ตำนานสงคราม Ragnarok - ตำนานสงคราม Ragnarok นิยาย ตำนานสงคราม Ragnarok : Dek-D.com - Writer

    ตำนานสงคราม Ragnarok

    เรื่องนี้เป็นความเชื่อครับ ใครอยากรู้ก็ต้องลองอ่านนะครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    6,051

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    6.05K

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 พ.ค. 49 / 14:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      บทที่ 1 กำเนิดโลก
      ความเชื่อชาวเหนือมีตำนานการเกิดโลกเช่นเดียวกับคนเผ่าอื่นนั่นละครับ แต่อาศัยที่พวกเขาอยู่ในภูมิประเทศซึ่งเป็นน้ำแข็งแทบจะตลอดเวลา เรื่องของเทพจึงเกี่ยวพันกับน้ำแข็งค่อนข้างมาก และที่แตกต่างกว่าเทพในความเชื่ออื่นๆ ก็ตรงที่ เทพชาวเหนือเป็นเผ่าพันธ์ครึ่งยักษ์ครึ่งเทพ มีความตายเป็นที่สุด (ก็คือตายได้นั่นเอง ไม่เหมือนเทพเมืองอื่นที่เป็นอมตะ)
      สำหรับชาวเหนือ วิธีที่จะตายอย่างมีเกียรติ คือตายในที่รบขณะยังมีวัยหนุ่ม เพราะเหตุที่เชื่อว่าจะทำให้ได้รับคัดเลือกไปอยู่ในวัลฮัลลา(Valhala) สวรรค์แห่งนักรบ ซึ่งวิญญาณของพวกเขาจะได้ต่อตีกันอย่างสนุกสนาน(ตื่นเช้าขึ้นมาก็ออกไปเที่ยวฝึกการต่อสู้ ฝึกดาบ หากพลาดพลั้งตาย ก็จะฟื้นขึ้นใหม่ตอนเย็น ได้เวลากินพอดี) และรับการเลี้ยงชนิดไม่มีหมดไม่มีอั้นจนกว่าจะถึงเวลารากน่าร๊อค เวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง (อันนี้รวมทั้งพวกเทพด้วย) ฉะนั้นการตายแบบแก่ชรา โรคภัยไข้เจ็บถามหา นับเป็นเรื่องน่าอันอายสิ้นดี
      ด้วยความที่ศาสนาบอกไว้ว่า ไม่มีอะไรคงทนถาวรกระทั่งเทพเจ้า ชาวเหนือโบราณจึงคิดเสมอ การต่อสู้รบราด้วยความรุนแรงจนกระทั่งตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความชั่วร้ายทั้งหลาย เพราะในช่วงเริ่มแรกของอารยธรรม พวกเขาต้องอยู่ในแผ่นดินที่มีแต่ความเย็นเฉียบ ไม่มีความสบาย แสงอาทิตย์จะปรากฏให้เห็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ ในปีหนึ่ง ปีหนึ่ง ชาวเหนือเปรียบเทียบความมืดและความสว่างกับความชั่วและความดี สรรพสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในธรรมชาติของเงามืดและธรรมชาติของความสว่างจึงเป็นของกันและกัน ช่วยไม่ได้เลยครับที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นที่ของจินตนาการ เกิดเป็นยักษ์ เป็นพญางู พญาหมาป่า ผูกเป็นเรื่องราวแสนสนุกที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้ละ
      เมื่อแรกเริ่ม จักรวาลก็คือสภาวะหมุนคว้าง มืดและสับสน และแล้วจู่ๆ ความสับสนนั่นก็ค่อยๆ แตกแยกออก เกิดห้วงว่างขึ้นตรงกลาง เป็นห้วงที่ความลึกหยั่งไม่ได้ ภายในห้วงนี้อุณหภูมิเริ่มต่ำลงขนาดที่จะแช่คนให้แข็งได้ในฉับพลัน ห้วงที่ว่าชาวเหนือเรียกกินนันกาแก็บ -Ginnungagapทิศเหนือของกินนันกาแก็บ เป็นอาณาเขตของ นิฟล์เฮม-Niflheim โลกแห่งความมืดมัวนิรันดร์ น้ำพุ เวอร์เกลเมอร์-Hvergelmir แฝงตัวอยู่ที่นี่ และน้ำจากน้ำพุก็เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 11 สาย ซึ่งก็ไหลไปไหนไม่พ้นนอกจากจะไปสู่ห้วงกินนันกาแก็บ เมื่อเจอเข้ากับความเย็นที่นี่ น้ำในแม่น้ำก็ค่อยๆ แข็งตัวแผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในห้วงว่างจนเต็ม
      ทางใต้ของกินนันกาแก็บ คือมัสเปลส์เฮม-Muspelsheim แผ่นดินแห่งไฟ ซึ่งมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา (อันนี้ตรงข้ามกับนิฟล์เฮมอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือเชียว) เป็นที่อยู่อาศัยของเซิร์ท-Surtr ยักษ์แห่งไฟ ผู้ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแรก ที่มีบทบาทตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งล้างโลกในวาระสุดท้าย (ตอนแร็คนาร็อคนั่นเองครับ) หน้าที่ของยักษ์ตนนี้คือเฝ้ามัสเปลส์เฮมเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครเข้า แต่เพราะความที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ยักษ์เซิร์ทจึงเบื่อเอามากๆ มันไม่นรู้จะทำอะไรนอกจาก ตีดาบ ทำของ และส่งประกายไฟลอยเข้าไปในกินนันกาแก็บเล่นไปวันๆ
      ความร้อนที่มาจากประกายไฟนี่ละครับ นานเข้า บ่อยเข้า มันก็ทำให้น้ำแข็งในห้วงละลายกลายเป็นไอ ไอลอยขึ้นกระทบอากาศเย็นกลายเป็นน้ำค้างแข็งร่วงลงมากองอยู่กับพื้น นับเดือนนับปีน้ำค้างเหล่าก็รวมตัวกันจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาสองอย่าง อย่างหนึ่งคือยักษ์ตนแรก อีเมอร์-Ymir กับวัวออดฮัมลาAudhumlaเมื่อเกิดแล้ว ทั้งอีเมอร์และออดฮัมลา ก็หิวละซิครับ อีเมอร์ หันไปหันมาเจอกับเต้านมอันเต่งของวัวก็ตรงเข้าดูดนมวัวเป็นการใหญ่ แต่วัวออดฮัมลาโชคร้ายหน่อย หล่อนไม่มีอะไรจะกิน นอกจากน้ำแข็งข้างหน้า ก็เลยเลียน้ำแข็งกินไปพลางๆ ปรากฏว่าน้ำลายอุ่นๆ ของวัวที่เลียน้ำแข็ง ก็ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งจากก้อนน้ำแข็งที่มันเลีย นั่นคือเทพบูรี-Buri ผมของเขาโผล่ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เป็นหัว เป็นตัว เป็นชีวิตของชายอีกคนหนึ่ง คนนี้ละครับนับเป็นปู่ของเทพทั้งหมดทีเดียว
      แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าอีเมอร์จะไม่สนใจนอกจากทำให้ตัวเองอิ่มไว้ก่อน นี่เป็นความต้องการแรกของมนุษย์ตั้งแต่เกิดมา อีเมอร์ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็อิ่ม แต่ดูจะอิ่มมากไปหน่อย เลยง่วง เขาก็ลงนอนบนพื้นน้ำแข็งแล้งหลับสนิทไปโดยพลัน ประกายไฟจากดาบของยักษ์เซิร์ทลอยละล่องเข้ามาตกอยู่ข้างตัวเรื่อยๆ มันสร้างความอบอุ่นทำให้เขาหลับนานขึ้นและเหงื่อออก แหม๊ แต่ว่าเหงื่อของยักษ์ตัวแรกนี่ประหลาดจริงๆ นะครับท่านผู้อ่าน เพราะมันทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นนะ ตัวแรกที่เกิดจากหยาดเหงื่อของอีเมอร์ เป็นยักษ์หกหัวที่แสนจะน่าเกลียด ธรุดเกลเมอร์ –Thrudgelmir (ตนนี้เป็นปู่ของยักษ์น้ำค้างแข็งตัวอื่นๆ ต่อไปอีก พวกนี้นับเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกเทพเชียวนะ) ส่วนเหงื่อจากใต้จั๊กกะแร้ข้างซ้ายกลายเป็นยักษ์ชายและหญิงคู่หนึ่งถึงแม้จะมีตนละหัวเดียว แต่ก็น่าเกลียดพอๆ กับเจ้าหกหัวตัวแรก ขนาดที่ไม่มีใครอยากจำชื่อด้วยซ้ำ
      กลับมาที่บูรี ต้นกำเนิดเผ่าพันธ์คนนี้มีลักษณะเดียวกับอีเมอร์ตรงที่จู่ๆ เมื่อเกิดขึ้นเองแล้วก็สามารถให้กำเนิดลูกได้เลย ลูกของเขามีชื่อว่า บอร์-Bor บอร์แต่งงานกับเบสล่า-Bestla ยักษีลูกสาวคนหนึ่งของอีเมอร์ ได้ผลพวงจากการแต่งงานเป็นเทพสำคัญสามองค์ โอดิน-Odin) วิลี-Vili และวี-Ve สามคนนี่ละครับเป็นต้นวงศ์ของเทพอีเซอร์Aesir ผู้ครองสวรรค์ละ
      คราวนี้พอเห็นเทพเกิดขึ้นเท่านั้นละครับ ธรุดเกลเมอร์ กับลูกชายชื่อ เบอร์เกลเมอร์-Bergelmir (คนนี้เกิดจากยักษ์ธรุดเกลเมอร์ด้วยการกระโดดออกมาจากร่างของพ่อ แบบเดียวกับที่เทพบอร์กระโดดออกมาจากร่างบูรี ดูแล้วเหมือนเทพีอธีน่ากระโดดออกมาจากหัวของซูสในนิยายกรีกเลยนะเนี่ย) ก็ชักจะตกใจกลัวเทพขึ้นมาตะหงิดๆ ทั้งสองก็เลยช่วยกันรวบรวมพี่น้องๆ ที่เกิดขึ้นจากอีเมอร์ไว้เป็นกำลังฝ่ายตัว
      ความกลัวเทพอาจจะมาจากคุณสมบัติที่ยักษ์ไม่มีนะครับ เช่นว่า ทั้งสามนั่นแข็งแรงเหลือเชื่อ แผลบาดเจ็บอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็หายเองได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากพวกยักษ์ซึ่งมีจะมีมากและมีเสริมขึ้นเรื่อยๆ แต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งกลับสู้เทพทั้งสามไม่ได้เลย สงครามระหว่างลูกๆ ของธรุดเกลเมอร์และลูกๆ ของบอร์ เกิดขึ้นเป็นเวลานานนับพันๆ ปีในห้วงกินนันกาแก็บ โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด หรือฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ
      ในที่สุดครับ พวกเทพจึงคิดจะต้องยุติการที่อีเมอร์จะให้กำเนิดอะไรต่อมิอะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีกต่อไป ด้วยการฆ่าอีเมอร์ทิ้งเลือดของยักษ์ตนแรกไหลออกมาจากร่างกายมากมายจนกลายเป็นแม่น้ำเลือดขนาดใหญ่ ท่วมเข้าไปในห้วงว่างกินนันกาแก็บที่เหลืออยู่จนเต็ม ทายาทยักษ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนแรก ต่างจมน้ำในแม่น้ำเลือดนี้ตายเกลี้ยง ยกเว้นลูกชายคนหนึ่งคือเบอร์เกลเมอร์ สามารถหนีไปกับเมียของเขา ไปขึ้นฝั่งทางใต้ และได้ตั้งอาณาจักรของยักษ์เรียกว่า โจตันเฮล์ม-Jotunheim ลูกหลานของพวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เกลียดเทพเข้ากระดูกดำมาตั้งแต่เกิด (มันก็น่าอยู่หรอก)
      เกิดแผ่นดินและโลกต่างๆ
      พวกเทพคิดจะหาทางสร้างจักรวาลให้น่าอยู่เสียใหม่ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร่างของอีเมอร์ พวกเทพลากศพอันมหึมาข้ามห้วงว่างกินนันกาแก็บ ส่วนต่างๆ จากร่างศพให้กำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ตามทางไปด้วย เช่นว่าเลือดของอีเมอร์กลายเป็นมหาสมุทร กระดูกเป็นภูเขา และฟันซึ่งแตกหักกลายเป็นหน้าผาต่างๆ ผมกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าหัวกะโหลกโค้งมโหฬารเทพก็เอามาทำโค้งสวรรค์ สมองของอีเมอร์กลาย เป็นเมฆซึ่งลอยอยู่ทั่วท้องฟ้า
      ที่สำคัญที่สุดเนื้อของอีเมอร์กลายเป็นแผ่นดินอันมั่นคงอยู่ตรงกลางมหาสมุทร เรียกกันว่า มิดการ์ด-Midgard แผ่นดินที่อยู่ตรงกลาง (ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนวรรณกรรมของคุณตาโทลคีนพอจะคุ้นๆ ระหว่างมิดการ์ด กับมิดเดิ้ลเอิร์ทบ้างไหมครับเนี่ย) ซึ่งอันที่จริงมันก็อยู่ตรงกลางระหว่าง นิฟล์เฮม ดินแดนแห่งน้ำแข็ง ความเย็นและความเงียบนิรันดร์ และมัสเปลส์เฮม อาณาจักรแห่งไฟ แผ่นดินที่ถูกแผดเผาด้วยดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน และมันยังอยู่ตรงกลางของมหาสมุทรหรืออีกนัยหนึ่งคือถูกมหาสมุทรล้อมรอบซะอีก ยิ่งกว่านั้นมิดการ์ด เป็นแผ่นดินของมนุษย์ซึ่งพวกเทพวางไว้เป็นเขตกันกระทบระหว่างแอสการ์ดของตนกับโจตันเฮล์มของยักษ์
      เมื่อโลกดูเป็นที่เป็นทางเรียบร้อยขึ้น เทพทั้งหลายก็เห็นพ้องตรงกันว่าแสงสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาจึงเดินทางไปมัสเปลส์เฮมเก็บเอาประกายไฟที่กระเด็นมาจากดาบของเซิร์ท ขว้างดวงที่ไม่ดับพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เกิดเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วไปหมดและยังเกิดดวงที่สว่างมากที่สุดขึ้นสองดวงก็คือดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์นั่นละครับ
      เทพเจ้ายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยการสร้างราชรถสำหรับลากลูกไฟทั้งสองดวงไปทั่วท้องฟ้า คันที่สร้างขึ้นเพื่อลากดวงอาทิตย์เป็นคันที่มีความปลอดภัยสูงมาก ด้วยเหตุที่มีทั้งน้ำแข็งและโล่"สวาลิน"เอาไว้ด้านหลังม้าและคนขับเพื่อป้องกันความร้อนอันรุนแรงของดวงอาทิตย์ ราชรถคันนี้มีม้าสองตัวลาก ตัวหนึ่งชื่อ อาร์วาคร์Arvakr"ลากขึ้นแต่เช้า" อีกตัวหนึ่งชื่ออัลสวิน-Alsvin "ฝีเท้าเร็ว" ส่วนดวงจันทร์ ราชรถที่ลากไม่ต้องมีการสร้างที่ยุ่งยากมากเพราะแสงของดวงจันทร์ไม่แรงเท่าดวงอาทิตย์ทั้งมีขนาดเล็กกว่า จึงมีม้าลากตัวเดียวชื่อ อัลสไวเดอร์-Alsvider"เร็วเสมอ"
      สำหรับปัญหาต่อไปว่าจะหาใครเป็นผู้ขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์ ตำนานชาวเหนือแบ่งความเชื่อออกเป็นสองพวก (ตัดสินใจไม่ได้ครับ เลยเล่าทั้งสองอย่างเลยละกัน) พวกหนึ่งกล่าวว่า โอดินได้มองหาจากบรรดาลูกหลานที่เหลืออยู่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นพวกนอกคอกหน่อยคือเป็นลูกผสมของยักษ์กับเทพ ชื่อ มานิ-Mani และโซล-Sol ชื่อของพี่น้องทั้งสองแปลได้ความเดียวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะพ่อของทั้งสองคิดว่าพวกเขางดงามเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จริงๆ ส่วนอีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า พี่น้องสองคนนี้เป็นลูกของมันดิลฟาริ-Mundilfari มนุษย์จากมิดการ์ด ซึ่งพ่อของเขาอาจหาญตั้งชื่อว่า อาทิตย์และจันทร์ ด้วยคิดว่าลูกของตัวงดงามเหมือนดวงดาวทั้งสองจริงๆ การหาญตั้งชื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ทำให้โอดินโกรธมาก เลยพรากตัวสองพี่น้องจากพ่อ มาทำหน้าที่สารถีขับรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์เสียเลย สองตำนานที่ว่ามาก็แล้วแต่อยากเชื่ออันไหนนะครับ
      อย่างไรก็ตามตำนานชาวเหนือได้กล่าวถึงศัตรูตัวฉกาจของ อาทิตย์และจันทร์ไว้ด้วย นั่นก็คือพญาหมาป่าสองตัวชื่อ สกอลล์-Skoll และฮาติ-Hati สัตว์สองตัวนี่มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวที่เกาะกินหัวใจมาตั้งแต่เกิด คือ อยากจะงาบดาวทั้งสองให้สิ้นซาก แล้วพวกมันก็ทำได้จริงๆ ในช่วงแร็คนาร็อค
      นรกภูมิ
      อันนี้ขอนอกเรื่องบอกไว้เสียหน่อยก็แล้วกัน ทั้งๆ ที่ชาวเหนือไม่ค่อยกล่าวถึงเรื่องนรก หรือแทบไม่เน้นความสำคัญเลย แต่นรกของชาวเหนือก็มีอยู่ดีแหละ โดยที่เขาบอกไว้ว่านรกที่ว่า คือนิฟล์เฮม เป็นแผ่นดินของคนตาย (มันคงหนาวเย็นสาหัส จนกระทั่งคนเหนือซึ่งคุ้นต่อความหนาวยังไม่อยากเจอ เลยยกให้เป็นนรกไปซะ เหมือนพวกเราพี่ไทยเหมือนกัน ที่เกลียดความร้อน ทั้งที่อยู่ในเมืองร้อน เลยยกให้นรกมีแต่ไฟเผา..แฮ่ แฮ่) มีแค่ยักษ์กับคนแคระเท่านั้นที่อยู่ร่วมกับวิญญาณคนตายได้ นรกของชาวเหนือเป็นอาณาจักรของเทพี เฮล (Hel) คนนี้ละครับที่จะกลายเป็นคนสำคัญของเรื่องในตอนต่อไปข้างหน้าจึงต้องบอกที่ทางที่หล่อนอยู่ไว้ให้ท่านผู้อ่านทราบเสียก่อน



      บทที่ 1 (ต่อ)

      สร้างคนแคระกับเอลฟ์
      ระหว่างที่เทพทั้งสามองค์ช่วยกันสร้างโลกเป็นพัลวันนั่นเองครับ เนื้อส่วนหนึ่งของอีเมอร์ที่ยังไม่ทันสร้างเป็นอะไรก็เริ่มเน่า และมันได้ผลิตสิ่งมีชีวิตขึ้นพวกหนึ่ง (อีกแล้ว) เทพพบว่ามันเป็นแบบเฉพาะที่ทั้งดำและเหม็น ถึงแม้จะขยะแขยงกันขนาดไหน แต่เมื่อมันมีชีวิตขึ้นเองเสียก่อนก็เป็นภาระที่พวกเขาจะต้องช่วยมันต่อไป
      เทพสำรวจอุปนิสัยของมันแล้วหาทางเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับอุปนิสัย พวกที่ทำท่าทางโลภ ชอบขู่คำรามและโค้งตัวคุ้ยเขี่ยพื้นดิน สามารถรอดชีวิตได้โดยที่พวกอื่นตาย เทพสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแคระ-Dwarf ให้ไปอยู่ในอาณาเขต สวาทัล์ฟเฮม-Svartalfheim ใต้พื้นผิวแผ่นดินมิดการ์ด ซึ่งพวกมันสามารถจะขุดดินหาแร่มีค่าและอัญมณีมาเก็บไว้เป็นสมบัติ สิ่งเดียวที่พวกมันต้องระวังคืออย่าโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินในเวลากลางวัน เพราะแค่แสงแดดอ่อนๆแตะต้องผิวเท่านั้นมันจะกลายเป็นหินทันที
      ส่วนสิ่งมีชีวิตอีกพวกหนึ่งที่ดูสุภาพกว่า ไม่มีความโลภโมโทสัน ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นชนิดที่สวยงาม ตัวเบาเหมือนอากาศ เรียกกันว่าพวกเอลฟ์-Elf ได้อาณาเขตอัล์ฟเฮม-Alfheimหรือหมายความถึงดินแดนแห่งพวกเอลฟ์ขาว อยู่ระหว่างกลางแอสการ์ดกับมิดการ์ด พวกนี้มีสิทธิพิเศษกว่าคนแคระเยอะ ตรงที่ถึงแม้ถิ่นที่อยู่ของพวกเขาจะปลอดภัยดี แต่ก็สามารถเดินทางลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ได้โดยไม่มีอันตราย
      กำเนิดมนุษย์

      ครั้งหนึ่งเมื่อเทพสามองค์ มีโอดิน โฮเนอร์ (Hoenir) และโลเดอร์ (Lodur) กำลังเดินไปตามชายหาด ได้บังเอิญพบต้นไม้สองต้นที่ลอยมาติดหาด ต้นหนึ่งคือแอช-Ash ต้นหนึ่งคือเอล์ม-Elm โอดินหักเอากิ่งที่มีสาขาของต้นไม้ทั้งสองขึ้นมา แล้วถากให้เข้ารูปเป็นตุ๊กตามนุษย์ผู้ชาย และตุ๊กตามนุษย์ผู้หญิง โอดินให้วิญญาณ โฮเดอร์ให้ความรู้สึก และโลเดอร์ให้ชีวิตกับสีผิวที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ จากนั้นกิ่งไม้ทั้งสองก็ปรากฏร่างขึ้น เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียงเทพแต่มีขนาดเล็กกว่า นับเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก ผู้ชายมาจากต้นแอช มีนามว่า อากสค์ (Askr)หรือ Ask แปลว่าถาม ส่วนผู้หญิงมาจากต้นเอล์มชื่อ เอมบลา (Embla) เทพได้ชี้ทิศให้ทั้งสองหาที่ทางตั้งที่อยู่กันในมิดการ์ด
      ที่อยู่ของเทวา
      เสร็จภารกิจสร้างโลกและจัดระบบเสร็จเรียบร้อย เทวดาก็หันมามองตัวเอง ในเมื่อยังไม่มีที่อยู่เป็นที่เป็นทางพวกเขาสร้างแอสการ์ด(Asgard)ขึ้น ตามชื่อวงศ์อีเซอร์(Aesir) ของตน แล้วตกลงกันว่า ที่นี่เป็นที่ที่ไม่ต้องการสงคราม ไม่มีการสู้รบ สันติภาพจะต้องอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่เทพอีเซอร์ปกครองโลก
      ถึงอย่างนั้น พวกอีเซอร์ก็ไม่ประมาท จึงสร้างโรงตีเหล็กเพื่อตีอาวุธยุทโธปกรณ์ และเป็นที่ๆ ค่อยๆ สร้างสรรค์ส่วนต่างๆ ของแอสการ์ดให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แอสการ์ดเชื่อมกับโลกมนุษย์ ด้วยสะพานรุ้งน้ำแข็งเรียกกันว่า ไบฟรอส (Bifrost) สะพานนี้ก่อร่างขึ้นมาจากสายรุ้งที่กลายเป็นน้ำแข็ง มันทั้งกว้างและแข็งแรงพอที่บรรดาเทพทั้งหลายจะใช้ชักรถศึกออกไปได้
      อิกดราซิล

      ตรงกลางของแดนสวรรค์ มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็นไม้แอช-Ash (พวกเดียวกับมะกอก) นับว่าเป็นต้นไม้ที่สำคัญที่สุดเพราะอันที่จริงมันโอบรับโลกทั้งเก้าแห่งไม่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์โลกมนุษย์ โลกของยักษ์ โลกของคนแคระหรือเอลฟ์ไว้กับกิ่งก้านสาขาและรากของมัน โลกมนุษย์อยู่ภายใต้ร่มเงากิ่งก้านสาขา ยอดไม้ระเมฆบนท้องฟ้า ความแข็งแกร่งของไม้ทำให้โลกทั้งหมดตั้งอยู่อย่างมั่นคง (เอ้อ ลืมบอกท่านผู้อ่านไปอย่างนะครับว่า ตอนที่คนโบราณคิดเรื่องตำนานของชาวเหนือขึ้นเนี่ย พวกเขายังเชื่อว่าโลกแบนอยู่นะครับ แปลกเหมือนกัน ทีโลกเห็นว่าแบน แต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์กลับกลม)
      ต้นอิกดราซิลมีรากใหญ่สามรากหยั่งลึกลงไป อันหนึ่งไปถึงโจตันเฮล์ม แผ่นดินของยักษ์ อันหนึ่งไปถึงนิล์ฟเฮมแผ่นดินน้ำแข็งและอีกอันหนึ่งไปถึงแอสการ์ดแผ่นดินของชาวสวรรค์ รากทั้งสามรากนี้ทำให้ต้นอิกดราซิลสัมพันธ์กับโลกทั้งสาม คือยักษ์ เทพ และมนุษย์ และได้ดูดเอาน้ำจากบ่อน้ำแต่ละแห่งไว้หล่อเลี้ยงต้น โดยรากที่อยู่กับชาวแอสการ์ด ไปโผล่แถวน้ำพุ เอิด น้ำพุแห่งเยาวภาพ (Fountain of Youth) มันเป็นน้ำพุที่ชาวสวรรค์ใช้ดื่มกินเพื่อให้มีความเยาว์วัยอยู่เสมอ เทพีที่คอยรักษาแหล่งน้ำและมีหน้าที่ตักน้ำไปให้ชาวสวรรค์วันละครั้งคือ พวกนอร์น (the Norns) สามพี่น้อง นามว่า เอิด-Urd(อดีต),เวอร์ดานดิ-Verdandi (ปัจจุบัน) และสกัลด์-Skuld (อนาคต) จะเรียกรวมกันว่าเป็นเทพีแห่งชะตามนุษย์ก็ไม่ผิดครับ ด้วยเหตุนี้อิกดราซิลจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้แห่งชะตาลิขิต (tree of destiny)ด้วยเหมือนกัน
      รากอันต่อมาแผ่ไปถึงแผ่นดินนิฟล์เฮม แผ่นดินแห่งน้ำแข็งได้น้ำจากน้ำพุ ฮเวอร์เกลเมอร์ (Hvergelmir) ซึ่งมีน้ำตกหลั่นเป็นชั้น แผ่สาขาออกไปเป็นแม่น้ำสายใหญ่ๆ ของโลก ส่วนรากที่สาม แผ่ไปถึงแผ่นดินของพวกยักษ์ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดกาล ได้น้ำจากน้ำพุ ไมเมอร์ (Mimir) น้ำจากน้ำพุแห่งนี้เป็นน้ำวิเศษแห่งความรอบรู้ พวกยักษ์จึงต้องจัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าไม่ยอมให้ใครตักไปดื่มได้ง่ายๆ
      อิกดราซิล จะเขียวสดอยู่ตลอดทั้งปีและตลอดไป แม้ว่าใบของมันจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ ไปมั่งก็ตาม เหตุเพราะบนต้นยังมีสัตว์อีกตั้งหลายอย่างที่อาศัยอยู่ เช่นบนยอดไม้สูงสุดมีไก่ตัวผู้สีทองตัวหนึ่งคอยตรวจตราขอบฟ้า เจ้าตัวนี้มีหน้าที่จะต้องขันเตือนเทพเจ้าหากศัตรูตลอดกาลของพวกเขาเตรียมยาตราทัพเข้ามาหา นอกจากนี้มีนกอินทรีอีกตัวหนึ่งจะคอยเกาะกิ่งไม้มองสำรวจเช่นเดียวกับไก่ นกตัวนี้มีผู้ช่วยก็คือนกเหยี่ยวซึ่งเกาะอยู่ระหว่างตาของมัน
      ส่วนสัตว์ที่ไม่ใช่พวกนกก็มีกระรอกชื่อ ราตาโทสค์ (Ratatosk) เป็นอีกตัวที่อยู่บนไม้อิกดราซิล มันไม่เคยหยุดวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างตำแหน่งที่นกอินทรีเกาะอยู่ กับตรงรากของต้นอันที่อยู่บนแผ่นดินน้ำแข็งนิล์ฟเฮม เพราะว่าที่นี่มีพญางูนิดฮอก (Nidhoggr) ขดล้อม มันจะเป็นตัวที่คอยตรวจตราไม่ให้พญางูตัวนั้นกัดกินรากต้นไม้มากเกินไปยามที่เบื่อจะแทะศพมนุษย์แล้ว
      รวมความแล้วอิกดราซิลเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์หลายสถานเชียวละครับ ความมีประโยชน์ของต้นไม้ทำให้แม้กระทั่งโอดิน จอมเทพเองก็เคยแขวนคออยู่บนต้นไม้นานถึงเก้าคืนเพื่อล่วงรู้ความลับแห่งความตาย (เล่ากันว่าที่แขวนคอน่ะ ตายไปเหมือนกันนะครับ แต่เนื่องด้วยตอนนั้นจอมเทพน่าจะได้ดื่มน้ำพุของไมเมอร์แล้ว ทำให้รู้มนต์แห่งการคืนชีพ โอดินก็เลยฟื้นขึ้นมาครองสวรรค์เหมือนเดิม-การแขวนคอเช่นนี้ปรากฏว่ามันกลายเป็นประเพณีในชั้นหลัง เนื่องจากมีการพบศพเรียกกันว่ามนุษย์โทลลันถูกแขวนคอตาย ศพอยู่ในปลักตมที่จัตแลนด์ ความตายของศพพาให้คิดถึงการบูชายัญพลีแก่โอดินเมื่อฝ่ายตรงข้ามชนะศึก


      บทที่ 2 วงศ์วารแห่งเทพ
      สงครามของเทพทั้งสองวงศ์
      ในบทที่แล้วผมได้เล่าเรื่องของวงษ์ อีเซอร์เอาไว้มากทีเดียวครับ ทว่าชาวเหนือไม่ได้มีเทพวงศ์อีเซอร์แค่วงศ์เดียว ยังครับ ยังมีอีกวงศ์หนึ่งเรียกว่า วาเนอร์ (Vanir) เทพทั้งสองวงศ์ต่างกันตรงที่วงศ์แรกเป็นเทพหลัก มีบทบาทมากหน่อยนั่นแหละ ส่วนวงศ์หลังเป็นเทพประจำธรรมชาติ ลมฟ้าอากาศหรือท้องทะเล ถึงจะเก่ากว่า มีอายุมากกว่า แต่ก็ไม่ค่อยเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิเลสมากนัก ท่านก็อยู่ของท่านตามปกติในอาณาเขตวานาเฮม-Vanaheim ไกลออกไปจากแอสการ์ด
      จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิด ก็เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ทั้งสองวงศ์ต้องรบกัน
      ตัวต้นเหตุนั้นก็คือนางแม่มดขมังเวทย์ชื่อ กัลเวก-Gullveig นางแม่มดคนนี้ชอบขึ้นไปเที่ยวที่แอสการ์ด อาจเป็นเพราะนางเป็นคนมีเวทย์มนต์พอๆ กับเทพ บรรดาสมาชิกแอสการ์ดทั้งหลายเลยไม่ค่อยอยากยุ่งกับนางเท่าไหร่ คงปล่อยให้เจ้าหล่อนเดินเพ่นพ่าน และพล่ามขอทองคำ แร่อัญมณีที่นางชอบเหลือหลายไปตามประสา เรื่องที่กัลเวกพูดเพ้อเจ้อนี้เป็นเรื่องความโลภที่ชาวแอสการ์ดขยะแขยงสิ้นดี ต่างคนต่างเดินหนี แต่การหนีๆ ไปนานวันเข้าความอดทนก็ขาดผึงวันที่เกิดเรื่องนางกัลเวกก็พูดถึงความอยากได้ทองของนางอีก คราวนี้เป็นความอยากชนิดเข้าขั้นวิกฤต เทพทั้งห้องชุมนุมต่างพร้อมใจกันลุกขึ้น แล้วรุมทำร้ายนางแม่มดจนตายเอาศพโยนขึ้นไปบนกองไฟที่ก่อขึ้นกลางห้องโถงแกลดเฮมนั่นเอง
      แต่พลังเวทย์ของกัลเวกมีมากเกินกว่าที่เทพจะนึกออก ปรากฏว่าร่างนางแม่มดที่มอดไหม้ไปแล้ว กลับก่อร่างใหม่ขึ้นก้าวลงมาหาบรรดาเทพ นางเยาะเย้ยถากถางเทพก็อดรนทนไม่ไหว ฆ่านางแล้วเอาศพโยนขึ้นบนกองไฟ เป็นเช่นนี้วนไปวนมาถึงสามครั้ง หนสุดท้ายเมื่อรู้ว่าทำอะไรนางแม่มดไม่ได้ พวกเทพเลยเลิกยุ่งกับนางโดยเด็ดขาดแต่เริ่มเรียกนางว่า เฮด-Heid "ผู้ลุกโชน" เฮด กลายเป็นเทพีแห่งมนต์ดำของปีศาจ แพร่ความน่าขยะแขยงไปทั่วจักรวาล
      การกระทำของเทพอีเซอร์ต่อนางแม่มดกัลเวกรู้ไปถึงหูเทพวงศ์วาเนอร์ สิ่งที่ทำให้เทพพวกนี้ทนไม่ไหว คือการที่อีเซอร์มีส่วนสร้างเทพีแห่งความดำมืดตนใหม่ขึ้นจนเป็นที่เดือดร้อนของคนทั่วไป พวกวาเนอร์ขุ่นเคืองถึงขั้นประกาศสงครามกันทีเดียว
      และแล้วสงครามระหว่างเทพทั้งสองวงศ์ก็เริ่มขึ้น เป็นสงครามที่กินเวลาเนิ่นนานแทบไม่จบสิ้น แม้เทพอีเซอร์จะหาทางทุบกำแพงอาณาจักรวานาเฮมของวาเนอร์ลงได้ แต่พวกวาเนอร์ก็สามารถร่ายมนต์พังกำแพงแอสการ์ดได้เช่นกัน เมื่อต่างคนต่างไม่มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบซึ่งกันและกันต่างคนต่างก็ตระหนักว่า งานนี้ไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริงต่างฝ่ายจึงตกลงกันว่าน่าจะการเซ็นสัญญาสงบศึกกันได้แล้ว
      ในที่สุดก็มีการตกลงกันว่า ทั้งเทพอีเซอร์และเทพวาเนอร์น่าจะอยู่ในความสงบสันติกันได้แล้ว แต่เพื่อให้เกิดความมั่นคงแน่นอนในข้อสัญญาดังกล่าว จึงต้องมีการแลกตัวเทพกันหน่อย (เหมือนแลกตัวประกันเลยวุ้ย) โดยจะให้เทพที่มีความสำคัญของแต่ละข้างไปอยู่ในที่ของอีกฝ่าย พวกอีเซอร์ส่งวิลีและไมเมอร์ไปอยู่ที่วานาเฮม วิลีเป็นเทพที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นผู้ที่เกิดมาเป็นผู้นำ มีความแข็งแกร่งทั้งในด้านความคิดและการกระทำ ส่วนไมเมอร์อารักษ์บ่อน้ำแห่งปัญญาก็เป็นสัญญลักษณ์ของความฉลาดเช่นเดียวกับบ่อน้ำที่เขาทำหน้าที่รักษาอยู่
      (เรื่องต่อมาของไมเมอร์ค่อนข้างน่าสงสารครับท่านผู้อ่าน จะด้วยความเข้าใจผิดของเทพวาเนอร์ว่าโดนหลอกเอาไมเมอร์เทพที่ไม่มีความสำคัญมาให้หรืออย่างไรก็ไม่รู้ครับ แต่ปรากฏว่า เทพวาเนอร์โกรธกันมากถึงขนาดตัดหัวไมเมอร์ส่งกลับคืนมาที่แอสการ์ด ทำให้โอดินเสียใจมาก เขาถึงขนาดหาสมุนไพรมาทารอยถูกตัดและตลอดทั้งหัวเพื่อไม่ให้เน่า ร่ายมนต์คืนความสามารถในการพูดให้แก่หัวไมเมอร์ แล้วนำไปวางไว้ที่บ่อน้ำใต้รากต้นไม้แห่งจักรวาลซึ่งเคยรักษามาแต่เดิม เพื่อความรู้ของไมเมอร์ไม่สูญหาย ใครมาถามอะไร หัวไมเมอร์ก็ยังตอบปัญหาได้)
      ข้างฝ่ายวาเนอร์ก็ส่ง นจอร์ดเทพแห่งฤดูร้อนกับลูกทั้งสอง คือเฟรย์-Frey เทพแห่งแสงอาทิตย์ฉายและฤดูใบไม้ผลิ กับเฟรยา -Freya น้องสาวของเฟรย์ องค์นี้เป็นเทพแห่งความงามและความรัก (ตอนหลังกลายเป็นราชินีแห่งวัลคีรี ทูตสตรีผู้เลือกสรรวิญญาณนักรบ) แล้วยังมีที่แถมมาอีกหนึ่งคือควาเซอร์-Kvasir องค์นี้เป็นเทพแถมครับท่านผู้อ่าน เพราะว่าไม่ได้เป็นเทพวงศ์ใดโดยเฉพาะ เป็นเทพกลาง เกิดจากน้ำลายของเทพทั้งฝ่ายถ่มใส่โถ เป็นเครื่องหมายการยุติศึกทั้งสองฝ่าย ผสมผเสกลายเป็นควาเซอร์ (องค์นี้เป็นเทพที่มีความรู้มากอีกองค์หนึ่ง ซึ่งก็อาจเป็นเพราะน้ำลายของเทพทั้งสองฝ่ายมีโครโมโซม เอ๊ย..แหะ แหะ มีการเก็บกักส่วนดีๆ เอาไว้ พอผสมกันเลยได้ เทพพันธุ์ดีแต่ชะตาของควาเซอร์ค่อนข้างน่าสงสารครับ แต่จะยังไงหาอ่านต่อในบทของคนแคระ)
      สร้างกำแพงสวรรค์ใหม่อีกหน
      หลังสงครามระหว่างเทพด้วยกันเสร็จสิ้นลง ต่างฝ่ายต่างต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสถานที่ของตนกันเป็นพัลวันซึ่งก็ใช้เวลาไม่น้อยทีเดียวครับ พวกวาเนอร์ดูเหมือนจะไม่ค่อยเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ ต่างจากพวกแอสการ์ดที่กลัวมากว่า กำแพงอันพังทลายของพวกเขานี่ละจะเป็นช่องทางให้ยักษ์น้ำแข็งเข้ามาโจมตีอย่างง่ายดาย การซ่อมกำแพงจึงดำเนินไปอย่างเร่งร้อน ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นงานโหดหินสำหรับเทพอยู่ดี
      วันหนึ่ง เฮมดาล เทพสังเกตการณ์ของแอสการ์ดได้เข้ามาบอกโอดินว่า มียักษ์แปลกหน้าตนหนึ่งจะขอพบเทพอีเซอร์ ถึงแม้จะฉงนใจบ้าง แต่โอดินก็ยอมตามแขกแปลกหน้าขอ เรียกประชุมทวยเทพในห้องแกลดเฮมทันที
      แขกแปลกหน้าของเฮมดาล เดินอาดๆ เข้ามาในห้อง แล้วประกาศว่าเขาอาสาจะก่อกำแพงแอสการ์ดเองคนเดียว โดยมีข้อแลกเปลี่ยนที่ชาวแอสการ์ดให้เขาได้ เทพต่างคนต่างมองหน้ากันและต่างคนต่างรู้สึกว่าค่าจ้างที่ช่างก่อหินเสนอจะต้องแพงแสนแพงแน่ๆ การเสนอที่ก่อกำแพงหินคนเดียวในเวลา 18 เดือนเป็นงานที่เกินกว่าคำว่าสำเร็จไปไกล หากทำได้เจ้าคนแปลกหน้าคนนี้ต้องเป็นคนที่พิเศษอย่างยิ่ง และก็เป็นจริงตามที่เทพคิด เมื่อช่างก่อหินคนนั้นขอกำแพงกับเทพีเฟรยา เทพีแห่งความรัก และขอครอบครองดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์
      ทวยเทพได้ยินข้อแลกเปลี่ยนดังกล่าวก็แทบจะดีดเจ้าคนแปลกหน้าออกจากสวรรค์ไปในนาทีนั้นละครับท่านผู้อ่าน ค่าที่มันเปรียบเทียบราคากันไม่ได้เลย แต่โลกินั่นซิครับ โลกิ สีสันอันฉ้อฉลแห่งสวรรค์คนนั้นละที่ยับยั้งเอาไว้ แล้วว่าควรไตร่ตรองข้อเสนอให้รอบคอบเสียก่อน ช่างแปลกหน้าถูกเชิญออกจากห้องเพื่อให้เทพคุยกันอย่างเปิดอก เปรียบเทียบผลได้ผลเสีย
      ก็โลกิอีกนั่นแหละครับที่กระซิบกระซาบบรรดาเทพว่าเขามีแผน ก็คือให้ต่อรองเวลาเหลือหกเดือน เวลาสั้นมากซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่งานจะเสร็จ โลกิว่าเมื่อถึงหกเดือน กำแพงจะเสร็จประมาณครึ่งเดียวเท่านั้น เทพไม่ต้องจ่ายอะไรเป็นค่าจ้าง ส่วนงานที่เหลือเทพทำต่อได้ แผนของโลกิทำเอาเทพอึกอักไปตามๆ กัน ดูมันไม่ค่อยใช่วิธีของเทพเขาทำกันเท่าไหร่ แต่เอาละ เมื่อเจ้าคนไม่เจียมตัวอาจหาญขอเทพีไปเป็นเมีย ก็ต้องลิ้มรสความผิดหวังดูเสียบ้างเป็นไร คิดได้ดังนั้น เทพก็เรียกช่างเข้ามา แล้วต่อรองเวลา
      น่าประหลาดใจที่เขาตกลงทันที แต่มีเงื่อนไขขอใช้ม้าสวาดิฟารี-Svadifari โอดินปฏิเสธ โลกิอีกนั่นแหละครับที่กล่อมให้จอมเทพยอมความ ช่างก่อหินแปลกหน้าจึงได้ม้าวิเศษไว้ใช้
      ช่างก่อหินเริ่มงานในเช้าวันรุ่งขึ้นทันที ทว่าสิ่งที่ทำให้ทวยเทพแปลกใจมากกว่านั้นก็คือกำลังของม้าสวาดิฟารี ซึ่งมีมากเกินกว่าที่ใครจะนึกออก ไม่ว่าช่างก่อหินจะเทียมหินมากกมายขนาดไหนให้มันลาก มันก็สามารถลากมาได้ ข้างฝ่ายช่างก่อหินก็เร็วพอกันไม่ว่าหินที่ม้าลากมาได้จะต่อเนื่องรวดเร็วปานไหน เขาก็สามารถใช้สิ่วสลักให้เข้ารูปแล้วผลักเข้าไปตามแนวกำแพงที่พังลงได้ทันกัน งานที่เทพคิดว่ายังไงก็ไม่เสร็จพอจวนเจียนจะครบหกเดือน มันก็เหลือแค่ช่วงประตูเท่านั้น ถึงตาเทพเป็นทุกข์แล้วละครับ ต่างคนต่างร้อนๆ หนาวๆ จนไม่เป็นอันทำอะไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟรยา เทพีที่ถูกกำหนดให้เป็นรางวัลนั่นแหละ เหตุการณ์คงปล่อยไว้ช้าไม่ได้โอดินจึงต้องเรียกประชุมเทพเป็นการด่วนอีก
      มติในที่ประชุมเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อแผนของโลกิทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในห้วงหายนะ โลกิก็เป็นคนที่จะต้องแก้ไขเรื่องนี้โดยตรง ดวงตาของเทพทุกดวงจ้องเขม็งมาที่โลกิ แต่เขากลับไม่สะดุ้งสะเทือน เพียงแค่นิ่งเงียบไปอึดใจเดียวเขาก็คิดแผน (อีกแล้ว) แก้ลำออก
      คืนนั้นโลกิแปลงกายเป็นม้าสาว ไปยืนอ้อยอิ่งอ่อยอยู่แถวหน้าคอกม้าสวาดิฟารี เจ้าม้าหนุ่มเห็นสาวมายืนรอท่าแถมยังส่งเสียงร้องแนวเชิญชวน มันลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าภาระหน้าที่หรือนายวิ่งแหกคอกไปหานางม้าแปลงแล้วทั้งคู่ก็หายไปในแนวป่าตั้งแต่นั้น
      ช่างก่อหินแปลกหน้าตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า ม้าวิเศษหายไป เขาต้องทำงานต่อด้วยกำลังของเขาเอง แต่การที่จะต้องขนหินเองและต้องใช้แรงสลักให้เข้ารูปเอง ทำให้ไม่สามารถจัดการกำแพงเสร็จตามเวลากำหนด ช่างก่อหินนึกออกว่าเทพคงเล่นตลกเข้าให้แล้ว เขาแล่นเข้าไปในท้องพระโรง แกลดสเฮม ทันที จะด้วยความโกรธที่ความหวังจะได้เทพีเฟรยาเป็นอันต้องล่มหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แต่เสียงของเขาที่ต่อว่าต่อขานเทพเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งความโกรธทวีมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถควบคุมร่างแปลงของตนให้เหมือนเดิม ในที่สุดความก็แตก ช่างก่อหินแปลกหน้าที่แท้คือยักษ์หินที่ชาวสวรรค์ไม่ชอบขี้หน้า โอดินเรียกธอร์ผู้เป็นลูก และเป็นเทพแห่งสายฟ้าเข้ามา เทพองค์หลังจัดการกับยักษ์หินด้วยการใช้ค้อน มจอร์ลเนอร์-Mjorlnir ทุบแค่ครั้งเดียว
      และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปนับเดือน เทพอีเซอร์ช่วยกันสร้างกำแพงที่เหลือค้างจนเสร็จ แต่ตั้งแต่ม้าสวาดิฟารีหายไป จนยักษ์หินตาย กระทั่งกำแพงเสร็จ กลับไม่มีใครได้ข่าวโลกิไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร
      กระทั่งวันหนึ่งข่าวที่เทพรอคอยก็มาถึง โลกิเดินโผเผขึ้นมาตามสะพานรุ้งน้ำแข็งจูงลูกม้าแปดขาตัวหนึ่งมาด้วย ท่ามกลางความสงสัยของเทพโลกิเล่าว่า เขาแปลงเป็นม้าตัวเมียไปหลอกล่อสวาดิฟารีจนมันตามไป แต่ด้วยความดุและเร็วของมันเขาไม่สามารถหนีการผสมพันธุ์ของม้าวิเศษพ้น ม้าแปลงโลกิจำเป็นต้องยอมและเพื่อหลอกล่อให้สวาดิฟารีอยู่กับตนนานที่สุด สิ่งที่ตามมาก็คือเขาซึ่งอยู่ในร่างม้าแปลงเกิดตั้งท้องเพราะการผสมครั้งนี้ ผลพวงก็คือเจ้าม้าแปดขาตัวที่เห็น
      ท้องพระโรงเงียบกริบ ทั้งขำทั้งสงสาร แต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรตอกย้ำ โลกิยื่นเชือกผูกม้าให้แก่โอดินทำนองยกให้ ลูกม้าตัวนี้ได้ชื่อว่า เสลียบเนอร์-Sleipnir มันกลายเป็นม้าประจำตัวของโอดินที่เร็วที่สุดในเก้าโลก ตั้งแต่นั้นมาสวรรค์ของแอสการ์ดก็สมบูรณ์และปลอดภัยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง




      บทที่ 3 โอดิน ราชาแห่งเทพ

      โอดินดำรงฐานะจอมเทพ (เทพแห่งเทพ) สูงที่สุดในบรรดาเทพชาวเหนือทั้งหลาย แต่ชีวิตของพระองค์ไม่ได้สบายเหมือนกับตำแหน่ง กลับมีแต่ความรันทดมาตลอด สิ่งเดียวที่ช่วยพระองค์ไว้ตลอดเวลาก็คือความแข็งแกร่งครับท่านผู้อ่าน ความแข็งแกร่งของชายชาตินักรบที่ถึงแม้จะรู้จุดจบของตัวเองและพวกพ้อง ก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอหรือเขลาขลาดใดๆ ออกมา
      ความแข็งแกร่งของจิตใจนี่ละครับที่เป็นจุดเด่นของโอดิน ทำให้ผู้คนทางยุโรปภาคกลางซึ่งก็คือคนเชื้อชาติเยอรมันแผ่ตัวลงไปยอมรับนับถือเป็นที่ยิ่ง แต่เรียกชื่อโอดินเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง เช่นว่า โวทัน-Wotan หรือ โวเดน-Woden เทพพิทักษ์นักรบเป็นที่มาของชื่อวันพุธ-Wednesday ในภาษาฝรั่งนั่นไง
      อย่างที่เล่าไว้แต่ต้นว่า โอดินเป็นลูกของบอร์ เทพเริ่มแรกของโลก และบรรดาเทพอื่นๆที่อยู่บนแอสการ์ดต่างก็เป็นลูกหลานของเทพองค์ซะเกือบทั้งสิ้น รูปร่างของโอดินในความนึกคิดของชาวเหนือส่วนใหญ่จึงเป็นชายชราสวมหมวกปีกกว้างซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืด นั่งอยู่บนบัลลังก์ฮลิดสเกียบ-Hlidskialf ซึ่งทำให้สามารถสอดส่องความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้าได้ โดยมีฟริกก้า–Frigga เมียคนที่สองแต่รักที่สุด นั่งเคียงข้างบนบัลลังก์องค์นี้ได้เพียงคนเดียว
      อันที่จริงโอดินมีเมียหลายคนเชียวครับท่านผู้อ่านมีทั้งเทพด้วยกันและยักษีประเภทต่างๆ (ตามความนิยมในสมัยนั้น)ทว่าพวกที่ได้รับการยกย่องมีอยู่ไม่เท่าไหร่ คนแรกคือจอร์ด–Jord หรือเออดา –Erda เป็นลูกของภาวะหมุนวนสับสนรอบๆ กินนันกาแก๊บกับยักษีตนหนึ่งไม่ปรากฏนาม (เป็นลักษณะการสืบพันธุ์ที่ประหลาดสิ้นดี) โอดินมีลูกกับเมียผู้มีกำเนิดค่อนข้างประหลาดคนนี้หนึ่งนั่นคือธอร์–Thor เทพแห่งสายฟ้าผู้ซึ่งแข็งแกร่งที่สุด เมียคนสามชื่อว่ารินด้า–Rinda คนนี้เป็นตัวแทนของความแห้งแล้ง ของแผ่นดินที่หนาวเหน็บในช่วงหน้าหนาว ตอนไหนที่เจ้าหล่อนไปอยู่กับสามี แผ่นดินที่เคยหนาวเหน็บจะอุ่นขึ้น (ก็เจ้าแม่แห่งความหนาวไม่อยู่เสียแล้วนี่) เป็นช่วงที่ตอนเหนือมีฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ควมที่รินด้าเจ้าแม่แห่งความแห้งแล้งจากแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์แค่ช่วงสั้นๆ ชาวเหนือเลยทึกทักให้หล่อนเป็นภรรยาที่มีนิสัยค่อนข้างรังเกียจสามีเอามากๆ เจ้าหล่อนถึงให้เวลาโอดินอยู่ด้วยเพียงปีละช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่กับรินด้าคนนี้ละครับ ที่โอดินก็มีลูกด้วย ชื่อว่าวาลี–Vali เป็นหนึ่งในบรรดาเทพไม่กี่องค์ที่เหลือรอดจากรากน่าร็อกและเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับความตายของบาลเดอร์–Balder เทพแห่งสัจจะและแสงสว่าง
      นอกจากภาพที่ปรากฏกับบรรดาเมียเหล่านี้แล้ว โอดินจอมเทพยังมักแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักรบเสมอๆ เทพจะถือหอกกังเนอร์–Gungnir อาวุธประจำกาย ใส่แหวนดรอพเนอร์–Draupnir (บางแห่งว่ามันเป็นกำไลแขน-แต่ไม่ว่าจะเป็นแหวงหรือกำไลแขน มันก็เป็นวงกลมซึ่งเป็นรูปทรงที่พลังของมันจะหมุนอยู่ตลอดไป ที่มาของหอกและแหวนอยู่ในบทของคนแคระครับแหวนหรือกำไลแขนดรอบเนอร์ที่ว่า มีลักษณะพิเศษตรงที่เกิดใหม่ทุก 7 วัน…ว้าจะเข้าใจหรือเปล่าเนี่ย เอางี้นะครับ ลองนึกว่าแหวนอันนี้แบ่งตัวเองออกมาใหม่ แล้วตัวเก่าก็อันตรธาน เพื่อให้แหวนดรอบเนอร์ใหม่อยู่เสมอ) มีอีกาชื่อฮิวกิน–Hugin-ความคิด และมิวนิน–Munin-ความจำ เกาะบนไหล่ซ้ายขวาคอยกระซิบบอกข่าวใหม่ๆ ที่นายสั่งให้มันบินออกไปสังเกตเป็นพิเศษ นอกจากนกทั้งสองตัวนี่แล้ว เทพยังมีสัตว์เลี้ยงแสนรักเป็นหมาป่าอีกสองตัวชื่อ เกอรี่–Geri และเฟรกี–Freki ซึ่งมีอุปนิสัยคล้ายคลึงกับเขามาก นัยว่านิสัยของมันคือสัญชาตญาณการล่ามที่มีอยู่ในตัวมหาเทพเอง หมาป่าทั้งสองตัวมักจะคอยอยู่ข้างๆ นาย รับอาหารจำพวกเนื้อที่เขาเอามาวางไว้ตรงหน้าโอดิน ในเมื่อจอมเทพไม่กินเนื้อ สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังชีพในสวรรค์ได้เป็นอย่างดีคือเหล้าน้ำผึ้ง อาหารซึ่งมีให้กินอย่างไม่อั้นในวัลฮัลลา–Valhalla โถงแห่งวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือก หมาป่าทั้งสองก็เปรมไปละครับ
      ที่มาของปัญญา
      นอกจากโอดินจะได้การยกย่องว่าเป็นเทพแห่งนักรบแล้วนะครับ ท่านยังเป็นเทพแห่งปัญญาและภูมิรู้ด้วย และภูมิรู้ที่มากเกินบรรยายนั้นโอดินได้มาตั้งแต่ครั้งแรกสร้างโลกนั่นแหละ
      ก็หลังจากที่โอดินกับน้องๆ ช่วยกันสร้างโลกจากร่างของอีเมอร์เสร็จแล้วนั่นแหละ เขาก็รี่ไปหาไมเมอร์ อารักษ์แห่งน้ำพุปัญญา ด้วยรู้ว่าน้ำที่นี่ หากใครได้ดื่มจะได้ความรู้สรรพวิชา รวมทั้งเห็นกาลในอนาคตอย่างชัดเจน ติดอยู่แต่ว่าไมเมอร์ย่อมไม่ให้คนที่ไม่มีเหตุผลพอจะได้ดื่ม ได้ลิ้มรสน้ำจากแหล่งนี้
      โอดินถึงขนาดต้องอ้อนวอน อ้างว่าด้วยตำแหน่งราชาแห่งเทพ เขาจำเป็นต้องมีรอบรู้ไม่ว่าจะในศาสตร์ไหนเพื่อให้การปกครองของเขาราบรื่นที่สุด ไมเมอร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงโดยมีข้อแลกเปลี่ยน เขาว่า หากโอดินต้องการความรู้มากจริงๆ จะต้องควักตาข้างหนึ่งออกมาแลกกับการดื่มน้ำครั้งเดียว แต่เพราะความกระหายในวิชาต่างๆ ทำให้โอดินไม่หยุดคิดอะไรต่อไป เขาควักตาข้างหนึ่งแลกกับน้ำซึ่งไมเมอร์ตักใส่จอกส่งให้ ไมเมอร์นำดวงตาข้างนั้นของโอดินทิ้งลงในบ่อแลกกับความรู้ที่แฝงไปกับน้ำ "ดวงตาของโอดิน"ดวงกลมๆ สีเหลืองนวลยังคงอยู่กับบ่อน้ำทุกบ่อ น้ำทุกแหล่งในคืนวันเพ็ญมาจนทุกวันนี้ (ก็คือเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำนั่นไงครับ…เข้าใจคิดเหมือนกันแฮะ ส่วนตาข้างที่เหลืออยู่ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ไปโดยปริยาย)
      โอดินค่อยๆ ละเลียดน้ำวิเศษผ่านลำคอ ความรู้ของสรรพวิชาต่างๆ ที่เขากระหายอยากได้ก็ค่อยๆไหลเข้าสู่ร่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องกวีนิพนธ์ ไสยเวทย์หรืออื่นใด จากนั้นเป็นต้นมาเทพองค์นี้จึงกลายเป็นเทพอุปถัมภ์ หมอดู กวีนิพนธ์และพ่อมดไปในทันที ทว่าสิ่งที่รวมมากับน้ำคือการเห็นอนาคตข้างหน้าที่เขาต้องการหนักหนากลับเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้
      เพราะนอกจากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นความตายของลูกรัก ยังได้เห็นช่วงเวลาจบสิ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือช่วง รากน่าร็อค-Raknarok ซึ่งภาพทุกภาพชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวโอดินแค่ช่วงเสี้ยววินาที ชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปทำให้ใบหน้าซึ่งเคยสดใสร่าเริงของโอดินหมองลง บางครั้งการรู้อนาคตล่วงหน้าก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป เขากลายเป็นคนเงียบขรึมตั้งแต่นั้น ไม่กินอาหาร ดื่มแต่เฉพาะเหล้าน้ำผึ้ง เพื่อให้ความเมาสลายความทุกข์ลงไปบ้าง
      เหตุที่ต้องสร้างวัลฮัลลา และวัลคีรี
      ด้วยเหตุนี้อีกละครับที่ทำให้โอดินคิดจะเริ่มสะสมกำลังไว้ข้างหน้าอย่างน้อยก็ไม่ได้ตายอย่างเสียเกียรติเกินไป เทพจัดตั้งกองทัพวัลคิรีขึ้น นางคือนางฟ้าดำแห่งความตาย ทั้งๆ ที่รูปลักษณ์งดงาม ผิวขาว ผมทอง เป็นสาวพรหมจรรย์ซึ่งมีฐานะกึ่งเทพ วัลคีรีที่แท้จริงคือแรงเร้าแห่งการฆ่า พวกนางมีหน้าที่สองอย่างคือ สรรหาเลือกเฟ้นวิญญาณนักรบผู้กล้ากับคอยดูแลเลี้ยงดูเขาในวัลฮัลลา
      เมื่อไรก็ตามที่เกิดการรบขึ้นในโลกมนุษย์ โอดินจะส่งวัลคิรี ไปรอดู นักรบคนใดที่สู้ตายชนิดยังมีความกระหายสงครามค้างอยู่ในดวงตาและมือเต็มไปด้วยเลือด วัลคิรีก็จะเลือกคนนั้นไปกับพวกหล่อนข้ามสะพานรุ้งน้ำแข็งขึ้นไปบนวัลฮัลลา วิญญาณนักรบพวกนี้เรียกกันว่าพวกเอนเฮเรียร์ ครับ
      งานเลี้ยงพวกเอนเฮเรียร์–Einheriar
      โอดินมีพระราชวังใหญ่ๆ อยู่สามแห่งในแอสการ์ด คือแกลดเฮม-Gladsheim โถงที่ประชุมของเทพ วาลาสเคียฟ- Valaskialf ซึ่งฮลิดสเคียฟ-Hlidskialf ตั้งอยู่ และวัลฮัลลา-Valhalla พระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณนักรบที่ได้รับเลือกขึ้นมา อันนี้ตั้งอยู่ในเกลเซอร์-Glasir กลางป่าวิเศษซึ่งใบไม้ในป่านี้เป็นที่ทองอมแดง
      วัลฮัลลา คือพระราชวังที่มีขนาดมหัศจรรย์ เล่ากันว่ามีประตูเข้าออกถึง 540 แห่ง แต่ละแห่งกว้างพอที่จะให้นักรบตัวโตๆ แปดคนเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้าไปได้อย่างสบายๆ ที่นี่มีโต๊ะยาวเป็นจำนวนมากให้พวกเอนเฮเรียร์เขาประจำที่ คบไฟจุดไว้ตามผนัง แสงคบเพลิงสะท้อนใบหอกเป็นประกายวาววับอยู่ในแสงไฟ อาหารเตรียมพร้อมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมูย่างเบียร์หรือเหล่าน้ำผึ้ง
      ในเวลานี้ครับ วัลคีรีจะมีหน้าที่ๆ ดุเดือดน้อยลงเยอะ คือเจ้าหล่อนเหล่านั้นจะเป็นผู้นำอาหารมาเสิร์ฟให้นักรบ คอยดูแลไม่ให้จานอาหารของเขาพร่อง หรือเขาสัตว์ที่ใช้แทนด้วยดื่มน้ำจะมีเหล้าไม่เต็ม นมแพะที่นำมาให้นักรบดื่มมาจากเต้าของแพะเฮดรัน เนื้อที่ใช้เสิร์ฟบนวัลฮัลลาเป็นเนื้อที่มาจากหมูป่าของเทพตัวหนึ่งชื่อ แซริมเนอร์-Saehrim มันจะถูกพ่อครัว แอนด์ริมเนอร์-Andhrimnir เชือดทุกวัน พอการเลี้ยงเสร็จสิ้นลง หมูแซริมเนอร์ก็รวมตัวกันขึ้นใหม่ กลายเป็นหมูป่าสำหรับพ่อครัวเชือดวนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้วัลฮัลลาไม่เคยขาดเนื้อในการเลี้ยงเลย
      หลังจากที่กินอาหารเสร็จ นักรบเอนเฮเรียร์จะพากันจับอาวุธออกไปที่ลานรอบวัง ฝึกปรือการต่อสู้ หรือส่วนใหญ่ต่อสู้กันจริงให้ตาย (หลอกๆ เพราะถึงแก่ความตายจากบนโลกมาทีหนึ่งแล้ว) รอจนกระทั่งเสียงเป่าเขาเรียกกินอาหารเย็น จึงเข้าร่วมโต๊ะกันอีกหน โดยมีโอดินนั่งเป็นประธานที่สุดห้องโถง พระองค์จะนั่งดูนักรบเหล่านั้นสนทนาพูดคุยกันอย่างมีความสุข หวังเพียงแต่สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลานักรบพวกนี้จะสามัคคีร่วมมือในศึกครั้งสุดท้ายอย่างดีที่สุด
      อย่างนี้คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่า โอดินจะชอบพระราชวังไหนมากที่สุด ใช่แล้วละ วัลฮัลลานั่นแหละ นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้เห็นภาพอนาคตโอดินก็ตกอยู่ในความขมขื่น พระองค์มักจะสิงอยู่ในวัลฮัลลาครั้งละนานๆ ดื่มเหล้าพลางมองพวกนักรบซ้อมๆ กันไปพลาง วัลฮัลลากลายเป็นสวรรค์แสนสุขของนักรบ คนมีฝีมือในการรบทุกคนในสมัยนั้นฝันถึงวัลฮัลลา ทำให้ผู้ชายจากมิดการ์ด (ก็คือมนุษย์เรานี่ละครับ) มีศรัทธาต่อการได้ขึ้นสวรรค์แบบนี้มาก สงครามจึงกลายเป็นความกล้าหาญ เป็นสิ่งที่ควรทำและทำอย่างดุเดือดโหด มในวัยหนุ่ม เพราะการตายด้วยวัยชราที่ปราศจากคมหอกคมดาบ เป็นการตายที่น่าอายที่สุด (การขึ้นสวรรค์วัลฮัลลานี่ ภายหลังเชื่อว่ามีทางลัดด้วย คือการผูกคอตายครับ อันนี้เขาคงเอาไปปนกับความเชื่อตอนที่โอดินแขวนคอตัวเองบนต้นอิกดราซิล แต่ผลจะได้ขึ้นสวรรค์หรือเปล่าไม่รับรอง)
      เล่ากันว่าพวกที่โอดินชอบที่สุดเห็นจะเป็นวิญญาณนักรบที่มีสมญานามว่า เบอร์เซอร์ค–Berserk มาจากพวกที่สวมเสื้อหนังหมี-Bearskin แทนเกราะ (เหตุที่เขาใส่เพียงหนังหมีเพราะเชื่อว่าโอดินเทพเจ้าของเขาจะเป็นโล่ป้องกันอยู่แล้ว) นักรบพวกนี้จึงเป็นพวกที่กล้าหาญที่สุด ร้ายกาจที่สุด จะฆ่าศัตรูไม่ว่าหน้าไหนไม่เว้นกระทั่งศัตรูนั้นจะเป็นญาติพี่น้องของตนเอง
      สร้างอักษรรูน-Rune
      เรื่องเล่าของโอดินนี่คงจบไม่ได้นะครับถ้าหากขาดสิ่งที่เชื่อว่าเขาประดิษฐ์ไว้ให้มนุษย์ นั่นคืออักษรรูนครับท่านผู้อ่าน (คุ้นๆ กับแฟนๆ พ่อมดน้อยไหมนี่)
      เนื่องด้วยโอดินตระหนักในค่าแห่งความรู้ที่เขาได้มาว่ายากเย็นและเจ็บปวดเพียงใด เขาเลยแขวนคอตัวเองกับกิ่งอิกดราซิลอยู่เก้าวันเก้าคืน จ้องมองไปยังแผ่นดินมันมืดมิดของนิฟล์เฮม พิจารณาความรู้อันกว้างไกลของพระองค์ คิดหาทางจะให้เทพและมนุษย์อื่นเข้าถึงได้บ้าง
      ความทรมานที่ได้รับระหว่างเก้าวันเก้าคืน บวกกับการเพ่งพิจารณา (เหมือนการเข้าฌานสมาธินะครับเนี่ย แต่วิธีแปลกจัง) อย่างละเอียด วินาทีที่โอดินพบความลับบางอย่างของความตายร่างกายของพระองค์ก็ทนไม่ไหว หยุดทำงานไปดื้อๆ (ก็ตายนั่นละครับ) ทว่าความลับของความตายที่โอดินได้พบมาหยกๆ ยังคงค้างอยู่ในสมอง เมื่อผนวกกับแรงปรารถนายิ่งใหญ่ แล้วมันก็มากพอที่จะผลักดันตัวเองให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
      ความรู้นี่ละครับที่ทำให้โอดินประดิษฐ์อักษรรูนขึ้น ความที่มันเกิดจากความตาย อักษรรูนจึงกลายเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้กับการเสกคาถา ร่ายคำสาปในวิชาไสยเวทย์ (ตรงนี้ทำให้โอดินมีฐานะเป็นพ่อมดคนแรกของโลกนะครับนี่) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้กับการจารลงบนอาวุธเพื่อให้ไม่พลาดเป้า



      บทที่ 4 โลกิ เทพวิบัติ
      โลกิเป็นเทพที่มีกำเนิดมาตั้งแต่ครั้งสร้างโลก เป็นลูกของยักษ์ฟาโบติ-Farbauti และลอเฟย์-Laufey นิสัยของเขามาจากพลังความสับสนและบิดเบี้ยวในตอนแรกของโลก เขาสาบานเป็นพี่น้องกับโอดินด้วยการดื่มเลือดซึ่งเป็นประเพณีนิยมของชาวเหนือในช่วงนั้น ถ้าจะว่ากันไป โลกิคือด้านตรงข้ามของโอดิน หากโอดินฉลาดเฉลียวและทรงความดี โลกิก็เป็นคนไม่คิดหน้าคิดหลังและชั่วร้าย ถ้าโอดินกล้าหาญ โลกิก็ขลาดเขลา ถ้าโอดินละเอียดละออ โลกิก็ชุ่ย เป็นสองขั้วสุดๆ ระหว่างความดีและความชั่ว อุปนิสัยของเขาอยู่ข้างจะชอบสร้างความทุกข์ให้แก่คนอื่น (อันนี้ใช้คำว่าแกล้งนี่น้อยไปนะครับ) การกระทำหยั่งเงี้ยะส่วนใหญ่นำความทุกข์มาให้ผู้อื่น หรือหนักที่สุดทุกข์นั้นก็มาถึงตัวเอง เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมาข้างหน้า เขามีแต่ความอยากเท่านั้น
      โลกิเป็นเทพที่นับว่ารูปงามคนหนึ่ง ผิดแต่ว่าดวงตาของเขากระด้างไม่มีความเมตตาสงสารใดๆ แฝงอยู่ จะว่าเขาเป็นภาคหนึ่งของปีศาจที่ปนอยู่ในหมู่เทพก็ไม่ผิด กระนั้นนะครับการกระทำของเขาในแต่ละเรื่องจะนับเป็นเรื่องร้ายไปเสียหมดก็ไม่ได้ กลโกงเอาตัวรอดของโลกิ บางทีก็นำประโยชน์มาให้สวรรค์ไม่น้อย เช่นตอนที่ยุให้โอดินรับช่างก่อสร้างแปลกหน้าซึ่งเป็นยักษ์แปลงมาสร้างกำแพงแอสการ์ดถึงจะประสบความยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ชาวสวรรค์ก็ได้กำแพงแน่นหนาแข็งแรงโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงมากนัก หรือตอนที่ร่วมทางผจญภัยกับธอร์แล้วไปยุให้ลูกชาวนากินไขกระดูกแพะทังกริสกับทังนิออส คราวนั้นธอร์ก็ได้คนรับใช้คู่ใจ
      แต่การผจญภัยของโลกิที่จะเล่าต่อไปนี้ก็ทำให้ประดาเทพสำคัญของสวรรค์มีของวิเศษใช้กันละครับ
      ที่มาของสมบัติเทพ
      เรื่องมันเริ่มตรงที่คืนหนึ่ง เมื่อซิฟ-Sif เมียของธอร์เกิดหลับไปอย่างรวดเร็ว โลกิจะเกิดความหมั่นไส้ในอารมณ์มาจากไหนไม่ทราบ ก็ดอดเข้าไปในห้องนอนของเทพีโดยไม่มีใครรู้เลย แล้วเทพจอมโกงก็ใช้กรรไกรเล็กๆ ที่ติดตัวมาค่อยๆ ตัดกล้อนผมยาวสวยของซิฟจน ผมสีทองสุกปลั่งราวกับทุ่งข้าวสาลีออกรวงต้องแสงแดดของเจ้าหล่อนกองอยู่รอบเตียงแล้วโลกิก็หายตัว ไปในสายตาของเขามันเป็นเพียงแค่ตลกร้ายล้อกันเล่นเท่านั้นเองทว่าเช้าวันต่อมา เมื่อเทพีตื่นขึ้นพบว่าผมของหล่อนกระจายอยู่เต็มไปหมด หล่อนก็ฟูมฟายตกใจแทบสิ้นสติ ของรักที่สุดของผู้หญิงที่ไว้ผมยาวสลวยมานานแสนนานก็คือผม แล้วมันก็ไม่มีทางจะคืนดีกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว ธอร์เห็นเหตุการณ์รู้ทันทีว่าใครเป็นต้นเหตุ เขาโกรธมาก ถึงจะรู้ว่าโลกิไม่มีเจตนาอื่นนอกจากอยากแกล้ง ทว่าตลกคราวนี้เขาไม่สนุกด้วยเทพสายฟ้าจึงไล่ล่าจนเจอเจ้าตัวแสบ
      โลกิไม่กลัวอะไรมากไปกว่าอารมณ์โกรธของธอร์ ในความลนลานเทพจอมโกงเสนอจะแก้ตัวด้วยการลงไปยัง สวาร์ทาฟไฮล์ม-ดินแดนของคนแคระไปหาลูกชายของอิวาลดี-Ivaldi ช่างประดิษฐ์ของที่เก่งที่สุดเท่าที่เชื้อสายคนแคระจะมีอยู่ เขาจะไปสั่งให้ช่างทำวิกผมให้ซิฟใหม่ซึ่งมันจะต้องงอกยาวเองได้เหมือนของเดิม ธอร์ตกลง
      ครั้งนี้โลกิเดินทางสู่สวาร์ทาฟไฮล์มอย่างโดดเดี่ยว เขาเดินทางไปหาพี่น้องๆ คนแคระลูกๆ ของอิวาลดี ขอให้ช่วยทำวิกผมทองซึ่งยาวเองได้ และโลกิยังขอให้คนแคระทำของเพิ่มเติมเป็นของขวัญแก่โอดินและเฟรย์ไปพร้อมๆ กัน (นี่เพราะทั้งโอดินและเฟรย์ต่างก็โกรธโลกิที่เล่นตลกไม่เข้าท่ากับซิฟ) ของขวัญเหล่านี้จึงทำท่าเป็นของขวัญการเมืองอยู่ในตัว
      แรกๆ คนแคระหมู่นี้ไม่สนใจคำขอร้องของโลกิ แต่เทพจอมโกงก็ใช้ไหวพริบในการพูดโน้มน้าวจิตใจ โลกิว่าของขวัญเหล่านี้นอกจากจะทำให้บรรดาเทพที่กล่าวถึงพึงพอใจแล้ว ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์ของพี่น้องคนแคระที่ไม่มีใครเทียมไปชั่วกาลนาน แหม คำขอร้องหนนี้รื่นหูจริงๆ นะครับ คำขอนี้เลยทำให้คนแคระรับทำให้แบบไม่ต้องรออะไรต่อไป
      โลกินอนรอ นั่งรอของอยู่ในสวาร์ทาฟไฮล์มไม่นานหรอกครับ ของขวัญแด่บรรดาเทพก็เสร็จ ซิฟได้วิกผมทองซึ่งมีเส้นผมอร่ามเรืองงามกว่าเดิมทั้งยาวเองได้เหมือนของจริง เฟรย์เทพแห่งแสงอาทิตย์และราชาแห่งเอลฟ์ ได้เรือสกิดบลาดเนียร์-Skidbladnir เรือยาวแบบของชาวเหนือซึ่งสามารถพับได้ พับแล้วเหลือเล็กนิดเดียวใส่กระเป๋าเสื้อไปไหนมาไหนโดยไม่มีน้ำหนักเลย สำหรับโอดินได้หอกกุงเนอร์-Gungnir หอกวิเศษที่พุ่งไปแล้วไม่พลาดเป้า เป็นหอกที่หากเทพและมนุษย์กล่าวคำสาบานต่อหน้าใบหอกแล้ว ไม่มีทางทวนคำสัตย์สาบานได้ โลกิสุดแสนจะดีใจต่อของขวัญให้เทพ เขารีบเดินทางกลับแอสการ์ดทันที
      ทว่าระหว่างทางที่โลกิเดินมาอย่างสำราญนั้นเอง เขาก็พบเข้ากับคนแคระบรอคค์-Brokkและเอทรี-Eitri ทั้งสองสนใจสมบัติเทพที่โลกิถือมา เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดคนแคระก็โอ่ว่าพวกตนสามารถทำได้ดีกว่าสิ่งประดิษฐ์ของลูกๆ อิวาลดิมาก โลกิไม่เชื่อครับ เขายังไม่เคยเห็นใครจะมาความสามารถมากเท่าคนที่ทำของให้เทพมาตั้งนานแสนนาน งานนี้บรอคค์และเอทรีต่างยืนยัน นั่งยันแต่จนแล้วจนรอดโลกิก็แสดงว่าไม่เชื่ออยู่ดี แต่เพื่อตัดความรำคาญเทพจอมโกงจึงท้าทายคนแคระทั้งสองด้วยการเอาหัวเป็นประกันให้เขาทำของถวายเทพขึ้น แล้วส่งไปให้เทพตัดสินด้วยกัน บรอคค์และเอทรีรับคำท้า ทั้งสองแน่ใจว่าตัวต้องชนะ เพราะความสามารถของตนเป็นอิสระมากกว่าลูกๆ อิวาลดี และหากมันเป็นอย่างนั้นตัวก็มีสิทธิ์จะตัดหัวโลกิ มันคงเป็นการดีทีเดียวที่จะกำจัดเทพจอมฉ้อฉลไปจากแอสการ์ดเสียได้
      บรอคค์และเอทรีพาโลกิมายังที่อยู่ของตน หาที่พักดีๆ อาหารดีๆ และเหล้าที่จะทำให้โลกิไม่โวยวายระหว่างเขาออกไปโรงงานประดิษฐ์ของ โลกิก็นับว่าสำราญทีเดียวครับเมื่อมารอของอยู่ที่นี่ ไม่นานนักคนแคระทั้งสองก็นำของวิเศษขึ้นมาสามอย่าง อย่างแรกเป็นหมูป่าขนทองกัลลินเบสติ-Gullinbursti ให้เฟรย์ มันสามารถพาคนขี่ไปที่ใดก็ได้ที่ปรารถนา กระทั่งในที่มืดมิดของโลกใต้พิภพ เพราะขนของมันจะเรืองแสงนำทางได้ อย่างที่สองบรอคค์และเอทรีสร้างแหวนเดราป์เนียร์-Draupnir แหวนวิเศษที่สามารถถอดแบบตัวเองทุก 7 วันมันจะมีฤทธิ์ทำให้ผู้สวมใส่รร่ำรวยไม่รู้จบ อย่างสุดท้าย คนแคระสร้างค้อนวิเศษมจอลเนียร์-Mjolnir แก่ธอร์ เมื่อของวิเศษเสร็จบรอคค์และเอทรีก็ออกเดินทางไปแอสการ์ดพร้อมกับโลกิ เอาของไปให้เทพตัดสิน
      โอดิน เฟรย์ และธอร์ยินดีมากเห็นของวิเศษที่กองอยู่ตรงหน้า แต่หลังจากการปรึกษากันระหว่างเทพทั้งสาม โอดินก็ต้องประกาศด้วยความเสียใจว่า พวกเทพเห็นว่าค้อนมจอลเนียร์ดีที่สุดด้วยเหตุผลที่ว่ามันจะเป็นอาวุธที่ช่วยให้เทพป้องกันแอสการ์ดจากยักษ์ได้ คำประกาศตัดสินก็แทบจะหมายถึงความตายของโลกิในฉับพลัน บรอคค์และเอทรีแสนยินดีเขาเรียกร้องขอหัวของโลกิตามที่เดิมพันกันไว้
      ทว่าดวงหน้าของโลกิปราศจากความเกรงกลัว เขายิ้มแยบยลตามแบบฉบับ ยอมรับว่าเขาสัญญาจะให้ตัดหัว แต่ให้ตัดเฉพาะหัวไม่ให้ตัดคอ ถ้าหากบรอคค์และเอทรีสามารถตัดหัวเขาโดยไม่เกี่ยวกับคอได้ก็เชิญ คำตอบยียวนของโลกิทำเอาคนแคระเต้นผาง เขาหลงกลโลกิ บรอคค์และเอทรีหันหน้าปรึกษากันครู่หนึ่งก็ได้ความคิด
      ในเมื่อหัวโลกิเป็นของเขาตามสัญญา ถึงเขาจะตัดออกจากร่างเทพไม่ได้แต่จัดการอย่างอื่นได้ ดังนั้นบรอคค์และเอทรีเลยเอาเครื่องมือออกมาจากกระเป๋าแล้วเย็บปากโลกิ ฆ่าไม่ได้เย็บปากไว้ไม่ให้พูดก็ยังดี หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ลงจากแอสการ์ดไป
      ครู่เดียวหลังจากคนแคระเดินทางกลับ โลกิก็จัดการตัดด้ายเย็บปากออกปรายตามองไปยังเทพทั้งสามที่ยังชื่นชมของวิเศษที่ได้มาจากความลื่นไหลของตน เขาคิดแค้นเทพว่าเมื่อยามอับจนที่สุดคนที่ได้ประโยชน์จากเขาไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทั้งที่ช่วยได้ แต่เขาก็เพียงเก็บความแค้นเอาไว้ ไม่มีใครคิดเลยว่าวันข้างหน้าโลกิจะรวมเอาความแค้นครั้งแล้วครั้งเล่ามาสนองตอบพวกเทพเสียยับเยินเกินกว่าใครจะคิดถึง
      โลกิและอังร์โบดา
      โลกิเป็นคนโชคดีเรื่องคู่มาก เขามีเมียสองคน คนแรกชื่อว่า ซิยิน-Sigyn เป็นภรรยาคู่ยากแล้ว (บางที่ว่าซิกัน-Sigun คนนี้จะเป็นคู่ยากยังไงโปรดติดตามตอนต่อๆ ไป) มีลูกชายสองคนคือนาวี-Narvi และวาลี-Vali
      นอกจากซิยิน-Sigyn แล้วเขายังมีนางยักษ์ อังกรโบดา-Angrboda เป็นเมียอีกหนึ่ง อังกรโบดาน่าจะเป็นยักษ์สาวพราวเสน่ห์พอควรจึงทำให้ระยะหนึ่งโลกิถึงขนาดหายไปดินแดนโจตันไฮล์มของยักษ์บ่อยๆ กับเมียคนนี้โลกิมีลูกถึงสามอย่าง (เรียกเป็นอย่างนะครับ เพราะไม่ใช่คนหรือยักษ์เอาเลย) ตัวแรกคือหมาป่าเฟนริส-Fenris ตัวนี้ต่อไปจะดุร้ายจนมีแค่ไทร์เท่านั้นเข้าใกล้ได้ ตัวที่สองคืองูจอร์มุนกานด์-Jormundgand ตัวนี้ต่อไปจะใหญ่โตจนกลายเป็นพญางูขดตัวล้อมมิดการ์ดนิ่งอยู่ใต้มหาสมุทรและเป็นคู่ปรับตลอดกาลของธอร์ ส่วนอย่างสุดท้ายคือเฮล-Hel เทพธิดาก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิง เนื่องจากคนนี้ปรากฏร่างเป็นหญิงตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไป ส่วนตั้งแต่เอวลงมาเป็นซากศพ หล่อนกลายเป็นเทพีแห่งนรกในเวลาต่อมา
      ถึงลูกๆ ของนางจะประหลาดกว่าลูกของใครๆ แต่อังกรโบดาก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ เฝ้าฟูมฟักลูกๆ ด้วยความรักตลอดมาจนกระทั่งถูกโอดินพรากไปจากอก



      บทที่ 5 ธอร์ เจ้าแห่งสายฟ้า

      ธอร์ เป็นลูกของโอดินและจอร์ดนางยักษ์แห่งแผ่นดินซึ่งมีฐานะเป็นครึ่งเทพ แต่แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นยักษ์ แต่ธอร์กลับเกลียดยักษ์เข้าไส้ตลอดชีวิตเช่นเดียวกับโอดิน คงจะพิศมัยเฉพาะยักษ์สาวๆ เช่นเดียวกับพ่ออีกเหมือนกัน (เป็นลูกพ่อจริงๆ) ธอร์เป็นผู้มีพละกำลังมหาศาล กินจุ กินดุมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งยังขี้โมโห ขี้หงุดหงิดจนเป็นที่เลื่องลือ ชื่อของธอร์คือที่มาของวันพฤหัส-Thursday ในภาษาฝรั่ง ซึ่งลักษณะของเทพก็ไม่ตรงกับลักษณะของวันเอาเลย
      ความแข็งแรงของธอร์สร้างปัญหาให้กับชาวแอสการ์ด (และตัวเขาเองด้วย) ขนาดอายุไม่เท่าไรเขาก็แบกเอาม้วนหนังหมีขนาดใหญ่ 10 ม้วนเดินเล่นสบายใจเฉิบ ทำเอาเทพที่มีร่วมชุมนุมฉลองให้ต่างอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ธอร์เลยต้องถูกส่งไปให้วิงเนียร์-Vingnir และโลร่า-Hlora สามีภรรยาผู้รักษาสายฟ้าเอาไปเลี้ยงนอกสวรรค์ช่วยเลี้ยงดูจนกว่าจะเติบโตพอควบคุมอารมณ์ได้ค่อยส่งกลับมาแอสการ์ดใหม่ ด้วยเหตุนี้เขาเลยกลายเป็นเทพแห่งสายฟ้าไปโดยปริยาย
      เมื่อเติบโตขึ้นเทพองค์นี้ก็สูงใหญ่ แข็งแรงใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้าแลบ เสียงของเขากึกก้องน่ากลัวราวกับเสียงฟ้าฟาด ไม่ค่อยมีใครทนเขาได้นอกจากโลกิจอมโกง อาจเป็นเพราะธอร์เป็นเลิศในทางพลัง ส่วนอีกฝ่ายเป็นเลิศในทางปัญญา สมดุลที่พอฟัดพอเหวี่ยง โลกิจึงกลายเป็นเพื่อนผจญภัย (อย่างกระท่อนกระแท่น) ของธอร์ในหลายครั้ง
      ธอร์เป็นเทพหนึ่งใน 12 เทพสำคัญของสภาแกลดไฮล์ม-Gladsheim เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้บรรดาเทพอุ่นใจว่าอย่างน้อยเมื่อธอร์อยู่จะไม่มียักษ์มากวนใจ เขามีพระราชวังของตัวเองชื่อบิลสเกอร์เนียร์-Bilskirnir อยู่บริเวณธรุดไฮล์ม-Thrudheim รอบนอกของแอสการ์ด ด้วยเหตุที่เขามีหน้าที่เป็นเทพของคนยากและทาส พระราชวังนี้เลยเต็มไปด้วยวิญญาณทหารและชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นพวกที่ตามมารับใช้วิญญาณของนายที่เป็นนักรบที่ขึ้นมาอยู่บนวัลฮัลลาแต่แม้จะมีความสำคัญมากมายขนาดนี้ ธอร์กลับเป็นเทพองค์เดียวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สะพานสายรุ้ง เพราะต่างกลัวกันว่าฝีเท้าของเขาซึ่งก็คือสายฟ้า จะทำลายสะพานพังลง ดังนั้นเวลาธอร์จะมาแกลดสไฮล์มแต่ละที เขาจะต้องใช้ทางอ้อม ข้ามมาทางแม่น้ำออมต์และแม่น้ำคอมต์กับสายธารเกอลัง ธอร์มีอาวุธวิเศษอยู่สามอย่าง ที่สำคัญคือค้อนมจอลเนียร์-Mjolnir ผลงานของคนแคระซินดรี-Sindri ถึงแม้ด้ามมันจะสั้นไปสักหน่อยแต่มันกลับเหมาะให้เทพเหวี่ยงใส่ศัตรูมากกว่าทุบ จากนั้นมันจะหมุนกลับมากหาเจ้าของเอง อย่างที่สองเข็มขัดรัดเอวเพิ่มพลัง อย่างที่สามคือถุงมือวิเศษใช้คู่กับค้อน ทั้งสามอย่างนี้เป็นอาวุธคู่มือที่ช่วยธอร์ผจญภัยหลายครั้ง นอกจากนี้ธอร์ยังมีราชรถเทียมแพะชื่อทังนิออสกับทังริสต์ไว้ใช้ในบางโอกาสที่ไม่ต้องการเดินทางด้วยเท้า ภาพเขียนของยุโรปหลายภาพจึงมีรูปธอร์ปรากฏอยู่บนรถเทียมแพะที่ว่านี้
      ธอร์มีเมียสองคน คนแรกเป็นยักษ์ชื่อลานซาซ่า-Larnsaxa มีลูกชายกับยักษีตนนี้สอง คือแมกนี-Magni (ความแข็งแกร่ง) โมดี-Modi (ความกล้าหาญ) เป็นเทพครึ่งยักษ์สองคนที่รอดจากช่วงแร็กนาร็อค
      เมียคนที่สองเป็นเทพด้วยกันชื่อซิฟ-Sif คนนี้ผมสวยมาก ทั้งยาวและสมบูรณ์เหมือนรวงข้าวกำลังสุก กับเทพีองค์นี้ธอร์มีลูกด้วยสองคน เป็นชายชื่อ ลอร์ไรด์-Lorride และเป็นหญิงชื่อ ธรุด-Thrud ธรุดมีร่างกายใหญ่โตเหมือนยักษ์ แต่งามเหมือนเทพธิดา ความงามของเจ้าหล่อนเล่นเอาบรรดาผู้ชายทุกเหล่าไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เทพหรือคนแคระ ต่างก็เพ้อหานางด้วยกันทั้งนั้น แต่ปรากฏว่าคนที่ธรุดยอมคบหาด้วยกลับเป็นคนแคระชื่ออัลวิส-Alvis หน้าตาไม่หล่อเหลา ร่างกายก็เล็กแคระ แต่ปัญญามากจนเอาชนะใจสาวได้ ติดอยู่นิ๊ดเดียวเท่านั้นละครับก็ตรงที่ เทพธอร์เป็นพ่อประเภทหวงลูกสาวมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่มาติดพันเขาไม่ชอบทั้งนั้น ความหวงลูกของธอร์ถึงขนาดทำร้ายฝ่ายที่จะมาพรากลูกไปจากอกเขาได้ง่ายๆ
      ธรุดและอัลวิส
      อย่างที่บอกละครับว่าธรุดและอัลวิสเริ่มพึงใจกัน ความรักระหว่างสองคนนี้เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ โดยที่ธอร์ไม่รู้ ก็เนื่องจากเหตุเดียวละครับ อัลวิสเป็นคนแคระไง คนแคระเวลาจะออกเดินทางไปไหนมาไหนทีต้องรอตอนกลางคืน ฉะนั้นเวลาที่อัลวิสมาหาธรุดก็เป็นเวลากลางคืนที่ธอร์หลับไปนานแล้ว
      ถึงอย่างนั้นธอร์ก็ระแคะระคาย เขาไม่ชอบว่าที่ลูกเขยตัวเตี้ย หรือคนไหนๆ ทั้งนั้น อุปสรรคอย่างเดียวที่ทำให้เขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็คือเวลาที่ไม่ตรงกันนั่นละครับ ธอร์หลับอัลวิสมา อัลวิส กลับธอร์ตื่น เป็นอย่างนี้เรื่อยมา มันเป็นช่วงเวลาที่นานพอจะทำให้หนุ่มสาวสานสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่คนแคระเอ่ยปากขอธรุดแต่งงาน และสาวเจ้าก็ยินดีอย่างสุดๆ
      แต่แล้วคืนนั้นเอง ธอร์กลับปรากฏตัวขึ้นกลางดึก เขาเพิ่งกลับมาจากแกลดสไฮล์มสภาเทพ เจอเข้ากับคู่รักกำลังพร่ำคำสัญญาต่อกันอย่างจังโดยที่หนุ่มสาวทั้งสองก็ไม่ทันระวังตัว ภาพทั้งสองอยู่ด้วยกันทำให้ความโกรธของธอร์แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ธอร์พยายามสะกดอารมณ์ ครู่หนึ่งเขาเรียกมนุษย์ตัวเตี้ยเข้าไปคุยกันสองคนในห้อง จากนั้นตั้งปัญหาทดสอบประลองปัญญาคำถามแล้วคำถามเล่าเพื่อจะหยั่งว่า เจ้าแคระนี่จะเลี้ยงดูลูกสาวเขาได้หรือไม่ แต่ปรากฏว่าอัลวิสตอบคำถามได้หมดไม่มีติดขัดจนธอร์ไม่รู้จะถามอะไร ช่วงเวลาที่เงียบงันทำให้คนแคระเหมาเอาเองว่าเมื่อสิ้นคำถาม การทดสอบก็ถือว่าผ่าน อัลวิสรีบออกไปหาธรุดด้านนอก…แต่เจ้าคนแคระคาดผิด เขาประเมินเทพเจ้าต่ำไป
      อัลวิสมัวแต่ตอบคำถาม มุ่งหวังจะได้ลูกสาวของเทพเพียงอย่างเดียวจนทำให้ลืมเวลา ลืมไปว่าเขาคือคนแคระ เมื่ออัลวิสเอื้อมมือไปสัมผัสมือธรุด แสงอาทิตย์แรกของวันก็สาดลงมาพอดี ร่างของอัลวิสกลายเป็นหินในฉับพลัน ความรัก ความฝันของหนุ่มสาวละลายกลายเป็นอากาศธาตุ เป็นบทเรียนของผู้มุ่งหมายลูกสาวเทพตั้งแต่นั้นมา
      การเดินทางครั้งสำคัญสู่โจตันไฮล์ม
      ธอร์เดินทางผจญภัยอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งไม่พ้นการเดินทางสู่โจตันไฮล์ม เพราะการเดินทางครั้งนี้ธอร์ต้องประลองทั้งความอดทน ประลองด้วยปัญญาความสามารถ ที่สำคัญเป็นครั้งที่เขาได้คนสนิทคู่ใจคนสำคัญมาไว้ใช้ด้วยซิ
      เรื่องเริ่มขึ้นในวันหนึ่งกลางฤดูร้อน ธอร์นั่งเพ่งมองไปยังโจตันไฮล์มอาณาเขตของยักษ์ จู่ๆ เทพก็มีความรู้สึกว่าพวกยักษ์กำลังจะยกกำลังมาตีแอสการ์ดในไม่ช้านี้ ธอร์รู้สึกหงุดหงิดคิดว่ามันน่าจะเป็นหน้าที่ของเขามากกว่าที่บุกไปถึงอุตการ์ด-Utgard เมืองใหญ่ของโจตันไฮล์ม แล้วจัดการล้างวงศ์ยักษ์ซึ่งก็มีอยู่ไม่เท่าไหร่เสียให้สิ้น ดีกว่ามานั่งรอจุดจบอย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน
      ข่าวธอร์จะไปอุดการ์ด กระจายไปทั่วหมู่เทพ ข่าวนี้ทำให้โลกิเสนอตัวจะเดินทางไปด้วย เทพจอมลวงอ้างว่า การไปอุตการ์ดโดยมีธอร์ผู้ทรงพลังไปเพียงผู้เดียวดูจะเสี่ยงเกินไป อย่างน้อยน่าจะมีคนปัญญาไวอย่างเขาเดินทางไปด้วย ธอร์ตกลงครับ ถึงเขาจะรู้จักนิสัยของเทพองค์นี้ว่ามักสร้างปัญหาให้แก่คนรอบข้างมากเพียงใด แต่หลายครั้งเหมือนกันที่ความไวปัญญาของโลกิใช้ได้ผล สองราจึงออกเดินทางไปสู่ดินแดนยักษ์บนราชรถเทียมแพะที่ผมพูดถึงเมื่อกี้นั่นแหละ
      ธอร์และโลกิลงมาจากแอสการ์ด ผ่านลงมายังแดนมนุษย์ ระยะทางที่ไกลจัดทำให้ตกเย็นเสียก่อนที่ทั้งสองจะไปถึงชายแดนมิดการ์ด เทพธอร์เห็นบ้านหลังหนึ่งกลางป่าก็คิดว่าน่าจะหยุดพักค้างคืนที่นี่กันเสียหน่อย ทั้งๆ ที่โลกิไม่ชอบ โลกิเห็นว่าบ้านหลังนั้นทรุดโทรมจวนจะพังมิพังแหล่ เจ้าของคงเป็นคนยากจน ไม่มีทางหาอะไรดีๆ ให้เทพอย่างพวกเขากินได้ ส่วนธอร์ เนื่องด้วยเขาเป็นเทพแห่งคนยาก เรื่องความจนไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจสำหรับเขาอยู่แล้ว เขาจึงว่าคนในบ้านกินอะไรเขาก็กินอย่างนั้นได้
      ไม่พูดพล่ามทำเพลง ธอร์หยุดรถ ผูกแพะไว้ด้านนอกแล้วก้าวเข้าไปหาเจ้าของบ้าน เทพโลกิทำอะไรไม่ได้ต้องตามลงมา ความหงุดหงิดเริ่มเดือดพ่นฟองในสมองของเขาแล้วซิตอนนี้ ชาวนากับครอบครัวค่อนข้างตกใจที่จู่ๆ เทพเจ้าสององค์ก็โผล่เข้ามาในบ้าน แต่ทุกคนต่างก็กุลีกุจอตอนรับ ยอมสละเอาของที่ดีที่สุดมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเตียงยัดฟางภายในของตน หรือที่พักอุ่นๆ หน้าเตาผิง แต่พอมาถึงเรื่องอาหารชาวนากับครอบครัวมีแต่ผักที่ปลูกไว้ ไม่มีเนื้ออะไรสักอย่างเป็นอาหารแก่เทพ
      เพื่อรักษาคำพูด ธอร์เดินออกไปข้างนอก จับแพะทังนิออสและทังกรีสเชือด เอาร่างเข้ามาในกระท่อม สั่งให้ชาวนาเอาไปทำอาหาร เทพบอกชาวนาให้กินให้เต็มที่ ขออย่างเดียวอย่าทุบกระดูกไม่ว่าชิ้นไหนทั้งสิ้น เพราะเขาจะเอากระดูกใส่กลับไปใต้หนังหลังกินอิ่มแล้ว และจะเสกให้มันคืนชีพอีกครั้งพรุ่งนี้เช้า ชาวนาก็ทำตามครับ เขากับครอบครัวรับเอาแพะไปจัดการถลกหนังอย่างระมัดระวังแล้วย่างแพะมาขึ้นโต๊ะให้เทพ แบ่งส่วนของตัวเองเข้าไปกินกันในครัวตามประสา
      ข้างฝ่ายโลกิครับ ได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์ตลอด ความหมั่นไส้ไม่เลือกที่ซึ่งก่อตัวมาแล้วตั้งแต่เมื่อครู่ ทำให้เขามองเห็นทาง เขาอยากแกล้วชาวนานักที่ดันมาปลูกกระท่อมขวางทางให้ธอร์ต้องหยุดพัก ก็เลยค่อยๆ ดอดเข้าไปในครัว ได้ทีตีสนิทกับลูกชาวนาคนหนึ่งที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ยุให้ลูกคนนั้นทุบกระดูกแพะกินไขข้างในซึ่งรสชาติดีกว่า เด็กชายเชื่อคำยุ เขาทุบกระดูกขาข้างหนึ่งดูดกินอย่างเปรมปรี จากนั้นก็เอากระดูกยัดใส่ไว้ใต้หนังตามคำสั่งของธอร์
      รุ่งขึ้น เมื่อธอร์เตรียมตัวเดินทางเรียบร้อย เขาก็ออกไปเสกแพะให้กลับมีชีวิต ปรากฏว่าเมื่อแพะกลับสู่ร่างเดิม ตัวหนึ่งกลับเดินลากขาเสียแล้ว เทพรู้ทันทีว่าคำสั่งของเขาถูกละเมิด ความฉุนเฉียวพลุ่งขึ้นมาจนระเบิดต่อว่าต่อขานชาวนาอย่างแรงแล้วยึดลูกสองคนของชาวนามาเป็นคนรับใช้ ลูกชายชื่อ ธิอัลฟี-Thaialfi (คนที่กินไขกระดูกและกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับโลกิตั้งแต่นั้น) และลูกสาวชื่อ รอสก์วา-Roskva สองคนนี้กลายเป็นคนรับใช้ ผู้ช่วยเหลือ และผู้แนะนำที่เลื่องชื่อของธอร์ไปตลอด ชาวนาผู้เป็นพ่อแม่หรือครับ ทำอะไรไม่ได้หรอกก็ลูกของเจ้าผิดจริงนี่นา
      การเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยสมาชิกสี่คน ทั้งหมดเดินทางจนถึงชายแดนมิดการ์ดถึงมหาสมุทรที่กั้นระหว่างแดนมนุษย์กับ โจตันไฮล์มพยายามหาทางข้าม ขณะเดินเลียบชายฝั่งมาได้พักหนึ่ง ก็พบเรือถูกทิ้ง ธอร์สั่งให้ผู้ร่วมทางลงเรือเขาเป็นคนพาย ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าด้วยกำลังมหาศาลของเทพ เขาก็พาคณะผจญภัยมาขึ้นฝั่งดินแดนของยักษ์ในไม่ช้า
      พอขึ้นบกได้ ทั้งสี่ก็เดินเท้ากันต่อ ผ่านต้นไม้ใหญ่ยักษ์และต้นเล็กแคระ ผ่านหุบห้วยและสายธารรูปร่างแปลกๆ ที่กลางป่า จู่ๆ คณะเดินทางก็เจอเข้ากับห้องโถงหน้าตาของมันคล้ายสิ่งก่อสร้างไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง ผนังก็เรียบๆ โค้งๆ แบบที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน ทางเข้ารึก็เปิดโล่งด้านเดียว ทั้งสี่เลยตกลงใจเข้าไปเดินสำรวจ ปรากฏว่าโถงที่พบนี้ใหญ่ว่าวัลฮัลลาและบิลสเกอร์เนียร์ของธอร์รวมกัน แต่ด้วยความเหนื่อยและอ่อนเพลีย ทั้งหมดจึงตัดสินใจตั้งค่ายพักกันที่นี่ พวกเขาหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
      ทว่ากลางดึกคืนนั้น คณะเดินทางต่างต้องตกใจตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกัมปนาท เสียงที่ว่าดังราวท้องฟ้าถูกฉีกเป็นริ้ว แรงสะเทือนของเสียงทำให้แผ่นดินไหว ตอนแรกต่างคนต่างรีบฉวยข้าวของติดตัวจะหนีออกไปข้างนอก แต่เสียงดังกล่าวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีอะไรมากกว่านั้น ธอร์จึงตัดสินใจให้ย้ายไปอยู่ห้องที่เล็กกว่าที่เขาเพิ่งพบ อย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเขายังหาทางป้องกันตัวได้ดีกว่า
      เสียงดังคับฟ้าที่ว่าดังต่อเนื่องมาตลอดจนถึงเช้า คณะเดินทางออกไปข้างนอกห้องโถงจึงได้พบที่มาของเสียง มันเป็นเสียงกรนของยักษ์ตนหนึ่งที่นอนอยู่แถวนั้น ธอร์ปลุกยักษ์ เขาพยายามอยู่หลายครั้งจนร่ำๆ จะใช้ค้อนมจอลเนียร์ทุบเข้าให้สักทีแต่ยักษ์ก็ตื่นขึ้นมาเสียก่อน เจ้ายักษ์ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ทว่าพอแค่มันยืนขึ้นเท่านั้น ธอร์ก็ประหลาดใจเป็นล้นพ้นกับขนาดที่ไม่เหมือนยักษ์ทั่วไป มันสูงเยี่ยมเทียมขุนเขาทำให้เทพร่างใหญ่เช่นธอร์กลายเป็นมดได้ในบัดดล

      บทที่ 5 (ต่อ)

      ก่อนที่ธอร์จะทันเอ่ยถามอะไร มันก็หันมาเห็นเทพและคณะเดินทางเข้าเสียก่อน ยักษ์ทำท่าทางเป็นมิตรบอกว่าจำทั้งธอร์และโลกิได้ แถมยังบอกอีกด้วยว่า มันชื่อสกรายเมียร์-Skrymir อาสาจะพาทั้งหมดไปอุตการ์ด จากนั้นมันก้มลงเก็บถุงมือ คณะเดินทางเพิ่งพบความจริงว่าที่ๆ พวกเขานอนเมื่อคืนก็คือบริเวณที่อยู่ตรงนิ้วหัวแม่มือของถุงมือยักษ์นี่เอง
      สกรายเมียร์พาคณะเดินทางแบกมาบนบ่า ครั้นเดินทางมาได้พักใหญ่จนบ่ายยักษ์ก็บอกทั้งสี่ว่าจะของีบพักสักครู่ มันโยนถุงใส่ของให้เทพบอกให้หาของกินจากในนั้นได้ แล้วสกรายเมียร์ก็ลงนอนแบบไม่สนใจอะไรอีกต่อไป คณะเดินทางต่างคนต่างแยกย้าย โลกิกับเด็กทั้งสองออกไปหากิ่งไม้มาก่อกองไฟ ปล่อยให้ธอร์พยายามแกะปมที่ปากถุงใส่ของๆ ยักษ์ เวลาผ่านไปนานมากขนาดที่ว่ากองไฟของโลกิก่อขึ้นแล้ว แต่ธอร์ก็ยังแกะปากถุงของสกรายเมียร์ไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะดึง กระชาก หรือสับก็ไม่เป็นผล โลกิหันมาพยายามต่อ แต่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
      ทั้งสองรู้สึกโกรธ คิดว่าเจ้ายักษ์ตัวนี้เล่นตลกเอาแล้ว ธอร์ไต่ขึ้นไปบนหัวยักษ์ เอาค้อน มจอลเนียร์ทุบ ฤทธิ์ของค้อนวิเศษแค่ทำให้สกรายเมียร์ส่งเสียงละเมอเหมือนใบไม้หล่นใส่ เล่นเอาธอร์ประหลาดใจซ้ำ
      คณะเดินทางได้แต่มองหน้ากัน แต่เมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ก็ตกลงจะพักบ้าง กลางดึกคืนนั้น เหตุการณ์คล้ายที่ผ่านมาคืนก่อนก็เกิดซ้ำอีก สกรายเมียร์กรน เสียงกรนของยักษ์สร้างแรงสะเทือนชนิดที่ทั้งสี่นอนไม่ได้ ธอร์ไต่ขึ้นไปบนหัวยักษ์พร้อมมจอลเนียร์เป็นครั้งที่ 2 เอาค้อนทุบกะลงตรงกลางหน้าผาก สกรายเมียร์ปรือตาเห็นธอร์ยืนบนหัวก็ถามว่า ลูกโอ๊คหล่นใส่หัวเขาหรือไร เทพแห่งสายฟ้าไม่ตอบ แต่กระโดดลงจากหัวยักษ์ด้วยความงุนงง หงุดหงิด ค้อนมจอลเนียร์ทำให้เขาผิดหวังอีกแล้ว
      เสียงกรนที่เงียบไปนานของสกรายเมียร์กลับมาอีกครั้งตอนรุ่งสาง คราวนี้หนักหนาเสียจนไม่มีใครนอนลง ธอร์ต้องลุกขึ้นอีกครั้ง หยิบค้อนมจอลเนียร์มาเหวี่ยงรอบหัวขว้างใส่ยักษ์ หมายเอาตรงขมับ ค้อนปลิวตามแรงของธอร์ฟาดเข้าเป้าแล้ววิ่งวนกลับมาหาเจ้าของ ประสิทธิภาพอันศักดิ์สิทธิ์คงเหมือนเดิม แต่…มันก็ยังทำอะไรยักษ์ไม่ได้ สกรายเมียร์แค่ตื่นขึ้นมาขยี้ตา ถามว่า เมื่อกี้มีนกบินผ่านมาหรือ มันรู้สึกเหมือนนกอึใส่
      ตอนนี้สกรายเมียร์ตื่นจริงๆ เขาเก็บข้าวของส่วนตัวเตรียมแยกย้ายกับนักเดินทางทั้งสี่ ก่อนไปเขาชี้ทางให้เพื่อนใหม่ไปอุตการ์ดพร้อมทั้งเตือนว่าให้ระวังคำพูด เพราะพวกยักษ์มีความอดทนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนตัวเล็กๆเช่นคณะเดินทางทั้งสี่ ว่าแล้วก็โบกมือลาธอร์ โลกิ กับลูกชาวนาทั้งสองแยกมาตามทางที่สกรายเมียร์ชี้ให้ ไม่ช้านักทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงประตูอุตการ์ด บานประตูเมืองใหญ่โตมโหฬารจนเทพและมนุษย์จะเปิดมันออกได้อย่างไร เห็นแต่ช่องพอจะเบียดตัวแทรกเข้าไปได้เท่านั้น คณะเดินทางไม่มีทางอื่น พวกเขาจำเป็นต้องค่อยๆ ลอดตามกันไป และที่หลังประตูนั่นเอง สิ่งที่ธอร์ปรารถนาจะได้พบก็รออยู่ครบ
      ที่นั่นคือห้องโถงมหายักษ์ของอุตการ์ดโลกิ-Utgard-Loki ราชายักษ์ผู้พ่อมดขมังเวทย์ ในห้องเต็มไปด้วยสมาชิกยักษ์อื่นๆ รายรอบ ต่างคนต่างกุมอาวุธขนาดยักษ์รอท่าผู้มาเยือน อุตการ์ดโลกิรู้สึกขบขันที่ได้เห็นคนตัวเล็กๆ ในห้องโถงของพระองค์ จอมยักษ์เอื้อนเอ่ยออกมาว่า ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตให้เขามาในพระราชวังนอกจากจะพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง เกินกว่ายักษ์ซึ่งเป็นสมาชิกของที่นี่ คณะเดินทางมองหน้ากัน ธอร์ไม่รู้สึกหวาดหวั่น จึงรับคำท้าของยักษ์
      โลกิเป็นคนแรกที่อาสา จอมโกงอ้างว่าเขากินเร็วกว่าใครๆ ในห้องโถงนั้น อุตการ์ดโลกิหัวเราะ ราชายักษ์ผายมือไปยังยักษ์โลกิ (ชื่อเดียวกันนะครับ) คู่ปรับที่มีความสามารถเท่าเทียมกัน ทั้งสองถูกจัดให้นั่งที่หัวโต๊ะยาว อาหารกองพะเนินถูกนำลำเลียงมาวางตรงหน้ายักษ์โลกิ และเทพโลกิราวกับภูเขา ทั้งสองตั้งหน้ากินๆ ๆและกิน
      ปรากฏว่าเมื่อหมดเวลากำหนด ตรงหน้าเทพโลกิมีกองกระดูกเหลือมากมาย ขณะที่ยักษ์โลกิกวาดเรียบไม่ว่าเนื้อหรือกระดูกกระทั่งจานใส่ ยกนี้ยักษ์โลกิเลยเป็นฝ่ายชนะ
      การแข่งครั้งต่อมาฝ่ายเทพเป็นหน้าที่ธิอัลฟี ซึ่งอ้างว่าวิ่งเร็วที่สุด อุตการ์ดโลกิหันไปเลือกคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมในหมู่ยักษ์ แล้วเรียกฮิวกิ-Hugi ออกมา กำหนดให้วิ่งแข่งกันสามรอบ มันเป็นการแข่งที่ต้องทำกันนอกปราสาท
      รอบแรกธิอัลฟี วิ่งออกตัวล้ำหน้าฮิวกิเพียงนิดหน่อยความเร็วของเขาพอๆ กับลม แต่เพียงเสี้ยววินาทีฮิวกิก็วิ่งล้ำหน้า ความเร็วของยักษ์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งไปรอรับธิอัลฟีที่เส้นชัย รอบสองสถานการณ์ของผู้ช่วยธอร์ไม่ดีกว่ารอบแรก พอถึงรอบสามสภาพการณ์แย่หนักเข้าไปอีก ฮิวกิไปถึงเส้นชัยขณะที่ธิอัลฟีมาได้ครึ่งทาง การแข่งวิ่งปรากฏว่ายักษ์ชนะขาดไปอีก
      ราชายักษ์หันหน้ามาหาธอร์ ถามหาสิ่งที่เทพต้องการแข่ง ธอร์ซึ่งหัวเสียกับการพ่ายแพ้ของฝ่ายตนพอควร ท้าทายให้ใครก็ได้มาแข่งดื่มเหล้ากับตน อุตการ์ดโลกินำถ้วยเขาสัตว์ออกมา บอกว่าพวกยักษ์ใช้ถ้วยนี้ดื่มและดื่มรวดเดียวหมดกันทุกคน จะมียักษ์ที่อ่อนแอหน่อยอาจดวดสักสองครั้ง แต่ไม่มีใครยกถ้วยเป็นครั้งที่สามเลย
      ธอร์รับถ้วยเขาสัตว์ยกขึ้นดื่ม เขาแน่ใจเหลือเกินว่าตัวเองนี่ละที่จะเป็นผู้พิชิตชัยชนะจากยักษ์บ้าง เทพยกถ้วยค้างดื่มรวดเดียวจนคิดว่าหมดก็ลดถ้วยลง
      "ให้ตายเถอะ!"..ธอร์สบถในใจ น้ำในถ้วยที่คิดว่าหมดแล้วปรากฏว่าลดระดับต่ำกว่าปากนิดเดียว ธอร์ยกขึ้นดื่มอีกครั้ง คิดว่าคราวนี้น่าจะหมด แต่พอลดถ้วยน้ำในนั้นต่ำกว่าเดิมนิดเดียว ไม่มีท่าว่าจะหมดเกลี้ยงอย่างที่คาด ธอร์ยกขึ้นดื่มอีกครั้ง ครายวนี้นานกว่าเคยเพื่อให้ดื่มได้จำนวนมากที่สุด แต่พอวางถ้วย น้ำในนั้นก็ยังไม่หมดสมดังหวัง
      ราชาอุตการ์ดโลกิหัวเราะอย่างสมใจ เอ่ยถามธอร์ที่กำลังตะลึงกับผลงานไม่เข้าเป้าของตัวเอง
      "ท่านยังต้องการแข่งอะไรอีกไหม?" ธอร์ซึ่งเต็มไปด้วยความผยอง ไม่ยอมแพ้ ทำท่าเหมือนพาล เขาตอบว่าอะไรก็ได้ที่ยักษ์เสนอ
      "ถ้างั้นมาอุ้มแมวของข้าดู" อุตการ์ดโลกิว่า เจ้าแมวประหลาดของยักษ์โดดขึ้นมาจากใต้บัลลังก์ยืนตรงหน้าธอร์ราวกับรู้งาน
      ธอร์ตรงเข้าไปหาแมวอย่างมั่นใจ ตอนแรกออกแรงแค่เบาๆ แมวหลับตาแกว่งหางสบายอารมณ์ไม่มีท่าว่าจะขยับ เขาเกร็งกล้ามเนื้อออกแรงมากขึ้นคว้าบั้นเอวแมวแล้วยกเต็มที่ ปรากฏว่าแมวประหลาดยังเฉย อุ้งเล็บของมันจิกเหนียวแน่นติดกับพื้นชนิดไม่มีทางถอน มันปรายตามองธอร์อย่างเริ่มรำคาญ เทพเปลี่ยนวิธีใหม่ ก้มลงเอาไหล่ดันท้องแมวกะจะแบก แต่แม้ว่าเขาจะเกร็งข้อลำจะตึงเขม็งปานใด ก็ทำได้แค่ยกเท้าแมวข้างหนึ่งให้พ้นพื้นได้เท่านั้น
      ธอร์ทั้งเหนื่อยทั้งโมโห ร้องท้าให้อุตการ์ดโลกินำคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมมาปล้ำแข่งกับเขาดีกว่า จอมยักษ์หัวเราะเยาะ
      "ท่านอยากแพ้อีกหรือ" เขาว่า "แต่เอาเถอะ ถ้าอยากจะปล้ำนักก็มาลองกับแม่ข้าก่อน"
      ยังไม่ทันที่ธอร์จะว่าอะไร เอลลี่-Elli นางยักษ์ชราก็จู่โจมใส่ธอร์ชนิดไม่ทันตั้งตัว แรกๆ เขายั้งมือ ไปๆ มาๆ ธอร์กลับต้องทุ่มสุดแรงเกิดก็ยังไม่มีทีท่าจะชนะยักษ์จนนี้ได้ เก่งที่สุดก็เพียงยกขานางยักษ์ชราขึ้นจากพื้นได้ข้างเดียว ปล้ำกันไปปล้ำกันมาเพียงครู่เดียวยักษ์เอลลี่จบเกมแข่งขันด้วยการทิ้งน้ำหนักไปข้างหนึ่งพาให้ธอร์คู่ปล้ำล้มทั้งยืน ซึ่งก็เป็นสัญญาณหมายถึงความพ่ายแพ้ของคณะเทพอย่างเด็ดขาด อุตการ์ดโลกิสั่งหยุดการแข่งขัน
      "วันนี้เราใช้เวลามากไปแล้ว" เขาสั่งบริวารนำอาหารเข้ามาเลี้ยงคณะเดินทางทั้งสี่ แล้วพาไปนอนในห้องพักที่มีเตียงนุ่ม ความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางรวมทั้งการออกแรงแข่งขัน ทำให้ต่างคนต่างหลับเป็นตาย
      เช้าวันต่อมาอุตการ์ดโลกิส่งคนมาปลุกคณะเดินทางให้ลุกขึ้นมากินอาหารแต่เช้า หลังจากนั้นก็พามาส่งนอกกำแพง
      "เทพแห่งสายฟ้า ท่านจะไม่มีทางได้ย่างเหยียบเข้ามาที่นี่อีกแล้ว" อุตการ์ดโลกิบอกคณะเดินทางด้วยสีหน้าจริงใจ ทุกคนในคณะต่างรู้สึกอับอายที่แพ้ยักษ์ไปเสียทุกเรื่อง
      "แต่ก่อนท่านจะจากไป เราจะบอกความจริงกับท่าน" จอมยักษ์ว่า "อันที่จริงคู่ต่อสู้ที่ท่านได้พบไม่ใช่ยักษ์อย่างพวกข้าเลยแม้แต่คนเดียว" เขาหยุดครู่หนึ่งแลดูสีหน้าของผู้มาเยือน
      "ข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าท่านมาถึงจึงแปลงตัวไปรับ ข้าเองนี่ละคือสกรายเมียร์ ภาพลวงของธรรมชาติ ซึ่งท่านธอร์ทุบกะโหลกยักษ์สกรายเมียร์สามครั้ง ไม่ได้โดนยักษ์เลยแต่ไพล่ไปโดนพื้นดินที่ท่านมองไม่เห็น แรงทุบของท่านไม่ใช่ว่าไม่แรง แต่ละครั้งทำให้เกิดหุบลึกขึ้นในภูมิประเทศถึงสามแห่ง และแต่ละแห่งก็ลึกลงไปเรื่อยๆ ตามแรงของท่าน" พ่อมดยักษ์เหลือบตาดูคณะเทพ ใบหน้าของธอร์เริ่มมีเลือดฉีดด้วยความฉุนเฉียว แต่เขายังต้องฟังคำพูดของอุตการ์ดโลกิต่อไป
      "เรื่องการแข่งขัน ที่เทพโลกิกินไม่ชนะก็เพราะยักษ์โลกิที่แข่งกับท่านคือไฟป่าซึ่งกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางอยู่ ธิอัลฟีวิ่งแข่งกับยักษ์ฮิวกิไม่ชนะ เพราะยักษ์ฮิวกิที่ท่านเห็นไม่ใช่ยักษ์ แต่คือ"ความคิด" จะมีใครหรืออะไรบ้างเล่าจะเร็วกว่าความคิดไปได้" อุตการ์ดโลกิปรายตามายังเทพ
      "ส่วนท่าน ธอร์ ครั้งแรกท่านแข่งดื่มโดยไม่รู้หรอกว่าถ้วยใบนั้นโยงใยกับน้ำในมหาสมุทร ซึ่งไม่มีใครหรืออะไรทำให้มันลดได้ ครั้งต่อมา แมวที่ท่านแบกไม่ขึ้นก็คือพญางูจอร์มุนกานด์ซึ่งขดตัวล้อมรอบมิดการ์ดอยู่ใต้สมุทร และสุดท้าย ยักษ์ชราเอลลี่ก็คือความชราซึ่งไม่มีใครชนะได้เลย"
      ธอร์ตระหนักความจริง เขาไม่ได้แข่งกับยักษ์ แต่โดนยักษ์ซ้อนกลให้แข่งกับธรรมชาติสิ่งที่ไม่มีใครเอาชนะได้ ธอร์ยกค้อนมจอลเนียร์ขึ้นกวัดแกว่งกะขว้างไปฟาดอุตการ์ดโลกิให้แบน แต่พ่อมดยักษ์หายวับไปพร้อมกับเมืองอุตการ์ด เมืองลวงตาที่เขาเสกขึ้นต้อนรับคณะเทพ ทิ้งแต่เสียงหัวเราะก้องภูผาอันเปล่าเปลี่ยวภูมิประเทศที่แท้จริงของโจตันไฮล์ม
      ทั้งสี่เดินทางกลับ ข้ามทะเลไปเอาราชรถของธอร์ที่ฝากไว้บ้านชาวนา แล้วกลับธรุดไฮล์มด้วยความกระหยิ่มใจ ธอร์คิดว่าการผจญภัยต่อสู้กับอุบายของยักษ์ ถึงแม้จะน่าอับอายหน่อยๆ แต่มันก็เกิดขึ้นเพราะยักษ์กลัวเทพ และกลัวพลังของตน คงเป็นเรื่องยากที่พวกมันจะเข้าโจมตีแอส การ์ดอย่างที่ใครๆ พากันกลัว (อันนี้ธอร์แน่ใจไปหน่อยครับ เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่เดินทางเคียงข้างกับเขาในครั้งนี้นั่นแหละจะเป็นคนพายักษ์เข้าโจมตีสวรรค์ในภายภาคหน้า)


      บทที่ 5 (ต่อ)
      ค้อนหาย
      หลังจากที่ธอร์ได้อาวุธคู่มือมจอลเนียร์ เขาก็กลายเป็นเทพที่มีพลังมากที่สุดในแอสการ์ด ค้อนกับเทพกลายเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับเป็นอวัยวะแขนขา ก็มีวันหนึ่งจนได้ละครับที่จู่ๆ ธอร์ก็ตื่นมาพบว่ามจอลเนียร์หายไป ธอร์แทบจะรื้อวังเป็นชิ้นๆ ทีเดียวครับ เขาพยายามหามจอลเนียร์จนเหนื่อยอ่อนก็แน่ใจว่าคราวนี้คงต้องมีใครขโมยไปแน่ๆ
      ธอร์เรียกโลกิมาปรึกษา (อย่างผมว่าแหละ หลายครั้งที่โลกิแก้ปัญหาให้เทพ) โลกิว่างานนี้น่าเป็นฝีมือยักษ์ เพราะเมื่อธอร์ไร้มจอลเนียร์ก็เหมือนกับเทพแห่งสายฟ้าไร้พลังโดยสิ้นเชิง เขาอาสาไปสืบข่าวหัวขโมย อยากรู้เหลือเกินว่าเป็นใคร โลกิไปขอยืมเสื้อคลุมขนนกวิเศษของเฟรยาซึ่งทำให้ผู้สวมใส่บินได้เหมือนนก
      โลกิเดินทางไปดินแดนยักษ์ เขาบังเอิญได้พบยักษ์ธริม-Thrym เจ้าตัวต้นเรื่องเข้าพอดี โลกิหลอกล่อไปมาก็ได้ความว่าธริมนี่ละครับเป็นคนขโมยค้อน พามันไปฝังไว้ใต้ดินลึกถึง 8 ฟาธอม มันบอกว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้มันคืนค้อนได้คือต้องให้เทพีเฟรยา เทพีแสนสวยของแอสการ์ดมาแต่งงานกับมัน
      โลกิกลับสวรรค์พร้อมคำขอของยักษ์ ธอร์เรียกประชุมเทพให้ช่วยกันออกความคิด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครนึกออกว่าจะทำยังไง ที่ประชุมหันไปถามเทพีเฟรยาว่าจะยอมแต่งงานกับยักษ์เพื่อให้ได้อาวุธวิเศษกลับคืนมายังสวรรค์หรือไม่ แหม อันนี้แทบไม่ต้องบอกเลยว่าเธอจะว่ายังไง ครับเจ้าแม่เฟรยาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟนะซิ อุปนิสัยของเทวีองค์นี้ไม่ได้เสงี่ยมหงิมเหมือนเทพีองค์อื่นๆ นางน่ะเป็นหัวหน้านางวัลคิรี นางฟ้าดำของโอดินด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นไม่ต้องถามเลยว่าในภาคของความแข็งแกร่งทัดเทียมผู้ชายนางจะดุเดือดสักเพียงไหน ความโกรธที่รู้สึกว่าจะต้องถูกนำตัวไปแลกอาวุธเล่นเอานางหน้าเขียว เส้นเลือดที่คอบวมเป่งดันคอสร้อยไบรซิงกาเมนหัก สร้อยคออันเป็นตัวแทนของดวงดาวบนท้องฟ้าหลุดจากคอของเฟรยาลงมานอนนิ่งกับพื้น
      โลกิชี้ที่สร้อย เขาคิดอะไรออกในทันที เมื่อเฟรยาไม่ไปโจตันไฮล์ม คนอื่นก็น่าจะไปได้โดยอาศัยเครื่องแต่งตัวของเจ้าแม่ บรรดาเทพเห็นด้วยและชี้ไปที่ธอร์ เทพแห่งสายฟ้าอึกอักแต่ในที่สุดก็ตกลง
      ธอร์แปลงตัวเป็นเฟรยาออกเดินทางไปสู่ดินแดนยักษ์ มีโลกิตามติดในฐานะผู้รับใช้เจ้าสาว เขาแต่งตัวมีผ้าคลุมหน้ามิดชิดซ่อนความรู้สึกที่อาจเผยต่อหน้ายักษ์จนอาจผิดสังเกต
      เฟรยาปลอมไปถึงโจตันไฮล์มท่ามกลางความดีใจของธริมอย่างระงับไม่มิด เขาจัดงานเลี้ยงตอนรับว่าที่เจ้าสาวใหญ่โต นำอาหารจำนวนมากมากองตรงหน้าเทพีปลอมเหมือนจะโอ่ว่าโจตันไฮล์มอุดมสมบูรณ์พอๆ กับแอสการ์ด ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะหาเลี้ยงเธอไม่ได้ ฝ่ายเทพีปลอมเมื่อเห็นอาหารหน้าอร่อยตรงหน้าก็ลืมตัว ความเหนื่อยจากการเดินทางเล่นทำให้เทพจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ห้องเลี้ยงคุยสรวลเสเฮฮากันอย่างเพลิดเพลินเมื่อธริมหันมาเห็นว่าที่เจ้าสาวรับประทานก็ตกใจไม่น้อย ผู้หญิงอาไรตะกละชะมัด ล่อวัวเข้าไปทั้งตัว ปลาแซลมอนขนาดใหญ่อีก 8 เครื่องเทศและเหล้าอีกตั้ง 3 ถัง โลกิซึ่งอยู่เคียงข้างเทพีปลอมต้องแก้ตัวว่า เทพีก่นแต่โศกเศร้าที่จะต้องจากสวรรค์ เธอไม่ได้กินอะไรมาตลอด 8 วันที่ผ่านมา ธริมก็ค่อยคลายใจ
      งานเลี้ยงผ่านมาถึงตอนท้าย เมื่อธริมจะต้องจูบเจ้าสาวแล้วขอแต่งงาน ยักษ์เปิดผ้าคลุมหน้า ประกายตากล้าแข็งของธอร์ซึ่งก็คือประกายของสายฟ้าจ้องเขม็งมายังดวงตาของธริมเล่นเอายักษ์ตกใจหงายหลัง โลกิแก้ว่า เนื่องจากเฟรยาไม่ได้นอนมาถึงแปดคืน ดวงตาของหล่อนจึงมีประกายกล้าเช่นนี้ ธริมเชื่ออีกเขาเลยผ่านพิธีจูบไปถึงตอนขอแต่งงาน (ตามประเพณีชาวเหนือซึ่งถือว่าธอร์เป็นเทพแห่งการครองเรือนด้วย เมื่อธอร์มีค้อนเป็นอาวุธ ค้อนก็เลยกลายเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาอ้างในการขอแต่งงานระหว่างชายหญิง) นำค้อนมจอลเนียร์ออกมาวางบนตักเจ้าสาว
      เท่านั้นเองครับ เฟรยาปลอมก็คืนร่างเป็นธอร์คว้าค้อนทุบหัวธริม กับผองเพื่อนในห้องเลี้ยงตายเกลี้ยง เขาได้อาวุธคู่มือกลับแอสการ์ด และได้ปราบยักษ์หมดไปอีกหนึ่งหมู่




      บทที่ 6 ไทร์กับเฟนรีส
      ไทร์-Tyr หรือทิว-Tiv องค์นี้เป็นลูกชายของโอดินกับฟริกก้า (บางตำราว่าเป็นลูกของโอดินกับยักษ์ไร้นามแห่งท้องทะเล) ชื่อของเขาเป็นที่มาของชื่อวันอังคาร-Tyr's day หรือ Tuesday ที่เรารู้จักกันดี
      ไทร์เป็นเทพแห่งสงคราม เช่นเดียวกับโอดิน (โอดินเป็นเทพประจำหลายอย่างครับ รู้มากก็หยั่งเงี้ยะ) แต่ที่ไม่เหมือนกันก็ตรงที่ ไทร์ลงลุยสงครามด้วย ส่วนโอดินจะนั่งมองคู่ต่อสู้บนบัลลังก์ที่แอสการ์ดแล้วกำหนดว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ
      รูปร่างของไทร์เป็นชายหนุ่มที่มีกล้ามเป็นมัด แต่มีมือข้างเดียว อีกข้างหนึ่งถือดาบไว้ตลอดเวลา ไม่มีการบันทึกว่าเขามีวังอยู่ที่ไหน คลับคล้ายคลับคลาว่ามักถูกเชิญไปอยู่กับคนนั้นทีคนนี้ที ตำนานบันทึกไว้แต่เรื่องความเข้มแข็งของเขากับเหตุผลที่ว่าทำไมไทร์จึงมีมือข้างเดียว
      เรื่องมันเชื่อมต่อมาตั้งแต่โลกิกับอังกรโบดาให้กำเนิดลูกสามอย่างคือ เฟนริส จอร์มุนกานด์และเฮลนั่นแหละครับ
      การเกิดของสิ่งประหลาดทั้งสามในจักรวาลไม่ช้าไม่นานก็รู้ไปถึงหูเทวาอีเซอร์ เทวาแห่งสวรรค์ตกใจมากที่พืชพันธ์ของโลกิช่างไม่เหมือนกับอะไรเลย ความไม่สบายใจของเทพค่อยๆ มากขึ้นๆ มากขึ้นจนรู้ไปถึงหูโอดิน และโอดินก็กลัดกลุ้มจนต้องเดินทางลงไปถามเอาความจากเทพีนอร์นทั้งสาม และก็ได้รับคำตอบว่า ทั้งสามสิ่งคือตัวแทนของความชั่วร้ายที่จะต้องกำจัดให้เร็วที่สุดหลีกเลี่ยงความพินาศที่มันจะก่อตามมา
      โอดินจึงสั่งให้เทพอีเซอร์กลุ่มหนึ่งลอบเข้าไปในโจตันไฮล์ม จับอังกรโบดาตรึงไว้แล้ว ขโมยลูกของหล่อนกลับไปแอสการ์ดโดยที่นางยักษ์ผู้เป็นแม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย
      ทว่าทันทีที่ชาวสวรรค์เห็นลูกๆ ของโลกิ ทุกคนต่างเมินหน้าจากความน่าเกลียดของมัน โอดินเนรเทศเฮลลงไปอยู่แดนนิฟล์ไฮล์มทันควัน นางกลายเป็นเทพีครอบครองอาณาจักรที่ไม่มีใครต้องการ นั่นคือดินแดนแห่งความตาย เป็นความตายชนิดน่าอับอายที่สุดในความเชื่อของชาวเหนือ คือตายด้วยเหตุปกติธรรมชาติ ความมืดของนิฟล์ไฮล์มถูกใจเฮลมาก มันทำให้หล่อนสามารถซ่อนร่างกายท่อนล่างซึ่งเป็นศพเน่าได้ อีกทั้งที่นี่ยังมีอาหารโปรดถูกใจคือศพคนตายที่หล่อนจะสามารถแทะกินเนื้อเน่าๆ หักกระดูกศพเลียกินไขที่ส่งกลิ่นเหม็นได้อย่างสบายๆ
      ถัดจากเฮล โอดินขว้างงูจอร์มุนกานด์ลงไปในทะเลที่ล้อมรอบมิดการ์ด งูดำดิ่งลงไปถึงก้นบึ้งแฝงตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่บัดนั้น มันค่อยๆ โตขึ้นๆ ยาวขึ้นๆ จนหัวไปทันหางกลายเป็นวงกลมล้อมมิดการ์ดที่ใต้ทะเล
      แต่เมื่อมาถึงตาเฟนริส โอดินชักไม่อยากไล่มันไปไหน ค่าที่ตอนนั้นมันยังดูเป็นลูกหมาน้อยธรรมดาๆ บวกกับความที่โอดินรักหมาป่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงปล่อยให้ลูกหมาเฟนริสเที่ยวท่องไปอย่างอิสระในทุ่งและป่าของแอสการ์ด
      เฟนริสกลายเป็นปัญหาในเวลาต่อมา เนื่องจากมันหิวตลอดเวลาและทุกครั้งที่มันหิวมันจะหอนโหยหวนสร้างความรำคาญแก่ชาวสวรรค์เป็นที่ยิ่ง ทว่าเทพองค์หนึ่งที่ไม่รู้สึกรำคาญเหมือนองค์อื่นคือเทพไทร์ เสียงหมาเฟนริสหอนกลับเรียกความสนใจมากกว่า เขารู้สึกว่าเป็นหน้าที่ๆ จะต้องตามรอยมันแล้วโยนเนื้อก้อนใหญ่ให้มันกิน อาหารดับความหิวทำให้หมาเงียบ ไทร์เลี้ยงหมาป่าทุกวัน เขาเลยกลายเป็นเทพองค์เดียวที่เข้าใกล้เฟนริสได้
      เวลาผ่านไป โอดินเพิ่งสังเกตเห็นว่าลูกของโลกิตัวนี้ใหญ่ขั้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พระองค์นึกถึงคำทำนายของเทพีนอร์นได้ว่า เฟนริสนี่แหละจะเป็นผู้ฆ่าพระองค์ในช่วงสุดท้ายของจักรวาล ถึงโอดินจะรู้ว่าชะตาลิขิตแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่พระองค์ก็ไม่ต้องการเร่งจุดจบให้เร็วนัก โอดินจึงไม่สั่งให้ฆ่าเฟนริสแต่ให้หาทางผูกมันไว้อย่างแน่นหนา
      บรรดาเทพไปหาของผูกมัดอันแรก เป็นโซ่ชื่อแลดิ้ง-Laeding เส้นใหญ่ขนาดธอร์เองยังกลัว เทพถือโซ่เดินเข้าไปหาหมาป่า ถามมันว่าจะยอมถูกผูกหรือไม่ เฟนริสดมโซ่และลองกัด แล้วมันก็ยอมให้ผูก แต่หลังจากผูกเสร็จ เฟนริสก็แสดงให้เห็นพลังอันมากมาย มันเกร็งกำลังผลัวะเดียว โซ่แลดิ้งก็ขาดออกจากกันราวกับทำจากกระดาษ
      เทวาแทบไม่เชื่อสายตา พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหมาป่าตัวนี้จะสามารถทำลายพันธนาการอันแข็งแกร่งลงได้มันน่าจะมีอะไรผิดพลาดกับโซ่เป็นแน่ เทพแอสการ์ดลองอีกครั้ง คราวนี้เขาเอาโซ่โดรมิ-Dromi ซึ่งใหญ่เป็นสองเท่าของเส้นแรก แต่ละข้อโซ่ใหญ่ขนาดที่คนธรรมดายกไม่ไหวเอามาผูกหมาป่าเฟนริส มันทำท่ายอมให้ผูกเหมือนเส้นแรก แต่สุดท้ายก็สะบัดทีเดียวขาดสะบั้น
      ความแข็งแกร่งของเฟนริสชักทำให้เทวดาทั้งหลายใจฝ่อ โอดินหาทางแก้ไข และแล้วก็สั่งสเคอร์เนียร์-Skirnir ทูตสื่อสารของเฟรย์ลงไปยังดินแดนคนแคระ ให้ทำของวิเศษสำหรับผูกเฟนริส เสนอค่าตอบแทนเป็นทองคำมากชนิดคนแคระนึกไม่ถึง
      เป็นที่รู้ๆ กันละครับว่า คนแคระไม่สนใจเรื่องความเป็นไปทั้งทางโลกหรือทางสวรรค์ พวกมันสนใจเรื่องการประดิษฐ์ของและแร่ทองคำ ถ้าต้องการอะไรแล้วเอาทองคำมาแลก คนแคระเป็นทำถวายหัวกับโซ่ล่ามเฟนริส คนแคระก็รับจ้างด้วยการเอาของวิเศษซึ่งต่างก็เป็นสิ่งมองไม่เห็นที่มีแต่คนแคระเท่านั้นหาได้ มาผสมกัน นั่นคือเสียงแมววิ่ง เคราผู้หญิง รากภูเขา เสียงปลาร้อง เอ็นหมีและน้ำลายนก กลายเป็นสายริบบิ้นล่ามหมาเรียกว่า ไกลป์เนียร์-Gleipnir
      สเกอร์เนียร์กลับแอสการ์ดพร้อมริบบิ้นเส้นบาง เทพพากันออกไปหาหมาป่าอีกครั้ง เฟนริสมองสายริบบิ้นที่เทพถือมาด้วยความระแวง มันรู้ว่าเทพคงต้องมีอุบายอะไรแน่ๆ การจะเอาริบบิ้นเส้นบางขนาดอาจจะขาดได้ถ้าโดนลมเบาพัดมาหามัน หมายความว่าริบบิ้นจะต้องมีดีพอที่จะผูกมันได้ เฟนริสเห่าหอนด้วยความหงุดหงิดบอกให้รู้ว่ามันไม่ยอมให้เอาริบบิ้นผูก เทวาแอสการ์ดต่อรอง บอกว่าหากมันสะบัดไกลป์เนียร์ออกไม่ได้ เทพจะยอมปล่อยมันทันที เฟนริสไม่เชื่อ มันเห่าหอนหนักขึ้น ทำให้สมาชิกแอสการ์ดต้องถอยเพื่อความปลอดภัย
      ทุกคนรู้ว่าตอนนี้ไม่มีใครเข้าใกล้หมาป่าเฟนริสได้ เนื่องจากมันเริ่มระแวง ต่างคนต่างมองตากันแล้วนึกออกว่า เทพองค์เดียวที่หมาป่าไว้ใจคือไทร์ จึงเชิญเขามา ไทร์รับริบบิ้นเดินเข้าใกล้เฟนริส ปลอบมันว่าถ้าผูกแล้วสะบัดไม่ออกจะปล่อย ไทร์ให้มันงับมือข้างหนึ่งของเขาไว้เป็นหลักประกันให้เชื่อว่าเทพรักษาคำพูด คำมั่นของไทร์ให้หมาป่ายอม อย่างหนึ่งเพราะมันจำได้ว่ายามที่มันหิวตั้งแต่ตอนเป็นลูกหมาก็มีเพียงไทร์คนนี้ที่ให้อาหาร
      ไทร์เอามือซุกไว้ในปากเฟนรีสปาก เทวาอีเซอร์เอาริบบิ้นไกลป์เนียร์ผูกทบแล้วทบเล่ากว่าจะแน่ใจ ปรากฏว่าเมื่อเฟนริสลองขยับคราวนี้มันไม่ขาดจากกันเหมือนโซ่ ยิ่งดิ้นรนยิ่งรัด ยิ่งกระชากยิ่งแน่น ขนหลังของเฟนริสตั้งชันด้วยความโกรธ มันแสดงท่าทางให้เทพปล่อยมันตามสัญญา แต่ไม่มีเทพองค์ไหนขยับเข้าใกล้ไปแก้ริบบินแม้แต่องค์เดียว เฟนริสจึงกัดมือไทร์ขาดติดกรามของมันทันที
      เฟนริสถูกผูกอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเวลาแร็กนาร็อค ยามที่ปีศาจมีฤทธิ์อำนาจมากจนริบบิ้นไกลป์เนียร์หมดความศักดิ์สิทธิ์ร่วงลงพื้นไปเองอย่างง่ายดาย คราวนั้นละครับเฟนริสก็ออกตามล่าโอดินผู้ออกคำสั่งให้พรากตัวมันมาจากแม่และยังผูกมันให้ได้รับแต่ความทรมาน



      บทที่ 7 เทพคู่แฝดเฟรย์ และเฟรย่า
      เฟรย์-Frey และเฟรยา-Freya
      เทพสององค์ที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ครับ เป็นเทพต่างวงศ์ที่มาอยู่บนแอสการ์ด แต่ก็มีบทบาทไม่น้อยเลย เฟรย์และเฟรยา ต่างก็เป็นลูกชายลูกสาวของนจอร์ด เทพแห่งสายลมและท้องทะเล เทพวงศ์วาเนอร์ที่แลกตัวมาอยู่แอสการ์ด ตำนานหนึ่งว่ามารดาของพวกเขาคือเนอร์ธัส-Nerthus พี่หรือน้องสาวของนจอร์ดเอง ซึ่งเมื่อนจอร์ดถูกแลกให้มาอยู่แอสการ์ด มันเป็นเวลาที่การแต่งงานระหว่างพี่น้องด้วยกันกลายเป็นที่รังเกียจไปเสียแล้ว ภรรยาของนจอร์ดก็เลยไม่มาด้วยคงปล่อยให้สามีกับลูกมาแทน ส่วนตัวนางนั้นไม่เคยปรากฏตัวที่แอสการ์ดเลย เป็นเหตุให้สามีต้องได้ภรรยาคนที่สองคือยักษ์สกาดิ (อ่านในบทเทพอื่นๆ ครับ) ทีนี้เรามาว่าเรื่องเทพเฟรย์กันก่อน
      เฟรย์-Frey
      เฟรย์เป็นเทพแห่งอากาศดีและแสงอาทิตย์ (คนเหนือไม่รู้ว่าดวงอาทิตย์แผ่รังสีให้ความร้อน จึงแยกดวงอาทิตย์กับเทพแห่งแสงอาทิตย์เป็นคนละองค์) ธรรมชาติของการให้ทำให้เฟรย์เป็นเทพรูปงาม
      หลังสงครามระหว่างเทพอีเซอร์และวาเนอร์ ครอบครัวของเขาต้องมาอยู่แอสการ์ด เฟรย์เป็นเทพต่างวงศ์ที่มีโอกาสได้นั่งเป็นหนึ่งใน 12 ของท้องพระโรงแกลดสไฮล์ม รับหน้าที่ปกครองอาล์ฟไฮล์ม อาณาเขตของเอลฟ์และแฟรี่ ซึ่งนับเป็นที่ๆ เหมาะที่สุดสำหรับเทพแห่งแสงตะวันเช่นเขา
      เฟรย์เป็นเจ้าของอาวุธที่มีอานุภาพมากที่สุดถ้าไม่นับมจอลเนียร์ของธอร์ ดาบวิเศษของเฟรย์เมื่อชักออกจากฝัก มันจะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยตัวของมันเอง พาหนะทรงพลังของเฟรย์คือหมูป่าขนทองกัลลินเบิร์สติกับเรือสกิดแบลดเนียร์ที่สามารถพับให้เหลือเล็กนิดเดียวเก็บไว้ในกระเป๋า
      ถึงเฟรย์จะเป็นเทพของแสงอาทิตย์ที่มีค่ามากที่สุดสำหรับชาวเหนือ แต่เขากลับต้องทนทุกข์กับความรัก และความรักนี่ละครับทำให้เขาต้องนิราศร้างไปจากชาวเหนือหลายเดือนในช่วงหนึ่งปี เรื่องนี้เป็นคำอธิบายว่าเหตุใดผู้คนถึงต้องผจญอากาศหนาวและความมืดมากกว่าจะพบเจอความอบอุ่น
      เรื่องมันเกิดขึ้นในวันหนึ่งขณะที่โอดินไม่อยู่ เฟรย์เดินเข้าในท้องพระโรงว่างๆ แลเห็นบัลลังก์ฮลิดสเกียฟตั้งตระหง่านก็เกิดความคิดซุกซน เขาไต่ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สูงสุดปรารถนาจะเห็นความเป็นไปของทุกโลกอย่างละเอียดจากที่นั่นเช่นเดียวกับโอดิน เฟรย์เขม้นมองไปยังดินแดนต่างๆ อย่าเพลิดเพลิน แต่พอหันไปยังทิศทางโจตันไฮล์มเท่านั้น…เฟรย์ถึงกับชะงัก
      เขาเห็นธิดายักษ์น้ำแข็งเกอดา-Gerda ยืนอยู่ตรงหน้าต่างปราสาทของนาง ใบหน้าของหล่อนงามราวกับเทพธิดา หมอกควันน้ำแข็งซึ่งลอยอ้อยอิ่งล้อมขอบภาพเพิ่มความงามราวกับหล่อนตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝันทำให้เฟรย์ตะลึงงัน ตั้งแต่วินาทีเป็นต้นมา เฟรย์รู้อย่างเดียวว่าเขาไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากนาง ทั้งๆ ที่รู้แก่ใจอีกด้วยว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาอยู่ในฐานะเทพชั้นปกครองของสวรรค์ การจะเอานางสาวยักษ์เข้ามาอยู่กินด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้ และเขาก็แน่ใจว่ายักษ์ก็คงไม่ต้องการให้เทพอย่างเขาไปอยู่ในโจตันไฮล์ม
      เฟรย์กินไม่ได้นอนไม่หลับ ความทุกข์ทรมานของความรักที่เป็นไปไม่ได้ทำให้เฟรย์เปลี่ยนแปลงไป นจอร์ดพ่อของเฟรย์ต้องเรียกสเคอร์เนียร์คนสนิทของลูกมากระซิบถาม สั่งให้เขาหาสาเหตุรวมทั้งแก้ไขให้ได้
      เรื่องการหาสาเหตุนี่มันไม่ยากอยู่แล้วครับ เพราะเฟรย์เองก็อยากระบายให้ใครฟังเหมือนกัน เฟรย์บอกคนสนิทว่าเขาตกหลุมรักนางสาวยักษ์เข้าตนหนึ่ง เป็นรักแรกเห็นที่หักใจไม่ได้ เขาทุกข์เหลือเกินไม่รู้ว่ายักษ์สาวตนนั้นจะรู้สึกอย่างเดียวกับเขาหรือเปล่า ที่แย่กว่านั้นเขารู้ว่าความรักของเขามันเป็นไปไม่ได้ทั้งในสวรรค์และแดนยักษ์
      เฟรย์คอตกด้วยความเศร้า จู่ๆ ก็ฮึดสู้ เขาอยากรู้ว่ายักษ์สาวจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเขาหรือไม่ จึงขอร้องสเคอร์เนียร์ให้เดินทางไปหาเกอดา ณ ดินแดนยักษ์ เทพอยากรู้เพียงว่าเกอดารักพระองค์บ้างหรือไม่ เฟรย์ลงทุนอ้อนวอนคนสนิทสัญญาจะให้รางวัลอะไรก็ได้ที่ผู้ถือสารต้องการ สเคอร์เนียร์ตกลง เขาขอดาบวิเศษของเฟรย์เป็นข้อแลกเปลี่ยน พร้อมกับม้าบโลดักโฮฟี-Blodughofi ม้าวิเศษของเฟรย์ที่สามารถมองเห็นทางในความมืดและไม่กลัวไฟ
      รางวัลที่ทูตสื่อสารขอเล่นเอาเฟรย์อึ้งไปเหมือนกันครับ เฟรย์น่ะรักดาบวิเศษเล่มนี้มาก แต่ถึงจะเสียดายขนาดไหนเมื่อแลกกับสิ่งที่เพื่อนจะไปทำให้ เขาก็ตกลง สเคอร์เนียร์ออกเดินทางด้วยความเด็ดเดี่ยว ทิ้งให้เฟรย์นั่งรออยู่ในแอสการ์ดด้วยความหดหู่
      สเคอร์เนียร์เดินทางไปถึงปราสาทของ กายเมียร์-Gymir พ่อของเกอดา ยิ่งเข้าใกล้ เสียงหอนของหมาเฝ้าปราสาทลอยลมมาก็ยิ่งดังขึ้น เสียงของมันอันที่จริงก็คือตัวแทนของสายลมอันรุนแรงในฤดูหนาว สเคอร์เนียร์มองไปยังตัวปราสาทที่เห็นข้างหน้าตัดขอบฟ้าและแล้วก็เห็นสิ่งที่คาดไม่ผิด วงล้อไฟลุกสว่างล้อมรอบปราสาท สเคอร์เนียร์คิดถูกที่เอาม้าวิเศษของเฟรย์มา ความที่มันไม่กลัวไฟ เขาจึงเร่งฝีเท้ามันให้ลอดบ่วงเข้าไปในตัวปราสาท
      จะเป็นโชคของสเคอร์เนียร์ (หรือของเฟรย์) ก็ไม่รู้นะครับ ตอนที่สเคอร์เนียร์ไปถึงยักษ์กายเมียร์ออกไปล่าสัตว์ทิ้งให้เกอดาอยู่ลำพังที่ปราสาท เขาตามหาตัวนาวสาวยักษ์ต้นปัญหาเจอในเวลาไม่นานนักแล้วก็หว่านล้อมรำพันถึงความรักที่เฟรย์มีต่อนางตั้ง แต่แรกเห็นถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ สเคอร์เนียร์เอาชามใส่น้ำมาให้เกอดาถือแล้วเสกภาพเฟรย์ปรากฏในนั้นให้เกอดาดูว่าเจ้านายของตนรูปงามเพียงใด นางยักษ์รูปงามฟังความแล้วก็เฉยดูรูปหนุ่มแล้วก็ยังเฉย นางไม่สนใจเทพแห่งความอบอุ่นเพราะนางอยู่แต่ในแผ่นดินอันเย็นเยียบของน้ำแข็งจนคุ้นเคย เธอไม่ ต้องการจากที่นี่ไปจึงไม่รู้สึกอะไรกับความรักของเทพแม้แต่น้อย ทูตสื่อสารเห็นไม่ได้การเลยเสนอจะเอาแอปเปิลแห่งความเยาว์วัยให้นาง 11 ผลเพื่อให้นางทรงความเยาว์วัยแบบเทพ เกอดาก็ยังคงไม่สนใจ นางวางชามน้ำแล้วเดินหนี สเคอร์เนียร์ถึงกับเสนอจะให้แหวนแบบเดียวกับของโอดินแก่นาง คราวนี้นางยักษ์หันมาตะเพิดสเคอร์เนียร์ด้วยความรำคาญ
      ความอดทนของสเคอร์เนียร์ขาดผึง เขาชักดาบวิเศษของเฟรย์ออกมากวัดแกว่งขู่ว่า หากเธอยังคงปฏิเสธยักษ์อาจจะต้องเดือดร้อน เกอดาไม่กลัวครับเธอกลับรุกไล่ท้าทายทูตแห่งสวรรค์ กำลังที่สเคอร์เนียร์จะสิ้นท่า เขาก็เกิดนึกถึงอาวุธของตนขึ้นมาได้ มันเป็นไม้คทาที่สลักอักษรรูน อักษรศักดิ์สิทธิ์บันดาลความเป็นไป คราวนี้เขาคว้าไม้คทาอันนี้ขึ้นมาชูตรงหน้าเกอดากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเขาจะส่งเธอให้ไปอยู่ขอบโลก ที่ๆ ไม่มีอะไรเลยนอกจากประตูดินแดนแห่งความตาย หนาวเย็นโดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยวตลอดกาล ก่อนไปเขาจะสาปให้เกอดากลายเป็นหญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่นหน้าตาหน้าเกลียดหน้ากลัวจนแม้สัตว์ก็ไม่อยากเข้าใกล้ ว่าแล้วสเคอร์เนียร์ก็เริ่มควงคทา
      ท่าทางและความศักดิ์สิทธิ์ของอักษรรูนทำให้เกอดาเกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ ละครับคราวนี้ เธอถอยหลังอย่างตกใจ ละล่ำละลักร้องห้ามยอมตกลงรับรักเทพเฟรย์ สเคอร์เนียร์สมใจละครับคราวนี้ เขาคว้าข้อมือเกอดาจะให้นั่งม้าซ้อนท้ายกลับแอสการ์ดเหมือนที่เฟรย์บอก แต่เกอดาขืนตัว เธอขอเวลา 9 วัน อย่างน้อยก็ขอให้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงบ้าง แล้วเธอจะไปพบเฟรย์ที่ป่าบาร์รี-Barri ของพวกเอลฟ์ยอมเป็นภรรยาของเขา
      สเคอร์เนียร์กลับมาแจ้งข่าวดีแก่เฟรย์ เขารู้สึกว่าเวลาเก้าวันนานเกินไปสำหรับเขา (ชาวเหนือเปรียบช่วงนี้เป็นเวลาเก้าเดือนที่พวกเขาต้องผจญอากาศอันเลวร้าย) แต่เมื่อไม่มีทางใดดีกว่านี้ ความอดทนก็เป็นทางเดียวที่เฟรย์ต้องทำ ในที่สุดเมื่อเวลามาถึงเฟรย์ก็พบเกอดาที่ป่าบาร์รี ตัวตนอันอ่อนหวานนุ่มนวลของเฟรย์เล่นเอายักษ์สาวอ่อนไหวไปเหมือนกันครับ ทั้งเฟรย์และเกอดาตกอยู่ในความรักซึ่งกันและกัน ทำให้ผืนป่าและท้องทุ่งที่แห้งแล้งเพราะความโศกเศร้าของเฟรย์กลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง




      บทที่ 7 เทพคู่แฝดเฟรย์ และเฟรย่า ( ต่อ )
      เฟรยา-Freya
      เทพีแห่งความรัก
      ลูกสาวของนจอร์ดคนนี้เป็นเทพีแห่งความสมบูรณ์และความรักทางร่างกาย ไม่เหมือนฟริกก้าชายาแห่งโอดินตรงที่องค์นั้นดูแลความรักในชีวิตสมรสขณะที่เฟรยาดูแลให้แรงเร้าแห่งความรักยังคงอยู่ ชื่อของเฟรยานี่เป็นต้นเค้าของชื่อวันศุกร์ในภาษาฝรั่ง-Friday นั่นละครับ
      เฟรยาเป็นน้องสาวของเฟรย์ เป็นเทพต่างวงศ์ที่ขึ้นไปอยู่บนแอสการ์ด ซึ่งปรากฏว่าเธอกลายเป็นคนสวยที่สุดบนสวรรค์แห่งนั้น ผมของเธอสวยกว่าของซิฟและรูปร่างก็สง่างามกว่าฟริกก้า เฟรยากลายเป็นคนงามที่เทพีส่วนใหญ่อิจฉา และกลายเป็นที่หมายปองของเทพและบรรดายักษ์มากมาย
      วังของเฟรยาคือเซสริมเนียร์-Sessrymnir อยู่ในอาณาเขตของแอสการ์ด ที่นี่ยังเป็นที่อยู่ของบรรดาวิญญาณเมียเล็กเมียน้อยของเอนเฮเรียร์
      เฟรยาเป็นคนมีสองบุคลิก ด้านหนึ่งของความสวยงามเธอมีความอ่อนไหวของผู้หญิงเต็มเปี่ยมยามที่เธอปฏิบัติงานในหน้าที่เทพีแห่งความรัก เธอจะสวมเสื้อผ้าบางเบาเน้นให้เห็นร่างกายอันงดงาม แต่ในอีกบุคลิกหนึ่งเธอดุเหมือนเสือ ทั้งนี้เพราะเฟรยามีความรู้ในศาสตร์แม่มด รู้เรื่องพลังที่มีเหนือชีวิตและความตายสิ่งนี้เป็นสิ่งที่โอดินโปรดปรานมาก ขอเรียนจากเฟรยาและมอบตำแหน่งในเธอเป็นหัวหน้านางวัลคิรี นางฟ้าดำของพระองค์ เวลาปฏิบัติงานหน้าที่นี้หล่อนจะสวมเสื้อเกราะติดอาวุธแล้วขึ้นม้าพาบริวารลงไปโฉบเหนือทุ่งสงคราม เลือกวิญญาณผู้กล้าขึ้นหลังม้าแล้วกลับมาทางสะพานรุ้ง เฟรยาเป็นเจ้าของสมบัติวิเศษ 2 ชิ้น คือ สร้อยไบรซิงกาเมนและเสื้อคลุมขนเหยี่ยวที่ทำให้คนใส่บินได้ เป็นตัวเดียวกับที่โลกิขอยืมไปใช้ช่วยตัวเองและเทพให้รอดพ้นสถานการณ์คับขันหลายหน ทว่าประวัติของเสื้อไม่สนุกเท่าประวัติการได้มาซึ่งสร้อยเส้นที่งดงามที่สุดในโลกเลยครับ มันทำให้เห็นเลือดบ้าของแม่เจ้าประคุณจริงๆ
      มันเกิดขึ้นเมื่อครั้งหนึ่งเฟรยาได้ข่าวระแคะระคายว่าคนแคระกำลังทำสร้อยเส้นที่สวยที่สุดในโลกให้ฟริกก้าชายาของโอดิน เธออยากเห็นว่ามันจะสวยมากมายขนาดไหนจึงดอดเข้าไปในสวาร์ทาฟไฮล์ม
      ที่นั่นเฟรยาเห็นคนแคระสี่คนกำลังรุมอะไรสักอย่างที่โรงงาน เธอค่อยๆ ลอบเข้าไปดู แล้วก็เห็นสิ่งที่เธอสงสัยจริงเสียด้วย สร้อยแสนสวยไบรซิงกาเมน ลวดลายสวยงามและอัญมณีที่ประดับอยู่บนสร้อยส่งประกายระยิบระยับงดงามราวกับดวงดาว มันเรียกร้องเชิญชวนเธอ มันทำให้ความอยากรู้อยากเห็นกลายเป็นอยากได้ กิเลสของเฟรยาลุกโพลงเวลานั้นเธอยอมแลกทุกอย่างกับการได้ครอบครองไบรซิกาเมน
      เฟรยาลงทุนอ้อนวอนคนแคระขอสร้อยเป็นของเธอ ยอมแลกสมบัติที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้ แต่คนแคระไม่ยอมให้ เฟรยาแทบจะเกลือกกลิ้งไปกับพื้นเพื่อให้พวกมันเห็นใจ คราวนี้คนแคระจ้องหน้าเฟรยาครู่หนึ่งแล้วหันไปซุบซิบ ความงามของเฟรยาทำให้คนแคระอยากได้เหมือนกันแต่คราวนี้มันไม่ยักกะอยากได้ทองเป็นของแลกเปลี่ยน แต่พวกมันขอร่วมอภิรมย์กับเฟรยาเรียงตัวแลกกับสร้อย
      มันเป็นข้อเสนอที่ลบหลู่ศักดิ์ศรีของผู้หญิงมากที่สุด ยิ่งเป็นเทพีสูงศักดิ์อย่างเฟรยาย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เฟรยา….ยอม หล่อนคิดเสียว่าหลับหูหลับตาเสียเวลาน่าขยะแขยงไม่กี่นาทีหล่อนก็จะเป็นเจ้าของสร้อยแล้ว
      ผลการกระทำครั้งนี้ทำให้โอดินโกรธมากสั่งให้เฟรยาไปหาวิญญาณนักรบขึ้นมาไถ่โทษ เฟรยาก็ก้มหน้าทำครับ ไม่ว่าจะต้องช่วยบันดาลให้เกิดสงครามมากสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยออกตระเวนล่าวิญญาณอีกกี่ร้อยดวง เพื่อสร้อยไบรซิงกาเมนแล้วหล่อนยอม นิสัยของเฟรยาตรงนี้เห็นชัดๆ เลยว่าเต็มไปด้วยความกระหายใคร่อยากและตัณหา ซึ่งมันก็คือด้านมืดของความรักที่เธอเป็นเทพีอยู่
      อย่างไรก็ตามครับเฟรยายังมีบุคลิกอีกข้างหนึ่งด้วยเป็นข้างที่อ่อนไหวเหมือนกับหญิงสาวทั่วไป ตำนานที่จะเล่าต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่าถึงเจ้าหล่อนจะเป็นเทพีแห่งความรัก แต่ชีวิตรักของเธอไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่
      ในบางพื้นที่ทางแถบเหนือเฟรยาไม่ใช่เทพีแห่งความรักอย่างเดียวครับ แต่เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ไปด้วย อุปนิสัยนี้ทำให้เทพโอเดอร์-Odur เทพวงศ์วาเนอร์แห่งแสงตะวันเช่นเดียวกับพี่ชายของนางสนใจจนในที่สุดเมื่อความรักสุกงอม ทั้งสองก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากันมีลูกสาวสองคนคือ เจอเซมิ-Gersemi และนอส-Hnoss เป็นผู้หญิงสวยที่สุดจนเวลาผู้คนบนแอสการ์ดจะพูดถึงความสวยงามก็ใช้สองชื่อนี้เปรียบเทียบ ชีวิตรักของเฟรยาในช่วงนี้นับว่าสมบูรณ์พูสุขที่สุด สมาชิกครอบครัวทั้งสี่ก็อาศัยอยู่กันบนแอสการ์ดชั่วระยะหนึ่ง
      แล้วเรื่องก็เกิดขึ้นเพราะอุปนิสัยของโอเดอร์เอง
      เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน โอเดอร์ชอบผจญภัย และที่ๆ เขาชอบไปมากที่สุดคือแผ่นดินทั่วโลก โอเดอร์ตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งแล้วสูดกลิ่นหอมของฤดูร้อน มันหอมหวนเสียจนเขาไม่อาจห้ามใจ จู่ๆ เขาก็ออกเดินทางไปจากแอสการ์ดโดยไม่ได้บอกใครสักคน เมื่อเฟรยาตื่นทีหลังแล้วพบว่าสามีหายไป หาอย่างไรก็ไม่พบเธอเริ่มร้องไห้ น้ำตาของเธอร่วงเป็นสายตกลงไปยังพื้นโลก ความอุ่นของมันทำให้แทรกตัวลึกลงไปในเนื้อหิน เปลี่ยนเป็นสายแร่ทองคำ
      เมื่อไม่มีตัวโอเดอร์ในแอสการ์ด เฟรยาจึงสวมเสื้อขนเหยี่ยวออกเดินทางจากสวรรค์ไปทั่วโลก ทั่วแผ่นดินที่รู้จักและไม่รู้จัก ตลอดเวลานั้นเธอร้องไห้ ๆ และร้องไห้ น้ำตาของเฟรยาร่วงลงสู่พื้นดินตามรายทาง (เป็นเหตุให้พบทองคำทั่วโลก)
      การเดินทางของเฟรยากินเวลายาวนาน แต่ในที่สุดหล่อนก็พบโอเดอร์ ณ แดนใต้ ขณะนั้นเขากำลังหันหลังพิงต้นเมอร์เทิลMyrtle อย่างขี้เกียจ เฟรยาโฉบลงจากฟ้าที่ด้านหลังเทพเก็บเอาดอกและใบเมอร์เทิลนั้นมาควั่นเป็นมงกุฏดอกไม้สวมศีรษะ เจ้าหล่อนโผล่ออกจากที่ซ่อนทำให้สามีประหลาดใจ ความสดใสของดอกไม้และความงามของเธอ ทำให้ภาพของเฟรยาเหมือนกับวันแรกที่ทั้งสองแต่งงานกัน (อันนี้เป็นต้นเค้าว่าทำไมเจ้าสาวชาวเหนือจึงสวมมงกุฏดอกเมอร์เทิลในวันแต่งงาน) เฟรยาไม่ถาม ไม่กระบึงกระบอนที่จู่ๆ สามีก็หายไปไม่บอกไม่กล่าว เจ้าหล่อนแสดงแต่ความดีใจที่พบสามีอีกครั้ง
      เช่นเดียวกับโอเดอร์ซึ่งดีใจที่ได้พบเมียเหมือนกัน การเดินทางที่คิดว่าหอมหวนของเขากลับไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์ ทั้งสองจึงจูงมือกันกลับแอสการ์ด ช่วงเวลาแห่งควมสุขนี้ธรรมชาติก็ฉลองให้แก่เฟรยาและโอเดอร์ ด้วยการสร้างดอกไม้ใบไม้ของหน้าร้อนสะพรั่ง


      บทที่ 8 ไฮล์มดาม เทพอารักษ์
      ไฮล์มดาล-Heimdalอารักษ์แห่งแอสการ์ด
      กำเนิดอันแปลกประหลาด
      ที่นี่เรามาพูดถึงเทพสำคัญอีกองค์หนึ่งครับ คนนี้คือไฮล์มดาล-Heimdal อารักษ์แห่งประตูสวรรค์ ไฮล์มดาลเป็นลูกของโอดินกับยักษีแห่งฟองคลื่น 9 นาง (เข้าใจว่าน่าจะเป็นลูกสาวของอีเจอร์และรัน เทพและเทพีที่มีอยู่ก่อนเทพทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นอีเซอร์หรือวาเนอร์)
      เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งหลังสร้างโลกเสร็จโอดินก็ออกมาเดินเล่นแถวชายหาด ชั่วครู่โอดินก็เจอเข้ากับยักษ์สาว 9 นางกำลังพักผ่อนเอนองค์อยู่แถวๆ นั้น ควมงามของนางทั้งเก้าเร้าใจโอดินเสียจนหาทางเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมได้นางทั้งเก้าเป็นภรรยา แต่พลังเทพอันมหาศาลที่โอดินแสดงออกระหว่างร่วมภิรมย์ทำให้นางทั้ง 9 หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว ให้กำเนิดทารกเพศชายนามไฮล์มดาล ก่อนจะแยกกลับเป็นยักษ์ 9 ตนเหมือนเดิม
      นางยักษ์ทั้ง 9 เลี้ยงดูลูกด้วยอาหารที่พวกเธอสรรหาอย่างดีที่สุดตามความคิดของตนมาให้ ทั้งความมั่นคงของแผ่นดิน ความอุดมสมบูรณ์เป็นต้นกำเนิดชีวิตของท้องทะเล ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ และอื่นๆ อีกมากมาย อาหารอันอุดมสมบูรณ์ (แบบเทพๆ )เช่นนี้ทำให้ไฮล์มดาลเติบโตเป็นหนุ่มในเวลาไม่กี่วัน และออกเดินทางขึ้นสวรรค์แอสการ์ดไปรวมกับโอดิน
      มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชาวสวรรค์เพิ่งสร้างสะพานรุ้งน้ำแข็งเสร็จ เป็นช่วงเวลาที่ชาวฟ้าเริ่มกังวลว่าวันหนึ่งพวกยักษ์จะข้ามสะพานแห่งนี้เข้ามาหาพวกเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ครั้นไฮล์มดาลปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความแปลกใจ เทพต่างมองเขาเป็นตาเดียว ไฮล์มดาลผู้สง่างามและยังมีดวงจิตบริสุทธิ์ ยิ่งเขามีดวงตาแหลมคมราวกับนกอินทรีมองไกลทะลุไปถึงแผ่นดินมิดการ์ด หูไวและละเอียดจนสามารถแยกแยะเสียงต้นหญ้างอกในแดนมนุษย์ได้จากเสียงอื่นรอบข้าง แถมยังนอนน้อยกว่านกเพียงแค่หลับตาชั่วครู่ก็พอแล้ว เทพบุตรหนุ่มไฮล์มดาลเลยได้ตำแหน่งอารักษ์แห่งแอสการ์ดโดยปริยาย ตั้งแต่นั้นไม่มีใครเล็ดลอดความรู้เห็นของไฮล์มดาลไปได้เลย
      ชาวฟ้าให้เขาตั้งวัง ไฮมินบียอร์ด-Himinbjord อยู่บนสะพานรุ้งตรงตำแหน่งสูงที่สุด จากทำเลตรงนี้ไฮล์มดาลจะมองเห็นแทบทุกตารางนิ้วในแอสการ์ด มอบแตร กจาล-Gjall ไว้ให้เป่าเผื่อมียักษ์ฝ่าด่านเข้ามา และมอบม้าฝีเท้าจัดตัวหนึ่งชื่อ โกลด์ทัฟท์-Goldtuft ไฮล์มดาลมักปรากฏตัวเป็นเทพสวมเกราะขาวสว่างเรืองซึ่งเหมาะกับบุคลิกมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นเทพรูปงามแล้ว ยังเป็นคนใจดีและฉลาดมากคนหนึ่งด้วย
      โจรขโมยสร้อยของเฟรยา
      อย่างที่เล่าไว้แต่แรกละครับว่าไฮล์มดาลกลายเป็นอารักษ์ของแอสการ์ดเพราะความไวของตัวเอง ประสาทที่ละเอียดทำให้วันหนึ่งเขาประสบเหตุการขโมยแบบเหนือเมฆ แต่ก็ไม่พ้นความสามารถไปได้ และยังเป็นมูลเหตุให้เขามีศัตรูถาวรชนิดต้องไปฆ่ากันตายทั้งคู่ในวันแร็กนาร็อคด้วย
      ดึกวันหนึ่งเมื่อไฮล์มดาลกำลังอยู่ในหน้าที่ พลันเขาได้ยินเสียงนุ่มและเบาเหมือนฝีเท้าแมวกำลังมุ่งหน้าไปยังเซสริมเนียร์ ทีแรกไฮล์มดาลไม่ได้สงสัยคิดว่าเป็นแมวลากรถของเฟรยากลับจากหนีเที่ยว แต่ปรากฏว่าเสียงฝีเท้านั่นจู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นเสียงหึ่งๆ ของแมลง เขาชักเริ่มสงสัยและเริ่มแน่ใจว่ามันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่มีฤทธิแปลงร่าง ไฮล์มดาลเพ่งสายตาไปยังเชสริมเนียร์อีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นสิ่งแปลกปลอมที่ว่า คืนสู่ร่างเดิมของมันริมเตียงเฟรยา
      โลกินั่นเอง
      เจ้าตัวแสบกำลังมองจ้องไปยังร่างอรชรของเทพีสาวที่หลับไหลไม่ได้สติ ครั้นแล้วเขาหันกลับไปสนใจสร้อยไบรซิงกาเมนที่เทพีสวมกระทั่งยามนอน รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของจอมโกง ครั้นแล้วรอยยิ้มก็จางไปเมื่อประจักษ์ว่าเฟรยานอนท่าหงายทำให้เธอนอนทับขอสร้อย เป็นไปไม่ได้ที่โลกิจะปลดสร้อยโดยไม่ปลุกเจ้าของ ฉับพลันเขากลายร่างเป็นริ้นโดดลงเกาะสีข้างเฟรยาแล้วกัดหมับเข้าให้ เทพธิดารู้สึกคัน เธอเกาสีข้างแล้วพลิกตัวตะแคง ขอสร้อยไบรซิงฯ ก็พลิกกลับขึ้นมาสู่มือของโลกิอย่างง่ายดาย
      ไฮล์มดาลรอจนโลกิปลดสร้อย เขาดีดตัวผึงจากสะพานไบฟรอส ทันขวางหน้าโลกิ เขาไม่ชอบหน้าเจ้าจอมโกงนี่เช่นเดียวกับโลกิก็เหม็นหน้าเขาเช่นกัน เทพอารักษ์เป็นตัวแทนแห่งความดีขณะที่โลกิหลอกลวงและเลวทรามมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นฝ่ายตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด
      สายตาของไฮล์มดาลที่มองโลกิตอนนั้น บอกเจ้าตัวแสบว่ารู้เท่าทันทุกอย่าง สมองโลกิหาทางออก แต่ไฮล์มดาลไม่พูดพล่ามทำเพลงชักดาบออกมาจากฝักเงื้อจะฟันโลกิ จอมแสบกลายร่างเป็นไฟก่อนจะวิ่งหนี ดาบของไฮล์มดาลที่ฟาดลงมาทำอะไรไม่ได้ เทพอารักษ์จึงแปลงร่างเป็นพายุฝนไปดักหน้าร่างไฟของโลกิ
      เทพจอมลวงชะงักไปชั่ววินาที แล้วแปลงร่างใหม่เป็นหมีขั้วโลกขนาดมหายักษ์ ขนาดที่อ้าปากแล้วกลืนฝนไฮล์มดาลได้หมด แต่ก่อนที่น้ำหยดแรกจะตกเข้าไปในปากหมีโลกิ ไฮล์มดาลก็แปลงร่างอีกครั้งเป็นหมีขั้วโลกขนาดเท่าๆ กัน เข้าห้ำหั่นกับโลกิ
      หมีไฮล์มดาลตบโลกิด้วยอุ้งเล็บจนเลือดสาด โลกิไม่ยอมแพ้เข้าขย้ำร่างของเทพอารักษ์ การต่อสู้รุนแรงมาก แต่เวลาผ่านไปสักพักโลกิก็รู้ว่าไม่มีทางสู้ กำลังที่จะกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำก่อนที่กรามยักษ์ของหมีไฮล์มดาลจะขย้ำลงบนคอเขา เทพจอมโกงพลันเปลี่ยนร่างกลายเป็นแมวน้ำตัวจ้อยไถลลื่นออกไปจากสังเวียนหนีไป แต่ถึงตอนนั้นไฮล์มดาลเลือดเข้าตา เขารู้อย่างเดียวว่าจะต้องเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรม และต้องจับตัวโลกิให้ได้ เขาแปลงเป็นแมวน้ำขนาดเดียวกับโลกิไล่จับเทพขี้ขลาด
      แมวน้ำทั้งสองปล้ำกันอีกรอบ ไม่นานนักโลกิก็ตกอยู่ในวงรัดขยับท่าไหนก็ไม่ไป เขาจึงยอมปล่อยสร้อยไบรซิงกาแมนออกมา ไฮล์มดาลเอื้อมมือคว้าสร้อยทำให้โลกิหลุดจากวงรัด เขาคืนร่างกลับเป็นเทพดังเดิมยืนตัวตรงอย่างยโสโอหัง
      ไฮล์มดาลคืนร่าง มือกำสร้อยมองดูโลกิ การต่อสู้ทำให้เขาหมดแรงพอดูที่จะต่อล้อต่อเถียง จึงหันหลังกลับเซสริมเนียร์คืนสร้อยให้เจ้าของ
      อุบัติการณ์ครั้งนี้ทำให้โลกิเกลียดไฮล์มดาลฐานะที่รู้ทัน และไฮล์มดาลก็เกลียดโลกิเข้าไส้อันเป็นเหตุให้กลายเป็นคู่ต่อสู้สำคัญคู่หนึ่งในแร็คนาร็อค


      บทที่ 9 เหตุแห่งความเกลียดชัง
      ความชิงชังในสวรรค์เริ่มก่อตัวมากขึ้น ไม่ใช่ในระหว่างชาวสวรรค์ด้วยกันเองหรอกนะครับ แต่เป็นระหว่างเทพส่วนใหญ่กับโลกิเพียงคนเดียว ถึงกระนั้นโลกิก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจว่าจะมีใครเกลียดมากมายขนาดไหน โลกิเสียอย่างอยากจะทำแต่ความชั่วเพื่อสะใจอย่างเดียวอยู่แล้ว ชาวแอสการ์ดก็ได้แต่นิ่งละครับ ยุ่งกับโลกิก็มีแต่ความรำคาญใจ
      ส่วนโลกิ เมื่อไม่มีใครอยากยุ่งเขาก็ยิ่งสำราญหาทางก่อกวนไปเรื่อย จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ที่โลกิเล่นแรงเกินเหตุจนทำให้ตัวเองต้องถูกเนรเทศ
      เรื่องมันเริ่มขึ้นที่บาลเดอร์ครับท่านผู้อ่าน
      บาลเดอร์และโฮเดอร์
      เรามาพูดถึงเขากันสักหน่อย
      บาลเดอร์เทพแห่งแสงสว่างและความจริง เป็นลูกของโอดินกับฟริกก้าครับ เขาคนนี้เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพรูปงามที่สุดในบรรดาทวยเทพทั้งหมดของแอสการ์ด บาลเดอร์มีผมสีบลอนด์ทอง ซึ่งเปรียบได้ดั่งรังสีแห่งดวงอาทิตย์ที่สาดส่องท้องทุ่งยามหน้าร้อน ใบหน้าของเขาได้รูปงดงามราวกับเป็นรูปสลัก ร่างกายก็สูงสมาร์ทสมส่วน รวมความแล้วหล่อบาดใจทั้งเทพีและยักษ์เชียวละครับ นอกเหนือจากความเป็นคนรูปหล่อแล้ว บาลเดอร์เป็นคนที่ทรงภูมิรู้มากองค์หนึ่ง เขารู้เรื่องอักษรรูนและเรื่องสมุนไพรเยียวยาความป่วยไข้ ทำให้เขากลายเป็นเทพหลักของมนุษย์ในช่วงที่มีโรคภัยเบียดเบียนมิดการ์ด
      ที่สุดของที่สุด บาลเดอร์เป็นเทพที่ใครๆ ก็รัก ซึ่งถ้าจะมีข้อยกเว้น ก็คงเป็นโลกิ คนเดียวเท่านั้น ก็เขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับความดีนี่ครับ
      วังของบาลเดอร์ชื่อว่า เบรดาบลิค-Breidablik เป็นที่ๆ เทพอยู่กับชายาชื่อนันนา-Nanna เทพีแห่งการเพาะปลูก วังเบรดาบลิคแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นวังที่สวยงามหลังคาบุด้วยทองคำและมีเสาค้ำทำด้วยเงิน ทรงความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งความเท็จใดๆ ก็ไม่อาจผ่านเข้าวังแห่งนี้ได้
      สิ่งเดียวที่ผิดพลาดในชีวิตของบาลเดอร์ก็คือน้องชายฝาแฝด โฮเดอร์-Hodur ผู้เป็นเงาบาปของพี่ เช่นเดียวกับการมองว่าทุกสิ่งมีสองด้าน หากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งแสงสว่าง โฮเดอร์คือเทพแห่งความมืด หากบาลเดอร์เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ โฮเดอร์คือก็เป็นตัวแทนของบาป บาลเดอร์สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน โฮเดอร์ก็ตาบอดสนิท และโฮเดอร์นี่ละครับที่เป็นชนวนหนึ่งของความเกลียดชังนำไปสู่ความพินาศในแร็กนาร็อค
      เรื่องมันเริ่มขึ้นจากการที่บาลเดอร์ฝัน เป็นฝันร้ายเห็นตัวเองเดินอยู่ในความมืด รอบข้างทางเดินเป็นศพคนตายและวิญญาณคนตายในรูปร่างน่าสยดสยองนับพันนับหมื่น ที่ต่างชูมือออกมาไขว่คว้ายื้อแย่งตัวเขา มันเป็นฝันที่ทำให้บาลเดอร์ตกใจตื่นทุกครั้ง บาลเดอร์เริ่มฝันแบบเดียวกันอย่างเดียวกันซ้ำๆ บ่อยขึ้นๆ กระทั่งเวลางีบหลับสั้นๆ ฝันร้ายก็เข้ามาจู่โจม จนเขากลายเป็นคนหวาดกลัวการนอน เทวาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรื่นเริงมากที่สุดและสง่างามที่สุดกลับกลายเป็นเทวาที่มีแต่ความทุกข์ ใบหน้าของเขาอิดโรยกะปลกกะเปลี้ย เที่ยวเดินท่อมๆ ไปทั่วแอสการ์ดไม่พูดไม่จากับใคร
      ความเปลี่ยนแปลงของบาลเดอร์ไม่รอดสายตาผู้คนในสวรรค์ เมื่อถามเข้าบาลเดอร์ก็ว่าเขาฝันร้าย ความฝันที่บาลเดอร์เล่าให้ฟังพาให้ทวยเทพต่างวิตก เนื่องจากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งความจริง ซ้ำในกำแพงวังเบรดาบบิคของเขาด้วยแล้ว ไม่มีใครเห็นเรื่องไม่จริง ความฝันของบาลเดอร์ทำท่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนบรรดาเทพตระหนักว่า ชีวิตของบาลเดอร์น่าจะตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว เห็นทีจะต้องหาทางรู้ให้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกันแน่
      เทพเทวาต่างไปรวมตัวกันที่แกลดสไฮล์ม ทูลปรึกษากับโอดิน จอมเทพตกใจ ท่านรีบขึ้นม้าสไลป์เนอร์ลงไปหาเทพีนอร์นยังโลกบาดาล คำตอบที่ได้รับทำเอาโอดินแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ท่านรู้ว่าบาลเดอร์กำลังจะตาย
      โอดินกลับสวรรค์ บอกกล่าวคำทำนายของเทพีนอร์น แต่ก็ตามประสาผู้เป็นแม่ละครับ ฟริกก้าไม่ยอมเชื่อ หล่อนไม่ยอมแพ้พาเอาเรื่องไปปรึกษาบรรดาเทพในแกลดสไฮล์มอีกครั้ง คราวนี้เทพเทวาทั้งหลายต่างช่วยกันคิดว่าทางใดบ้างที่จะทำให้บาลเดอร์ประสบชะตากรรม ต่างคนต่างช่วยกันสมมุติสถานการณ์ อาวุธ เชื้อโรค หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะสามารถฆ่าเทพอันเป็นที่รักที่สุดได้ เมื่อหารือกันเสร็จสรุปเนื้อความแล้ว ฟริกก้าก็ถือเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องออกเดินทางไปยังเก้าโลกขอคำสาบานจากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า ก้อนหิน กรวด ทราย คมหอกคมดาบ นุ่น ใบไม้ จากสิ่งที่แข็งที่สุดถึงสิ่งที่อ่อนที่สุดว่า จะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง
      ฟริกก้าเสร็จภารกิจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่นางก็เบาใจขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า อย่างน้อยไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกจะทำร้ายบาลเดอร์ได้ การกลับมาของราชินีสวรรค์ทำให้ทวยเทพในแอสการ์ดมีความสุขขึ้นมาบ้าง ก็เลยจัดงานฉลองสามวันสามคืนไม่เลิกรา ยิ่งบาลเดอร์มีสีหน้าดีขึ้นเทพแอสการ์ดก็ยิ่งพากันยินดี เหล้าถูกนำมาเสิร์ฟกันทั่วๆ ดื่มไปคุยไป ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะ แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ เทพเริ่มเมา เมาแล้วห่าม เริ่มอยากทดลองว่าคำสาบานที่ฟริกก้าออกเดินทางไปขอมาจากสิ่งต่างๆ นั้นได้ผลจริงหรือไม่ เขาให้บาลเดอร์ยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบรรดาเทพก็ทยอยเอาอะไรต่อมิอะไรมาปาใส่ เริ่มด้วยหินก้อนเล็กๆ ปาไปถูกหน้าผาก แต่บาลเดอร์ไม่เจ็บเพราะหินจำคำสาบาน มันยั้งน้ำหนักตัวเองก้อนถึงตัวเทพร่วงลงพื้นไปก่อน
      ชาวฟ้าแน่ใจมากขึ้น เริ่มทดลองด้วยอาวุธประเภทต่างๆ ของที่เอามาขว้างใส่บาลเดอร์กลายเป็นหินก้อนใหญ่ขึ้น มีดสั้น ดาบและเรื่อยๆไป จนกระทั่งธอร์เองก็เล่นกับเขาด้วย เอาขวานจามเทพแห่งแสงสว่าง แต่สิ่งเหลานี้กลับเด้งจากผิวของบาลเดอร์ ไม่ระคายเขาแม้แต่น้อย ทั่วทั้งห้องประชุมต่างเต็มไปด้วยความยินดี ยกเว้นที่ซอกมุมหนึ่งของท้องพระโรงที่โลกิหลบเร้นอยู่
      ความยินดีของเทพเป็นเหตุให้โลกิหมั่นไส้ กลายเป็นความหงุดหงิดตามประสาโลกิ แบบนี้ต้องมีการแกล้ง เทพจอมโกงพยายามนึก ๆ นึกว่ามันน่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เล็ดรอดสายตาของฟริกก้า อะไรสักอย่างที่ไม่ได้กล่าวคำสาบาน ดวงตาของโลกิลุกโพลงด้วยความชั่วร้าย เขาหายตัวไปจากแกลดสไฮล์ม หาหนทางที่จะเป็นไปได้
      สองสามวันต่อมา โลกิคิดแผนออก เขาแปลงตัวเป็นหญิงแก่ผอมโซหน้าตาน่ารังเกียจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสกใบหน้าให้เ ่ยวย่นหนังยาน จมูกใหญ่ยื่นยาวเป็นปุ่มปมเพื่อให้เสียงพูดฟังเหมือนคำราม กระย่องกระแย่งเข้าไปในเฟนซาเลียร์วังของฟริกก้า เขารู้ว่าเธอหลบมานั่งพักหนีความวุ่นวายของท้องพระโรงอยู่ที่นี่ โลกิแปลงเดินเข้าไปหา ถามว่ามีงานอะไรในแกลดสไฮล์มจึงได้ส่งเสียงน่ารำคาญลอยลมมาเช่นนี้ ราชินีฟริกก้ามองผู้มาเยือนอย่างนึกรำคาญ เธอยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางไกลทั่วเก้าโลก จึงตอบยายเฒ่าว่า
      "นั่นเป็นงานฉลองสวัสดิภาพของบาลเดอร์เทพแห่งสัจจะ"
      "เช่นนั้น เหตุใดเขาต้องทนมานด้วยการถูกอาวุธทำร้าย" ยายเฒ่าแสดงท่าฉงน
      ควีนฟริกก้าอธิบายว่า เธอได้เดินทางไปทั่วทั้ง 9 โลก ขอคำสาบานจากสิ่งต่างๆ ว่าจะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง โลกิแปลงจี้ลงตรงจุด ถามว่าแน่ใจแล้วหรือว่าได้ถามมาแล้วทุกอย่างจริง เสียงของนางเฒ่า ตลอดจนความจู้จี้จุกจิกยิ่งทำให้พระนางฟริกก้ารำคาญมากขึ้นอยากให้ยายแก่ไปพ้นหูพ้นตา จึงตอบโดยไม่ทันคิด
      "ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ต้นมิสเซิลโท-Mistletoe ตอนที่ข้าไปถึงมันยังเป็นไม้อ่อนเกินไป ข้าว่านอกจากมันจะฟังข้าไม่เข้าใจ มันคงไม่รู้จะทำอันตรายบาลเดอร์ได้ยังไงด้วย"
      คำตอบของฟริกก้าทำให้โลกิเห็นทางสว่าง แต่ยังแสร้งถามโน่นถามนี่จนนางรำคาญสุดขีดออกปากไล่ยายแก่
      โลกิเดินออกมาจากวังเฟนซาเลียร์ด้วยความลิงโลดที่เก็บไว้แทบไม่มิด เมื่อถึงราวป่าโลกิคืนร่าง เขามุ่งหน้าไปยังแถวที่ต้นมิสเซิลโทขึ้น หักกิ่งของมันขนาดพอเหมาะแล้วเสี้ยมปลาย เดินถือเข้าไปในท้องพระโรงแกลดสไฮล์มที่ยังเต็มไปด้วยความรื่นเริง
      โลกิมองหาคนที่จะยืมมือได้ ทันทีนั้นเขาเห็นโฮเดอร์เทพตาบอดซึ่งถูกกีดกันจากเทพด้วยกันเองเสมอๆ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง กำลังคลำงุ่มง่ามเปะปะไปตามผนัง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมขว้างปาบาลเดอร์เพราะมองไม่เห็น โลกิเดินเข้าไปโอบไหล่โฮเดอร์ ทำเป็นมีความเมตตา แล้วเริ่มกล่อม
      "ทำไมเจ้าไม่หาอะไรมาขว้างปาร่วมงานฉลองกับเขาบ้างเล่า"
      "ก็ข้า…ข้ามองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้จะเอาของอะไรที่ไหนด้วย" โฮเดอร์ว่า
      โลกิเอาลูกศรไม้มิสเซิลโทใส่มือบาลเดอร์ "เอาของข้าก่อนก็ได้"
      "แต่ข้าก็ไม่เห็นอยู่ดีแหละ"
      "ไม่เป็นไร ข้าช่วย" โลกิจูงโฮเดอร์มาต่อแถว จับมือเทพตาบอดให้ถือศรเล็งตรงทาง "เอาละ ขว้าง" โลกิสั่ง เทพองค์นั้นขว้างออกไปเต็มกำลัง ไม้มิสเซิลโทวิ่งตรงแทงเข้าไปในอกบาลเดอร์ เขาชะงักค้าง ตาเหลือก ส่งเสียงกรนยาวออกมาแค่ครั้งเดียวก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจ
      ทั่วทั้งท้องพระโรงงงงัน เงียบเสียงในทันใด ต่างคนต่างช๊อกกับภาพตรงหน้า แต่วินาทีนั้นหลายคนหันไปทางตำแหน่งที่โฮเดอร์ยืน ทันได้เห็นโลกิยืนอยู่เบื้องหลังเทพตาบอด มือของเขาที่จับมือโฮเดอร์ช่วยเล็งยังค้างอยู่ เทพอีเซอร์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความแค้น รุมเข้ามาที่โลกิราวกับจะฉีกเนื้อ โลกิปล่อยเทพตาบอดแล้วหนีไปด้วยความกลัว
      ตอนนั้นความโทมนัสแผ่เข้าแทนที่ความรื่นเริง ไม่ว่าเทวาองค์ไหนก็ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้ เสียงแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นเสียงระงมแห่งความโศกเศร้า แต่ความเศร้าใดๆ ของใคร ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความเศร้าของโอดิน นอกจากบาลเดอร์จะจากไป เขาเป็นคนเดียวที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เมื่อไรก็ตามที่แสงสว่างและสัจจะธรรมหายไปจากโลก เวลาแร็กนาร็อคก็ใกล้เข้ามา ต่อแต่นี้ ความชั่วและความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเทือนความมั่นคงของจักรวาล โลกทั้งเก้าจะถูกทำลายราบเหลือเพียงกองขี้เถ้า
      ในท่ามกลางความเศร้านั้นเช่นกัน ฟริกก้าพยายามหาทางแก้ไข พระนางถามหาผู้กล้าที่สุดที่จะลงไปยังนรก ไปนำวิญญาณบาลเดอร์กลับขึ้นมาสู่โลกแห่งชีวิต ปรากฏว่าเฮอร์มอด-Hermod ลูกของนางอีกคนหนึ่งอาสา โอดินจึงให้นำม้าแปดขาของพระองค์ไปใช้
      ทันทีที่เสียงฝีเท้าม้าจากไป โอดินสั่งให้เตรียมงานศพ ร่างของบาลเดอร์ถูกนำไปชำระล้างยังเบรดาบลิควังของตน ขณะเดียวกันต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นสำหรับเผาบาลเดอร์ (คนเหนือก่อนจะรับศาสนาคริสเตียน นิยมการเผาศพเหมือนเราครับ พิธีศพของชาวเหนือก็ดูได้จากงานศพบาลเดอร์นี่ละ) ไม้ฟืนเหล่านี้เอาไปกองเรียงกันไว้บนดาดฟ้าเรือริงฮอร์น-Ringhorn เรือหัวมังกรของเขาเอง จากนั้นร่างของเทพแห่งแสงสว่างก็ได้รับการแต่งตัวในชุดสงคราม ถูกนำไปวางไว้บนกองฟืนกองนั้น
      เทพต่างๆ ช่วยกันนำของมีค่าและสิ่งสวยงามของตน ไม่ว่าจะเป็นพรมสวยๆ อาวุธดีๆ หรือเครื่องทองสุกปลั่งมาวางไว้ข้างศพบาลเดอร์ในเรือเพื่อเป็นการเคารพครั้งสุดท้าย โอดินวางแหวนเดราป์เนียร์ แหวนแห่งพิภพไว้บนอกลูกชาย (แหวนวงนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อบาลเดอร์ฟื้นหลังช่วงแร็กนาร็อค) ก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูศพ จนทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าจอมเทพกระซิบอะไร แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์สั่งให้บาลเดอร์"คืนชีพ" โอดินเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกชายของตนจะกลับมาอีกครั้งหลังแร็คนาร็อคทำลายโลกไปหมดสิ้น
      นันนาเป็นคนสุดท้ายที่มาจูบลาสามีของหล่อน ความโศกเศร้าแล่นขึ้นมาจับหัวใจเธออีกครั้งหลังจากที่ร้องไห้คร่ำครวญจนเป็นลมไปหลายพับ แต่คราวนี้ความเสียใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย นันนาล้มลงขาดใจตายข้างศพสามี ร่างของเธอจึงถูกยกวางไว้ข้างเขาเพื่อจะทำพิธีเผาไปด้วยกัน


      บทที่10เหตุแห่งความเกลียดชัง ( ต่อ )

      เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเสร็จสิ้น ขั้นตอนที่น่าเศร้าที่สุดก็คือปล่อยเรือลงน้ำ แต่ว่าริงฮอร์นในขณะนี้เพียบแปร้ไปด้วยน้ำหนักของฟืนและน้ำหนักของสมบัติจนขยับไม่ได้ โอดินสั่งคนสื่อสารไปโจตันไฮล์มขอความช่วยเหลือจากยักษีภูเขานาม เฮอร์โรคิน-Hyrrokin มาช่วยนำเรือลงน้ำ
      เฮอร์โรคินมาตามคำขอของโอดิน แต่การปรากฏตัวของนางเล่นเอาชาวแอสการ์ดขวัญหนีดีฝ่อ ก็นอกจากนางจะใหญ่โตมโหฬารยังดันขี่หลังหมาป่ายักษ์เดินทางมาเสียอีกนี่ครับ หนำซ้ำสายบังเ ยนของนางยังน่ากลัวพิลึก แทนที่จะเป็นหนังธรรมดาๆ กลับเป็นงูกำลังบิดรัดกันเป็นเกลียว เฮอร์โรคินมาถึงนางก็ลงจากหลังหมาร้องเรียกเทพให้ช่วยหาคนมาจับพาหนะระหว่างที่นางเข็นเรือลงน้ำ โอดินรีบเรียกเอนเฮเรียร์ที่เป็นนักรบเบอร์เซิค ซึ่งกล้าแข็งที่สุดสี่คนมาช่วยกันดึงบังเ ยนไว้ แต่นักรบทั้งสี่ก็ไม่อาจทานกำลังมหาศาลของหมาป่ายักษ์ได้พากันล้มระเนระนาด นางยักษ์ต้องมาจัดการผูกหมาเองด้วยความรำคาญ
      เฮอร์โรคินหันกลับไปสู่เรือของบาลเดอร์ นางใช้มือข้างเดียวดันเรือออกจากท่า เสียงเรือริงฮอร์นลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสียดประสาทหูไปทั่วทั้ง 9 พิภพ กองไฟถูกจุดขึ้น ธอร์กระโดดขึ้นบนดาดฟ้าด้วยหัวใจที่เศร้าหนักหน่วง เขายกค้อนมจอลเนียร์ขึ้นสูงแล้วร่ายเวทย์ป้องกันให้บาลเดอร์เดินทางสู่นิฟล์ไฮล์ม
      ริงฮอร์นลอยไปสู่ขอบฟ้า เพลิงที่จุดกลางลำเรือเผาทั้งศพของบาลเดอร์และนันนาไปกับตัวเรือ ซากที่เหลือไม่มากจมลงใต้ท้องทะเลเวลาเดียวกับที่อาทิตย์ตก การจากไปของเทพทั้งสองทำให้ภาพตะวันตกดินเป็นภาพงามที่เศร้าที่สุดที่ชาวแอสการ์ดเคยเห็น
      ระหว่างที่เสียงร่ำไห้ระงมทั่วแอสการ์ด เฮอร์มอดก็เข้าใกล้นิฟล์ไฮล์มเข้าไปทุกที เขาขี่ม้าแปดขาข้ามสะพานจิอัลลา-Giallar สะพานที่ทอดข้าม จิอัล-Giall แม่น้ำแห่งความตาย ม้าพาคนขี่กระโดดไกลเข้าประตูนรกไปสู่วังของเฮล กลางใจแผ่นดินนิฟล์ไฮล์มอย่างรวดเร็ว
      ในการเข้าถึงโถงเลี้ยงอาหารของเฮลนี่เอง เฮอร์มอดเห็นบาลเดอร์และนันนานั่งพักอยู่บนเก้าอี้ อาหารเบื้องหน้าไม่ได้รับการแตะต้อง เช่นเดียวกับเหล้าที่วางไว้เคียงกัน วิญญาณของสองเทพดูจะตายเช่นเดียวกับร่าง เฮอร์มอดพยายามให้กำลังใจผลักดันบาลเดอร์ว่าเขาควรกลับไปอยู่แดนของสิ่งมีชีวิต แต่วิญญาณของเทพตอบด้วยความเศร้าว่า มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
      เฮอร์มอดพบเฮล บอกคำอ้อนวอนของพระนางฟริกก้า เฮลจ้องหน้าเทพด้วยดวงตาเย็นชา นางตอบว่า หากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้ง 9 ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ร้องไห้ให้กับการจากไปของบาลเดอร์ นางจะยอมปล่อยให้เทพกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง แค่เพียงนี้ก็เป็นการต่อรองที่ดูจะมีหวัง เฮอร์มอดรีบกลับแอสการ์ด แจ้งเรื่องที่เฮลบอกให้โอดินทราบ
      ข่าวของเทพบุตรหนุ่มสร้างความหวังริบหรี่ให้โอดิน เขาส่งทูตทั้งสี่ออกไปบอกข่าวแก่สิ่งต่างๆ ในโลกชนิดปูพรม แน่ใจว่า บาลเดอร์เป็นที่รักของทุกคนและทุกสิ่ง ไม่ยากเลยที่คนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นจะร่ำไห้ และทูตก็ทำงานได้ดีจริงๆ ครับกระทั่งฝุ่นและหินก็ยังหลั่งน้ำตาของมันแก่เทพผู้ล้มลงตาย
      ทูตทั้งสี่กลับแอสการ์ด ระหว่างทางกลับนั่นละครับ ที่พวกเขาบังเอิญเห็นถ้ำแห่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทูตสวรรค์ก็เลยลองเดินไปข้างใด พบนางยักษ์ธรอค-Thokk จึงแจ้งข่าวการตายของบาลเดอร์แก่นาง แต่นางยักษ์ธรอคฟังแล้วก็นิ่งเฉย ทูตถามย้ำว่าไม่เสียใจเรื่องความตายของเทพแห่งแสงสว่างบ้างเลยเชียวหรือ ยักษ์ธรอคมองหน้าทูตแล้วว่า นางไม่รู้สึกอะไรเลย
      คำตอบของยักษ์ตนนี้คนเดียวเท่านั้นละครับ ทำให้บาลเดอร์ตกอยู่ในเงื้อมมือของเฮลตลอดไป
      ทูตสวรรค์กลับแอสการ์ดพร้อมกับข่าวร้าย แจ้งแก่เทพว่าทุกสิ่งทุกอย่างร่ำไห้แก่บาลเดอร์ ยกเว้นสิ่งเดียวคือยักษ์ธรอค ยักษ์ที่ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อมาก่อน ความนิ่งเฉยของยักษ์ตนนี้ทำให้บาลเดอร์ไม่มีทางฟื้นกลับมาสู่สวรรค์อีกแล้ว
      ท้องพระโรงแอสการ์ดเต็มไปด้วยความเศร้าอีกครั้ง ไม่มีใครทันสังเกตแววตาสะใจวะวับของโลกิ ที่ยังคงแกล้งทำเป็นเสียใจ มันเป็นแววตาเดียวกับนางยักษ์ผู้ไม่ร่ำไห้ ท่านผู้อ่านทายออกไหมครับว่ายักษ์ธรอคเป็นใคร ใช่แล้วละครับ ยักษ์ตนนี้ก็คือโลกิ เขาทำเรื่องชั่วสำเร็จไปอีกหนึ่ง
      ความตายของโฮเดอร์
      ความตายของบาลเดอร์นับเป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังสำคัญระหว่างเทพและโลก แต่คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นโฮเดอร์ ซึ่งถูกยืมมือมาฆ่าโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงอย่างนั้นเขาก็ตกที่นั่งกลายเป็นเทพที่ถูกชังมากเข้าไปอีก
      ครั้นเมื่อความโศกเศร้าจางหายไปจากแอสการ์ด เทพโอดินสมสู่กับรินด้า เมียคนที่สามให้กำเนิดวาลี-Vali ขึ้นเท่านั้น เทพองค์นี้ก็เป็นผู้ถามหาความยุติธรรมแก่บาลเดอร์ หลังจากเขาเกิดไม่กี่วัน วาลีถือคันศรและแล่งบรรจุลูกธนูติดตัวตลอดเวลาจนวันหนึ่งสบโอกาสก็ยิงโฮเดอร์ตาย ความตายของโฮเดอร์เป็นการแก้แค้นที่สาสมในความเห็นของคนเหนือ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุจริงๆ คือโลกิ เลยกลายเป็นว่าทั้งบาลเดอร์และโฮเดอร์ต่างหนีตายไปก่อนจะเจอความพินาศในแร็กนาร็อค
      การคุมขังและความทรมานครั้งสุดท้ายอันนำไปสู่ความพินาศของสามภพ
      เล่ามาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านจะต้องคาใจแน่ใจเลยว่า แล้วชาวสวรรค์ไม่รู้สึกอะไรกับความร้ายกาจของโลกิบางหรือ อ๋อ อันนี้ของแน่ครับ ใครๆ บนแอสการ์ดไม่ได้คิดแต่จะอยากลงโทษโฮเดอร์ฝ่ายเดียว แผนชั่วของโลกิคราวนี้ทำให้ชาวสวรรค์เศร้าโศกเสียใจเกินกว่าจะอภัยแก่โลกิอีกต่อไป พวกเทพรวมตัวกันเนรเทศโลกิห้ามไม่ให้ย่างเหยียบเข้ามาในแอสการ์ดไม่ว่าส่วนไหนๆ ทั้งสิ้น
      โลกิไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นความผิดร้ายแรง เขาไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ตรงกันข้ามโลกิยิ่งโกรธเกรี้ยวหาหนทางแก้เผ็ด เรื่องการเนรเทศเข้านะหรือเมินเสียเถิดทำไมจะต้องสนใจด้วย
      สบโอกาสเหมาะเข้าวันหนึ่งขณะที่มีการเลี้ยงใหญ่ที่ท้องพระโรงแกลดสไฮล์ม โอดินและธอร์ไม่อยู่ โลกิก็เดินส่ายอาดๆ เข้าไปในห้องเลี้ยง เริ่มชี้หน้าด่าเทพแต่ละองค์รายตัว ขุดเอาความบกพร่องน่าอับอายของเทพองค์นั้นขึ้นมาประจาน ทวยเทพต่างอ้าปากค้าง ไม่มีใครห้ามโลกิอยู่ เขายังสามหาวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงซิฟ โลกิขุดเอาเรื่องของเธอขึ้นมาพูด เสียงของเขาดังขึ้นๆ จึงไม่ทันสังเกตว่า ธอร์ซึ่งไม่ได้อยู่ในที่ประชุมเมื่อครู่ บัดนี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังจอมโกงอย่างเงียบๆ เขาย่อมต้องได้ยินคำพูดที่โลกิกำลังประจานเมียรักเต็มสองหู ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาในหัวของธอร์ เทพแห่งสายฟ้าเหวี่ยงค้อนหมุนบนหัว คราวนี้กะว่าโลกิต้องตายคาห้องประชุม แต่เทพจอมโกงก็ไหวดี เขารู้สึกว่าเทพที่ส่งเสียงด่าทออยู่เมื่อครู่จู่ๆ ก็เงียบเสียง หันขวับไปเห็นธอร์อยู่เบื้องหลัง โลกิเผ่นแผล็วออกไปจากห้องทันก่อนที่ค้อนจะปลิวมาถึงตัว
      ความอดทนของเทพที่มีต่อโลกิขาดผึง แทนที่จะแค่เนรเทศแล้วเลิกสนใจเจ้าจอมแสบคนนี้ ทวยเทพต่างตกลงกันว่า เห็นท่าเขาจะต้องรับโทษให้สาสม โอดินสั่งให้จับโลกิเอาตัวมาทรมาน
      การจับกุม
      ฝ่ายโลกิ เมื่อออกมาจากห้องประชุมเทพ เขาก็รู้แล้วว่าครั้งนี้คงหนีถูกไล่ล่า เขาพยายามป้องกันตัวเองทุกวิถีทาง โลกิเลือกทำเลที่ซ่อนใหม่ เขาขึ้นไปสร้างกระท่อมสี่เหลี่ยมบนยอดเขา ฝาทั้งสี่ด้านของกระท่อมหลังนี้มีประตูเปิดไว้ตลอดเวลา เพื่อจะได้รู้หากมีใครสักคนมาถึง ต่อลงไปจากกระท่อมมีลำธารไหลแรง โลกิกะว่า ถ้าถูกตอนจนมุมเขาจะแปลงร่างเป็นปลาแซลมอนโดดหนีลงน้ำ
      ธอร์พยายามติดตามโลกิจนรู้ตำแหน่งแหล่งที่ซ่อน ด้วยความที่เขาเป็นคนรู้จักโลกิมากที่สุดจากการผจญภัยด้วยกันหลายครั้ง ธอร์พอจะเดาออกว่าโลกิคิดอะไร เมื่อวิเคราะห์ชัยภูมิที่โลกิซ่อน ธอร์เห็นจุดอ่อน เขารู้ทันความคิดของโลกิว่า ถ้าจวนตัวมีหวังเทพองค์นั้นจะแปลงตัวเป็นปลากระโดดลงน้ำหนีไปแน่ ธอร์จึงไปปรึกษาโอดินเตรียมแหวิเศษไปด้วย คราวนี้โอดินและธอร์ตามไปถึงรัง จับตัวโลกิมาได้
      เทวาอีเซอร์ช่วยกันคิดหาวิธีที่เหมาะสม แต่แน่ที่สุดคือโลกิต้องถูกจำไว้ที่มิดการ์ด พวกเขาไม่ต้องการให้สวรรค์ของพวกตนเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้ เลือดของบาลเดอร์ที่นองพื้นสวรรค์น่าจะพอแล้ว แต่ก่อนที่จะพาโลกิลงไป เขาต้องการสร้างความเจ็บปวดให้โลกิมากที่สุดจึงตามล่าลูกชายสองคนของจอมแสบ วาลีและนาวี สาปวาลีให้กลายเป็นหมาป่าที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธคลุ้มคลั่ง วาลีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับพ่อต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย สมองของเขาขณะนั้นไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่แถมยังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง เหลียวซ้ายแลขวาเห็นนาวียืนตัวสั่นด้วยความตกใจก็เข้าทำร้าย หมาป่าแปลงกัดพี่ชายของตนจนไส้ไหลถึงแก่ความตาย ก่อนจะหนีเตลิดหายไปยังดินแดนโจตันไฮล์ม
      เทพเก็บเอาไส้ของนาวีมาทำโซ่มัดตรึงโลกิเข้ากับแผ่นหินใหญ่สามแผ่น สกาดียักษ์สาวที่ได้รับความอับอายเพราะโลกิอาสานำงูพิษมาสาปตรึงไว้เหนือหัว ให้งูนั้นพ่นพิษใส่หน้าจอมแสบตลอดเวลา แล้วเทพก็จากไป
      โชคที่เหลืออย่างเดียวของโลกิในเวลานั้นคือซิยินเมียยอดจงรักภักดี หล่อนแอบตามมา เมื่อเห็นบรรดาเทพไปกันหมดแล้วก็ออกจากที่ซ่อน นั่งเฝ้าสามีคอยเอาถ้วยรองพิษงูไว้ไม่ให้ถูกใบหน้าโลกิ นางนั่งเคียงข้างสามีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงเวลาแร็คนาร็อค ช่วงเดียวที่หล่อนไม่อยู่กับเขา ก็คือตอนที่เอาถ้วยรองพิษงูไปทิ้ง เป็นตอนเดียวที่โลกิเจ็บแสบแปลบปวดกับน้ำพิษที่ร้อนเหมือนไฟ ความทุกข์ทรมานที่ถูกตรึงกับแผ่นหินด้วยไส้ของลูกตัวเอง กับความร้อนจากพิษทำให้ความฝังใจเจ็บกับเทพทวีขึ้นเรื่อยๆ มันหมักบ่มจนสุกงอม จนกระทั่งเมื่อถึงทีของเขา โลกิก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจบสิ้นสลายไปกับโทสะของเขา


       บทที่ 11 โลกาวินาศแร็กนาร็อค-Ragnarok
      อวสานแห่งเทพและโลกทั้ง 9
      ความตายของบาลเดอร์และการพันธนาการที่เล่ามาในบทก่อนนี่ละครับ ทำให้โอดินรู้ว่าเวลาแร็กนาร็อคอยู่ไม่ไกล เมื่อแสงสว่างและความจริงถูกทำลาย ความชั่วก็จะได้รับการปลดปล่อย และความชั่วที่ว่าก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากโลกินั่นเอง ถึงเขาจะพยายามดึงโลกิไว้ใกล้ตัวเพื่อไม่ให้เจ้าจอมแสบไปเผยแพร่เชื้อพันธุ์ในโลกมนุษย์ แต่เมื่อบาลเดอร์จากไป ไม่มีอะไรคานอำนาจความชั่วไว้ได้ มันหมายถึงเวลาชะตาลิขิตที่เขาก็ไม่อาจฝืนให้ทุกอย่างกลับมาดีดังเดิม
      พระองค์นั่งรออวสานอย่างใจเย็น
      ตอนนี้โลกิถูกพันธนาการอยู่ในมิดการ์ด โอดินแน่ใจว่าความชั่วร้ายของโลกิจะค่อยๆ ซึมลงไปในใจมนุษย์อย่างช้าๆ ไม่นานนักมันก็เริ่มพ่นพิษ โอดินนั่งมองจากบัลลังก์ฮลิดสเกียฟเห็นคนเริ่มฆ่ากันอย่างไร้เหตุผล และไร้เกียรติ หัวใจทุกดวงเต็มไปด้วยความชั่วและความพยาบาทและทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มสับสน
      พ่อฆ่าลูกชาย เอาลูกสาวมาทำเมีย ลูกชายลอบฆ่าครอบครัวในตอนกลางคืน พี่น้องสมสู่กันเอง กระทั่งแม่ก็ยังเกิดความใคร่ในตัวลูกชาย มันเป็นยุคตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดาบต่อดาบ ความโกรธความเกลียดแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่มีการอดทนให้อภัย แผ่นดินมิดการ์ดแดงเดือดด้วยเลือดทา มันเป็นเวลาที่มนุษย์ไร้ศีลธรรมและอารยธรรมของความเป็นคน กลับไปมีชีวิตเหมือนสัตว์ เข่นฆ่ากันเยี่ยงสัตว์จะเรียกช่วงนี้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งอาวุธก็คงไม่ผิด
      เมื่อช่วงเวลาแห่งอาวุธผ่านไป ก็ถึงช่วงน้ำแข็ง โลกมนุษย์ตกอยู่ในฤดูหนาวแสนทารุณที่ยาวเหยียดถึงสามปี มันเป็นความหนาวที่สุดทนทาน น้ำแข็งและน้ำค้างแข็งปกคลุมแผ่นดินมิดการ์ดสุดลูกหูลูกตา สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนอดอยาก คนที่โชคดีคือคนที่ตายเพราะความหนาวก่อนจะอดตาย ดวงอาทิตย์ไม่ฉายแสง แผ่นดินแห้งแต่ปราศจากความอบอุ่น ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลง กระทั่งคน ก็เปลี่ยนไปเป็นคล้ายสัตว์ โหดร้าย ป่าเถื่อน เมื่อสิ้นหน้าหนาว ความรัก ความเมตตาก็หายไปจากทุ่งมิดการ์ด มีแต่ความดำมืดและความโหดร้ายเท่านั้นที่เหลืออยู่
      หลังยุคโลหะ ยุคแห่งความหนาวก็มาถึงยุคของหมาป่า ท่านผู้อ่านยังจำยักษ์อังกรโบดาเมียของโลกิที่ถูกพรากลูกประหลาดไปได้ไหมครับ นั่นละคนนั้นละ เมื่อนางเสียลูกไปหมดนางก็เลยไปเอาหมาป่าสกอลล์และฮาติ หมาป่าที่มีความอยากกินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาตั้งแต่เกิดนั่นละครับ มาฟูมฟักแทนลูก นางเอาศพคนที่ตายเกลื่อนในยุคฆ่าพี่ฆ่าน้องให้มันกิน ศพพวกนี้มีมากมายเสียจนหมาสองตัวไม่เคยอดอยากเหมือนสัตว์อื่น แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือ มันทั้งสองเติบใหญ่ขึ้นแข็งแรงขึ้นจนเป็นหมาขนาดยักษ์
      เมื่อเวลามาถึง สกอลล์และฮาติไล่งับดวงตะวันและดวงจันทร์อย่างที่มันอยากทำมาเป็นเวลานาน สกอลล์อ้าปากอันมโหฬารงาบดวงอาทิตย์ทั้งราชรถและคนขับกร้วมเดียว ดวงอาทิตย์หายไปจากท้องฟ้า ฮาติไล่ตามดวงจันทร์ใช้กรามอันใหญ่โตขย้ำดวงจันทร์ไว้ในปากเช่นเดียวกับสกอลล์ เมื่อดาวทั้งสองหายไป หมู่ดาราที่เหลือก็หมดกำลังใจจะส่องแสง ทั่วทั้งโลกตกอยู่ในความมืดดำ
      ความมืดมนอนธการไม่ได้ทำลายแต่ความหวังของดวงดาวเท่านั้นครับ แต่ทำลายพลังเวทย์ของเครื่องพันธนาการต่างๆ พวกที่ถูกขังถูกกัก ได้รับอิสรภาพในทันที
      เฟนริสหมาป่าลูกของโลกิและอังกรโบดารู้สึกว่าจู่ๆ ริบบิ้นไกล์ปเนียร์ก็หลุดจากตัว ฝ่ายโลกิก็รู้สึกว่าโซ่ตรวนที่ตรึงอยู่หลุดออกไปเอง ไฟแห่งความเกลียดชังไหลบ่าเข้ามาท่วมหัวใจสิ่งชั่วทั้งสอง ดวงตาของโลกิและเฟนริสแดงด้วยความเกลียดชัง
      ความมืดยังทำให้นิดฮอก พญางูที่นอนขดล้อมรากต้นอิกดราซิลมีกำลังมากขึ้นอย่างที่มันต้องการ นิดฮอคกัดรากต้นอิกดราซิลทะลุ ทำให้ต้นไม้แห่งโลกต้นนี้สั่นสะเทือนสูงขึ้นไปถึงแอสการ์ด วินาทีที่เขี้ยวของมันทะลุราก ไก่บนยอดไม้ก็ขันเตือนภัยเทพว่า จุดจบมาถึงแล้ว เวลาเดียวกันไก่สีแดงเหมือนเลือดของเฮลก็ร้องขันเรียกนายก้องอยู่ในดินแดนนิฟล์เฮม เสียงของมันทำให้ไก่กัลลิงคัมบิของแอสการ์ดขันรับอีกทอดหนึ่งจากคอนที่มันเกาะเหนือวัลฮัลลา คราวนี้เสียงของมันได้ยินไปทั่วอาณาเขตเอนเฮเรียร์
      เสียงไก่กัลลิงคัมบิคือสัญญาณอันตราย นอกจากโอดินจะได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ไฮล์มดาลซึ่งประจำอยู่ที่ตำแหน่งบนสะพานรุ้งก็ได้ยิน เขาเห็นความเป็นไปในมิดการ์ดตลอดมา หลังจากยุคแห่งเลือดอันทุกข์ทรมาน ยุคแห่งความหนาวเย็นอันขาวโพลน เขาก็รู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องเป่าแตรศักดิ์สิทธิ์กจาลเรียกเทพอีเซอร์และนักรบเอนเฮเรียร์ทั้งหมด ประชุมพลเพื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้แล้ว
      เสียงแตรกจาลปลุกให้เทพอีเซอร์และนักรบเอนเฮเรียร์แต่งตัวเตรียมรบอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างคว้าดาบคู่กาย ทั้งดาบขวานและค้อนกรูออกจากโต๊ะเลี้ยงในวัลฮัลลา วิญญาณเอนเฮเรียร์ทั้ง 800 วิ่งผ่านประตู 540 บาน ตั้งทัพยกข้ามสะพานไบฟรอส สู่ทุ่งวิกฤต (Vigrid-วิกริด ฟังแล้วเหมือนวิกฤตเลยนะครับ และความหมายก็แทบจะคล้ายกันด้วย) ทันก่อนที่ยักษ์เซิร์ทจะจุดไฟเผาสวรรค์แอสการ์ดและสะพานรุ้งน้ำแข็ง
      สมาชิกแอสการ์ดไม่ใช่พวกเดียวที่ได้ยินเสียงแตรเรียกทัพ แต่ลึกลงไปในมหาสมุทร พญางูจอร์มุนกานด์ งูที่ขดตัวล้อมมิดการ์ดก็ได้ยินเช่นกัน มันเริ่มบิดตัวกระตุก การเคลื่อนไหวของสัตว์ยักษ์อย่างมันทำให้เกิดคลื่นสูงเท่าภูเขาและพายุก็ตามมา คลื่นยักษ์ปลดปล่อยเรือนาจิลฟาร์-Nagilfa ที่แสนจะน่ากลัวขึ้นบนผิวน้ำ มันเป็นเรือที่เกิดจากเล็บของคนตายซึ่งญาติๆ ลืมตัดให้ก่อนจุดไฟเผาศพ เมื่อเรือนาจิลฟาร์เกยหาดก็เป็นเวลาเดียวกับที่โลกิเป็นอิสระจากพันธนาการ โลกิขึ้นเรือนำมันลงน้ำบังคับให้แล่นสู่ทุ่งวิกริด
      เขาลูกๆ ประหลาดของเขาคือ จอร์มุนกานด์และเฟนริส ระหว่างทาง ทั้งสองว่ายขนาบข้างเรือ เฟนริสสวาปามทุกสิ่งทุกอย่างที่ไหลเข้ามาในทางของมัน ข้างงูก็พ่นพิษไปตลอดทาง
      ใกล้ทุ่งวิกริด โลกิเห็นเรืออีกลำแล่นมาจากโจตันไฮล์ม เรือลำที่ว่าบรรทุกยักษ์มาจนเพียบแปร้ มียักษ์ฮริม-Hrym ทำหน้าที่บังคับเรือ บนเรือโลกิยังได้เห็นยักษ์เซิร์ทที่เพิ่งทำลายสวรรค์และสะพานรุ้งมาหยกๆ โดยสารมาด้วย ทั้งหมดมุ่งหน้าไปขึ้นฝั่งทุ่งวิกริดพร้อมกัน จอร์มุนกานด์ดีดตัวขึ้นจากทะเลที่กำลังเดือดขึ้นไปโอบตัวเหนือทุ่งวิกฤต พ่นพิษไปทั่วทุกทิศทาง
      สิ่งที่ทำให้โลกิจอมลวงดีใจมากที่สุดเมื่อขึ้นยังทุ่งนั้นก็คือ เฮลลูกสาวลอยตัวขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน ตามมาด้วยกาม-หมาเฝ้าประตูวังของหล่อน และบรรดาวิญญาณขึ้นมาจากนรก จากนั้นงูนิดฮอคก็เลี้อยขึ้นมาจากรอยแยกปากของมันยังมีเศษรากอิกดราซิลหักห้อยคา มันค่อยๆ คลี่ปีกพังผืดหนังกระพือสะบัดแล้วบินขึ้นฟ้า ซากศพมนุษย์ที่มันเก็บไว้ใต้ปีกเป็นเสบียงเคี้ยวเล่นหล่นเป็นสายลงมาบนพื้น เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุด (งูนิดฮอคนี้เชื่อกันว่ารอดจากแร็กนาร็อคเหมือนกัน)
      กำลังสองฝ่ายประจันหน้ากันบนทุ่งวิกริด และแล้วเสียงโห่ร้องก็ทำให้ต่างเข้าประจัญบาน กองทัพวิญญาณของเฮลและกำลังของยักษ์เขาห้ำหั่นกับกองทัพเอนเฮเรียร์ เทพอีเซอร์และวาเนอร์โอดินผู้ล่วงรู้ชะตาลิขิตจับคู่กับเฟนริสคู่อาฆาตเก่า ธอร์กับจอร์มุนกานด์ เฟรย์เทพแห่งแสงสว่างกับเซิร์ทยักษ์แห่งไฟ ไทร์เทพแห่งสงครามกับกาม-หมานรก และไฮล์มดาลกับคู่ปรับตลอดกาล โลกิ
      การต่อสู้ระหว่างโอดินกับเฟนริสเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนาน แต่สุดท้ายหมาป่าก็ได้ทีอ้าปากอันใหญ่โตของมันขย้ำโอดินคำเดียว ปิดชีวิตอันขมขื่นของเทพบิดรทันที
      ส่วนธอร์ โอรสของโอดิน แม้จะสังหารจอร์มุนการ์นได้ แต่พิษของมันทำให้เขาสิ้นชีพ แต่เฟนริสก็ไม่ได้ดีใจกับชัยชนะของตัวเองนานเท่าไหร่ วิดาร์เทพผู้เงียบขรึมก็โดดเข้าใส่หมายักษ์ จับปากของมันฉีกกว้าง กรามล่างอยู่ที่พื้นโลก กรามบนยันท้องฟ้า เขากระแทกตัวเพิ่มพลังอีกครั้งเดียว หมาป่าเฟนริสก็ถูกฉีกเป็นสองส่วน
      ธอร์กับจอร์มุนกานด์ เป็นคู่ต่อสู้ที่มีความฉกาจฉกรรจ์พอๆ กันอีกคู่หนึ่ง แต่ในที่สุดค้อนมจอลเนียร์ก็เป็นฝ่ายมีชัยเหนือพญางู มันถูกทุบจนตายแทบเท้าของธอร์ แต่ธอร์ก็โดนพิษของมันที่พ่นราวกับห่าฝนอยู่ตลอดเวลาจนอ่วม ทำให้เขาก้าวขามาได้อีก 9 ก้าวก็ล้มลงตาย
      ต่างจากเฟรย์และยักษ์เซิร์ท คู่นี้ต่อสู้กันด้วยอาวุธเป็นสามารถ แต่เนื่องจากเฟรย์ยกดาบวิเศษของตนให้สเคอร์เนียร์ไปแล้ว เขาจึงไม่มีอะไรป้องกันตัวเองไปมากกว่าดาบธรรมดา ยักษ์เซิร์ทจึงมีชัยเหนือเทพเป็นฝ่ายแทงเฟรย์จนตาย
      คู่ไทร์กับกามก็สู้กันถึงตายทั้งคู่ เช่นเดียวกับโลกิและไฮล์มดาล เทพอารักษ์คู่ปรับ ต่างคนต่างตายเพราะคมดาบของอีกฝ่าย หมู่บริวารไม่ว่าเทพหรือยักษ์ต่างไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำแก่กัน แต่ก็กลับตายไปด้วยกัน ครั้นแล้วเมื่อสงครามแผ่วลงทุกขณะ ทั่วท้องทุ่งเต็มไปด้วยซากศพ เซิร์ทยักษ์แห่งไฟก็กวัดแกว่งดาบเวียนเหนือศีรษะ ขว้างลูกไฟจากมัสเปลไฮล์มจุดไฟให้ลุกทั่วทั้งเก้าโลก เผาผลาญราชวังแอสการ์ดแห่งสวรรค์ มิดเดิ้ลการ์ดแผ่นดินของมนุษย์ รวมทั้งแผ่นดินโจตันไฮล์มของยักษ์ แผ่นดินนรกใต้พื้นพิภพ และตัวยักษ์เซิร์ทเอง หวังให้ไฟนั้น "ล้าง" ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้มีอะไรเหลือ แผ่นดินจมหายลงไปใต้สมุทรอันเดือดพล่าน เป็นการสิ้นสุดจักรวาลของชาวเหนือ
      โลกใหม่
      ชาวเหนือเชื่อว่าเมื่อโลกถูกทำลายล้างไปแล้ว แผ่นดินจะผุดขึ้นอีกครั้งจากทะเล คราวนี้โลกใหม่จะเขียวสดอีกครั้งหนึ่ง ลูกสาวของโชลผู้ขับรถดวงอาทิตย์ซึ่งเกิดก่อนที่แม่ของเธอจะถูกหมาป่าสกอลกลืนกิน ได้รับหน้าที่แทนแม่ ขับรถพระอาทิตย์ขึ้นฟ้าอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ในโลกใหม่เป็นดวงอาทิตย์ที่ไม่ร้อนแรงเท่าดวงเดิม จนลูกสาวของโซลไม่ต้องใช้โล่กัน
      แสงอาทิตย์ดวงใหม่แตะต้องทุกมุมโลกที่เพิ่งผุดจากทะเล ความอบอุ่นทำให้เกิดชีวิตอีกครั้ง ต้นอีกดราซิลที่รอดมาจากแร็กนาร็อค เริ่มเขียวและให้ผลอีกครั้ง รากของมันหยั่งลึกกว่าเดิมสร้างจักรวาลให้มั่นคงกว่าที่เคยเป็นในโลกเก่า
      ไม่น่าเชื่อว่ายังมีมนุษย์สองคน ลิฟผู้หญิงและลิฟธราเซอร์ผู้ชาย แอบไปกำบังตัวอยู่บนต้นไม้แห่งโลก อีกดราซิล (Yggdrasil) เมื่อตอนแร็กนาร็อค กระทั่งโลกใหม่ (แผ่นดินใหม่) ผุดขึ้นจากน้ำ เขียวชะอุ่มงดงามอีกครั้ง ทั้งสองก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อสร้างพลเมืองให้โลก
      นอกจากมนุษย์สองคนยังมีเทพชั้นลูกชั้นหลานของเทพเดิมอีกหลายองค์ที่เหลือรอด เช่นลูกของโอดินคือ วิดาร์ผู้ฆ่าเฟนริส วาลีผู้แก้แค้นให้บาลเดอร์ สองคนเป็นตัวแทนของธรรมชาติที่รอดมาได้ ทั้งคู่ได้พบโมดิและแมกนิซึ่งสามารถคว้าค้อนของธอร์จากกองไฟ
      ความแข็งแกร่งของแมกนิและโมดิพวกกับพลังของค้อนมจอลเนียร์และพลังชีวิตของวิดาร์และวาลี เทพทั้งสี่ยังได้พบบาลเดอร์และโฮเดอร์ผู้กลับมาจากความตาย โดยที่ทั้งสองมีความแตกต่างจากในอดีต ไม่มีความผูกพยาบาทมีแต่ความรักให้กัน
      เทพอีเซอร์ที่เหลืออีกองค์หนึ่งคือโฮเนอร์ (หรือวิลี)น้องของโอดินผู้ที่ช่วยพี่ชายสร้างโลกครั้งก่อนจากร่างของยีเมียร์
      เทพทั้งเจ็ดนั่งลงบนทุ่งไอดาโวล-Idavoll ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของแอสการ์ด ต่างคนต่างนึกถึงญาติพี่น้องที่ตายไป นึกถึงเกียรติยศชื่อเสียงของบรรดาวีรบุรุษที่ล้มตาย ช่วงนั้นเองเทพได้ค้นเจอสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ บริเวณเล่นเกมของเทพที่จากไป (บางตำราว่าเป็นกระดานหมากรุกทองคำ บางตำราว่าเป็นกระดานทอดเต๋าทองคำสำหรับเปลี่ยนข้างเกมครับ)
      เทพทั้งเจ็ดสร้างสวรรค์ขึ้นใหม่ ณ ตรงบริเวณที่เคยเป็นแอสการ์ด วังใหม่นี้ชื่อกิมลี-Gimli (แหม เหมือนชื่อคนแคระในเรื่องของคุณตาโทลคีนจัง) สร้างให้สูงกว้าวังใดๆ ที่ชาวแอสการ์ดเดิมเคยเห็น ความสูงของวังจะทำให้เทพทุกองค์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องล่างได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยบัลลังฮลิดสเกียฟแม้แต่น้อย
      โลกใหม่สดใสขึ้นอีกครั้งความชั่วร้าย ความเกลียดชัวระหว่างกันถูกทำลายไปกับไฟจนหมด ไม่มียักษ์เหลืออยู่ คงมีก็แต่มนุษย์ลูกหลานของลิฟและลิฟธราเซอร์ ซึ่งก็เป็นโลกที่เราอยู่กันในปัจจุบัน


      เทพอื่นๆ
      บทนี้ผมอยากจะเก็บเทพเล็กเทพน้อยที่มีความหมายกับชาวเหนือ แต่ไม่ได้มีบทบาทอะไรในสรวงสวรรค์มากนักและโดยมากก็เป็นเทพแห่งธรรมชาติไม่ได้ประจำอยู่บนสรวงสวรรค์แอสการ์ดเพียงแห่งเดียว เอามารวบรวมกันไว้เสียหน่อยครับ เดี๋ยวบังเอิญท่านผู้อ่านไปพบที่ไหนแล้วไม่รู้จักจะว่าผมชุ่ยทำตกๆ หล่นๆ
      เริ่มที่อูลเลอร์ครับ
      อูลเลอร์-Uller เทพแห่งฤดูหนาว
      อูลเลอร์คนนี้เป็นโอรสของซิฟกับยักษ์ไร้นาม ซึ่งสำหรับชาวเหนือแล้วนะครับยังเป็นเทพแห่งการล่าและอาวุธด้วย
      ความที่ฤดูหนาวกินเวลานานนับเดือนในภูมิภาคนั้น พาเอาความตายมาสู่ชาวเหนือ อูลเลอร์ก็เลยรั้งตำแหน่งเทพแห่งความตาย (อันนี้เป็นความตายชนิดตายซากครับ คือหนาวจนเแข็งตายไปเอง ไม่เหมือนลูกน้องของเทพีเฮล)
      อูลเลอร์มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นยักษ์น้ำแข็ง ฤดูหนาวที่ปกคลุมแผ่นดินชั่วนาตาปีสำหรับเขาเป็นเวลาสบายๆ เป็นเวลาที่เขามีพลังแข็งแกร่ง ชนิดที่เชื่อกันว่าในเวลานี้อูลเลอร์สามารถแย่งอำนาจควบคุมแอสการ์ดมาจากโอดินได้ด้วยซ้ำ โอดินจะกลับมีพลังอีกครั้งก็เมื่อแสงแรงแห่งดวงอาทิตย์ส่องพื้นโลกให้อบอุ่น
      ด้วยเหตุนี้อูลเลอร์จึงได้รับการนับถือจากคนเหนือด้วยตำแหน่งสำคัญรองมาจากโอดิน ต่างกันแต่ไม่มีใครรักเขาเหมือนโอดินเท่านั้นละครับ ก็เทพเล่นสนใจแต่น้ำแข็งและความเย็น ซึ่งเป็นความทุกข์สาหัสของชาวโลกนี่นา
      นจอร์ด-Njord เทพแห่งฤดูร้อนและสายลม กับ สการ์ดิ-Skadi
      หลังสงครามระหว่างอีเซอร์และวาเนอร์ ก็นจอร์ดคนนี้แหละครับที่ต้องแลกตัวมาอยู่แอสการ์ดกับลูกชายลูกสาว เขาเป็นเทพวงศ์วาเนอร์แห่งฤดูร้อน กล่าวกันว่าเขาเป็นเทพรูปงามมักสวมเสื้อทูนิคยาวสีเขียวอันเป็นตัวแทนของความเจริญงอกงามในหน้าร้อน มีหงส์เป็นตัวแทนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพ เพราะมันมักปรากฏตัวในช่วงต้นของหน้าร้อน แมวน้ำขี้เล่นที่อาศัยอยู่ริมฝั่งก็เชื่อว่าเป็นสัตว์โปรดของเขาเช่นเดียวกัน
      นจอร์ดแต่งงานครั้งแรกกับเนอร์ธัสน้องสาวของเขาเองมีลูกชายและลูกสาวคือเฟรย์และเฟรยา เมื่อนจอร์ดถูกแลกให้มาอยู่แอสการ์ด มันเป็นเวลาที่การแต่งงานระหว่างพี่น้องด้วยกันกลายเป็นที่รังเกียจไปเสียแล้ว ภรรยาของนจอร์ดก็เลยไม่มาด้วยคงปล่อยให้สามีกับลูกมาแทน
      เมื่อมาถึงแอสการ์ด นจอร์ดมีวังโนอาตัน-Noatun อยู่ที่ริมทะเลซึ่งก็อยู่ในสายตาของเทพอีเซอร์ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีเอี่ยวกับเรื่องราวของโลกิ แต่สกาดินางยักษ์คู่ชีวิตคนที่สองของเขานี่ซิครับ หาเรื่องเข้าไปยุ่งจนได้ ตำนานว่านจอร์ดจะได้เมียคนนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
      ก็สกาดิคนนี้ละครับที่เป็นลูกสาวของยักษ์ธิอัลซิ-Thialzi ซึ่งโดนเทพฆ่าเพราะดันไปลักพาเทพีแอปเปิ้ลศักดิ์สิทธิ์เข้า เมื่อ ปล่อยให้นางต้องหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่คนเดียวก็เลยเดินทางมาเรียกร้อง (แต่คงไม่ถึงขั้นก่อม็อบครับ ก็มาคนเดียวนี่) เทพแอสการ์ดก็อยากจะไถ่โทษ ยอมจะเอาทองคำจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ที่นางต้องการมาให้ สกาดิไม่สนครับ เธอว่าเมื่อคนของเธอตาย เทพก็ต้องใช้คืนด้วยคน เว้าซื่อๆ ขอสามีก็แล้วกัน คำขอของยักษ์เนี่ยเล่นเอาเทพหัวเราะกันครืน
      สกาดิได้รับความอับอายไปชั้นหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเดินมาถึงเส้นที่ถอยไม่ได้เธอก็เดินหน้าต่อไป อันที่จริงตอนนั้นเธออยากได้บาลเดอร์เป็นสามีเนื่องจากเขารูปงามที่สุด แต่ไอ้จะบอกตรงๆ เดี๋ยวก็โดนโห่หาว่าใฝ่สูง นางยักษ์เลยเสนอว่าเธอจะเลือกใครก็ได้ที่มีเท้าเข้ารูปสวยที่สุด โอดินสั่งให้บรรดาเทพทั้งหลายเข้าไปอยู่หลังม่าน เรียงแถวกันตามใจชอบแล้วยกเชิงม่านขึ้นให้สกาดิเลือก นางมองไปมองมาแล้วเลือกได้เทพองค์หนึ่งซึ่งเท้าสวยมาก นางหวังใจเต็มเปี่ยมว่าเท้าคู่นี้ต้องเป็นของบาลเดอร์ คิดว่าเมื่อเป็นเทพที่หล่อเหลาที่สุด ร่างกายก็น่าจะสวยสมบูรณ์ตามไปด้วย โอดินสั่งให้ยกม่านขึ้นเท่านั้นละครับนางยักษ์ลมแทบใส่
      ปรากฏว่า เท้าคู่ที่นางเลือกกลับเป็นของนจอร์ดเทพแห่งฤดูร้อนและสายลมอ่อน บรรดาเทพต่างหัวเราะกันถ้วนหน้าเพราะรู้ทันว่านางต้องการอะไร แต่การล้อเลียนนางยักษ์ในเรื่องการเลือกคู่นี้ไม่มีใครทำน่าเกลียดเท่ากับโลกิ เขาถลกกางเกงเต้นกระหย่องกระแหย่งไปมาแอ่นน่าแอ่นหลังยั่วยวนสกาดิจนเจ้าหล่อนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ไม่มีใครคิดว่าเลยว่าสกาดิจะผูกใจเจ็บเสียจนเมื่อถึงเวลาที่โลกิถูกพันธนาการ ก็สกาดิคนนี้ละครับที่เป็นคนหางูพิษเอามาตรึงไว้เหนือหัวโลกิเป็นการแก้แค้น
      เรียกว่าการเลือกคู่ของสกาดิครั้งนี้กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง นางยักษ์ไม่ได้บาลเดอร์อย่างที่หวังแต่ได้เทพแห่งธรรมชาติที่แทบไม่มีความสำคัญ ทำให้การแต่งงานง่อนแง่นตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น นางยักษ์พานจอร์ดไปอยู่ที่ดินแดนน้ำแข็งของนาง 9 คืนนจอร์ดก็ทนความหนาวเย็นไม่ไหว ขอให้สกาดิมาอยู่กับเขาที่ชายทะเล ปรากฏว่านางยักษ์ก็อยู่ได้ 9 คืน ชักทนเสียงรบกวนของนกทะเลและเสียงอึกทึกของอู่ต่อเรือแถววังโนอาตันไม่ไหว สองคนก็เลยแยกกันอยู่ สกาดิกลับไปออกล่าสัตว์ในดินแดนน้ำแข็งที่แห้งแล้งของหล่อน ส่วนนจอร์ดกลับไปอยู่ในภูมิอากาศที่สบายริมทะเลตามเดิม
      พฤติกรรมของทั้งนจอร์ดและสกาดิให้ข้อคิดอย่างหนึ่งแก่ผู้แต่งงานครับผู้อ่าน คืออย่าพยายามเปลี่ยนคนที่จะมาอยู่กับเราให้เหมือนเราเลยครับ รังแต่จะพบความขมขื่น แรกๆ เขาอาจยอมเพราะความรัก แต่นานวันเข้าความเกรงใจค่อยๆ น้อยลงนิสัยจริงปรากฏ ไอ้ตอนนี้แหละจะอยู่กันไม่ยืด ดังเช่นคู่เทพและยักษ์คู่นี้
      วิดาร์-Vidar เทพสันโดษ
      เป็นลูกของโอดินกับนางยักษ์กริด วิดาร์รับความแข็งแกร่งมาจากโอดินเต็มเปี่ยม หากแต่บุคลิกที่ไม่เหมือนใครของวิดาร์คือเขาเป็นเทพที่พูดน้อยมากจนถึงไม่พูดเลย อันนี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นใบ้แต่ประการใดนะครับ แต่เพราะเขาคือตัวแทนของพลังเงียบ พลังที่ยิ่งใหญ่ในธรรมชาติ และเขาก็ยังเป็นเทพที่รอดจากมหาสงครามแร็กนาร็อค มีความสำคัญในการสร้างจักรวาลที่สอง
      ภาพของวิดาร์คือชายร่างสูงหล่อเหลา แต่งกายด้วยเกราะถือดาบคมกริบ ใส่รองเท้าที่ทำจากหนังหรือเหล็กซึ่งในเวลาต่อมาได้ป้องกันเท้าของเขาจากคมเขี้ยวของเฟนริส หมาที่เขาต้องตามล่าแก้แค้นที่มันฆ่าโอดิน
      อีเจอร์-Aegir เทพแห่งท้องทะเล และรัน-Ran
      เป็นเจ้าแห่งมหาสมุทร เป็นเทพที่ไม่ได้สังกัดอยู่ทั้งในวงศ์อีเซอร์และวาเนอร์ เพราะว่าเกิดก่อนชาวบ้านนานมาก จะเรียกว่าเกิดก่อนเผาพันธุ์ไหนในโลกและอยู่ยั้งยืนยงขณะที่เทพอื่นตายกันหมด อีเจอร์เป็นสวามีของรัน (คนนี้เป็นทั้งเมียและน้องสาวด้วย) เป็นพ่อของลูก 9 คน (ตำรานี้ไม่บอกว่าหญิงหรือชาย แต่ผมเดาว่าเป็นนางยักษ์แห่งคลื่น 9 ตนที่โอดินพบตั้งแต่สร้างโลกเสร็จใหม่ ซึ่งก็หมายความว่าอีเจอร์เป็นพ่อตาของโอดิน เป็นตาของไฮล์มดาลเทพอารักษ์แห่งแอสการ์ดครับ)
      อีเจอร์มักปรากฏร่างเป็นชายชรารูปร่างผอม ทั้งหนวดเครา และผมยาวขาวโพลน แต่มือเป็นกรงเล็บ อีเจอร์ไม่ใช่เทพใจดี ตรงกันข้ามกลับเป็นเทพที่อารมณ์ผันผวน (ก็เหมือนท้องทะเลละครับ) เมื่อใดทีเขาปรากฏตัวเหนือผิวน้ำ นั่นก็หมายความว่าเขามีจุดประสงค์ประการเดียวคือล่มเรือและสังหารลูกเรือ เลยเป็นประเพณีของคนเหนือให้ต้องมีการบูชายัญแก่อีเจอร์เสียก่อนเดินทาง
      ข้างรันเมียของเขาซึ่งก็คือวิญญาณแห่งพายุท้องทะเลนั่นก็ไม่เบาเหมือนกันครับ เจ้าหล่อนเป็นตัวแทนของอารมณ์อันปรวนแปร เธอมีแหวิเศษที่คอยลากวิญญาณลูกเรือเอาไปรวมกันไว้ในถ้ำปะการังซึ่งเต็มไปด้วยทองคำเรืองรอง รันชอบทองถึงขนาดเรียกมันว่าไฟแห่งท้องทะเล ความชอบของรันทำให้ลูกเรือชาวเหนือมักเอาทองคำก้อนเล็กๆ ติดไว้ในกระเป๋าเพื่อให้รันชอบ จะได้ไม่ต้องมาเอาชีวิต
      อันที่จริงอีเจอร์ไม่น่าจะเข้ามาเกี่ยวกับวงศ์เทวัญของชาวแอสการ์ด จนกระทั่งธอร์สั่งให้เทพแห่งทะเลทำหน้าที่ต้มเหล้าให้ชาวแอสการ์ด ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครมาสั่งแต่ก็ไม่อยากยุ่งกับพวกเทพเลือดใหม่ เขาแก้ตัวว่าไม่มีหม้อใหญ่-Cauldron ขนาดใหญ่พอสำหรับจะต้มให้ ธอร์จึงไปยึดหม้อใหญ่ของยักษ์ไฮเมียร์มาให้ คราวนี้อีเจอร์ปฏิเสธไม่ได้ครับ ต้องทำหน้าที่ต้มเหล้าให้เทพไปจนวันสิ้นโลก
      ฟอร์เซ็ตติ-Forsetti เทพแห่งกฎหมายและความยุติธรรม
      เป็นลูกของบาลเดอร์กับนันนา เทพีแห่งการเพาะปลูก ความที่เขาเป็นลูกของเทพผู้ทรงเกียรติทั้งคู่ ฟอร์เซ็ตติจึงได้ที่นั่งในแกลดสไฮล์มโดยอัตโนมัติ ครั้นโตเป็นผู้ใหญ่ฟอร์เซ็ตติก็รั้งตำแหน่งเทพแห่งการตัดสิน เขาอยู่ในวังกลิตเนียร์-Glitnir เป็นวังที่คล้ายเบรดาบลิคของบาลเดอร์ ต่างกันแต่ว่าหลังคากลิดเนียร์ดาดด้วยเงิน ส่วนเสาค้ำเป็นทองทั้งสิ้น
      หน้าที่ของฟอร์เซ็ตติ คือนั่งบัลลังก์ภายในวังกลิตเนียร์ตัดสินคดีความหากเทพเกิดทะเลาะกัน ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยตัดสิน สติปัญญาของเทพหนุ่มองค์นี้ว่ากันว่ามีไหวพริบดีจนคู่กรณีรายไหนรายนั้นกลับออกไปแล้วเลิกทะเลาะกัน หันมาให้ความเคารพกันด้วยซ้ำ
      เหตุนี้ละครับฟอร์เซ็ตติจึงได้รับการสวดอ้อนวอนก่อนจะมีการตัดสินคดีความในแผ่นดินมนุษย์ด้วยเหตุที่เขาเป็นเทพที่ยุติธรรมที่สุด
      วาลี-Vali ผู้แก้แค้น
      โอรสของโอดินกับรินด้า เขาไม่ได้เกิดมาเป็นผู้แก้แค้นให้แก่บาลเดอร์อย่างเดียว แต่เป็นคนที่ปรากฏตัวคู่กันกับวิดาร์เสมอ ถ้าวิดาร์เป็นตัวแทนพลับเงียบของธรรมชาติ วาลิก็เป็นตัวแทนของวิญญาณที่ไม่ตาย-แสงแห่งชีวิตที่ไม่มีวันดับ ซึ่งจะสร้างความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติหลังความแห้งแล้งเสมอ วาลีมักคือคันธนู อันเป็นตัวแทนของพลังความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง
      เฮอร์มอด-Hermod ภูตนิมฟ์ผู้สื่อสาร
      ลูกของโอดินกับฟริกก้า เฮอร์มอดนับเป็นทูตสื่อสารที่ซื่อสัตย์ของพ่อ ความเร็วและความว่องไวของเขาไม่มีใครทาบ มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันครับที่เวลาโอดินยุ่งมากๆ โอดินก็จะใช้เฮอร์มอดให้เอาหอกกุงเนอร์ ไป ณ จุดที่สงครามกำลังก่อตัว แล้วเอาหอกศักดิ์สิทธิ์นั่นโบกเหนือทุ่งสงคราม พลังของมันทำให้ความกระหายเลือดในอกของนักรบแต่ละฝ่ายปะทุถึงขั้นสุดตามมาด้วยการเข่นฆ่ากันอย่างเมามัน
      เมื่อเฮอร์มอดได้เป็นผู้ช่วยให้เกิดสงครามภายใต้คำสั่งของโอดินอยู่บ่อย ๆ เขาจึงกลายเป็นหัวหน้าพวกเอนเฮเรียร์ไปโดยปริยายครับ
      นอร์น-The Norns เหล่าเทพีแห่งโชคชะตา
      นอร์นที่ว่านี้ก็คือเทพีสามพี่น้อง (คล้ายๆ เทพีแห่งชะตากรรมของกรีกเลยนะครับนี่) ผู้ชี้ความเป็นไปของบรรดาเทพและมนุษย์
      นอร์นพี่ใหญ่มีชื่อว่า เอิร์ด-Urd ผู้รู้เรื่องอดีต ภาพของนางเป็นหญิงชราที่เหลียวหลังมองอดีต
      คนกลางชื่อเวอร์ดานดี-Verdandi ผู้รู้เรื่องปัจจุบัน ภาพของนางเป็นหญิงสาวผู้มองไปข้างหน้า เผชิญกับปัจจุบันอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งเอิร์ดและเวอร์ดานดี นับเป็นนอร์นที่ช่วยเหลือมนุษย์มากที่สุด
      ผิดกับสกัลด์-Skuld ผู้รู้เรื่องอนาคต น้องเล็กคนสุดท้ายซึ่งมีท่าทีตรงกันข้ามกับพี่ๆ ทั้งสอง เพราะว่าเธอคือตัวแทนของพลังที่ทำนายไม่ได้ ไม่มีความรักต่อทั้งมนุษย์และเทพ ยิ่งกว่านั้นสกัลด์ยังเป็นพวกอารมณ์ไม่แน่นอนมีฤทธิ์สามารถลบคำทำนายของเอิร์ดและเวอร์ดานดีได้ เนื่องจากเธอเท่านั้นที่กุมความลับของอนาคต ภาพของสกัลด์เป็นหญิงสวมผ้าคลุมหน้าตลอดเวลา ในมือมีหนังสือหรือม้วนกระดาษที่ไม่เปิดเผย สายตาของสกัลด์จ้องไปในทางตรงกันข้ามกับพี่น้องเสมอ
      เทพีนอร์นทั้งสามมีหน้าที่ทอเส้นใยแห่งชะตากรรมทุกวัน ตกเย็นสกัลด์จะเป็นผู้ถอดปมบางปมที่เอิร์ดและเวอร์ดานดีทอไว้ ทำให้อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจเห็นชัด นอกจากนี้นอร์นทั้งสามยังมีหน้าที่ดูแลรักษาต้นอิกดราซิล เก็บกิ่งหักและดูแลราก ความที่นอร์นกุมชะตากรรมนี่ละครับ พวกเธอจึงกลายเป็นที่ปรึกษาของเทพโดยปริยาย



      นำข้อมูลมาจาก

      http://www.student.chula.ac.th/~46436485/

      โดยคุณ Pheonix และคุณ Wizard


      ตำนานนี่เป็นเพียงบางส่วนที่เล่าโดยเจ้าของนามปากกา คอสมอส
      เขียนเป็นหนังสือขายชื่อ ตำนานเทพชาวเหนือ นะครับ

      ข้อมูลบรรณานุกรม
      คอสมอส
      ตำนานเทพชาวเหนือ. - -กรุงเทพฯ : เครือเถา, กันยายน 2546
      ISBN 974-91555-5-6
      ใครสนใจหาได้ตามร้านหนังสือ ราคาประมาณ 95บาท พิมพ์โดย สนพ. เครือเถา
      ทั้งหมดนี้ บางอย่างสอดแทรกแนวความเชื่อของผู้เรียบเรียงคือคุณ คอสมอส ลงไปด้วย
      ถ้าไปอ่านเจอจากที่อื่นอาจจะมีบางส่วนไม่ตรงกันนะ

      ตำนานเทพปกรณัมบทนี้ภาษาอังกษฤเรียกว่า Norse Mythology
      ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งNorse
      ลองไปsearchหาได้จาก google มีเล่าไว้อีกเยอะแยะเลย


      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×