ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #137 : ปฐมบทแห่งการเอาคืน [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 645
      58
      14 ม.ค. 63

    ตอนที่ 137 ปฐมบทแห่งการเอาคืน








         พระพักตร์ขององค์รัชทายาทฉายแววตกใจขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อเมื่อเห็นซอฮยอนยืนอยู่บนบันไดหินหน้าตำหนักพระชายา มหาดเล็กโชคังอินแอบเหลือบมองนายของตนอย่างหวาดๆ

         หญิงสาวหลีกไปข้างทางเพื่อหลบขบวนเสด็จก่อนจะโค้งคำนับอย่างช้าๆ ลียิมโฮเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซอฮยอนก่อนจะตรัสถามว่า

         "เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ"

         "เข้าเฝ้าพระชายาเพคะ พระนางทรงเรียกข้าเข้าเฝ้า"

         เชื้อพระวงศ์หนุ่มหันไปมองที่ตัวตำหนักอย่างสงสัย

         "นางเรียกเจ้ามาคุยด้วยเรื่องอะไร"

         ซอฮยอนขมวดคิ้ว

         "พระองค์ไม่รู้หรือเพคะ"

         "ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร" องค์รัชทายาทย้อนถาม

         "คนที่อยู่ในตำหนักเป็นถึงพระชายาของพระองค์เอง ทำไมถึงไม่รู้เล่าเพคะว่านางคิดจะทำอะไร" หญิงสาวยอกย้อนไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว นางยังคงคุกรุ่นกับคำสั่งของเซจาพินเรื่องยุบกองงานวรรณกรรม ถึงแม้ว่าใจลึกๆ ของหญิงสาวจะรู้ว่าบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องใดๆ กับคำสั่งนั้น แต่ความคิดร้ายกาจเล็กๆ ในหัวกำลังกระซิบบอกว่าไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เลือกเซจีเป็นชายาและทำให้นางมีอำนาจในการออกคำสั่งนี้ เขานั่นแหละคือต้นเหตุชัดๆ

         องค์รัชทายาทผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตอบกลับมา ความผิดหวังที่สั่งสมมาตั้งแต่ตอนที่รับรู้ถึงจดหมายปฏิเสธและบทสนทนาหน้าห้องเจ้ากรมพิธีการทำให้พระองค์เผลอตรัสตอบออกไปว่า

         "เซจาพินได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาของข้า เจ้าควรเรียกขานให้ถูก ไม่ใช่ใช้คำว่านางกับพระองค์ เจ้าน่าจะรู้กฎของฝ่ายในดีไม่ใช่หรือถ้ามีนางในที่แสดงความกระด้างกระเดื่องต่อสตรีที่ได้รับการแต่งตั้ง นางผู้นั้นจะต้องโทษหนัก"

         ซอฮยอนตกตะลึง ปากอ้าค้างด้วยความคาดไม่ถึง ทำไมองค์รัชทายาทจึงมีทีท่าเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จริงอยู่ที่ว่านางเป็นฝ่ายพูดประชดไปก่อน แต่ก็ไม่คิดว่าเชื้อพระวงศ์หนุ่มจะตอบโต้มาด้วยคำกล่าวเช่นนี้ ราวกับว่าเขาโกรธอะไรบางอย่างอยู่ฉะนั้น

         ความน้อยใจถูกตีขึ้นมาอีกครั้งจนแน่นอก หญิงสาวรู้สึกว่าน้ำตากำลังไหลรินออกมา แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาเห็นความอ่อนแอ นางจึงแกล้งหันไปทางอื่นเพื่อกะพริบตาไล่หยาดน้ำที่เอ่อล้น

         ประตูตำหนักถูกเลื่อนเปิดออกช้าๆ พระชายาเซจียิ้มหวานเมื่อเห็นพระสวามียืนอยู่ 

         "เสร็จธุระกับฝ่าบาทแล้วหรือเพคะท่านพี่"

         ซอฮยอนรู้สึกแสลงหูกับคำว่าท่านพี่ของพระชายาขึ้นมาทันใด

         "ใช่" ลียิมโฮตรัสตอบ "ฝ่าบาททรงหารือเรื่องตำแหน่งองค์รัชทายาทและเซจาพินซึ่งต้องผ่านการรับรองจากต้าหมิง"

         "แล้วเรียบร้อยดีรึไม่เพคะ"

         องค์รัชทายาทไม่ตอบแต่พยักหน้า เซจาพินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะไล่ตามสายตาของสวามีก็สังเกตเห็นว่าซอฮยอนยังไม่ได้ออกไปจากตำหนักของตน

         "ข้าบอกให้เจ้าไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังมายืนเสนอหน้าอยู่เล่า" เซจาพินตรัสเสียงดัง

         "เจ้าเรียกนางมาพบด้วยเหตุอันใดหรือ" ลียิมโฮหันมาถาม

         "ก็เรียกมาคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบนั่นแหละเพคะ เพราะนางก็เปรียบเหมือนสหายเก่าของข้าคนหนึ่งเหมือนกัน" เซจาพินตอบก่อนจะก้าวเข้ามาจับพระหัตถ์ของเชื้อพระวงศ์หนุ่มไว้อย่างอ่อนโยน
         
         ซอฮยอนเบือนหน้าหนีภาพบาดใจนั้นก่อนจะโค้งคำนับให้ทั้งคู่พลางหันกายเพื่อเดินลงบันไดหิน แต่ฉับพลันอาการหน้ามืดก็เข้าจู่โจมนางอีกครั้ง ทัศนวิสัยดับวูบกะทันหันจนร่างของหญิงสาวค่อยๆ เซถลาล้มลง

         องค์รัชทายาทรีบสะบัดมือพระชายาเซจีทิ้งไปอย่างแรงก่อนจะพุ่งเข้าไปหาซอฮยอนตามสัญชาตญาณ แต่ทว่าซอฮยอนนั้นคว้าราวบันไดหินได้ทันท่วงทีก่อนที่ร่างจะร่วงลงกับพื้น นางจึงยังทรงตัวอยู่ได้

         เมื่ออาการวิงเวียนของหญิงสาวค่อยๆ ดีขึ้น นางก็เพิ่งเห็นว่าองค์รัชทายาทยืนนิ่งอยู่ระหว่างตนเองกับพระชายาเซจีด้วยท่าทางประหลาด

         พระชายายืนตัวค้าง ดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องไปที่เชื้อพระวงศ์หนุ่มอย่างไม่พอพระทัย เมื่อครู่นี้ตอนที่ซอฮยอนจะล้มลง ผู้เป็นสวามีได้ปัดมือตนทิ้งอย่างไม่ไยดีและวิ่งไปหาซอฮยอนในกิริยาท่วงท่าที่จะไปรองรับนางไม่ให้ร่วงถึงพื้นชัดๆ

         องค์รัชทายาทเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงพุ่งไปแบบนั้นเมื่อเห็นร่างซอฮยอนจะทรุดลง แต่พระองค์ก็ยังไม่ทันได้ช่วยอะไรหญิงสาวเพราะนางฉวยราวบันไดยันกายได้ทัน ตอนนี้ภาพที่ปรากฏคือเชื้อพระวงศ์หนุ่มจึงยืนเก้อเขินอยู่ระหว่างสองสตรี

         เหล่าข้าราชบริพารรอบด้านเมื่อเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นโดยตลอดก็พากันมองหน้าคล้ายจะรู้ความนัย หลายคนแอบยิ้มออกมา หลายคนก็ลอบมองพระพักตร์แข็งกระด้างของเซจาพินอย่างกลัวๆ ส่วนมหาดเล็กโชคังอินนั้นถึงกับมองพระชายาและซอฮยอนสลับไปมาอย่างตกใจ
         
         ซอฮยอนเองก็มององค์รัชทายาทอย่างงงๆ ก่อนจะเดินลงบันไป นางไม่ได้หันมามองตัวตำหนักอีกเลยระหว่างที่ก้าวตัดลานไปยังประตูทางออกเพราะกลัวว่าจะเห็นภาพบาดตาอีก หญิงสาวคิดว่าคนเราจะได้อะไรมาครอบครองนั้นบางทีก็ต้องขึ้นอยู่กับวาสนาเหมือนกัน บางคนต่อให้ทำทุกวิถีทาง ให้ตายก็ไม่มีวันสมหวังเพราะไร้ซึ่งวาสนา...

         ก็เหมือนกับชีวิตนางนั่นแหละ หญิงสาวคิดอย่างเศร้าๆ












         คำบอกเล่าของซอฮยอนที่ได้ไปเข้าเฝ้าพระชายาเซจีค่อยๆ ถ่ายทอดออกจากปากของหญิงสาวในห้องทำงานของใต้เท้ามุนยองนัม เมื่อเล่าจบเชวซังกุงก็มีอาการตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัด ใต้เท้ากึมแฮเองก็ดูกังวลไม่น้อย ส่วนหัวหน้ากองงานวรรณกรรมถึงกับถอนหายใจเมื่อฟังจบ

         "สกุลคิมกำลังกลืนกินราชสำนัก การให้ลูกหลานได้ขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายในถือเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากได้มานานเพราะไม่เคยได้มาก่อน เมื่อตอนนี้ทำสำเร็จก็เริ่มจัดการทุกอย่างให้มาอยู่ในกำมือทันที" ใต้เท้ากึมแฮพูดขึ้น

         "แต่การควบคุมกองงานฝ่ายในของแนเมียงบู เป็นราชกิจของพระมเหสีเท่านั้นไม่ใช่หรือเพราะพระนางเป็นประมุขของฝ่ายใน ส่วนพระชายาเซจีเป็นประมุขของเซจากุงจะมาก้าวก่ายได้อย่างไร มันคนละส่วนงานกัน นี่เป็นการผิดกฎชัดๆ" เชวซังกุงเอ่ยออกมารัวเร็ว

         "เจ้าก็รู้นี่ว่าตอนนี้พระมเหสีทรงประชวรหนัก อำนาจทั้งปวงก็มาตกอยู่ที่เซโจซังกุงกับคิมซังกุง แล้วสภาพเซโจซังกุงที่ตัวคนเดียวจะเอาอะไรไปสู้กับคิมซังกุงที่มีเสนาชั้นเอกอย่างใต้เท้าคิมแทซุนคอยหนุนหลังอยู่ หลานนางก็ขึ้นเป็นเซจาพิน องค์รัชทายาทก็ดูแปลกไป ทั้งหมดนี้กำลังบ่งชี้ว่าขั้วอำนาจฝ่ายสกุลคิมกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ" ใต้เท้ากึมแฮอธิบาย

         "ถ้าเราทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทเล่าเจ้าคะ" เชวซังกุงถามต่อ

         "เรื่องของวังหน้าก็วุ่นวายพอสมควรอยู่แล้ว" ใต้เท้ามุนยองนัมบอก "ข้าได้ยินว่าเหตุเพราะโชซอนเราเป็นเมืองประเทศราชของจีน การแต่งตั้งรัชทายาทและเซจาพินองค์ใหม่จะมีขึ้นอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ถ้ายังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากต้าหมิงเสียก่อน เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทหนักพระทัยนัก แล้วเจ้าคิดว่าพระองค์จะมาสนใจเรื่องของวังหลังหรือ ถึงต่อให้สนใจจริง ตามธรรมเนียมของราชสำนักนั้นฝ่าบาทเองก็มายุ่มย่ามฝ่ายในไม่ได้เว้นแต่เรื่องนั้นเกี่ยวพันถึงพระองค์"

         เชวซังกุงส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทาง

         "แล้วเราจะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ จะปล่อยให้กองงานวรรณกรรมถูกยุบหรือ พวกผู้ชายอาจจะไม่เป็นไร แต่บรรดานางในเหล่าเจ้าคะ พวกนางจะไม่ถูกขับออกไปจากวังจนหมดหรือ"

         "พระชายาตรัสกับข้าว่าจะให้เวลาสามวันในการให้นางในของกองงานเราหาสังกัดอื่นอยู่เจ้าค่ะ หาไม่จะไล่ออกจากวัง" ซอฮยอนกล่าว

         "ทำแบบนั้นก็เท่ากับไล่ออกอยู่ดี นางในที่เรียนเกี่ยวกับการเขียนมาหลายปี จู่ๆ จะให้ไปทำงานอื่นจำพวกทำเครื่องเสวย เย็บปัก ซักล้างหรือ รับสั่งเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากยุบไปแล้วนั่นแหละ" เชวซังกุงร้อง

         "ใจเย็นๆ ก่อนเถิดเชวซังกุง" ใต้เท้ากึมแฮปราม "ข้ากับใต้เท้ามุนและคนอื่นๆ จะไปทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทเอง พระองค์น่าจะช่วยทัดทานได้ เจ้าอย่าเพิ่งเป็นห่วงไปเลย"

         "ก็ไหนว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงวุ่นวายกับเรื่องวังหน้าอยู่นี่เจ้าคะ" เชวซังกุงสงสัย

         "แต่ถ้ามีคนถูกขับออกจากวังจำนวนมากอันเนื่องมาจากความไม่ยุติธรรม ข้าคิดว่าฝ่าบาทต้องทัดทานแน่นอน" ใต้เท้ามุนตอบ

         "แล้วถ้าฝ่าบาททรงเห็นด้วยขึ้นมาเล่าเจ้าคะ" จู่ๆ ซอฮยอนก็พูดออกมา ทุกคนหันมามองนางเป็นตาเดียว

         "ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น" หัวหน้ากองงานวรรณกรรมเลิกคิ้วถาม

         "ถ้าพระองค์ทรงช่วยทัดทานมันก็ดีเจ้าค่ะ แต่เราก็ต้องคิดเผื่อใจในทางร้ายไว้ด้วยนะเจ้าคะว่าพระองค์อาจจะเห็นด้วยก็ได้ พวกเราจะได้รับมือถูกหากมันเกิดขึ้น" ซอฮยอนอธิบาย

         "พระเจ้าโจจงของเราไม่เคยมองกองงานวรรณกรรมเป็นส่วนเกินของราชสำนัก งานเขียนและกลอนต่างๆ ก็เป็นที่ถูกพระทัยฝ่าบาทอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นเป็นไปได้ยากที่พระองค์จะทรงเห็นด้วยกับการยุบกองงานเรา" ใต้เท้ากึมแฮพูด

         "เรื่องนั้นข้ารู้ดีเจ้าค่ะใต้เท้า" ซอฮยอนหันไปกล่าวกับขุนนางอาวุโส "แต่ใครจะล่วงรู้พระทัยฝ่าบาทได้เล่า อีกอย่างนะเจ้าคะ ต่อให้นางในกองงานเราถูกขับออกไป แต่เหล่าบัณฑิต อาลักษณ์ ปราชญ์ขงจื๊อ รวมถึงใต้เท้าทั้งหลายก็ยังทำงานอยู่ ฝ่าบาทอาจจะเล็งเห็นว่าถ้ามีคนทำงานแค่นี้กองงานวรรณกรรมก็น่าจะอยู่ต่อไปได้จึงอาจจะเห็นด้วยขึ้นมาถ้ามีการไล่นางในออก ที่สำคัญพวกสกุลคิมก็คงจะเอาเรื่องเบี้ยเลี้ยงทางการมาอ้างว่าถ้านางในของเรายังอยู่จะเป็นการผลาญเงินในท้องพระคลังอย่างไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ"

         ใต้เท้ามุนและใต้เท้ากึมแฮมองหน้ากันทันทีเมื่อหญิงสาวพูดจบ

         "สิ่งที่ซอฮยอนกล่าวก็น่าคิดนะเจ้าคะ เราควรหาทางรับมือเรื่องนี้" เชวซังกุงบอกกับทุกคน

         "มันก็อาจเป็นไปได้" ใต้เท้ามุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม "แต่กองงานเราไม่มีอำนาจใดที่พอสำหรับไปต่อกรกับสกุลคิมได้เลย เปรียบพวกเขาเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนพวกเราก็แค่หิ่งห้อย"

         ซอฮยอนนิ่งไปเมื่อฟังหัวหน้ากองงานวรรณกรรมพูด หญิงสาวกำลังคิดไตร่ตรองช้าๆ สิ่งที่มีอำนาจพอที่จะต่อกรกับสกุลคิมได้อย่างนั้นหรือ...

         "ข้า... ข้าคิดว่ามีเจ้าค่ะ" ในที่สุดนางก็เอ่ยออกมา

         "มีด้วยหรือ" ใต้เท้ากึมแฮถามเสียงสูง "สิ่งใดกันที่จะต่อกรกับพวกเขาได้"

         "ไม่ใช่สิ่งใดเจ้าค่ะ แต่ว่าเป็นใครต่างหาก"

         "แล้วผู้นั้นเป็นใครหรือ" เชวซังกุงซักไซ้

         "ข้าจะบอกก็ต่อเมื่อข้ามั่นใจเจ้าค่ะ" ซอฮยอนลุกขึ้นยืน "แต่ตอนนี้ข้าต้องไปที่แห่งหนึ่งก่อน ไม่แน่ว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าคาดคิด สกุลคิมจะต้องถูกเอาคืนอย่างแน่นอน"

         "เจ้าจะพูดอะไรกันแน่" ใต้เท้ามุนงุนงง

         "เดี๋ยวก็รู้เจ้าค่ะ แต่ปฐมบทแห่งการเอาคืนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว"














         ภายในท้องพระโรงว่าราชการ เหล่าขุนนางที่เพิ่งถวายรายงานเกี่ยวกับการรับรองความเป็นรัชทายาทจากต้าหมิงจบค่อยๆ เคลื่อนกายพากันเดินออกมาจากท้องพระโรงทีละคน เหลือเพียงฝ่าบาทที่ประทับแน่นิ่งอยู่บัลลังก์สูงโดยมีสีพระพักตร์ที่ดูคล้ายกำลังจะคิดใคร่ครวญอะไรอยู่อย่างหนัก

         ปัญหาบ้านเมืองทั้งภายในและภายนอกรุมเร้าพระองค์มาตลอดรัชสมัยแห่งการครองราชย์ ไม่เคยเลยที่ทุกอย่างจะสงบราบเรียบไปพร้อมกัน ถ้าไม่เรื่องการอดอยากของชาวบ้าน ก็ต้องเป็นเรื่องขุนนางที่ใส่ความกัน ล่าสุดใต้เท้าคิมก็เพิ่งมาทูลนอกเหนือจากเรื่องรัชทายาทไปว่ามีการเคลื่อนไหวแปลกๆ ของคนสกุลซิน ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้เก็บเอาสิ่งนั้นมาให้วุ่นวายพระทัย

         ปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญตอนนี้คือเรื่องการรับรองตำแหน่งองค์รัชทายาท การเป็นเจ้าผู้ครองประเทศราชต้องทนกับระบอบแบบนี้ไปอีกนานเท่าใด อิสระในตนเองก็ไม่มี

         "ฝ่าบาท เจ้ากรมพิธีการและใต้เท้าจุนซาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีหน้าท้องพระโรงส่งเสียงเข้ามา

         "เข้ามาได้"

         ใต้เท้าอาวุโสสองท่านเดินอย่างสำรวมเข้ามาในท้องพระโรงก่อนจะถวายความคำนับ

         "ไม่เห็นหน้าตาท่านทั้งคู่อยู่หลายวัน มีธุระติดพันหรือ" ฝ่าบาทตรัสทักทาย

         "ไม่ถึงขนาดติดพันหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันเห็นว่าพระองค์มีเรื่องให้สะสางเยอะเสียเหลือเกิน พระมเหสีก็มาประชวรหนัก จึงไม่อยากมารบกวนพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมพิธีการกราบทูล

         "ข้าเข้าใจและขอบใจที่ถามถึงพระพลานามัยของมเหสี เมื่อครู่กลุ่มขุนนางทั้งหลายที่เพิ่งเข้าเฝ้าข้า ไม่มีใครสักคนที่จะถามถึงอาการพระนางเลย" ตรัสจบก็หัวเราะออกเบาๆ

         "แล้วหมอหลวงว่าอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ" ใต้เท้าจุนซาถาม

         "อาการยังทรงๆ อยู่ ปัญหาคือชุงจอนไม่ยอมรับเครื่องเสวย" ฝ่าบาทถอนหายใจ "ว่าแต่พวกท่านมีธุระอะไรหรือ"

         "เรื่องตำแหน่งราชเลขาประจำพระองค์พ่ะย่ะค่ะ หวังว่าฝ่าบาทยังจำได้"

         "ว่ามาได้"

         "ท่านเจ้ากรมและหม่อมฉันพบว่าปาร์คซอฮยอนยังไม่พร้อมกับตำแหน่งงานนี้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจึงคิดว่าตนเองควรทำหน้าที่ต่อไปก่อน" ใต้เท้าจุนซาทูล

         "แต่ท่านป่วยมิใช่หรือ" ฝ่าบาทสงสัย

         "ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าไม่มีผู้ใดที่จะ--"

         "มีเพคะ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังจากด้านหน้าท้องพระโรง ฝ่าบาทเพ่งตามอง

         ซอฮยอนเดินเข้ามากลางท้องพระโรงก่อนจะถวายความคำนับแบบเต็มให้กับฝ่าบาทก่อนจะทูลว่า

         "หม่อมฉันขออภัยเพคะที่จู่ๆ ก็ล่วงล้ำเข้ามา แต่ขันทีหน้าตำหนักไม่ยอมให้หม่อมฉันเข้ามาด้านใน จึงต้องก้าวเข้ามาเอง"

         "เจ้าทำอะไรน่ะ" เจ้ากรมพิธีการตกตะลึง "ผลุนผลันเข้ามาในท้องพระโรงจะต้องอาญาหนัก เจ้าไม่รู้หรือ"

         "ไม่เป็นไรหรอก นางคงมีเรื่องด่วน" พระเจ้าโจจงโบกพระหัตถ์อย่างไม่ถือสา "ว่าธุระของเจ้ามาซอฮยอน"

         "หม่อมฉันจะมาทูลฝ่าบาท รวมถึงแจ้งท่านเจ้ากรมพิธีการและใต้เท้าจุนซา ว่าหม่อมฉันพร้อมจะรับตำแหน่งราชเลขาประจำพระองค์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพคะ"





    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×