ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักวังหลวง [서현]

    ลำดับตอนที่ #4 : ลูกชัง [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.39K
      117
      28 เม.ย. 62

                                ตอนที่ 4 ลูกชัง




         คิมซังกุงในชุดทังอีสีเขียวเข้มเดินอย่างเร่งรีบเข้ามาที่บริเวณห้องเครื่อง มือข้างหนึ่งประคองจัดคาเชบนศีรษะที่เหมือนจะเคลื่อนหลุดเพราะการวิ่งอย่างกะทันหันของนาง เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยก็ซุกมือไว้ในชายผ้าด้านหน้าดังเดิม กระโปรงยาวคลุมถึงเท้าสะบัดตามจังหวะการเดิน บรรดานางในชุดสีแดงรวมถึงบรรดาซังกุงที่สวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนต่างก้มหน้าโค้งคำนับให้นางอย่างผู้ต่ำศักดิ์กว่า ทว่าคิมซังกุงหาได้รั้งรอทักทายกับผู้ใดไม่ กลับเดินเชิดหน้าออกไปทางห้องเก็บของแห้งประจำห้องเครื่องตำหนักใหญ่

         ห้องเครื่องหรือฝ่ายซูรากันแต่ละตำหนักจะแบ่งเป็นห้องต่างๆ แยกย่อยออกไปเช่น ห้องลำเลียง ห้องเครื่องปรุง ห้องเก็บน้ำ ห้องของตากแห้ง ห้องเก็บอาหารทะเล ห้องผลไม้และเครื่องว่าง เป็นต้น ทุกห้องจะมีซังกุงระดับธรรมดา (สวมใส่ชุดสีเขียวอ่อน ถ้าชุดทังอีเป็นสีเขียวเข้มคือระดับหัวหน้า) ควบคุมดูแล แน่นอนว่าห้องดองผักก็มีเช่นกัน

         ห้องดองผักเป็นห้องที่อยู่ริมสุดของฝ่ายซูรากันเพราะถัดออกไปจะเป็นพื้นดินตามธรรมชาติเพื่อเอาไว้ฝังไหเครื่องปรุงและไหดองผักต่างๆ ลงสู่ใต้ดิน พื้นที่นี้นอกจากจะเป็นที่เฉพาะสำหรับสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น เหล่านางกำนัลเด็กและนางกำนัลไม่มียศมักจะนำโถเครื่องปรุงรสรวมไปถึงน้ำปรุงรส น้ำส้มสายชูปรุงรส แม้แต่เหล้าจีนก็นำมาหมักไว้ใต้ดินแห่งนี้ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีก็จะมาขุดเอาไปใช้ประโยชน์ นางกำนัลเด็กบางคนถึงกับฝังรอไว้เป็นสิบๆ ปี เมื่อโตขึ้นผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นนางในเต็มตัวก็จะขุดเอามาใช้ทำอาหาร แน่นอนว่ารสชาติเป็นเลิศแม้นางในรุ่นพี่ก็ไม่อาจเทียบได้

         "นายหญิง" ซังกุงสูงอายุร่างผอมในขุดสีเขียวอ่อนมองซ้ายมองขวาพลางร้องเรียกคิมซังกุงที่กำลังเดินเข้ามา นางอายุมากกว่าก็จริงแต่ต้องคำนับทำความเคารพคิมซังกุงในฐานะที่นางมีตำแหน่งสูงกว่า

         "เป็นอย่างไรคังซังกุง นางสิ้นใจรึยัง" คิมซังกุงกระซิบถามซังกุงประจำห้องดองผัก 

         คังซังกุงไม่ตอบแต่มีกิริยาท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าชราภาพที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อนั้นส่อแวววิตกกังวล

         "ทำไมถึงไม่ตอบข้าล่ะ" คิมซังกุงถาม เสียงเข้มขึ้น

         "เอ่อ พระชายา... พระชายาหายตัวไปเจ้าค่ะ" คังซังกุงก้มหน้ารายงาน คิมซังกุงผงะด้วยความตกใจ

         "อะ... อะไรนะ! หายตัวไป เจ้าพูดอะไรออกมา นางจะตายอยู่รอมร่อ ขยับกายยังทำไม่ได้ ประตูห้องก็ลงสลักไว้มิดชิด นางจะออกมาได้อย่างไร"

         "นางหายออกไปจริงๆ เจ้าค่ะนางหญิง" คังซังกุงยืนยันด้วยน้ำเสียงร้อนรน คิมซังกุงขมวดคิ้ว

         "นี่เจ้าจะบอกว่านางมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารหายตัวได้อย่างนั้นหรือ รึไม่ก็ชำแรกพื้นดินหนีออกไป" 

         "ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะนายหญิง แต่ว่ามีคนมาช่วยนาง" คังซังกุงรีบพูด คิมซังกุงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางชะงักแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากตวาดลั่น

         "เป็นไปไม่ได้ นี่เจ้าดูแลห้องของตัวเองประสาอะไรถึงปล่อยให้คนแอบเข้ามาได้" คังซังกุงรู้ว่านายหญิงโกรธเกรี้ยวก็รีบโค้งคำนับลงอย่างหวาดหวั่น คิมซังกุงไม่สนใจก่อนจะรีบเดินขึ้นไปที่ห้องดองผัก เมื่อเห็นสลักถูกถอดออกอย่างสิ้นเชิงอีกทั้งบานประตูเปิดกว้างเช่นนั้นซังกุงสกุลคิมก็ถึงกับอ้าปากค้าง

         นางรีบพุ่งเข้ามา ภายในนั้นมืดทึบ หน้าต่างทุกบานปิดสนิท มีเพียงแสงอาทิตย์รำไรที่ส่องผ่านช่องไม้ช่องปูนเข้ามาจนเห็นเศษฝุ่นลอยเอื่อย ในห้องเต็มไปด้วยไหดองที่ถูกปิดด้วยฝาหิน สมุนไพรและพืชบางชนิดห้อยระโยงระยางลงมาจากเพดาน กลิ่นอับชื้นและเหม็นเปรี้ยวของผักบางประเภทที่ดองอยู่ส่งกลิ่นฉุนจมูกอย่างรุนแรง

         คิมซังกุงกวาดตามองไปรอบด้านและทุกซอกทุกมุมของห้องดองผักถึงสามรอบก็พบว่าพระชายาไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ

         "อธิบายมา อธิบายมาเดี๋ยวนี้!" คิมซังกุงกรีดเสียงถามซังกุงประจำห้องดองผักอย่างโกรธจัด "ข้าเห็นกับตา เห็นกับตาว่าร่างของนางถูกโยนเข้ามาในนี้แท้ๆ แล้วนางจะหายไปอย่างไร ตอบข้ามา!" 

         "เพราะ... เพราะว่ามีนางในกลุ่มหนึ่งแอบมาช่วยนางออกไปเจ้าค่ะ" 

         คิมซังกุงรู้สึกว่าขาข้างหนึ่งก้าวพลาดไปในอะไรสักอย่างก่อนที่จะเสียหลักล้มลง นางลืมไปเสียสนิท นางลืมไปได้อย่างไรกัน พระชายาเป็นลูกหลานขุนนางชั้นสูงของสกุลซินซึ่งเป็นอริกับสกุลคิมของตนมาตลอด แน่นอนว่าอิทธิพลในวังหลวงย่อมมีมากไม่แตกต่างกัน การที่จะมีนางในที่เป็นคนของฮวารยอนล่วงรู้และมาช่วยออกไปจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นางพลาดไปได้อย่างไรในจุดนี้ นางควรจะฆ่าฮวารยอนให้ตายแล้วเอาศพไปไว้นอกวังแต่แรก

         "แล้วเจ้าเห็นกับตารึว่ามีนางในมาเอาตัวพระชายาออกไป หรือเจ้าทรยศข้า แอบช่วยพวกนั้นเพื่อพาพระชายาหนีไป" คิมซังกุงถามเสียงเย็นเยียบ

         "มะ... ไม่ใช่นะเจ้าคะนายหญิง ข้าไหนเลยจะกล้า" คังซังกุงรีบพูด

         "เช่นนั้นเจ้ามัวทำอะไรอยู่ถึงปล่อยให้พวกมันมาช่วยพระชายา" คิมซังกุงกระแทกเสียง

         "ข้าต้องไปลานฝึกของห้องเครื่องจึงฝากให้นางกำนัลสองคนคอยเฝ้า ไม่นึกว่าพวกนั้นจะบุกเข้ามา สองคนนั้นก็ต้องหนีเอาชีวิตรอดก่อน"

         "ทำงานกันไม่ได้เรื่องสักคน ไม่เอาไหนจริงๆ" คิมซังกุงตวาดเสียงดัง "นางหนีไปได้เช่นนี้ หากไปฟ้ององค์ชายหรือเปิดโปงความจริงกับกรมอาญาเราจะคอขาดกันทั้งหมด เผลอๆ อาจจะโดนโทษกบฏ เราต้องส่งคนออกไป รีบหานางให้เจอ เจ้าจงถ่ายทอดคำสั่งข้า สั่งซังกุงและนางในที่อยู่ฝ่ายเราทั้งหมดออกตามหาพระชายา ทำทุกอย่างให้เงียบเชียบอย่ากระโตกกระตากและห้ามแพร่งพรายมิให้ผู้ใดรู้ ถ้าเจอนางเมื่อไรก็จงฆ่าเสีย พิษที่ข้าให้นางเป็นพิษร้ายแรง จะอย่างไรนางก็ไม่รอด แค่ซื้อเวลาเท่านั้น"

         คังซังกุงโค้งคำนับนายหญิงก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันทีเท่าที่สังขารของนางจะทำได้ ส่วนคิมซังกุงเหลียวมองไปที่ประตูห้องดองผักอีกครั้งและพูดออกมาเสียงแผ่วเบา

         "ตายยากตายเย็นนักนะ ซินฮวารยอน"








         ห่างไกลออกมาจากราชสำนัก ข้ามกำแพงและป้อมประตูเมือง พ้นจากแนวบ้านเรือนแออัดของชุมชนรอบวังหลวงก็จะเป็นตลาดใหญ่ซึ่งคนมักจะมาจับจ่ายซื้อของพลุกพล่านที่สุดในเมืองฮันยาง(เมืองหลวงของโชซอน) ตลอดเส้นถนนคนเดินจะปรากฏแผงขายของทั้งแนว ส่วนมากคือเนื้อสัตว์จำพวกอาหารทะเลสด ทว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปลาที่หาไม่ยาก พบง่ายในท้องตลาดและตามชายฝั่งทะเล สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายเนื้อสัตว์ทะเลราคาสูงและหายากเช่น เป๋าฮื้อ ปลิงทะเลสด ปูจากเมืองอึยจิน รวมถึงส่งเข้าวังก็จะมีฐานะสูงหน่อยซึ่งจะเปิดร้านเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ ไม่ต่างจากร้านขายเนื้อที่จะต้องมีพื้นที่ในร้านสำหรับล้มวัวทั้งตัวและชำแหละเนื้อหนังรวมถึงซี่โครงออกมาวางแขวนขาย

         ถัดมาก็จะเป็นร้านขายของประดับและเครื่องเขียน เสื้อผ้าอาภรณ์ ซึ่งคนส่วนมากรู้ดีว่าร้านที่เปิดเป็นของตัวเองโดยเฉพาะนั้นจะเป็นของแท้และดี แม้จะมีราคาแพงแต่ก็พร้อมที่จะทุ่มทุนซื้อ ส่วนแผงที่ขายข้างทางก็จะราคาถูกทว่าคือของปลอมไม่ก็เป็นของมีตำหนิ การค้าขายที่ต่างกันนี้เหตุเพราะฐานะทางสังคมชนชั้นที่แบ่งแยกกันชัดเจน เหล่าร้านใหญ่ๆ คือชนชั้นชุงอิน(1) ส่วนรายย่อยที่ขายข้างทาง พวกแบกหามใช้แรงงานก็เป็นชนชั้นซังมิน(2) 

         ผู้คนที่เดินไปมาล้วนแต่แต่งกายด้วยชุดฮันบกธรรมดา สตรีที่มีอายุก็จะมีคาเชอยู่บนศีรษะแต่ไม่งดงามและสูงสง่าเท่าหญิงในวัง สีของชุดส่วนมากเป็นสีซีดขาวสลับสีเข้มทึบทึม บ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่และชนชั้นทางสังคมเช่นกัน นานๆ ทีที่จะมีคนใส่ชุดสีฉูดฉาด เนื้อผ้างดงามละเอียดสัญจรผ่านมา ถ้าเป็นผู้ชายก็คือขุนนาง แต่ถ้าเป็นหญิงก็คือคุณหนูของชนชั้นสูงซึ่งจะมีผ้าคลุมปกคลุมบริเวณศีรษะ ใบหน้า ลำตัวจนถึงเท้าอีกที

         ตลาดอันคับคั่งนั้นจะสิ้นสุดตรงปลายถนนเพราะเป็นขอบเขตพื้นที่ของตระกูลขุนนางใหญ่ รั้วหินสีขาวก่อเป็นแนวสูงรอบด้านกั้นจากเพื่อนบ้านโดยสิ้นเชิง ข้างในเป็นตัวบ้านลักษณะคีวาจิบ(3)หลังใหญ่ที่โอ่อ่าที่สุดและหรูหรากว่าตำหนักเชื้อพระวงศ์บางพระองค์ที่ตั้งอยู่นอกวังเสียด้วยซ้ำ สิ่งก่อสร้างทำจากวัสดุที่คงทนถาวรและราคาแพง ผิดจากละแวกนั้นที่มีแต่บ้านซอมซ่อหลังเล็กๆ หลังคามุงด้วยใบจากไม่ก็ฟางมัดรวมกัน ฝาบ้านและโครงก็ประกอบขึ้นง่ายๆ จากวัสดุธรรมดาลักษณะนอวาจิบ(4) รั้วบ้านบางทีก็เป็นแค่ไม้ยาวๆ ปักเป็นแนวโดยรอบเพื่อแสดงอาณาเขตเท่านั้น ชามหม้อไหต่างๆ ที่แตกชำรุดวางกองกันระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ ส่อให้เห็นถึงการกินอยู่ที่แร้นแค้น นี่คือสภาพอันเหลื่อมล้ำกันอย่างรุนแรงของโชซอน

         บ้านหลังใหญ่สีขาวที่ตั้งตระหง่านนั้นปิดเงียบสงบผิดปกติ ไม่นานก็ปรากฏชายวัยกลางคนลักษณะการแต่งกายเหมือนพ่อบ้านวิ่งพรวดออกมาจากเรือนที่มีป้ายอลังการเขียนเป็นตัวอักษรจีน(5)ว่า "สกุลซิน" อย่างเร่งรีบ เขาสาวเท้าไปที่บริเวณประตูไม้ตรงรั้วกำแพงพลางรีบถอดสลักก่อนจะเปิดออก

         ชายสูงอายุบุคลิกเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าประตู รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและผมขาวที่ขึ้นแซมผมดำประปรายบนศีรษะนั้นแม้จะบ่งบอกว่าใกล้ถึงวัยชรา แต่ยังเห็นได้ชัดว่าในอดีตเขาเคยเป็นชายหนุ่มรูปงามมาก่อน ชุดที่สวมใส่เป็นชุดคลุมสีแดงของทางการสำหรับขุนนางชั้นเอกในวัง หน้าอกปักเป็นลายนกกระเรียนทะยานเมฆขึ้นฟ้า(6) บั้นเอวมีเข็มขัดคาดไว้แบบหลวมๆ ศีรษะประดับด้วยหมวกสีดำมีปีกยาวสองข้าง ดวงตาคมกริบทรงอำนาจเพ่งมองไปที่ตัวบ้านก่อนจะหันกลับมายังพ่อบ้านอีกหน 

         "ตะ... ใต้เท้า ทำไมถึงมาคนเดียวเล่า เกี้ยวล่ะขอรับ" พ่อบ้านพูดขึ้นด้วยความตกใจ

         "ลูกข้าอยู่ไหน" ชายในชุดขุนนางถามโดยไม่สนใจอาการตกตะลึงพ่อบ้าน กระแสเสียงเหมือนจะพยายามอดกลั้นความรู้สึกอะไรบางอย่าง

         "พระนางอยู่ในบ้านแล้วขอรับท่าน" พ่อบ้านรีบก้มหัวตอบ

         "หมอมารึยัง" 

         "มาแล้วขอรับใต้เท้าซิน"

         ผู้ถูกเรียกว่าใต้เท้าซินรีบรุดเข้ามาในเขตบ้านทันที เมื่อเดินขึ้นบันไดหินและเปิดบานประตูไม้เลื่อนออกก็พบว่ามีผู้คนมากมายยืนอยู่ออกันอยู่ ส่วนมากเป็นขุนนางรวมถึงราชบัณฑิตในชุดสีคลุมสีเขียวกับน้ำเงิน ทุกคนต่างพยายามทำตัวให้เงียบเชียบและไม่พูดคุยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันทีที่ใต้เท้าซินก้าวเข้ามา ทุกคนก็รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง

         "พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง" เขาถามขึ้น

         แต่ละคนแอบลอบมองหน้ากันไปมาแต่ไม่มีผู้ใดหาญกล้าตอบ

         "ข้าถามว่าลูกข้าเป็นอย่างไร!" ใต้เท้าซินที่ระเบิดโทสะซึ่งเก็บกลั้นมานานตะเบ็งเสียงดังลั่นห้องจนทุกคนสะดุ้งโหยงด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดก็มีใต้เท้าในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งตอบออกมาช้าๆ

         "อาการมีแต่ทรงกับทรุดขอรับใต้เท้า ยาพิษที่นางได้รับรุนแรงมาก เกรงว่าอาจจะ--" 

         "หุบปากนะ! นั่นเป็นถึงพระชายา เจ้ากล้าพูดจาสามหาวหรือ" ใต้เท้าซินตวาด

         "พวกกระผมระดมหมอที่เก่งกาจจากทุกสารทิศในเมืองหลวงมาแล้วนะขอรับ ทั้งหมอชาวบ้าน หมอจีน รวมถึงหมอหลวงที่พาลักลอบออกมาจากวังด้วย"

         "เช่นนั้นลูกข้าก็ต้องรอด" ใต้เท้าซินพูดออกมารัวเร็ว 

         "เหล่านางในที่แอบพาพระนางออกมาจากห้องดองผักบอกว่าพระนางใกล้สิ้นใจเต็มที แต่ที่ยังอยู่ได้เพราะน้ำต้มถั่วเขียวที่พวกนางต้มให้ดื่มขอรับ" หลายคนในที่นั้นรายงาน

         "คิมซังกุง นังสารเลวนั่น ข้าต้องฆ่านางให้ได้" ใต้เท้าซินกำหมัดและขบกรามแน่น สายตาเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นแสนสาหัส สกุลคิมที่เป็นปรปักษ์กับสกุลซินมาช้านานในที่สุดก็ใช้แผนชั่วกำจัดพระชายาให้พ้นทาง "ข้าสาบาน ข้าจะให้พวกมันชดใช้ ชดใช้ด้วยชีวิต!" เขาพูดออกมาเสียงดัง น้ำตาแห่งความเกลียดชังค่อยๆ ไหลออกมา

         ประตูห้องเปิดออก ใต้เท้าหนวดดกดำร่างท้วมในชุดคลุมสีม่วงอายุไล่เลี่ยกับใต้เท้าซินเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ 

         "เจ้ากรมมหาดเล็ก" เจ้าของบ้านพูดขึ้นเสียงแหบ

         "ใต้เท้า" เจ้ากรมมหาดเล็กลีซุนยีทักทายก่อนจะยกมือกุมอกเพราะหายใจไม่ทัน "ข้า...ข้ารีบออกมาจากวังทันทีที่ได้ข่าว เป็นเรื่องจริงหรือ พระชายาโดนวางยาพิษ เป็นความจริงแน่หรือ"

         ใต้เท้าซินหลับตาลงและพยักหน้า

         "เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร แล้วคิมซังกุงนั่น ทำไมถึงไปเป็นซังกุงคนสนิทของพระชายาได้เล่า ซอซังกุงที่ท่านให้เป็นซังกุงคนสนิทพระนางแต่แรกไปไหนเสีย" ใต้เท้าลีถาม

         "อิทธิพลของคิมซังกุงต่อวังหลวงฝ่ายในมีกว้างขวางมาก นางเป็นคนสับเปลี่ยนตำแหน่งนี้แน่นอน ให้ตัวเองมาแทนเพื่อหาทางกำจัดพระชายาที่มาจากตระกูลคู่อรินาง ช่างชั่วร้ายนัก พระชายาที่เข้าวังครั้งแรกไม่รู้จักนางจึงถูกนางเล่นงานโดยง่ายดาย"

         "แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป"

         "ข้าจะเปิดโปงแผนชั่วของนางให้ฝ่าบาทได้รับรู้" ใต้เท้าซินพูดออกมาหนักแน่น

         "ฝะ... ฝ่าบาทหรือ" เจ้ากรมมหาดเล็กตกตะลึง

         "พระชายาทรงฟื้นคืนสติแล้วขอรับ" เสียงหมอคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ทุกคนในที่นั้นขยับตัวทันที ใต้เท้าซินได้ยินก็รีบก้าวผ่านผู้คนและพุ่งเข้าไปในห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็วด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว

         พระชายานอนอยู่ในชุดผ้าป่านสีขาวทั้งตัว ข้างกายมีอ่างทองเหลืองที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำลาย มือของนางกุมบริเวณอกและหน้าท้องด้วยความทุกข์ทรมานจากพิษร้าย ใบหน้าซีดเซียวมองมาที่ผู้เป็นบิดาอย่างเศร้าโศก

         ใต้เท้าซินน้ำตาไหลพรั่งพรูด้วยความสงสารบุตรสาวจับใจ ค่อยๆ นั่งลงพลางยกมือนางขึ้นมากุมไว้อย่างถนุถนอม ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงสั่นสะท้าน

         "พ่อจะแก้แค้น แก้แค้นคนที่มันทำให้ลูกพ่อเป็นอย่างนี้" 

         "ท่านพ่อ" พระชายากระซิบแผ่ว

         "ลูกพ่อ เป็นอย่างไร เจ้าเจ็บปวดมากไหมลูกเอ๋ย"

         "ท่านพ่อ ขะ... ข้าอยากเจอนาง อยากเจอนาง"

         "เจอนาง? เจ้าพูดอะไรกัน หมายถึงใครรึ"

         "ลูกชังของท่านพ่อ นะ... น้องสาวข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ"

         ใต้เท้าซินชะงัก

         "เจ้าเพ้อด้วยพิษร้ายหรือไร เหตุใดจู่ๆ จึงเอ่ยถึงนาง"

         "พะ...เพราะข้าจะให้ซินซอฮยอนเข้าวังไปแก้แค้นแทนข้าเจ้าค่ะ ท่านพ่อ"



         โปรดติดตามตอนต่อไป


         เชิงอรรถ

         (1) ชุงอิน หมายถึง ชนชั้นกลาง จำพวกพ่อค้าที่มีฐานะ ราชบัณฑิต นักปราชญ์ สามารถเข้ารับราชการในวังได้แต่ไม่มีสิทธิ์บริหารบ้านเมือง

         (2) ซังมิน หมายถึง ชนชั้นล่าง จำพวกคนใช้แรงงาน ทำงานหนักๆ เสียภาษีให้ทางการ

         (3) คีวาจิบ หมายถึง บ้านที่ใช้กระเบื้องซึ่งทำจากดินสีแดงมุงหลังคา ปัจจุบันยังสามารถพบเห็นได้บางหมู่บ้านในกรุงโซลและตามเมืองอื่นๆ




         (4) นอวาจิบ หมายถึง บ้านที่มุงหลังคาด้วยไม้สน บ้านแบบดั้งเดิมสไตล์นี้ยังสามารถพบเห็นได้ในพื้นที่ของพยองซัง อำเภอหนึ่งในจังหวัดคังวอน ประเทศเกาหลีใต้

    [เชิงอรรถข้อ 3 และ 4 

    เครดิต : ขอบคุณภาพจาก KoreaTown@AsianCastle 

    แหล่งอ้างอิง http://www.image114.co.kr, http://commons.wikimedia.org

    http://asiancastle.net/?p=17 WWW.ASIANCASTLE.NET]


         (5) ตัวอักษรที่ใช้กันในสมัยนั้นสำหรับชนชั้นสูงและคนในราชสำนักจะใช้เป็นอักษรจีน ต่างจากชาวบ้านที่ใช้อักษรฮันกึลเพราะซับซ้อนน้อยกว่า ในสมัยนั้นใครใช้อักษรจีนได้ถือว่าเก่งมาก

         (6) ลายปักตรงหน้าอกของขุนนางชั้นเอกในวังสมัยราชวงศ์โชซอนบางตำราก็ว่าเป็นนกยูง

        
         
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×