[ Short fic ] MARK X SORN - นิยาย [ Short fic ] MARK X SORN : Dek-D.com - Writer
×

    [ Short fic ] MARK X SORN

    ผู้เข้าชมรวม

    605

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    605

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    5
    จำนวนตอน :  0 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  6 มิ.ย. 61 / 01:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    คำเตือน!!
    เนื้อหาเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายตัวละครในเรื่อง เราเพียงแค่แต่งขึ้นจากจินตนาการของเราเอง หากท่านรับไม่ได้เราก็ขออภัยด้วย








    “ขอจูบ…..ได้ป่ะ” เสียงทุ้มของร่างสูงกล่าวกับหญิงตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่

    เขามองกริยาของเธอแล้วก็นึกขำ นี่เขาคบกับเธอมาก็หลายปีแล้วนะ

    แต่พอขอจูบทีไรเธอก็เอาแต่ก้มหน้าแล้วเล่นกับมือตัวเองตลอด


    เมื่อไม่มีคำตอบกลับมามือเรียวจึงค่อยๆช้อนคางของหญิงสาวให้เงยขึ้น

    สายตาของทั้งสองเริ่มประสานกันพร้อมกับระยะห่างที่เริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ


    แก้มของหญิงสาวค่อยๆแดงขึ้นจนเห็นได้ชัด เมื่อริมฝีปากเริ่มสัมผัสกันสายตาที่มองกันเมื่อครู่ก็ลูบต่ำลง

    ชายหนุ่มเริ่มง้างงับริมฝีปากบนของเธออย่างแผ่วเบาดูดซับความหวานที่ละน้อย


    ลิ้นที่ไม่อยู่สุขเข้าไปสำรวจโพรงปากของหญิงสาวอย่างซุกซน เธอสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น

    เพราะร่างสูงก็ทำให้เธอกลับมาเคลิบเคลิ้มได้ต่อ


    จากสัมผัสที่เนิบนาบเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆความหวานที่เขาได้รับจากคนตรงหน้าทำให้เขาไม่อยากที่จะหยุดมันเลยแต่ร่างเล็กก็เอาแต่ทุบที่อกประท้วงอยู่ เขาทำได้เพียงผละออกมาพร้อมกับความรู้สึกที่เสียดายสุดขีด





    “พอแล้ว สรหายใจไม่ทัน” เสียงหอบหายใจถี่ๆของร่างเล็กทำให้เขาขำอีกแล้ว




    “แต่พี่ยังไม่อยากหยุดเลยนะ ขออีกครั้งได้มั้ย” ร่างสูงรวบมือบางมากุมไว้

    ใช้นิ้วโป้งถูไปมาบนหลังมือทำหน้าตาออดอ้อนหวังให้คนตรงหน้ายอมให้เขาอีกสักที





    หญิงสาวชั่งใจคิดอยู่ สร้างความตื่นเต้นลุ้นกับคำตอบที่จะออกมาอีกครั้ง

    จริงๆแล้วเขาจะทำแบบเดิมก็ได้แต่ที่เขารอเพราะอยากให้คนที่เขารักนั้นกล้าที่จะบอกความรู้สึกตัวเองออกมา




    “ อีกครั้งเดียวนะ” คนตัวเล็กบอกที่แก้มทั้งสองมีสีชมพูจางๆ

    ร่างสูงพยักหน้างึกงักทำให้หญิงสาวยิ้มขำกับท่าทางเขา

    คนตัวเล็กหลับตาลงเป็นสัญญาณบอกชายหนุ่มประคองใบหน้ากลมขึ้นมา




    “จากนั้นเจ้าชายก็ค่อยๆบรรจงจูบเจ้าหญิงอย่างแผ่วเบา....


    .....สัมผัสที่อ่อนนุ่มทำให้เจ้าชายไม่อาจถอนได้…” เสียงเล็กหยุดอ่านแล้วเงยหน้าขึ้นมา

    มองเจ้าชายของเธอที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงและมีสายช่วยหายใจติดอยู่ตรงจมูก  

    ชลนสรยิ้มมองใบหน้านิ่งนั้นอยู่สักพักจากนั้นเธอก็เริ่มอ่านต่อ



    ….แต่เวลาการอำลาของเจ้าชายใกล้หมดเต็มที เจ้าชายจึงต้องจำใจถอนจุมพิศจากนางอันเป็นที่รัก

    เพื่อไปปกป้องบ้านเมืองให้กลับมาสงบสุขดั่งเดิม”




    นิทานจบลงไปแล้วแต่น้ำตาของชลลสรยังไหลไม่หลุดไม่ใช่เพราะตอนจบของนิทานเรื่องนี้น่าเศร้า  แต่เธอเสียใจที่คนที่รักกำลังจะจากไปในไม่ช้า


    มาร์ค  ต้วนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและมีเวลาอีกไม่นานที่เธอจะได้เห็นหน้าของเขา มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่เธอเจอมาในชีวิต และเพราะเราไม่เคยนึกถึงวันที่ต้องจากกันเลยสักครั้ง ทำให้ในวันนี้มันทำใจยาก



    “มาร์คเป็นไงบ้าง”  เป็นเสียงของคุณนายต้วนที่เดินเข้ามาถามไถ่อาการของลูกชายตัวเอง ทำให้เธอต้องรีบไล่น้ำตาที่กำลังจะไหลและปาดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหันไปตอบกับแม่สามี




    “ยังไม่ตื่นเลยค่ะคุณแม่” ชลนสรตอบได้เพียงเท่านี้ คุณนายต้วนพยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้เตียงคนไข้

    เธอได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น จนกระทั้งตัวของเธอเริ่มสั่นและไม่นานก็มีเสียงสะอื้นดังขึ้นมาสรต้องรีบเดินเข้าไปหาเพื่อปลอบใจ




    “ฮือออออ...มาร์คของแม่...



    ทำไม...ทำไมต้องเป็นลูกด้วย...



    ฮือออออ …..



    ทำไมมม….



    พะ...พระเจ้า…...ได้โปรดเถิด….โปรดช่วยลูกของฉันด้วย...



    ฮืออออ…..



    มันเร็วเกินไปที่เราจะจากลากัน….



    ฮือออ...ได้โปรดเถิดอย่าพึ่งพาเขาไป….ฮือออ”


    คุณแม่ยกสองมือที่สั่นเทาขึ้นมาประสานกันไว้ที่อก  น้ำใสๆยังคงไหลออกจากตาเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วชลนสรก็ไม่อาจกะกลั้นน้ำตาไหว เธอกอดคุณแม่แน่น แล้วร้องไห้ไปด้วยกัน…


    .


    .


    .

    .


    เพราะเหนื่อยจากการร้องไห้คุณนายต้วนหลับอยู่ในอ้อมแขนของสร  เธอจึงค่อยๆพยุงตัวคุณแม่ให้มานอนที่โซฟา หาผ้าห่มมาห่มให้จากนั้นก็เช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า คิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่นั้นทำให้รู้ได้ว่าคุณแม่ไม่ได้ฝันดีสักเท่าไหร่


    เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง

     


    หมดหวังแล้วสินะ เธอคิดขึ้นในใจ ตอนนี้เราแค่รอเวลาที่จะต้องบอกลากันเท่านั้น



    สรมองริมฝีปากที่แห้งผาด แล้วนึกย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้านี้ที่มาร์ค ดูไม่ใช่มาร์ค เขาทำทุกอย่างเพื่อไล่เธอไป ทั้งพูดจาไม่ดี ทั้งนอกใจ ไปไหนกับผู้หญิงคนอื่น



    ในตอนนั้นทั้งเสียใจและโกรธแค้น จนอยากจะหนีไปให้ไกลๆแต่เธอก็ยังขี้ขลาดเกินกว่าจะไปจากเขา



    จนในที่สุดมาร์คก็ยอมรับว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะอะไร นั่นยิ่งทำให้ชลนสรไปอยากจะทิ้งมาร์คไปไหน เธออยากจะดูแลเขาให้มากที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้หลังจากนั้นเธอก็เลือกที่จะแต่งงานกับเขาแม้คนในครอบครัวจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

    เธอดูแลมาร์คตั้งแต่ตอนที่ยังสามารถไปไหนกับเธอได้ เราไปทุกที่ที่อยากไป ทำในสิ่งที่อยากทำ ถ่ายรูปเก็บไว้มากมายเพื่อเป็นความทรงจำ จนกระทั่งมาร์คทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง



    หลายครั้งที่มาร์คไล่เธอ บอกให้เธอไปใช้ชีวิตใหม่กับคนอื่นที่ดีดีกว่า การมานั่งดูแลเขา  แต่เธอก็ไม่อยากไปไม่ใช่เพราะความขี้ขลาดอีกแล้วแต่มันคือ รัก



    ใช่ การที่คนคนหนึ่งต้องการที่จะดูแลใครสักคนโดยไม่สนว่าคนคนนั้นจะเป็นยังไง มันก็ควรเรียกว่ารักไม่ใช่หรอ



    ถึงแม้จะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีคำว่าตลอดไปสำหรับเราแต่อย่างน้อยความทรงจำที่ผ่านมามันก็มีค่านี่


    เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆขยับขึ้น สรรีบเดินเข้าไปตรงขอบเตียง




    “มาร์ค ตื่นแล้วใช่มั้ย ปะ..เป็นไงบ้าง” สรตื่นเต้นดีใจหลายวันมาแล้วที่เราไม่ได้คุยกันเลย




    “ขะ..ขอ..ขอน้ำหน่อย”  เสียงที่แหบแห้งจากการไม่ได้พูดหลายวันทำให้มาร์คต้วนหิวน้ำเหลือเกิน




    สรรีบรินน้ำใส่แก้วให้มาร์คทันที การได้ดื่มน้ำทำให้อะไรๆดีขึ้นเยอะ มาร์คมองใบหน้ากลมของหญิงตรงหน้าอย่างโหยหามานาน เขาไม่รู้ว่าเขาหลับไปกี่วันหรือเป็นสัปดาห์ ตอนนี้เขาแค่คิดว่าชลนสรจะคิดถึงเขามากขนาดไหนกันนะในช่วงที่เขาหลับไป




    “สบายดีมั้ย…” มาร์คพูดยิ้มๆ นั้นเป็นประโยคที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว




    ฟังมาร์คพูดสรก็นึกขำ อะไรกันหายไปตั้งหลายวันทักกันแค่สบายดีมั้ย ถึงจะคิดอย่างนั้นชลสรก็ไม่ได้พูดออกไปทำได้แค่หัวเราะและพยักหน้าให้



    เห็นสรขำมาร์คก็ขำตาม ทั้งสองคนแทบจะไม่พูดอะไรกันได้แต่จ้องตากันเท่านั้น



    เสียงขำของทั้งสองทำให้หญิงวัยกลางคนตื่นขึ้น เธอไม่ลุกขึ้นหรือทำอะไรที่ทำให้สองคนนั้นรู้ว่าเธอตื่น เธอแค่นอนนิ่งๆและฟังสองสามีภรรยาคุยกัน



    ช่างเสียมารยาทเธอรู้ แต่การขัดช่วงเวลาความสุขของทั้งสองคนตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ เธอแค่อยากรู้ว่าลูกชายของเธอสบายดีแค่นี้เท่านั้น


    ตอนนี้เธอมีความสุขแล้ว และตอนนี้เธอก็เบาใจขึ้นแล้ว เธอยิ้มและหลับตาลง




    “แม่หลับไปนานรึยัง” สรหันไปมองตามสายตาของมาร์คที่มองหญิงที่นอนอยู่ตรงโซฟาแล้วตอบ




    “สักพักแล้ว..”




    มาร์คพยักหน้ารับรู้ก่อนจะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ช่างน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ทำไมคนอย่างเขาต้องมาเจอกับโรคแบบนี้  ต้องทำให้ทุกคนเป็นห่วงและต้องมาลำบากดูแล สู้ตายๆไปซะยังดีกว่า



    มาร์คเลื่อนสายตาขึ้นไปมองคนตรงหน้าที่ดู…..



    โซม



    สรผอมไปเยอะเลย รอยคล้ำใต้ตาก็มากขึ้น ถึงเธอจะยิ้มอยู่แต่ดูก็รู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน   เขาไม่อยากจะเห็นสรเป็นแบบนี้แล้ว เขารู้สึกเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่รั้งสรไว้ทั้งที่สรไปมีชีวิตที่ดีได้ และไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่พยายามไล่สรออกไปแต่ทำยังไงสรก็ไม่ไปจากเขาจริงๆ




    “มีอะไรรึเปล่า” สรถามแล้วระบายยิ้มออกมา  




    “เหนื่อยมั้ย..” มาร์คถามสรทั้งที่รู้ว่าสรจะตอบอะไร ชลนสรได้แต่ส่ายหน้าและยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น




    โกหก ทำไมถึงต้องโกหกกัน ทำไมต้องบอกว่าไม่เป็นอะไรทั้งที่เป็น ทำไมต้องทนทั้งที่ไม่ต้องก็ได้ ทำไมกัน มันเป็นสิ่งที่มาร์คได้แต่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เขาไม่อยากชวนทะเลาะในเวลาแบบนี้หรอกนะ




    “ไปเดินเล่นกัน” มาร์คพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาเต็มที สรหันไปมองหญิงสูงวัยตรงโซฟาแล้วหันกลับมามองหน้ามาร์ค



    “แม่ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้ไปนานสักหน่อย” มาร์คพูดทำให้สรยอมพามาร์คไปสวนของโรงพยาบาลที่อยู่ชั้นบนสุด



    เมื่อประตูลิฟเปิดออกสายลมเอื่อยๆก็ปะทะเข้าใบหน้าสรเริ่มเข็นรถไปตามทางเดิน จนถึงจุดหนึ่งที่มีเก้าอีกให้นั่งพัก เธอหยุดรถและนั่งลงเพื่อนั่งคุยกับมาร์ค




    “อากาศดีเนอะ”  สรเป็นคนเริ่มบทสนทนา




    “อื้มม..ใช่” มาร์คฝืนยิ้ม




    สรมองหน้ามาร์ค ค่อยๆเข้าไปใกล้  


    อย่า!!สรชะงักริมฝีปากอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซ็น เธอถอยกลับมานั่งลงเหมือนเดิม  



    “ขอโทษ….” สรพูดเสียงอ่อนหน้าเสียไปทันทีเธอไม่สบตากับมาร์คแต่มองออกไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด



    เงียบกันไปพักใหญ่ มีอะไรมากมายที่มาร์คอยากพูดแต่ก็พูดไม่ออกเพราะจากสถานการณ์เมื่อกี้ เขาหันไปมองสรที่ยังคงมองไปข้างหน้า



    ยกมือที่แทบจะไม่มีแรงเหลือไปวางไว้บนมือของอีกคน

    มือของสรกระตุ้นนิดนึงก่อนจะวางมืออีกข้างมาทับมือมาร์ค สรขยับเข้าไปใกล้แล้วกอดแขนของเขาแล้วจากนั้นก็ซบบ่า



    “ไม่มีอะไรข้างหน้าให้มองเลย มันมืดไปหมด” มาร์คพูด



    “จริงหรือ? แต่ฉันว่าข้างหน้านั่นน่ะน่ามองที่สุด….” มาร์คขมัวคิ้วงงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาไม่เห็นอะไรเลยจริงๆนะ แล้วสรก็พูดขึ้นต่อ



    “..... มันขึ้นอยู่กับใจเธอว่าเธอคิดอะไร...” ได้ฟังอย่างนั้นมาร์คก็ลองมองไปอีกครั้ง


    “ข้างหน้านั่นน่ะ ฉันเห็นเธอกับฉันนั่งดูทีวีกันแล้วก็….





    …..มีเด็ก….





    …..เด็กตัวเล็กๆ ประมาณสองคน เป็นแฝดด้วยนะ ชายหญิง นั่งดูทีวีกับเราอยู่”



    ความมืดข้างหน้าเริ่มมีรูปร่างของคนสี่คนกำลังนั่งดูทีวีให้มาร์คได้เห็น



    “เราสี่คนเล่นด้วยกันหยอกล้อกัน มันสนุกมากเลย”



    มาร์คยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เขาเห็นทุกอย่างที่สรพูดหมด เขารุ้สึกมีความสุข ภาพตรงหน้านั่น มันช่างน่ารักและอบอุ่น



    “แล้วฉันก็เห็นพวกเขาโตขึ้นๆจนไปใช้ชีวิตของตัวเอง แล้วรู้มั้ยฉันเห็นอะไรต่อ”



    “เธอเห็นอะไร..”



    “ฉันเห็น….เราแก่ล่ะ”



    “เราแก่หรอ” มาร์คกั้วขำ



    “ใช่ เรานั่งเก้าอี้โยกด้วยนะรู้มั้ย แล้วก็มีหลานเต็มรอบตัวเราไปหมด เราเล่นกับหลานทุกคนจนเราเล่นไม่ไหวเลยล่ะ” มาร์คขำตามเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง ภาพข้างหน้าเขาเริ่มเรือนราง เขายังไม่อยากจะหลับเลยนะ แต่เขาก็สู้เปลือกตาไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาหลับตา ยังคงพูดกับสรต่อ



    “แล้วยังไงต่อ” เสียงเขาเริ่มแผ่วเบา



    “แล้วเราก็นั่งอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้แหละ นั่งมองพระอาทิตย์ตกดิน..”



    “ทะ..เล…”  มาร์คแทบจะไม่มีแรงพูด



    “ใช่เราอยู่ที่หาดแล้วก็มองทะเล มีคลื่นพัดมาเข้าฝั่งเป็นระยะๆ แล้วเธอก็พูดกับฉันว่า..”



    “ฉะ...ฉัน...รัก…..เธอ…” จบประโยคเสียงของมาร์คก็เงียบลงมันนิ่งมาก ราวกับทุกอย่างในโลกเงียบไปพร้อมกัน น้ำใสๆไหลออกจากตาทั้งสองของสร ริมฝีปากบางพูดต่อ



    “ไม่ผิดแล้ว…...ฉันคิดถึงเธอต่างหาก”














    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น