ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #185 : ตัวแทนพระราชา [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 482
      38
      29 พ.ค. 63

    ตอนที่ 185 ตัวแทนพระราชา




         "นั่นคือน้ำอะไรหรือเจ้าคะ" ซอฮยอนถามทันที

         "น้ำนี้ผสมตัวยาที่มีสรรพคุณสลายพิษของกำยานในร่างกาย รีบให้พระองค์เสวยเถิด เพราะพิษที่ได้รับยังไม่มาก การสลายพิษก็จะทำได้ไวและง่ายขึ้น" คนทรงตอบก่อนจะเห็นสายตาหญิงสาวที่มองมา "ข้าไม่ได้วางยาพิษหรอกน่า ถ้าคิดจะฆ่าเขาข้าทำไปนานแล้ว"

         ซอฮยอนยืนสองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ แต่ในที่สุดนางก็รับชามน้ำนั้นมาไว้ในมือพลางก้มลงเรียกฝ่าบาทที่บรรทมอยู่ด้วยเสียงอันแผ่วเบา

         "ฝ่าบาท ฝ่าบาทเพคะ"

         พระเจ้าโจจงยังคงนิ่งเงียบ แม้พระอุระยังมีการพองยุบแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบสนองจากการที่ซอฮยอนกำลังพยายามปลุกตนเองอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

         "ฝ่าบาท" หญิงสาวเรียกซ้ำ แต่ก็ไม่เห็นผล

         มูดังสูงอายุเดินอ้อมเตียงไปทางด้านพระเศียรของฝ่าบาทก่อนที่จะค่อยๆ ประคองยกส่วนบนของพระวรกายให้ชันขึ้นเหมือนกับกำลังนั่งอยู่ ซอฮยอนเห็นดังนั้นจึงช่วยจับอีกแรง และเมื่อทันทีที่ฝ่าบาทชันกายขึ้นมาได้ ริมฝีปากก็อ้าออกมาเล็กน้อย นิ้วบางนิ้วเริ่มขยับ เปลือกตามีการเคลื่อนไหว

         "น้ำ..." พระราชาตรัสเสียงแผ่ว "ขอน้ำ..."

         มูดังถลึงตาไปที่ชามน้ำแก้พิษ ซอฮยอนจึงรีบกุลีกุจอจ่อปากชามไปที่พระโอษฐ์ช้าๆ และประคับประคองไม่ให้น้ำในชามกระฉอกไปมา

         "เสวยทีละนิดนะเพคะ ทีละอึกเพคะฝ่าบาท" หญิงสาวพูดเบาๆ พลางเอียงชามเป็นจังหวะเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่าบาทสำลัก

         เมื่อน้ำในชามหมดลง ฝ่าบาทก็ค่อยๆ เอนตัวลงกับที่บรรทมอีกครั้ง ซอฮยอนพินิจพิจารณาเพราะเป็นกังวลว่าฝ่าบาทอาจจะทรุดหนักไปอีก แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คนทรงพูดทุกประการ  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก การหายใจของฝ่าบาทก็กลับมานิ่งสงบเป็นปกติ พระอาการบีบรัดที่ช่องท้องก็หายไป อวัยวะต่างๆ ขยับได้ พระเนตรก็สดใสดุจเดิม

         เมื่อพระอาการโดยรวมดีขึ้นเป็นลำดับ คนทรงก็พยักหน้าก่อนจะผละออกไปจากเตียงเพื่อเริ่มจัดการเก็บข้าวของในห้องเงียบๆ คนเดียว ซอฮยอนหันมามองนางด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ต่อไปชะตาชีวิตนางจะเป็นอย่างไรหนอ จะถูกลงโทษหนักขนาดไหน หญิงสาวคิดไม่ออกเลยว่าจุดจบนางจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ถูกประหารชีวิต การที่ตัดสินใจทำให้ฝ่าบาทฟื้นนั้นก็หมายความว่าพร้อมรับโทษทัณฑ์แล้วกระนั้นหรือ

         "ท่าน..." ซอฮยอนเรียก "ท่านชื่ออะไรหรือเจ้าคะ"

         "ข้าหรือ" นางเงยหน้าขึ้นมอง "ข้าชื่อฮวาจิน"

         ซอฮยอนหลับตาลง นางไม่คิดว่าตนเองจะกล้าพูดคำนี้ออกมาแต่ก็ต้องพูดออกไป

         "ท่านฟังข้าดีๆ นะเจ้าคะ" หญิงสาวกล่าว "ข้าอยากให้ท่านหนีไปเจ้าค่ะ หนีไปตอนนี้เลย"

         "อะไรนะ!"

         "ท่านฟังไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านหนีไปเดี๋ยวนี้"

         "แต่... แต่" มูดังสูงอายุงุนงง "ทำไมเจ้าถึงให้ข้าหนี อีกอย่างข้าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร"

         "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ" ซอฮยอนส่ายหน้า "ทหารรอบตำหนักใหญ่ตอนนี้ต่างหมดสตินอนหลับใหลเพราะฤทธิ์ยาที่นางในห้องเครื่องแอบใส่ไว้ในอาหารและเหล้า ฉะนั้นอย่าห่วงเจ้าค่ะหากกังวลว่าจะโดนจับ"

         "แล้วทหารที่อยู่ชั้นนอกของเขตราชฐานเล่า ข้าจะฝ่าออกไปได้อย่างไร" นางถาม

         "กองกำลังเหล่านั้นมีผู้นำที่รู้จักข้าดีเจ้าค่ะ ท่านแค่เอ่ยชื่อข้า เขาก็จะปล่อยท่านไป"

         "อะไรนะ แค่เอ่ยชื่อเจ้าเนี่ยน่ะหรือ" 

         "ใช่เจ้าค่ะ ข้าชื่อซอฮยอน" หญิงสาวบอก "แต่ถ้าท่านยังไม่อุ่นใจ ท่านจะเอาป้ายนางในประจำตัวข้าไปยืนยันด้วยก็ได้"

         ซอฮยอนค้นหาป้ายไม้ของตนอยู่สักพัก เมื่อพบก็ถอดมันออกก่อนจะยื่นให้มูดังสูงอายุ

         ฮวาจินมองสิ่งที่อยู่ในมือของหญิงสาวชั่วครู่ สักพักนางก็ส่ายศีรษะ

         "ไม่ ข้าไม่หนี"

         ซอฮยอนอ้าปากค้าง

         "อะไรนะเจ้าคะ ท่านจะไม่หนีหรือ"

         "ใช่ ข้าจะอยู่ที่นี่ และพร้อมรับโทษในสิ่งที่ข้าทำ" คนทรงพูดออกมา

         "แต่... แต่ท่านจะตายนะเจ้าคะ" หญิงสาวเตือน "ท่านรู้ไหมว่าท่านจะเจอกับอะไรบ้าง ท่านคิดว่าพวกเขาจะไม่ทรมานท่านให้หนักก่อนสิ้นใจหรือ แล้วหลังจากท่านตายไป ป้ายวิญญาณท่าน หลุมศพท่าน สุสานท่านก็จะไม่มี ชื่อท่านจะถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลาน ท่านอยากให้เป็นแบบนั้นหรือ ตอนนี้มีโอกาสหนีท่านก็รีบหนีไปเถิดเจ้าค่ะ"

         "ข้าคิดตั้งแต่ใต้เท้าคิมแทซุนมาหาข้าแล้วว่านี่แหละคือจุดจบของข้า อะไรที่จะตามมาข้าไม่กลัวอยู่แล้ว ข้าเลือกที่จะทำแบบนี้ ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับออกไปหรอก" ฮวาจินกล่าว

         "ท่านคิดว่าลูกชายท่านจะยินดีหรือเจ้าคะกับการตายแบบนี้ของมารดา"

         "แน่นอนเขาไม่ยินดี" คนทรงตอบ "แต่อย่างน้อยข้าก็จะได้เจอกับเขาเร็วขึ้น"

         ซอฮยอนไม่เข้าใจหญิงสูงอายุตรงหน้าเอาเสียเลย ทำไมนางถึงยอมแพ้ง่ายเช่นนี้ หรือเป็นเพราะนางเองคงไม่มีที่จะไปแล้วจึงตัดสินใจเช่นนี้กระมัง แต่นั่นมันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดี
       
         "แต่ชีวิตทุกคนมีค่านะเจ้าคะ ท่านเองสู้ชีวิตมาก็มาก จะมาตายแบบนี้มันไม่สมควรนะเจ้าคะ" หญิงสาวพยายามเตือนสติ

         "แต่ข้าก็ทำผิดไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ควรโดนรับโทษ"

         "ท่านทำผิด ข้าเห็นด้วย" ซอฮยอนเอ่ยเสียงแข็ง "แต่ข้ามองทุกอย่างเข้าด้วยกัน ที่ผ่านมาชีวิตท่านถูกทำลาย ลูกต้องตายจาก ความแค้นจึงเกิดขึ้น ใครเล่าเจ้าคะที่จะสลัดไฟแค้นลงได้ ข้าขอท้าทุกคน ไม่มีใครหน้าไหนหรอกเจ้าค่ะ เพราะเราเป็นปุถุชนเดินดินไม่ใช่เทพยดา ความโกรธแค้นจากการเสียคนรักคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเรายังเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึก แต่ท่านไม่ใช่แบบนั้น ท่านยังมีการหวนคิดว่ามันไม่ถูก และสุดท้ายก็สามารถช่วยฝ่าบาทได้ อีกอย่างคนที่ถูกกระทำย่ำยีมาชั่วชีวิต สุดท้ายต้องมาตายอย่างอนาถอีกข้ารับไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าคนหนึ่งเจ้าค่ะที่จะมองว่าการประหารท่านคือความอยุติธรรม"

         ฮวาจินนั่งลงช้าๆ เมื่อฟังคำพูดของซอฮยอนจบ นางกำลังคิดใคร่ครวญอย่างหนัก

         "หนีไปเถิดเจ้าค่ะ ไปเริ่มต้นใหม่และเลิกทำอาชีพนี้เสีย" ซอฮยอนเตือนเป็นครั้งสุดท้าย

         ในขณะที่หญิงสาวกำลังรอฟังการตัดสินใจของฮวาจิน จู่ๆเสียงอันแหบโหยจากเตียงที่บรรทมก็ดังขึ้น ซอฮยอนหันขวับไปมองทันที

         ฝ่าบาทนั่นเอง พระองค์เหมือนจะกำลังพยายามยกพระหัตถ์ขึ้นมาแต่เพราะแรงไม่มีจึงทำได้เพียงขยับข้อมือไปมา จากนั้นก็ส่งเสียงเรียก

         "ซอ... ซอฮยอน"

         "ฝ่าบาท!" หญิงสาวถลาเข้าไปหา "พระองค์... พระองค์ทรงฟื้นคืนสติแล้วหรือเพคะ"

         พระเจ้าโจจงพยักพระพักตร์อย่างอิดโรยและตรัสถามต่อไปว่า "เจ้า... เจ้าคือซอฮยอนใช่ไหม ข้ามองไม่ชัด"

         "ใช่เพคะ หม่อมฉันคือซอฮยอน ตอนนี้ต้องรออีกสักพักเพคะถึงทุกอย่างในพระวรกายจะกลับมาทำงานปกติ อย่าเพิ่งเป็นกังวลเพคะ" ซอฮยอนทูล ส่วนฮวาจินยืนมองอยู่ห่างๆ

         "ตอนนี้..." ฝ่าบาทพูดออกมา "ราชสำนักเป็นอย่างไรบ้าง พวกสกุลคิมมันทำลายวังหลวงไปขนาดไหนแล้ว"

         "ตอนนี้พระมเหสีกำลังแย่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าองค์รัชทายาทเองก็ด้วย ที่สำคัญล่าสุดตอนนี้พวกเขาได้จับคนที่ต่อต้านไปเป็นตัวประกันมากมาย หลายคนนั้นก็เป็นคนรู้จักของหม่อมฉันด้วยเพคะ"

         "พวกนั้นมันกล้าดีอย่างไร... ทำไมถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้" ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น

         "หม่อมฉันรู้เพคะว่าฝ่าบาททรงกริ้ว แต่เวลานี้พระองค์ต้องเข้มแข็งขึ้นมาก่อน ได้โปรดรีบตามหม่อมฉันไปที่ตำหนักกลางเถิดเพคะ หลายคนกำลังเดือดร้อนและมีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่ช่วยพวกเขาได้" ซอฮยอนรีบพูด

         พระเจ้าโจจงถอนหายใจออกมาช้าๆ

         "ข้าอยากจะลุกไปใจแทบขาดซอฮยอน" พระองค์ตรัส "แต่ด้วยสภาพแบบนี้ที่ลุกยังไม่ไหว เท้าไม่มีความรู้สึก ประสาทสัมผัสต่างๆ ยังไม่กลับคืนมาเช่นนี้ ข้าคงจะไปช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้"

         ซอฮยอนชะงัก นางตรวจตราพระวรกายของฝ่าบาทอีกครั้งก็รู้ได้ทันทีเลยว่าพระองค์ตรัสถูกแล้ว การจะขยับลุกขึ้นนั่งยังยาก รับประสาอะไรกับการเสด็จจากที่นี่ไปตำหนักกลาง มันเป็นไปไม่ได้ชัดๆ 

         "ตัวข้าต้องใช้เวลาในการกลับมาเป็นปกติรวมทั้งการรักษาจากหมอหลวง ตอนนี้ข้าช่วยใครไม่ได้จริงๆ"

         "แต่ว่าฝ่าบาทเพคะ ในสถานการณ์ที่รุนแรงแบบนี้มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่จะหยุดยั้งได้ พระบัญชาของฝ่าบาทคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะกำราบพวกคนชั่วเหล่านั้นได้อยู่หมัด ขนาดพระมเหสีเองยังทำอะไรไม่ได้ ก็มีเพียงพระองค์เท่านั้นนะเพคะ ถ้ารอให้รักษาจนหายดี หม่อมฉันว่าทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปเพคะ" ซอฮยอนร่ำร้อง

         "แต่ว่า..." ฝ่าบาทตรัสเบาๆ "การที่จะหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีข้าไปก็ได้มิใช่หรือ"

         "ทำไมจึงตรัสเช่นนั้นเพคะ ใครจะมีวาจาสิทธิ์เทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดินได้อีก ไม่ใช่ฝ่าบาทแล้วจะเป็นใครไปได้เพคะ" หญิงสาวงุนงง

         "ตัวแทนของข้าอย่างไรเล่าที่จะหยุดพวกเขาได้"

         "หม่อม... หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ"

         "เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าฝากอะไรไว้กับเจ้า สิ่งนั้นแหละคือตัวแทนพระราชาที่จะจัดการกับพวกเขาได้ จงไปนำสิ่งนั้นมาเถิด ทุกอย่างตอนนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หาใช่ข้าไม่" ฝ่าบาทมองหน้าซอฮยอนตรงๆ

         "แล้วสิ่งนั้นคืออะ---" จู่ๆ ซอฮยอนก็พลันชะงัก ดวงตาเบิกกว้างเมื่อนึกออกว่าพระเจ้าโจจงทรงหมายถึงอะไร "ฝ่า... ฝ่าบาท จะให้หม่อมฉัน... นำสิ่งนั้นออกมาจัดการกับพวกเขาจริงๆ หรือเพคะ"

         "ถูกต้อง" 

         ซอฮยอนหลับตาลง ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว...

         "เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันจะทำตามรับสั่งเพคะ"











         บริเวณรอบตำหนักกลางยังคงคลาคล่ำไปด้วยทหาร ราชองครักษ์ กรมวังและข้าราชบริพารฝ่ายอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน แสงไฟถูกจุดเป็นหย่อมๆ คล้ายจะโอบตำหนักพระมเหสีให้อยู่ในวงล้อมของกองเพลิง บนหลังคาก็มีพลธนูในชุดสีดำสนิทกลืนกับราตรีประจำการณ์อยู่อย่างเงียบเชียบ ด้านหน้าตำหนักมีตัวประกันที่ถูกจับมัดนั่งตัวสั่นด้วยความหนาว ส่วนคนที่ยืนใกล้ประตูที่สุดก็คือซังกุงรับบัญชานั่นเอง ข้างกายนางปรากฏองครักษ์หน้าเหี้ยมที่กำลังยืนถือดาบใหญ่ ทว่าสิ่งที่น่าสะเทือนใจที่สุดคือบริเวณพื้นใกล้กับองครักษ์มีองค์หญิงดายองนั่งร้องไห้กระซิกด้วยความหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา ปากก็เรียกหาแต่ชุงจอนมามะ

         คิมซังกุงมองลูกสาวของศัตรูคู่อาฆาตด้วยความชิงชังก่อนจะหันไปพูดกับคนในตำหนัก

         "หม่อมฉันไม่อยากจะรออีกต่อไปแล้วนะเพคะ ถ้าองค์รัชทายาทยังไม่ส่งตัวพระมเหสีออกมา หม่อมฉันรับรองว่าดายองกงจูจะไม่ทันรู้สึกเจ็บปวดก่อนตายแน่นอนเพคะ"

         เสียงร่ำไห้อันทุกข์ทรมานของพระมเหสีดังออกมาจากข้างในตำหนัก มันเสียดแทงเข้าไปในใจของคนหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

         "นังกบฏ! อย่าบังอาจแตะต้องลูกข้าเป็นอันขาด!"

         "เช่นนั้นก็ออกมาสิเพคะ" คิมซังกุงท้าทาย "ออกมาช่วยองค์หญิงเถิด หม่อมฉันรออยู่ อีกอย่างนะเพคะ นี่มันคือรับสั่งฝ่าบาท การที่พระนางจะมาเรียกหม่อมฉันว่ากบฏมันไม่ค่อยถูกนะเพคะ"

         "เลิกจอมปลอมเสียที ไม่มีรับสั่งฝ่าบาทอะไรทั้งนั้น แอบอ้างพระบัญชาเพื่อทำเรื่องชั่ว เจ้าไม่มีทางชนะหรอก" เมื่อสิ้นเสียงพระมเหสี ซังกุงรับบัญชาก็เหลือบมองเหล่าทหารและกรมวังรอบตัว หลายคนเริ่มมีสีหน้าท่าทางสงสัยในการกระทำของตนแล้วว่าทั้งหมดนี้มาจากรับสั่งของฝ่าบาทแน่หรือ คิมซังกุงเองก็รู้สึกพลาดไปตอนจับตัวดายองกงจูมา แต่ตอนนี้มันถอยหลังไม่ได้แล้ว ต้องรีบเผด็จศึกให้เร็วที่สุดก่อนที่คนอื่นๆ จะสงสัยและเริ่มแปรพักตร์ ทว่าสิ่งที่มั่นใจอย่างหนึ่งในตอนนี้คือไม่มีใครหาตัวฝ่าบาทเจอแน่นอน เพราะห้องลับในตำหนักใหญ่ที่ใต้เท้าคิมเป็นผู้ค้นพบช่างเร้นลับนัก ไม่มีใครที่จะหาห้องนั้นพบแน่นอน และสกุลคิมของนางก็จะเป็นฝ่ายกำชัยชนะโดยสมบูรณ์

         "หยุดโต้แย้งเพื่อถ่วงเวลาเถิดเพคะพระมเหสี" คิมซังกุงตอบกลับไป "ตอนนี้หม่อมฉันจะไม่รออีกต่อไปแล้ว ถ้าพระองค์อยากให้องค์หญิงสิ้นพระชนม์นักก็ตามใจเพคะ"

         ภายในตำหนักกลาง ชุงจอนมามะกำลังนั่งสิ้นหวังอยู่หน้าประตู องค์รัชทายาทเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาใหญ่หลวงให้ผ่านพ้นไปได้

         "ยิมโฮ" จู่ๆ พระมเหสีก็ตรัสขึ้น "ช่วยไปหยิบหีบสีทองที่อยู่หลังที่บรรทมของแม่ให้ที"

         "หีบอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" พระโอรสตรัสถาม

         "หยิบมาเถิด แล้วเจ้าก็จะรู้ว่ามันจะช่วยอะไรได้"

         เชื้อพระวงศ์หนุ่มเดินเข้าไปยังห้องโถงและก้มลงค้นหาหีบที่ว่าหลังแท่นบรรทมของเสด็จแม่

         "ดูเหมือนจะหาไม่เจอ" ชุงจอนมามะตรัสเบาๆ "โชคังอิน เจ้าไปช่วยองค์รัชทายาทหาที หีบสีทองแกะสลักลายดอกไม้น่ะ"

          มหาดเล็กหนุ่มก้มศีรษะก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับนายเหนือหัวของตน

          เมื่ออยู่คนเดียว พระมเหสีถอนหายใจออกมาก่อนจะลุกยืนขึ้นช้าๆ มือทั้งสองค่อยๆ ดันประตูเปิดแล้วก้าวออกไปด้านนอกตำหนักด้วยใจเด็ดเดี่ยว

         "เสด็จแม่!"
     
         "พระมเหสี!"

         ทั้งลียิมโฮและโชคังอินต่างร้องตะโกนเมื่อหันมาเห็นว่าพระนางทำอะไรลงไป แต่ไม่ทันเสียแล้ว ชุงจอนมามะกระซิบออกมาเบาๆ ทั้งน้ำตา

         "...แม่ขอโทษ" พระนางปิดประตูตำหนักลงตามเดิมก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคิมซังกุง



         
    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×