Earttea online
ขอเชิญทุกท่านเข้ามาสัมผัสกับชีวิตธรรมดาขอเด็กสาวที่ชื่อชะเอม ที่จะไม่ธรรมดาอีกต่อไปเมื่อเธอได้มาเล่นเกม
ผู้เข้าชมรวม
79
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทที่ 1 การผนึก
ที่ราบบนยอดเขาอันเปลี่ยวร้างปกติที่นี่ยังยากที่จะพบคนสักคน แต่ตอนนี้ผู้คุมกฎในชุดสีขาวและทองทั้ง 13 คนได้ยืนกระจายกันเป็นรูปพัดคล้ายกับกำลังรอใคร อย่างนั้น
“นี่พวกเราแน่ใจแล้วหรือว่าจะทำแบบนี้จริงๆ?ผลกระทบที่จะตามมาหลังจากเรื่องนี้น่ะมันต้องใหญ่มากแน่ๆ” ผู้คุมกฎคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีส้มแปร๊ดถามขึ้น
“ก็พวกเราไม่มีทางเลือกนี่เพราะมันจำเป็นจริงๆเราเลยต้องทำ ถามจริงๆเถอะว่ามีใครอยากจะเป็นศัตรูกับเจ้าเจ็ดคนนั่นบ้าง” ผู้คุมกฎอีกคนที่สวมแว่นตาข้างเดียวตอบบ้าง
“เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นมันจะมาล่ะเนี่ยรอตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนั้นมันไม่มาแล้วปล่อยให้เรามารอเก้อหรอกนะ” ผู้คุมกฎคนเดิมบ่นต่อ
“นายจะบ่นไปทำไมตอนนี้มันก่อนเวลานัดตั้งนาน แล้วอย่างเจ้าพวกนั้นน่ะถือดีจะตายยังไงก็ต้องมาแน่” ผู้คุมกฎที่สวมแว่นตาข้างเดียวก็เป็นคนตอบให้อีก
“พวกนายเลิกคุยกันสักทีได้ไหม!! แทนที่จะมัวมาพูดกันสู้มาเตรียมพร้อมเอาไว้ดีกว่า อย่าลืมนะว่าคู่ต่อสู้ของเราคือมาตเตอร์ยอดฝีมือที่เก้าสู่ชั้นจักรพรรดิได้ด้วยอายุน้อยที่สุด ดังนั้นจะประมาทไม่ได้” คราวนี้ผู้คุมกฎผู้มีก้ามเป็นมัดๆโวยขึ้นบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่พวกเราเตรียมมาจะจัดการเจ้าพวกนั้นได้เหรอถ้ามันเก่งซะขนาดน่ะนะ” ผู้คุมกฎคี่สงสัยยังถามต่อ
“ต้องได้!! การดำรงหรือล่มสลายของอาร์ทเทียขึ้นอยู่กับการผนึกมาตเตอร์ในครั้งนี้ดังนั้นเราจะพราดไม่ได้เด็ดขาด!!!” ผู้คุมกฎร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงกลางกล่าวอย่างเฉียบขาด และเมื่อได้ยินดังนั้นผู้คุมกฎชั่งสงสัยก็ไม่กล่าวอะไรต่ออีก จึงทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ
แต่ก็เงียบได้ไม่นานเมื่อผู้คุมกฎคนกลางที่ดูจะเป็นหัวหน้าได้กล่าวขึ้นมา “ในเมื่อมาถึงแล้วก็เปิดเผยตัวออกมาเถอะ คิระตะ!”
ชายหนุ่มในชุดแบบนินจาสีดำ อายุราว20 ปี สะพายกระบี่หนึ่งเล่มที่กลางหลัง บนใบหน้าอันไร้ความรู้สึกประดับไว้ด้วยดวงตาที่ฉายประกายความตายอันเย็นเยียบออกมา ทำให้ผู้ที่เคยสบกับดวงตาคู่นี้จะต้องไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
คิระตะไม่สนใจกับสายตาของผู้คุมกฎทุกคู่ที่จ้องมองมาทางเขา ถึงแม้จะแปลกใจที่ผู้คุมกฎสามารถรู้ถึงการมาของเขาได้ซึ่งปกติแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่แสดงออกทางสีหน้ากวาดตาผ่านหน้าทุกคนแล้วจึงทักเสียงเรียบ
“มากันเร็วดีนี่ ฉันคิดว่าฉันจะมาถึงเป็นคนแรกเสียอีก”
ผู้คุมกฎทุกคนที่ถูกกวาดตาผ่านหน้าต้องรู้สึกถึงความตายที่จ่ออยู่เบื้องหลังแม้จะรู้ว่ามันเป็นความสามารถของคิราตะแต่ก็อดเสียวสันหลังวูบไม่ได้
“แปลกใจใช่ไหมล่ะว่าทำไมพวกเราถึงมาก่อนนายได้ วิธีการของนายย่ะมันเก่าไปแล้วเฟ้ย!!” ผู้คุมกฎผมสีส้มโพล่งขึ้นทำลายบรรยากาศอันอึดอัดที่คิระตะสร้างขึ้น
“อย่างงั้นเองสินะ” คิระตะกล่าวขึ้นมาเบาๆแต่ได้ยินกันไปทั่วพลางส่งสายตาจ้องมองคนพูดไม่วางตา
ตอนแรกคิระตะตั้งใจจะมาให้ถึงก่อนทุกคนเพื่อสำรวจพื้นที่ชิงความได้เปรียบ และก็อาจจะลบจิตซ้อนตัวดูสถานการณ์อยู่โดยไม่ให้ใครรู้ แต่ในเมื่อมันไม่เป็นไปตามแผนก็ช่วยไม่ได้
“แล้วมาตเตอร์คนอื่นๆล่ะเมื่อไหร่จะมากัน” ผู้คุมกฎที่สะพายดาบคาตานะเล่มยาวเอ่ยถาม
คิระตะยังไม่ทันตอบทุกคนก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังหนึ่งปรานหนึ่งเวทที่กำลังมุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว ‘เจ้าพวกบ้านั่นทำไมไม่ซ้อนพลังกัน’ คิระตะคิดอย่างไม่ชอบใจ
แล้วเจ้าของขุมพลังทั้งสองจุดก็มาถึง ชายหนุ่มอายุเท่าคิระตะแต่งกายในชุดซามูไรสะพายดาบที่ข้างเอว เส้นผมสีดำเช่นเดียวกับดวงตา ที่ริมฝีปากประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความมั่นใจในตัวเองสมกับเป็นซาเซอร์
อีกคนคือชายหนุ่มที่ดูน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับสองคนแรก เขาร่างเตี้ยกว่าคิระตะเล็กน้อยสวมชุดนักเวท จุดเด่นบนใบหน้าคือดวงตาที่แฝงแววคี่เล่นกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเซจิ
ทั้งสองคนร่อนลงยืนที่ข้างๆคิระตะแล้วจึงกล่าวทักทาย
“มาถึงก่อนเป็นคนแรกเลยนะคิระตะ นายนี่มันขยันจริงๆ” ซาเซอร์ทักขึ้นก่อนแต่กลับได้สายตาเย็นชาจากอีกฝ่ายกลับมาแทน
ฝ่ายเซจิที่รู้ว่าคิระตะไม่พอใจเรื่องอะไรก็รีบกล่าว “เอาน่าต่อให้พวกเราซ้อนพลังมาพวกนั้นรู้อยู่ดี สู้เรามาแบบแสดงพลังให้พวกนั้นเห็นไปเลยดีกว่าเผื่อเรื่องอะไรๆมันจะง่ายขึ้น”
ถึงแม้จะไม่ชอบใจแต่เขาก็ต้องยอมรับเรื่องที่ผู้คุมกฎสามารถรู้ถึงการซ้อนพลังของพวกเขาได้
“มากันครบเลยนะเนี่ย แล้วดูเตรียมพร้อมสิฉันว่าอย่างนี้ต้องมีตีกันแหง” ซา
เซอร์มองไปทางพวกผู้คุมกฎผิวปากแล้วจึงกล่าวออกมา
ในตอนนั้นเองที่อากาศเกิดบิดเบี้ยวประตูมิติสองบานก่อตัวขึ้นในอากาศมีคนสองคนเก้าออกมาจากประตูแต่ละบาน
จากประตูบานซ้ายเสียงกรีดร้องอันแสนทุกข์ทรมานของเหล่าสัตว์นรกดังระงม ภายในประตูมองเห็นเปลวไฟสว่างจ้าส่งความร้อนแผดเผาออกมาถึงเบื้องนอก ผู้ที่เก้าออกมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลจากนรกก็คือเรโตะนั่นเอง
ผิดกับประตูมิติบานขวามือที่มีแต่เสียงดุริยทิพย์อันไพเราะ มองเข้าไปจะพบแต่สภาพอันสวยงาม และยังกลิ่นหอมจางๆที่หอมกว่าดอกไม้ใดๆในแดนดินลอยออกมาให้ชื่นใจ ผู้ที่เก้าออกมาอย่างสบายๆเขาคือลูเกียออซ
ชายทั้งสองที่มาจากสถานที่ๆต่างกันสุดขั้วเดินมายืนอยู่ข้างกันถัดจากเซจิกับซาเซอร์ที่ยืนอยู่ก่อน
“ฉันอิจฉาพวกคนที่เขาสบายมีประตูมิติใช้ไม่ต้องเหนื่อยเหาะมาเองจัง” เซจิหันไปบ่นกับผู้มาใหม่
“เฮอะ!” เรโตะทำเพียงแค่นเสียงให้เป็นคำตอบ เขามีอายุเท่าๆกับมาตเตอร์คนอื่นๆแต่สูงกว่าทุกคนเล็กน้อย สวมผ้าคลุมยาวสีดำ ใบหน้าดุเย็นชา ดวงตาที่แสดงถึงความดุดันแต่ในบางครั้งมันฉายประกายคล้ายจะเยิ้ยหยันโลกทั้งใบ นี่ทำให้เรโตะดูเป็นคนไม่น่าคบ
“นายก็ไปรับทักษะของเผ่าเทพสิจะได้ไม่ต้องใช่คนที่มาสายที่สุดองบ่นอย่างนี้ แล้วนี่รุ่นพี่กับราเมอร์ยังไม่มาอีกหรือไงนะ” คนเอ่ยวาจาคือลูเกียออซ ชายหนุ่มที่ดูน่าจะอายุไม่เกิน 20 ปี ใบหน้าคมคายคล้ายสลักเสลามาจากหยกบวกกับดวงตาสีน้ำเงินที่มีแววอ่อนโยน ผมยาวสีทองที่ถูกรวบไปมัดไว้ด้านหลัง ชุดขาวที่สวมใส่ยิ่งทำให้เขาดูตัดกับเรโตะราวกลางวันกับกลางคืน
“ขอโทษทีๆ!! ฉันมาสายไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีคนมาถึงทีหลังฉันอีกอะนะ”
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำในชุดรัดกุมสีน้ำเงินสลับแดง ไว้ผมยาวประบ่าสวมปลอกแขนสีดำที่มีลวดลายมังกรประดับอยู่ ใบหน้าเข้มกับดวงตาคมกริบให้เขาดูมีเสน่ห์ รีบกล่าวขอโทษขอโพยหลังจากร่อนลงแตะพื้นอย่างเร่งรีบ เขามองไปรอบๆแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าตนยังไม่ใช่คนที่มาสายที่สุด
“แต่รุ่นพี่ก็มาแล้วนะ นั่นไง!!” เซจิชี้ไปยังจุดที่ชายหนุ่มคนหนึ่งใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมายืนข้างลูเกียออซ
เขาอายุอยู่ในราวต้นยี่สิบ ส่วนสูงพอๆกับเรโตะสวมชุดจอมยุธสีน้ำตาล เท่าที่เห็นไม่มีอาวุธใดๆ ดวงตาสุขุมเมื่อมาอยู่บนใบหน้าคมสันแล้วก็เป็นการจับคู่ที่เหมาะเจาะเป็นอย่างยิ่ง
เคนกวาดตาไปมองเหล่าผู้คุมกฎอย่างสนใจ ชายหนุ่มคิดเหมือนคิระตะว่าวันนี้ผู้คุมกฎเตรียมตัวมาพร้อมจนเกินไป บางทีครั้งนี้อาจจะต้องมีการต่อสู้กันซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็บอกไม่ได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
“เอาล่ะ! ในที่สุดก็มาคบสักที ได้เวลามาคุยเรื่องของเรากันแล้ว” ผู้คุมกฎคนกลางเอ่ยขึ้นทำให้บรรยากาศยิ่งทวีความตึงเครียด
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาสิ แต่ถ้าเป็นอ้ายเรื่องไร้สาระที่เคยพูดกันมาแล้วนั่นก็เลิกคิดไปได้เลย” เรโตะพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า
ผู้คุมกฎบางคนชักสีหน้าแต่ก็ถูกสายตาของเพื่อนปรามไว้
“เอาน่าใจเย็นๆไว้ก่อนเราคุยกันได้อยู่แล้ว” เซจิช่วยคลายสถานการณ์อีกคน “คืออย่างนี้นะเรื่องที่จะให้เราถูกผนึกตามที่พวกนายต้องการน่ะไม่ได้หรอก แต่ฉันคิดว่าถ้าพวกนายบอกถึงปัญหาของพวกนายออกมาแล้วเราช่วยกันก็น่าจะแก้ปัญหาได้นะ” เซจิกล่าวต่อโดยทำเสียงให้คล้ายกับไม่มีเรื่องราวใด แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินคำตอบของผู้คุมกฎ
“ฉันก็บอกไปแล้วไงว่ามีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เราต้องผนึกพวกนาย!!!” ผู้คุมกฎยังคงยืนยันคำเดิม
“ไร้สาระน่า วิธีการรับไม่ได้ เหตุผลก็ไม่มีอยู่ดีๆจะให้พวกเราทำตามอย่างนั้นเหรอบ้าไปแล้ว” ซาเซอร์โวยขึ้นอย่างเหลืออด ถ้าคิดว่าเป็นผู้คุมกฎแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง
“เหตุผลน่ะพวกเรามีนะแต่จะบอกพวกนายก็ต่อเมื่อถึงเวลา แล้วการผนึกมันก็แค่นอนหลับไปสักพักเท่านั้นแล้วเดี๋ยวก็ตื่นขึ้นมาอยู่ดี ส่วนในระหว่างที่อยู่ในผนึกพวกฉันรับรองว่าจะดูแลครอบครัวของพวกนายเป็นอย่างดี”
ผู้คุมกฎที่สวมแว่นตาข้างเดียวพยายามพูดเกลี้ยกล่อมถึงแม้จะรู้ดีว่ามันคงไม่ได้ผล แค่ลองคิดดูว่าถ้ามีใครก็ไม่รู้มาบอกว่าจะผนึกตัวเองเขาไม่มีทางยอมแน่ๆ แล้วยิ่งเป็นมาตเตอร์ทั้ง 7 คนด้วยนี่...คงได้สู้กันแหงๆ
“อย่างนั้นเราคงต้องบอกว่าเราทำไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยนะ” ลูเกียออซตอบปฏิเสธอย่างสุภาพแต่แฝงด้วยความเหินห่าง
นี่ดูจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายเมื่อลูเกียออซที่เป็นคนสุภาพที่สุดในกลุ่มยังตอบปฏิเสธ
“สรุปคือมาตเตอร์ไม่ยอมร่วมมืองั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นพวกฉันก็ต้องลงมือ!!!” สิ้นคำซึ่งคล้ายเป็นสัญญาณการเคลื่อนไหวหลายๆอย่างก็เริ่มขึ้น
ตั้งแต่มาถึงคิระตะก็ไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่สักนิด เขามัวแต่คิดถึงความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ และคอยละแวกกระวังการจู่โจมอย่างไม่คาดฝัน
ย้อนไปเมื่อครึ่งเดือน ก่อนผู้คุมกฎซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ว่ากันว่าแข่งแกร่งที่สุด และมีหน้าที่คอยดูแลความสงบสุขของโลกอาร์ทเทียแห่งนี้ ได้มีการเคลื่อนไหว
ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าเป็นเพียงภารกิจของผู้คุมกฎเท่านั้น จนผู้คุมกฎเริ่มจัดระเบียบโลกอาร์ทเทียครั้งใหญ่ มีการรวบรวมวัตถุโบราญหลายชิ้นแล้วยังสิ่งที่เป็นความลับที่เขารู้ระแคะระคายอีกมากมาย
จนกระทั่งวันหนึ่งผู้คุมกฎได้มาหามาตเตอร์ทุกคนเพื่อบอกเรื่องการจะผนึกพวกเขาไปชั่วระยะหนึ่งแถมยังไม่บอกเหตุผลอีก
นี่มันงี่เง่าสิ้นดี !!! ไม่มีทางที่ใครจะยอมรับเรื่องนี้ เรโตะถึงกับเกือบท้าผู้คุมกฎสู้กันตรงนั้น
การเผชิญหน้ากันครั้งนี้จึงเกิดขึ้นมาตเตอร์ได้รับจหมายลงชื่อผู้คุมกฎนัดให้มาเจอกันที่นี่เวลานี้ พวกเขาต่างรู้ว่าอาจเกิดการต่อสู้ได้ทุกเมื่อแต่ก็ไม่คิดว่าผู้คุมกฎจะบอกลงมือก็ลงมือทำให้แม้แต่เขาที่ระวังอยู่ก่อนยังรับมือไม่ทัน
พื้นหินใต้เท้าระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงตามมาด้วยโซ่มากมายพุ่งเข้าพันธนาการร่างกาย คิระตะถูกแรงระเบิดลอยขึ้นแต่ยังสามารถระเบิดพลังจิตออกมาทำลายโซ่มากมายที่พุ่งมาใส่ คิระตะใช้ความเร็วสูงสุดยื่นมือไปหมายชักกระบี่แต่ก็มีหมอกความมืดอันหนาหนักแผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ๆมาตเตอร์เคยยืนอยู่เสียก่อน
คิระตะพุ่งออกมาจากกลุ่มหมอกในมือตอนนี้กุมกะชับด้ามกระบี่จิตอำมหิดเอาไว้แล้ว ลูกเล่นแค่นี้ไม่มีทางทำอะไรคิระตะได้แน่นอนว่าเรื่องนี้ผู้คุมกฎก็ไม่พราด เพราะรู้อยู่ว่ากำลังต่อกรกับมาตเตอร์อะไรก็เกิดขึ้นได้
“เจซู! โซเบียส! พวกนายสองคนไปจัดการคิระตะซะ หมอนั่นจัดการยากกว่าที่คิดอยู่บ้าง” สิ้นคำสั่งของผู้ที่คล้ายเป็นหัวหน้าผู้คุมกฎผู้สวมแว่นตาข้างเดียวกับผู้คุมกฎที่สวมถุงมือเหล็กก็แยกย้ายกันพุ่งเข้าหาคิระตะจากทั้งซ้ายและขวา
คิระตะเหลือบไปมองดูสภาพมาตเตอร์คนอื่นๆที่ตอนนี้ยังไม่ออกมาจากหมอกแห่งความมืด ถึงจะสงสัยก็ต้องปล่อยไปก่อนผู้คุมกฎโซเบียสจู่โจมมาจากทางซ้ายแล้ว
คิระตะวาดกระบี่พร้อมเร่งเร้ารังสีกระบี่โถมแทงใส่ผู้คุมกฎโซเบียส เขาต้องเร่งจัดการศัตรูให้ได้เร็วที่สุดดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะใช้พลังเต็มที่ ทว่าผิดคาดกระบี่นี้กลับถูกมือที่สวมถุงมือเหล็กของโซเบียสฟาดกระเด็นอย่างง่ายดาย
คิระตะต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง แล้วจึงพึ่งรู้สึกพลังจิตของตนในตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งพอคิดดูก็รู้ว่าต้องเป็นผลของหมอกแห่งความมืดนั่นแน่ และนี่เองคือสาเหตุที่ไม่มีมาตเตอร์คนอื่นสามารถออกมาจากหมอกได้สักคน
‘เจ้าพวกนั้นคงจะถูกโซ่นั่นพัวพันไว้แล้วเลยสูดหมอกเข้าไปเต็มๆสินะ ไม่นึกเลยผู้คุมกฎจะใช้วิธีลอบกัดแบบนี้ขณะเรากั้นหายใจแล้วยังถูกพิษจนได้’
คิระตะพยายามรวบรวมพลังจิตแต่ก็ไร้ผลพลังยังคงลดลงเรื่อยๆ ในตอนนั้นเสียงของผู้คุมกฎเจซูก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“ขอโทษน่ะคิระตะช่วยหลับไปสักพักเถอะ" แล้วสติของเขาก็ดับวูบลง
ผลงานอื่นๆ ของ กิตติพิสิฐ เพ็งสูงเนิน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ กิตติพิสิฐ เพ็งสูงเนิน
ความคิดเห็น