปลี่ยนไป ความรู้และอายุส่งผลต่อความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เรื่องนี้ผมได้อ่านครั้งแรกก็รู้สึกเฉยๆกับความคิดของตัวละคร เจ็ดปีต่อมา ผมได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวละครพวกนั้นคิด มันช่างเป็นความรับผิดชอบที่หนักหนาเสียจริงๆ น้ำตาผมเริ่มไหลแล้ว ผมนี่แพ้เรื่องแบบนี้จริงๆ

         เที่ยงสี่สิบสามนาที...ผมออกไปซื้อขนมร้านประจำที่หัวมุมถนน ตรงใกล้นั่นมีคนแวดมุงล้อมอะไรบางอย่าง ทุกคนเงียบฟังเสียงเครื่องสายบรรเลง ผมลองมองเข้าไป ผมเจอเธออีกแล้ว เธอกำลังเล่นไวโอลินด้วยท่าทางที่งดงาม บทเพลงนั้นเป็นเพลงเศร้าถ้าผมจำไม่ผิดมันคือท่อน         ฮุกของเพลง CANON

         ผมยืนฟังเธอบรรเลงจนจบเพลง ทุกคนปรบมือให้เธอด้วยความชื่นชมบางคนโยนเศษเหรียญหรือแบงก์ลงใบในหมวกสีน้ำตาลที่เธอวางเอาไว้ เดาได้ว่าอาชียของเธอคือนักดนตรีเปิดหมวกนานอน

    ปรี๊ดดดด!!!!!!!

         เสียงนกหวีดแหลมเล็กดังขึ้นพร้อมกับตำรวจคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาทำให้กลุ่มฝูงชนต้องรีบสลายตัวอย่างรวดเร็วพอดีกับที่เธอรีบเก็บเศษเหรียญและแบงค์ที่ตกบนพื้นและหมวกที่มีเงินอยู่เต็มให้ได้มากที่สุดแล้วรีบวิ่งหนีไป

         นายตำรวจหยุดวิ่งเมื่อเกือบจะถึงแล้วเดินกลับ คิดว่าคงจะไม่มีใครให้จับแล้วเพราะการเล่นดนตรีเปิดหมวกนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ทำพอๆกับการขอทาน

         ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ500เมตรเธอยืนหอบอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อหนีจากเจ้าหน้าที่ เธอค่อยๆวางสิ่งของทุกอย่างที่เธอหอบมาจัดเข้าที่เข้าทางทีละชิ้น

      ไวโอลินก็เก็บเข้ากล่องเรียนร้อย เงินที่เป็นแบงค์ก็แยกเรียบร้อยเหลือแต่นับจำนวนเงิน น่าเสียดายถ้าไม่มีตำรวจคงจะได้เยอะกว่านี้ เงินที่หล่นๆอยู่แถวนั้นก็เยอะด้วยเสียดายจัง

         เธอคิดพลางนับเงินในมือไปเงียบๆ

     489...490...500...700...705....วันนี้ได้แค่750ยาร์เองเหรอเนี่ย

    เธอถอนหายใจด้วยความเสียดาย

    “ผมว่ายังขาดอีก457ยาร์นะ”

        ผมยื่นแบงค์และเศษเหรียญที่ผมไปเก็บมาจากจุดที่เธอเล่นไวโอลินมาให้ เธอมีสีหน้าแปลกใจและไม่ค่อยเชื่อใจผมเท่าไหร่

    “ขอบคุณแต่ฉันไม่เอา”

        เธอตอบห้วนๆก้มหน้าไม่ยอบสบตาผม

    “แน่ใจเหรอ?...เธออาจมีมากกว่าที่มีอยู่นะ”

         ผมถามมือก็ยังยื่นแบงค์ให้อยู่

    “คิดจะซื้อฉันเหรอ?”

    “เปล่า หน้าอย่างผมเหมือนพวกค้ามนุษย์งั้นเหรอ?”

    “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง...”

    “งั้นผมคงต้องไปแล้วล่ะ ถือว่าที่ผมเก็บมานั้นเป็นค่าฟังละกันนะ ไวโอลินคุณเพราะมาก”

    “ขอบคุณ”

         บทสนทนาออกแนวไม่มองหน้า ผมวางเงินลงข้างๆเธอแล้วเดินกลับ คิดว่าถ้ามีวาสนาคงจะได้ฟังเสียงไวโอลินเพราะๆนั่นอีก

        หลังจากเดินซื้อของที่ต้องการผมก็เดินกลับบ้านด้วยความเอื่อยเฉื่อยเดินชมนกชมไม้จนไม่รู้ว่าท้องฟ้าค่อยๆมืดครึ้มลงเรื่อยๆ ในที่สุดฝนก็ตกลงมา

        ฝนฤดูหนาวนั้นเย็นมากเพราะมันเป็นหน้าหนาวอากาศเย็นละมั้งแต่การได้เดินตากฝนให้หวัดกินเล่นนั้นมันก็สนุกดี เสียอย่างคือไม่สามารถฟังเพลงได้เพราะเดี๋ยวเครื่องเล่นพกพาจะเสียไม่ก็เฮดโฟนจะพังเอา แต่คนที่มีเสียงดนตรีในหัวใจอย่างผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่

         ผมเดินกลับมาถึงบ้านแล้ว พื้นบ้านแฉะไปด้วยน้ำเพราะผมเดินไปซะทั่วบ้านผมคว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผมให้พอแห้งแล้วเดินไปอาบน้ำ คิดว่าเค้กที่ซื้อมาคงจะหมดความอุ่นแล้ว

         กริ๊งงง....

    โทรศัพท์จากห้องนั่งเล่นดังขึ้นผมรีบละสายตาจากเค้กกล้วยหอมเดินไปยกหูโทรศัพท์

    “สวัสดีครับ...”

    ไง..พรุ่งนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อยสิ

    “คิดว่าได้..ถ้าฝนไม่ตกอ่ะนะ แล้วนึกยังไงมาชวนฉัน?”

    เพราะคิดว่านายน่าจะว่างที่สุด เอาน่าอย่าถามมาก

    “โอเค โอเค”

    งั้นพรุ่งนี้10โมงเช้าเจอกัน

         ปลายสายตัดไปแล้วทิ้งให้ผมยืนคิดอยู่ว่าเพื่อนเกือบสนิดคนนั้นมันจะพาผมไปเชือดทิ้งที่ไหนอีก ผมไม่ค่อยจะดีใจเท่าไหร่ที่มีคนมาชวนไปเที่ยวเพราะโดยปกติถ้าอยากเที่ยวจะชวนคนอื่นเอง แต่นี่เห็นว่ามันว่างเลยยอมไปด้วยนะเนี่ย เรานี่ใจดีซะไม่มีละ

         ลืมเรื่องเค้กกล้วยหอมซะสนิด ความจริงแล้วเราตัดฉากเค้กกล้วยหอมก็ได้แต่ทำไมยังเอาอยู่ครับ? ผมรู้นะว่าเค้กกล้วยหอมมันอร่อยและเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงเมื่อคนแพ้กล้วยเห็น ผมไม่ได้แพ้กล้วยนะ เพื่อนต่างหากเห็นก็แทบลมใส่ แต่ผมจะมาบอกคุณทำไมละ?รู้นะว่าคนเขียนยัดเรื่องเค้กกล้วยหอมเข้ามาเพื่อเพิ่มหน้าเพิ่มบรรทัดนะสิ ! เสียใจครับต่อให้เพิ่มมันก็ไม่มียอดอ่านสูงหรอกครับ เขาจะข้ามมันไปนั่นแหละ แล้วผมมายืนบ่นอะไรคนเดี่ยวกันครับ??

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

      วันรุ่งขึ้น 9นาฬิกา 50นาที

         ผมเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยรอการมาของเพื่อนที่นัดกันไว้ รออย่างเดียวมันน่าเบื่อผมจึงฟังเพลงไปด้วยอ่านหนังสือและทานเค้กกล้วยหอม(ยังไม่จบ)ที่เอาไปอุ่นมาอย่างสบายอารมณ์

         สักพัก ผมเดินไปเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้าน โมเสต มาถึงแล้ว...

    “ดูยังไงบ้านนายก็ใหญ่อยู่ดี” คำทักทายทีมักจะพูดถึงเรื่องขนาดบ้านของผมเอ่ยออกจากปากของมันจนทำให้รู้ว่านี่และตัวจริง

    “ก็แค่บ้านชั่วคราวบ้านหลักน่ะไกลกว่ากว้างกว่านี่เยอะ...จะไปเลยมั้ย”

    “แน่นอน นัดวิโอน่าไว้ด้วย” โมเสตยิ้มแก้มแทบปริเมื่อเอ่ยถึงหญิงสาวที่ตัวเองนัดไว้

        ผมเดินตามมันมาได้ครู่หนึ่งในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เป็นอาคารใหญ่หลังนึง หน้าต่างถูดประดับด้วยกะจกหลากสีสัน รอๆตัวอาคารเป็นต้นไม้แปลงดอกไม้และสนามหญ้า บนยอดของหลังคามีไม้กางเขนใหญ่ประดับอยู่

         ....ใช่...เจ้านี่พาผมมาที่ โบสถ์  ....

    /*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*/*////*

     

    ป.ล.ต้องขอโทษด้วยที่อัพช้า ตอนนี้ผมขอควบสองคนเลยคือ MyreกับGuyแต่ตอนนี้ยังไม่มีบทของคุณGuyแต่ความจริงเดี๋ยวก็ได้ออกอ่ะครับเพราะตอนนี้ยังเป็นแค่ครึ่งนึงอยู่เลยครับ 55

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×