คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พบเจอกับ SNOWRAIN
วันนั้นในร้านน้ำชาแห่งหนึ่งกลางเมือง ผมไปจิบชายามบ่ายที่นั่น ผมได้พบกับนักเขียนคนหนึ่ง ผมจำเธอได้จากหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 4 ธันวา เธอเป็นนักเขียนหน้าใหม่ไฟแรง ผมงานของเธอหลายเรื่องได้รับการตีพิมพ์ ทั้งๆที่เธออายุแค่16แต่ก็มีความสามารถ
ผมนั่งจิบชาไปดูเธองุ่นอยู่กับปากกาขนนกกับกระดาษบนโต๊ะอย่างวุ่นวาย มองลงไปที่ถังขยะข่างล่างก็เจอกับกระดาษที่ขยำเป็นก้อนทิ้งไม่ลงถังอยู่2-3ก้อน คิดว่าเธอน่าจะเขียนนิยายเรื่องใหม่ นักเขียนที่คิดว่าน่าจะเป็นอาชีพที่สบายแต่ก็วุ่นวายและเครียดเหมือนกัน ช่วงก่อนผมเคยเริ่มเขียนนิยายเพราะอยาก แต่ไปๆมาๆก็เลิกเสียกลางคันเพราะขี้เกียจ
พนักงานเสิร์ฟยกชาแก้วหนึ่งไปให้เธอ คิดว่าบนโต๊ะคงจะไม่มีที่แล้ว แก้วชาจึงไปวางทับกระดาษแทน ผมดูเธอทำงานอย่างสนใจ นักเขียนอย่าง snowrain ซึ่งเป็นที่รู้จักนั้นทำงานอย่างไร แต่มันก็ไม่ค่อยแตกต่างจากผมตอนรีบเขียนต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอก็รีบเก็บของบนโต๊ะ อย่างเร่งรีบ รีบจ่ายเงินแล้วหอบของออกจากร้านไป ดูแล้วหนังสือที่เธอหอบออกไปนั้นมันดูมากกว่าตอนที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะมาก ผมจึงรีบจ่ายเงินแล้วเดินตาม
ช่วงนี้เข้าฤดูหนาวแล้วเผ่าปีศาจบางพวกเริ่มจำศีลหรือบางพวกก็เริ่มที่จะทำกิจกรรมต่างๆน้อยลง ส่วนมนุษย์ก็คล้ายๆกัน แต่ความทนหนาวทนหนักของมนุษย์นั้นแพ้ปิศาจมากโข
เธอเดินอย่างเร่งรีบแต่ก็เดินได้ไม่เร็วเท่าไหร่เพราะโค้ทสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวจนถึงเข่าและผ้าพันคอสีฟ้ามันดูเกะกะ แต่ความจริงผมก็ใส่เสื้อโค้ทสีดำและผู้พันคอสีเหลืองสลับดำเหมือนกัน ผมดูการเดินของเธอไปเรื่อยๆ บางทีเธอก็เดินแปลกๆเพราะของเกือบจะล้ม ไม่ก็ละดุดใบไม้ นับว่านักเขียนคนนี้ซุ่มซ่ามน่าดู
แต่ถึงเธอจะเป็นนักเขียนลือชื่อแต่ก็ลือชื่อสมคำเพราะแทบไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นนักเขียนเพราะภายนอกเป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาเจ้าหน้าที่ห้องสมุดและเก็บตัวเงียบถึงจะมีเพื่อนบ้างก็ถือว่าเธอเกือบจะอยู่คนเดียว ก็เหมือนผมตอนย้ายมาอยู่ร.ร.นั้นใหม่ๆ
ในที่สุดเธอก็สะดุดล้มจนได้ หนังสือสิบกว่าเล่มในมือกระจายไปทั่ว ซองเอกสารเปิดออกจนกระดาษบางแผ่นปลิว เธอพยายามรีบคว้าแต่ก็ไม่ค่อยได้ ผมจึงต้องสวมบท”ปิศาจที่ดี”ไปช่วยเธอ
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบและยิ้มให้แบบฝืนๆ
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบตามารยาท เธอหอบหนังสือขึ้นอีกครั้งแล้วรีบเดิน
“ผมช่วยมั้ย?” ผมถาม ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะพูดว่า’ไม่เป็นไรค่ะ’ไม่ได้เพราแขนเธอคงจะเจ็บน่าดูเพราะซ้นเมื่อล้มเมื่อกี้นี้ ผมจึงต้องรับหน้าที่แบกหนังสือสิบกว่าเล่ม ส่วนเธอก็เอาซองเอกสารสำคัญของเธอใส่กระเป๋าสะพายไว้
จุดหมายปลายทางทั้งสองที่คือ1.ห้องสมุดรวม 2.สำนักพิมพ์เรียลเรน ตอนเอาหนังสือไปคืนที่ห้องสมุดดูเหมือนว่าที่นั่นจะกลมกลืนกับเธอมากที่สุด คือดูไม่ออก ดูลึกลับเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ ดูเหมือนจะเศร้า แต่ก็แฝงไปด้วยความสดใส หนังสือที่นี่คงจะเป็นเพื่อนๆที่ดีต่อเธอ
หลังจากเอาหนังสือไปคืนและยืมกลับมาอีกสองสามเล่มก็เดินทางมาที่สำนักพิมพ์เรียลเรน สำนักพิมพ์นี้เป็นสำนักพิมพ์ที่ไม่ค่อยมีชื่อถึงแม้จะเปิดมากว่าสิบปี แต่ส่วนมากสำนักพิมพ์นี้จะพิมพ์นิทาน หรือหนังสือเสริมต่างๆ แต่ผมคิดว่าส่วนมากไม่ค่อยมีใครซื้อหนังสือเพราะสำนักพิมพ์หรอก
หลังจากเธอมาถึงสำนักพิมพ์ เธอก็บอกขอบขอบคุณผมแล้วเดินเข้าไป คิดว่าเธอน่าจะเอาต้นฉบับมาส่ง ส่วนผมคิดว่าจะทำยังไงต่อดี เพราะหากผมจะตามเธออยู่ก็จะกลายเป็นพวกโรคจิต หากผมเลิกตามก็ไม่เป็นไรเพราะผมไม่มีอะไรทำ
ผมตัดสินใจได้ว่าควรที่จะเลิกตามแล้วไปหาอย่างอื่นทำแก้เซ็งดีกว่า คิดได้ว่าวันนี้ต้องไปฝากเงินจึงรีบตรงดิ่งไปที่ธนาคาร แต่ระหว่างรอคิวก็เจอกับเธออีกแล้ว แต่ซักพักก็มีซ้ำร้ายยิ่งกว่า
“หยุด!!! เอาเงินทั้งหมดใส่ลงในถุงนี่!!!” เสียงตวาดดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระจกแตก ทำให้ทุกคนรวมปิศาจด้วยหันกลับมาดู
ปิศาจ3และมนุษย์2คนยืนกร่างอยู่หน้าประตูธนาคาร หนึ่งในนั้นเดินไปปิดประตูธนาคารให้มิดชิด ประตูธนาคารจะหนาเป็นพิเศษ ขนาดที่ว่าผสมแร่ที่ปิศาจอย่างเราๆยังทุบไม่แตกเอาไว้
ดูเหมือนว่าพวกที่มาปล้นนี่จะเป็นปิศาจชั้นสูง เพราะดูจากที่มันทุบกระจกหนาได้ก็น่าจะมีพลังน่าดู
“พวกแกมารวมกันทางนี้!!!” มนุษย์หนึ่งในโจรสั่งพร้อมกับเอาดาบจี้คอคนที่อยู่ข้างหน้าทุกคนจึงต้องทำตามกัน
ปัง!!!
เสียงคล้ายๆเสียงปืนดังขึ้น ทำให้ทุกคนต้องทันไปดูที่ต้นเสียงซึ่งเป็นหนึ่งในโจรเล็งปลายกระบอกปืนไปที่พนักงานที่กำลังจะกดกริ่งเรียกตำรวจ
“ใครเล่นตุกติกฉันจะเอากระสุนเงินนี่เจาะสมอง!!!” หัวหน้าโจรประกาศลั่น ใครจะกล้าสู้ล่ะ กระสุนเงินโดนจังๆก็เจ็บนะ พวกโจรมันทุกคนด้วยเชือกกักพลังที่ทำขึ้นพิเศษทำให้แม้แต่ยามปิศาจหน้าธนาคารยังพลอยหมดแรงไปกับเขาด้วย พวกโจรสามคนก็วุ่นอยู่กับการขนเงิน
ผมคิดว่าผมโชคดีพอที่รู้จักไว้เล็บและเก็บเล็บเวลาไม่ได้ใช้จึงใช้เล็บที่ซ่อนอยู่ค่อยๆตัดเชือกแต่เชือกแบบนี้ส่วนมากจะชุบน้ำมนต์ทำให้รู้สึกแสบๆที่แขน หน้าหนาวแท้ๆแต่ต้องมีแผลทำให้เจ็บๆแสบๆแบบนี้มันแย่หน่อย แต่รู้สึกว่าคนที่มี’เล็บ’นั้นจะไม่ได้มีผมคนเดียว นักเขียนสาวที่อยู่ถัดจากผมก็มีมีดพกคมกริบที่กำลังตัดเชือกอยู่ อย่างเร่งรีบ
ดูเหมือนว่าเชือกที่มัดผมอยู่จะคลายแล้วแต่ก็ยังฟอร์มไว้ท่าว่ายังโดนมัดอยู่รอโอกาสเอาคืน ผมรออย่างใจเย็น แต่นักเขียนสาวที่เชือกหลุดแล้วกลับลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับแคปซูนอาวุธที่เปิดออกก็เป็นเคียวสีเงินอันใหญ่เธอถือมันด้วยท่าทางทะมัดทะแมงเหมือนเคยชินกับอาวุธชิ้นนั้น
“นั่งนี่!!! ตายซะเถอะ เป็นแค่มนุษย์มีปัญญาจะสู้อะไรได้!!”
โจรที่อยู่ใกล้ที่สุดตะโกนขึ้นพร้อมกับยกปืนบรรจุกระสุนเงินขึ้นมาเพื่อจะยิงเธอ แต่เมื่อกระสุนทั้งห้านัดยิงออกมามันกลับถูกฟันทิ้งกลางอากาศเมื่ออยู่ในระยะของเคียว เธอวิ่งตรงไปที่เคาเตอร์เพื่อจักการกับโจรตัวโตที่น่าจะเป็นหัวหน้าโจร เหวี่ยงเคียวไปด้านหลังแล้วใช้ทั้งสองมือดึงกลับมาหมายจะฟันให้เป็นสองซีก
แกรก...
เสียงของวัตถุร้าวดังขึ้น เกราะข้อมือถูกยกกันเคียวที่ดิ่งลงมาผ่ากลางหัวจนเป็นรอยร้าว แต่ก็แค่รอยร้าวเล็กๆเคียวใหญ่ของเธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดูเหมือนว่าเธอจะตกใจไม่น้อยแต่เวลาตกใจก็มีไม่นานเมื่อโจรตัวใหญ่จับข้อมือของเธอเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงดังโครม ลำตัวและแขนข้างที่ซ้นถูกกระแทกจนเจ็บซ้ำเข้าไปอีก
ผมมองดูเหตุการณ์อย่าตกตะลึก โจรตัวใหญ่นั่นเป็นปิศาจหัวใจก็เป็นปิศาจของแท้ พวกที่เลวได้แบบนี้ซึ่งหลังจากการปฏิวัตินั่นปิศาจและมนุษย์ก็อยู่ด้วยกันอย่างสงบบ้างไม่สงบบ้าง แต่การจะว่าปิศาจเลวนั้นมันก็ถูกไปกว่าครึ่งเพราะ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าครั้งแรกเริ่ม ปิศาจกระหายอำนาจและเข้าทำลายเผ่ามนุษย์แต่ก็ถูกฝ่ายมนุษย์เอาคืนอย่างเจ็บแสบจึงต้องทำสัญญาสงบศึกเพื่ออยู่ร่วมกัน
ผมมีสองทางเลือกคือ
1.ผมต้องออกไปช่วยและบู๊แหลกกับยักษ์ห้าตัวนั่น
2.จะรอจนกว่าตำรวจใกล้เข้ามาถึงจึงค่อยช่วย
ซึ่งผมคิดว่าจะเลือกทางที่สาม(?)คือ
3.รอดูสถาน ณ การณ์ไปก่อน
แต่ความจริงคือผมกลัวที่จะสู้เพราะรู้ว่าพวกมันถึงจะเป็นมนุษย์เสียสองแต่ก็มีอาวุธครบมือเหมือนพวกนี้ทำวิจัยกันมาว่าปิศาจแพ้อะไรบ้าง ปิศาจอีกสามตัวนี่เป็นปัญหาหนัก ผมจึงสรรหาข้ออ้างมากมายเพื่อเลี่ยงการต่อสู้ คิดแล้วผมมันขี้ขลาดกว่าเธอจริงๆ
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น มีเสียงกรีดร้องระงมเพราะตกใจเสียงปืน ท่ามกลางตัวประกันมีเด็กผมดำผิวขาวซีดใส่โค้ทดำและผ้าพันคอสีเหลืองสลับดำกางเกงสีน้ำตาลเข้มยืนอยู่ ในมือขวาที่ยกสูงขึ้นมีปืนสีดำปลายกระบอกหันขึ้นฟ้า เสียงปืนนั่นเป็นเสียงปืนจากปืนของผมเอง...
“แก!! ตายซะ!!” ท่าทางว่าการที่ผมหลุดออกมาจะสร้างความตกใจไม่น้อยแต่ก็น้อยกว่าsnowrain มาก โจรคนหนึ่งยกปืนบรรจุกระสุนเงินขึ้นมาแล้วยิงใส่ผม คิดว่าผมควรหลบดีไหมนะ... ผมยิงปืนสีดำของผมไปตรงหน้า มันกระแทกเข้ากับกระสุนเงินของโจรพอดีทำให้กระสุนทั้งสองนัดเบนออกจากเส้นทางของมัน
ดูเหมือนว่าพวกโจรจะมีทีมเวิร์คที่ดีเพราะหลังจากที่ยิงกระสุนเงินมันก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับขวดน้ำมนต์ มันรีบสาดผมทันทีที่อยู่ในระยะประชิด ผมยกแขนขึ้นกันแต่ก็โดนเป็นบางจุด เช่นแขน มือ แล้วมันยังซึมไปตามเสื้อผ้าจนแสบร้อนไปหมด
พอเห็นว่าผมเริ่มเซมันก็เข้ามาจู่โจมทันที แต่......
ฉึก!....
เธอลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พร้อมกับเคียวของเธอ เธอใช้มันเสียบไปที่กลางหลังของโจรที่จะเข้ามาทำร้ายผม แหม...ช่วยได้ทันเวลาพอดี
“แก!!มันจะมากเกินไปแล้วนะเด็กบ้า!!!!!!!!!” โจรคนที่สองตะโกนอย่างหัวเสียเพราะเพื่อมันคนนึงถูกจัดการ ผมพยักหน้าให้กับเธอช้าๆคล้ายเป็นการถามว่าพอสู้ไหวมั้ย? เธอพยักหน้าตอบกลับว่าได้ ผมจึงเริ่มต้นนำก่อน
ผมวิ่งไปทางด้านซ้ายแล้วใช้ปืนของผมเล็งไปที่โจรปิศาจคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าประตูแต่ตอนนี้มันกำกลังอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเพราะพอผมวิ่งมันก็เล็ง คราวนี้ขึ้นอยู่กับความเร็ว
ส่วนsnowrainที่วิ่งเข้ามากลางโจรทั้งสามใช้เคียวและเทคนิคความเร็วจักการคนหน้าสุดที่เป็นมนุษย์ไปได้ เธอกระโดนขึ้นไปบนหลังของโจรปิศาจคนหนึ่งแล้วใช้เคียวตวัดเข้าจะตัดคอแต่ก็ถูกกันเอาไว้ มันสะบัดเธอจนหลุด เธอรีบวิ่งถอยห่างออกมาตั้งหลักส่วนโจรที่ตัวใหญ่ที่สุดรีบเข้ามาสมทบกับพวกที่จักการsnowrain
ผมเตรียมเล็งปืนมันก็เช่นกัน หากผมเขี่ยมันออกจากประตูได้ ผมก็สามารถนำคนออกจากที่นี่ได้ เสียงจอแจหน้าธนาคารดังมากจนสามารถได้ยินเข้ามา คิดว่าตำรวจน่าจะมาถึงแล้ว
ภายนอกธนาคารผู้คนยืนแออัดกันเจ้าหน้าที่ชุดสีขาวหลายคนยืนล้อมอยู่หน้าประตูธนาคาร
“เรื่องนี้ตรวจสอบรึยัง?” ชายคนหนึ่งคาดว่าเป็นตำรวจเพราะดูจากเครื่องแบบที่มีดิ้นทองประดับและเข็มบอกยศอยู่บนออกกระซิบถามลูกน้อง
“ครับ...โจรปล้นธนาคารมีทั้งหมดห้าคน รู้เพียงคนเดียวว่าเป็นใครครับ”
“ใครล่ะ...”
“โจ บีลีช การ์ ครับ หัวหน้ากลุ่มต่อต้านการอยู่ร่วมกับมนุษย์”
“เรื่องแบบนี้ใครๆก็รับกันได้แล้ว พวกหัวโบราณที่ยังรับความจริงอะไรไม่ได้ไม่มีสิทธ์ที่จะขออะไรใครหรอก...ส่งโทรเลขไปหาหน่วยปราบปราม...”
ปัง!
ผมยิงปืนออกไป หมาป่าของผมคำรามลั่นเพราะผมเพิ่งเปลี่ยนให้เป็นกระสุนเงิน ทางโจรเฝ้าประตูเองก็รีบหลบ กระสุนของผมเข้าเจาะกระจก แต่ก็ไม่เป็นรอยอะไรมากมันรีบยิงสวนมาทันที ผมจึงยิงไปอีกสองนัดเพื่อเป็นการขู่ แต่มันก็ยิงสวนมาทันทีอีกสี่นัด ผมเหลือบไปเห็นว่าsnowrain กำลังจะเสียท่าเพราะถูกโจรสองคนเข้ารุม ตัวประกันเกือบทั้งหมดรีบถอยออกห่างจากที่พวกผมสู้กัน
เธอรีบคิดหาวิธีจัดการกับโจรสองคนนี้ แต่ทั้งสองเป็นปิศาจที่ยากจะเอาชนะ แถมพวกมันยังตัวโตเหมือนยักษ์เข้าไปอีก เธอเริ่มเหงื่อออก และเครียดจัดจนเกือบจะระเบิดอยู่แล้ว
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น พร้อมกับผมที่ต้องกระเด็นเพราะเพียงแค่ละสายตา มันถึงกับยิงสวนเข้ามาถึงสามนัด โชคดีที่โดนถากๆแค่นัดเดียว เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาอ่อนล้า ผมค่อยๆยืนขึ้นช้าๆ มองพวกมันสองตนกับอีกหนึ่งคนที่พวกเรายังสู้ไม่ค่อยได้
“เธอจักการมนุษย์ไปละกัน...ผมจัดการมนุษย์ไม่ได้”
“มนุษย์น่าจะจักการง่ายนี่? ทำไมถึงทำไม่ได้?”
“...มนุษย์เป็นสิ่งละเอียดอ่อนกว่าปิศาจเยอะ ถ้าเกิดว่าผมรุนแรงไปเกิดตายขึ้นมาก็แย่สิ”
ผมเดินสลับข้างกับเธอ เธอสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่หลับตาทำสมาธิ ยอตัวลงมือทั้งสองถือเคียวไว้แน่น ผมมองไปที่ปิศาจคู่ต่อสู้ใหม่ด้วยสายตาไม่ค่อยปรานีเท่าไหร่ พวกมันทั้งสามเตรียมพร้อมทุกอย่างตั้งแต่กระสุนจนถึงอาวุธกันเหนียวเช่นน้ำมนต์
“แกเป็นปิศาจใช่มั้ย?” โจรตัวโตถามผม
“ใช่.......”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงไม่ต้องออมมือให้เสียเวลาสินะ” มันหักนิ้วดังกรอบแกรบ
นอกธนาคาร
“ท่านครับ ประตูถูกล็อกจากด้านในครับ ที่นี่เป็นธนาคารกลางประตูจึงทำมาแข็งแรงเป็นพิเศษ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามารายงานแก่ชายที่นั่งจิบชาอยู่ในรถ
“ไปเอาเครื่องตัดกระจกมาสิ เข้าทางประตูหลังนะ” เขาละสายตาจากถ้วยน้ำชาแล้วออกคำสั่ง
“ครับ!”
ภายในธนาคาร
Snowrain จัดการกับโจรที่เป็นมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย เหลือก็เพียงผมที่ยังยืดเยื้อกับสองปิศาจยักษ์ ผมใช้ปืนของผมยิงสกัดไว้บางทีก็เล็งเอาให้โดนจังๆ แต่ก็ถูกหัวหน้าโจรปัดออกทั้งหมด เธอเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้ามาช่วย ผมคิดหาวิธีต่างๆเพื่อจะเอาชนะ แต่มันก็มีหลายวิธีเหลือเกิน แถมแผลที่ถูกกระสุนเงินถากที่ขากับที่โดนน้ำมนต์สาดและข้อมือก็แสบๆร้อนๆคล้ายโดนน้ำกรดราด ผมคิดว่าจะเอาให้เด็ดขาดไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา
ผมไถลตัวลอดใต้หว่างขาของปิศาจยักษ์นั่นแล้วใช้ปืนจ่อในระยะเผาขน เมื่อเหนี่ยวไกมันร้องลั่นพร้อมกับทรุดลง ผมรีบดันตัวให้พ้นหว่างขาของมันแล้วเล็งปืนไปที่แขนข้างที่ถือปืนแล้วยิง มันร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวด
โครม!
เสียงเหมือนกำแพงพังถล่มลงมาดังขึ้นจากข้างหลังธนาคาร มีเจ้าหน้าที่หลายคนวิ่งเข้ามาในธนาคาร เมื่อตัวประกันเห็นก็โล่งใจ
“โจ บีลีช กีร์....ใช่มั้ย?” เขาหันไปถามลูกน้อง
“การ์ครับ โจ บีลีช การ์ ครับ” ลูกน้องของเขากระซิบบอก
“ใช่ๆ” เอาสีหน้าโล่งอก พร้อมกับเดินไปที่ปิศาจตัวใหญ่ที่ผมเพิ่งจัดการไปมันนั่งทรุดอยู่กับพื้นมือกุมแขนที่ถูกยิง
“โจ บีลีช การ์ นายถูกจับกุมในหลายๆข้อหาเอาไปอ่านเองละกัน” เขาบอกพร้อมกับโยนกระดาษสามถึงสี่แผ่นใส่ โจ บีลีช การ์ หัวหน้าโจร ส่วนโจรอีกคนถูกจับกุมขณะกำลังจะหนี
“พวกเธอสองคนนั่นน่ะ” นายตำรวจในชุดขาวประดับดิ้นทองโบกมือเรียกมาทางผม แต่ไม่มั่นใจว่าเรียกใคร
“พวกเธอ คนที่ใส่ผ้าพันคอสีผึ้ง(เหลืองสลับดำ)นั่นและ กับผู้หญิงที่ถือเคียวน่ะหยุดให้ปากคำก่อน” รู้เลยว่าเขาเรียกใครผมกับเธอยืนรอเขาฝ่าฝูงชนที่พยายามออกจากธนาคารนี่ให้เร็วที่สุด
“พวกเธอมีใบอนุญาตพกอาวุธมั้ย”
“ผมมี”ผมตอบแล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋ายื่นบัตรให้ เขาดูแล้วเปรยขึ้น
“ที่แท้คุณเป็นลูกของดยุค มิคาเอลิส นี่เอง ท่านสบายดีมั้ย?” เขาถาม
“ผมคิดว่าสบายดี...”
“คำว่าคิดว่านี่มันหมายถึงอะไรล่ะ?” เขาย้อนถามเล่นๆ
“คิดว่าของผมก็คือไม่รู้ครับ” ผมตอบแล้วยิ้มให้เช่นกัน
“แล้วเธอล่ะสาวน้อย”
“มีค่ะ” เธอยื่นบัตรให้ดู
“ให้ตายสิ เธอคือsnowrainเหรอเนี่ย ผมชอบอ่านนิยายของคุณมากไม่นึกว่าจะได้เจอตัวจริง อายุคุณยังน้อยแต่มีฝีมือมากนะครับ” เขาพูดชื่นชมเธออย่างออกหน้าออกตา
ผมจับมือเธฮขึ้นมาดูทั้งสองข้างทั้งดูฝ่ามือและหลังมือ
“ผมคิดว่าคุณพูดผิดแล้วล่ะครับ.... เธอไม่มีฝีมือหรอก” ผมยกมือของเธอให้นายตำรวจดู เขาเพ่งพินิจแล้วหัวเราะออกมา ส่วน snowrain ทำสีหน้างง
“ฮ่าๆ ไม่มีฝีมือจริงๆด้วย เธอนี่มุกแป๊กใช่ย่อย”
หลังจากให้ปากคำ ผมก็ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อทำแผลและคิดไว้แล้วว่ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่สิ่งแรกที่จะทำคือ อาบน้ำแล้วนอน
ผมออกจากโรงพยาบาลโดยมีผ้าพันแผลพันที่ขาและมีพลาสเตอร์ติดตามแขนหรือมีผ้าปิดแผลตรงที่โดนน้ำมนต์ หมอบอกว่าไม่ต้องอายน้ำ ฉะนั้นผมจึงเปลี่ยนแผนคือ กลับบ้านแล้วนอน ส่วนsnowrainกลับออกมาพร้อมกับแขนที่มีผ้าพันหนาๆเอาไว้ แขนถูกผ้าโยงสายห้อยที่คอเหมือนคนแขนหัก
“คุณไม่เป็นอะไรมากเหรอ เจ็บที่มือแล้วจะเขียนไหวเหรอ?”ผมถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันถนัดขวาแล้วก็ที่มันเจ็บก็ข้างซ้าย” เธอตอบพร้อมยิ้มให้
“ผมไปก่อนนะ”
“ค่ะ ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ”
“ครับ ขอแค่อย่างมีโจรกับกองหนังสือ”
เธอหัวเราะเบาๆ
“โจรน่ะคงได้ แต่หนังสือคือเพื่อนของฉัน”
“งั้นพาเพื่อนคุณมาด้วยล่ะถ้าเจอกันคราวหน้านะครับ”
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
ขอภัยถ้าจบไม่สวย
ความคิดเห็น