ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) Classic Scene #คลาสสิคซีน - KAIHUN CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #2 : Scene 01 : คุณกลางคือ(ไค)ใคร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.28K
      91
      20 มิ.ย. 59





    01

     

     

                นักแสดงพร้อมแล้วเข้าฉากได้เลยนะครับ

                เสียงของทีมงานชายวัยยี่สิบต้นๆพูดผ่านโทรโข่ง ประกาศให้นักแสดงที่นั่งอยู่ในร่มเตรียมเข้าฉากต่อไป หญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นเมคอัพสไตลิสใช้กระดาษทิชชู่ซับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นออกมาตามโครงหน้าหล่อ ตามด้วยการแต่งเติมใบหน้าของนักแสดงให้คงเดิม อีกคนข้างๆก็คอยยืนพัดเบาๆให้อีกฝ่ายคลายร้อนหลังจากก่อนหน้านั้นมีฉากต่อสู้อยู่หลายเทคเพื่อให้ได้ภาพและมุมที่ดีที่สุด

                เจตน์ภพ ลุกขึ้นเต็มความสูง ยืนฟังผู้กำกับและทีมงานให้คำแนะนำกับฉากต่อไปด้วยใบหน้าเคร่งเครียด บ่งบอกว่าเจ้าของกายสีน้ำผึ้งตั้งใจและทุ่มเทกับทุกงานที่ได้รับมากแค่ไหน ยิ่งโดยเฉพาะฉากที่ต้องใช้สมาธิอย่างการขับรถไล่ล่ากันแล้ว พระเอกที่รับบทตำรวจอย่างเขาก็ยิ่งต้องพยายามกว่าบทอื่นๆที่เคยได้รับ

     

                “ขออารมณ์แบบนี้เลยนะคุณไค ผมชอบมาก” ผู้กำกับยิ้มพลางตบบ่าให้กำลังใจ ได้ยินอย่างนั้นก็เป็นเหมือนแรงผลักดันให้ถ่ายต่อได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

    ในเวลาแบบนี้ ดาราดังที่โดดเด่นทั้งโฆษณา งานละคร หรือแม้กระทั่งงานถ่ายแบบอย่างเจตน์ภพ หรือไค ผู้กำกับแนวหน้ารวมไปถึงโปรดิวเซอร์ชื่อดังต่างก็อยากได้ตัวมาร่วมงานด้วยกันทั้งนั้น ใบหน้าหล่อที่ดึงดูดทั้งหนุ่ม(?)และสาวมานักต่อหลายนัก รวมถึงชื่อเสียงของตระกูลเทวบดินทร์ แน่นอนว่าลูกชายคนที่สองของท่านทูตราวินทร์ไม่จำเป็นต้องทำงานในวงการบันเทิงแบบนี้ให้เสียเวลาก็มีเงินใช้ถมเถ แต่เป็นเพราะการแสดงมันเป็นสิ่งที่เจตน์ภพรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คนเป็นพ่อจึงไม่อยากขัด เพราะลูกชายของตนก็ทำได้ดีเป็นที่น่าชื่นชมของคนครึ่งค่อนประเทศ

     

    "ไม่ต้องอินเนอร์แรงนักนะ"

    เป็นผู้จัดการส่วนตัวที่เดินเข้ามาพูดด้วยประโยคซึ่งมีเพียงเขาและคนฟังที่รู้ความหมาย กล้าหาญยิ้มแซวพลางมองใบหน้าไม่ค่อยแยแสนักของอีกฝ่าย ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าศัตรูในละครมันไม่ดันมาเป็นศัตรูในชีวิตจริงของเจตน์ภพได้อย่างประจวบเหมาะกันดีเสียเหลือเกิน

     

    “ผมแยกแยะ”

     

    “จ้า พ่อคนเก่ง”

    แต่ก็นั่นแหละ งานก็คืองาน แม้จะรู้ดีว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความรู้สึกภายในหรือที่พี่ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเรียกมันว่าอินเนอร์ ก็ทำให้ต้องมีบางครั้งคราวที่เผลอเล่นได้สมน้ำสมเนื้อเกินไปชนิดที่เทคเดียวผ่านอะไรเทือกนั้น กลัวตัวเองเหมือนกันว่าจะพลั้งมือเกินบทบาท แล้วก็ใช่ว่าอีกฝ่ายที่ดีเด่นด้านบทตัวร้ายมันจะยอมแพ้ที่ไหน ไม่ไปฟาดฟันกันในฉากจนตายไปข้างน่ะดีเท่าไหร่แล้ว

     

                “Scene 3 Take 1 !

                เสียงของทีมงานชายพูดพร้อมตีสเลทฟิล์มจนเกิดเสียงดังเพื่อเริ่มฉากต่อไป เจ้าของกายสีน้ำผึ้งนั่งอยู่ในรถคันสีดำซึ่งสตาร์ทรอเอาไว้อยู่แล้ว เขาสูดหายใจทำสมาธิและเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัวตามรถคันหน้าที่รับบทเป็นคนร้ายให้คุณพระเอกในบทตำรวจนอกเครื่องแบบอย่างเจตน์ภพไล่ตามไปติดๆ

                มือข้างหนึ่งถือปืนกระบอกเล็กเป็นพร็อพประกอบฉากเพื่อความสมจริง หากแต่ซีนนี้ไม่ได้มีการยิงกันเกิดขึ้นแบบซีนก่อน เพียงแค่ขับรถตามกันค่อนนาที ซึ่งทางทีมงานก็ได้ขออนุญาตใช้เส้นทางเพื่อการถ่ายทำชั่วคราวไว้เรียบร้อย

     

    'กวนตีนทั้งในและนอกจอจริงๆนะมึง'

    สบถด่าในใจยามศัตรูทั้งในและนอกจอมันแกล้งเลี้ยวคดเคี้ยวไปมาเกินกว่าในบทที่อธิบายเอาไว้ราวกับจะกลั่นแกล้งเขาให้หัวเสีย .. ฝ่าเท้าเผลอเหยียบคันเร่งให้ไวกว่าเดิม ถนนสองข้างทางมีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ว่านี่คือการแสดง จ้องมองด้วยความตกใจไม่ต่างกัน จนกระทั่งถึงช่วงที่เจตน์ภพต้องขับมาตีเสมอเพื่อมองลอดมันผ่านกระจกข้างคนขับ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูฟาสแอนด์ฟิวเรียสอะไรอย่างนั้นแหละ

     

    “โว้ะ”

    เผลอสบถออกมาเบาๆ มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย พยายามเล็งไปที่เป้าหมายเพื่อทำท่าจะยิงคนร้ายเป็นท่าทางประกอบ หากแต่ฝ่ายตรงข้ามต้องหักเลี้ยวไปยังถนนอีกเส้นข้างหน้า เขาตั้งสติ ถึงจะเชี่ยวชาญในการแสดงแต่ฉากขับรถแบบนี้ก็เสี่ยงอันตรายไม่น้อย

    สีหน้าไม่สบอารมณ์ทำให้ฉากการไล่ล่าดูสมจริง หากแต่คงไม่มีใครรู้นอกจากพี่เมเนเจอร์ว่าตอนนี้ไอ้เด็กคนนั้นมันกำลังเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆนั่นแหละ .. ก็เพราะว่านายเจตน์ภพไม่ชอบเป็นฝ่ายตามและถูกมองว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ให้มันยิ้มเยาะเย้ยใส่แบบนั้น ถึงแม้จะอยู่ในบทบาทพระเอกก็ตาม

     

    เพราะสำหรับเจ้าของกายสีน้ำผึ้งคนนี้แล้ว นอกจอเมื่อไหร่..เขาไม่ได้รับบทพระเอกแสนดีเหมือนในจอแบบนี้แน่นอน : )

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

    เสียงพูดคุยดังขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆในร้านคาเฟ่เล็กๆ ณ แหล่งวัยรุ่นใจกลางกรุงเทพฯ วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะกว่าปกติจนมีบางคนต้องนั่งรอคิว แต่ก็ยอมสละเวลาเพื่อของหวานสุดฮิตกินดับร้อนอย่างบิงซู หรือน้ำแข็งใสขึ้นชื่อเมดอินโคเรีย ยิ่งปัจจุบันมีการประยุกต์เมนูให้น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม จะเทศกาลไหน เพศไหน วัยไหน ก็แวะเข้ามาลิ้มลองกันทั้งนั้น ส่วนที่ว่าเจ้าของร้านหน้าตาดี(?)นี่อีกเรื่อง

     

    "พี่เชน ทำไมวันนี้เบอร์รี่เปรี้ยวจัง"

     

    “เบเป็นคนสั่งนะพี่ไม่เกี่ยว”

     

    “เอ้า มีโยน มันก็ต้องเปรี้ยวๆสิถึงอร่อย เนี่ย เราต้องใส่นมข้นเยอะๆ” คนถูกโยนความผิดรีบแก้ตัว ก่อนจะราดนมข้นในถ้วยเล็กใส่รอบๆเจ้าหวานเย็นแล้วพยักพเยิดหน้าให้รุ่นน้องลองกินอีกที ใครจะไปรู้ว่าเบอร์รี่รอบนี้จะเปรี้ยวกว่าปกติล่ะคุณ

     

    “พรุ่งนี้จะกินแมงโก้ชีส”

     

    “กินบ่อยๆแบบนี้ถึงได้อ้วนอ่ะครีม”

     

    “พี่เครปก็กินเหอะ อย่ามาว่าน้องแค่คนเดียวนะ” กำลังจะตักเข้าปากแต่มีการหยุดเพื่อเถียงแฝดคนพี่ของตนเสียก่อน

     

    "ไม่ต้องทำเนียนเลยนะเซฮุน สั่งมาด้วยกันต้องช่วยกันกินให้หมด!"

    พอหันไปอีกทางที่มีใครบางคนแอบนั่งนิ่งทำเป็นกดมือถือไม่พูดไม่จา เขาเลยยัดช้อนใส่มือคนตัวขาว คราวนี้เจ้าของชื่อก็ไม่อาจหลบสายตาของเพื่อนสนิทที่จ้องเขาอย่างเอาเรื่อง ได้แต่เบ้ปากเพราะทำท่าจะไม่ไหวอยู่รอมร่อแม้จะกินไปก่อนหน้านั้นเพียงสามสี่คำก็เถอะ ทว่าเพื่อนตัวเล็กจอมเผด็จการอย่างครีมกลับตักเจ้าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สีม่วงสีแดง พร้อมเกล็ดน้ำแข็งอีกพูนๆแล้วก็ไอศครีมที่เป็นทอปปิ้งด้านบนอีกนิดหน่อยขึ้นมาจ่อปาก ชนิดที่ว่าเอาให้ทั้งเปรี้ยวทั้งเย็นขึ้นสมองกันเลยทีเดียว

     

    "คิก!~"

    แล้วก็หัวเราะเยาะเพื่อนสนิทออกมาหลังจากเซฮุนทำหน้าตาบูดเบี้ยวราวกับจะร้องไห้เมื่อได้กินเข้าไปเต็มคำ ทั้งแฝดพี่แฝดน้องหรือครีมและเครปก็ได้แต่หัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อน พี่เบบอกว่าให้กินกับนมข้น แต่ดันเล่นตักเจ้าลูกเบอร์รี่มาเพรียวๆแบบนี้ใครจะทนไหว อีกนิดก็เหมือนจะกินเลม่อนเปล่าๆอยู่รอมร่อ ไอ่ตัวเขามันก็ไม่ชอบกินเปรี้ยว แถมเป็นคนขี้หนาว นั่งในคาเฟ่เย็นๆของพี่เชนได้แปปเดียวก็ขนลุกแล้ว แต่ในเมื่อยอมโดนลากมาถึงที่นี่ แถมตอนจะสั่งก็ตามใจเพื่อนไม่ได้คิดว่ามันจะเปรี้ยวขนาดนี้ สุดท้ายเลยต้องช่วยกันรับผิดชอบอย่างที่เห็น

     

    “เอ้อ วันนี้คุณกลางของน้องเซฮุนไม่มารับเหรอ ถึงได้มากับแฝดขนม” รุ่นพี่ตัวเล็กพูดพร้อมหรี่ตามองน้องสนิทที่ยกกำลังน้ำขึ้นไปกิน ประโยคนั้นมันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าเจ้าครีมไม่ทำหน้าทำตาเหมือนกำลังจับผิดเขาด้วยอีกคน

     

    “ทำไมต้องมารับด้วยล่ะครับ” (. _ .)

     

    “ก็วันก่อนยังบุกไปรับถึงมหาลัยเลยนี่ คนอะไร น่ากลัวชะมัด!” ครีมตอบแทน

     

    “วันนี้ไม่ใช่วันก่อนสักหน่อย” เซฮุนยักไหล่ “เขางานเยอะ ไม่มายุ่งกับเราหรอก”

     

    “เหรอ~ แล้วทำไมต้องทำหน้าผิดหวังด้วยอ่ะ”

     

    “ม..ไม่ใช่นะครับ!

     

    “เบไม่แกล้งน้องดิ”

                เป็นเสียงของเชนที่ดังขึ้นแทรกหลังจากเห็นใบหน้างอง้ำของรุ่นน้องคนสนิทที่โดนแกล้งแซวเรื่อง คุณกลางของเขา ก็จะอะไรเสียอีก วันก่อนเจ้าแฝดขนมมาบ่นให้เขากับเบฝั่งใหญ่ว่าแผนไปเดินตลาดรถไฟล้มไม่เป็นท่าเพราะจู่ๆคุณชายที่สองของตระกูลเทวบดินทร์ ที่เป็นถึงดาราดังบุกมาถึงมหาวิทยาลัย พอเจอตัวเจ้าเพื่อนสนิทตัวขาวของเขาที่นั่งทำงานอยู่ใต้ตึกคณะด้วยกันก็ลากกลับบ้านอย่างไม่มีคำบอกกล่าว ใบหน้าดุๆทำเอานักศึกษาที่เป็นแฟนคลับแถวนั้นซีดกันไปไม่น้อย แม้จะอิจฉาเซฮุนที่มีคนอย่างนายเจตน์ภพ หรือที่เจ้าตัวเล็กเรียกว่าคุณกลางอะไรนั่นมารับถึงที่ก็เถอะ

     

                “งั้นวันนี้ไปตลาดรถไฟกัน~

     

                “พี่ไปด้วยคนสิลูกหมู” ยังไม่ทันที่คนถูกชวนจะตอบรับ อีกหนึ่งเสียงก็ดังขึ้นแทรกวงสนทนาจากหลังเคาท์เตอร์ทันที นั่นไม่ใช่เสียงของพี่เชนหรือพี่เบแต่กลับเป็น นายจ้อนคู่กัดคู่เหวี่ยงของเจ้าครีมแฝดคนน้องของเครป ตัวจริงน่ะชื่อจอห์นนี่ เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แต่เขาไม่ชอบเรียกยาวๆ แถมคนกวนๆแบบนั้นสมควรเรียกแค่นายจ้อนก็พอแล้วเหอะ - ^ -!

     

                “นายจ้อนจะไปเดินส่องสาวๆล่ะสิไม่ว่า” ครีมเบ้ปาก “แล้วก็ห้ามเรียกเราว่าลูกหมู เรา ไม่ ได้ อ้วน !

     

                “ตรุษจีนพี่จองนะ จะพาไปขึ้นเขียง”

     

    “นายจ้อน!

     

    “จ้าๆ น้องครีมหุ่นดีที่หนึ่ง เซฮุนยังอ้วนกว่า” ยกมือขึ้นยอมแพ้ยามเห็นน้องถือช้อนเป็นอาวุธ(?) สุดท้ายเลยหนีไปทำเมนูที่ลูกค้าสั่งต่อ เครปกับเพื่อนสนิทลูกครึ่งเกาหลีก็ได้แต่ห้ามให้ใจเย็น แต่ก็กลั้นขำไม่อยู่ที่เจ้าครีมโดนแซวอย่างนั้น ดูเอาแล้วกันว่าขนาดโดนทั้งแฝดพี่กับนายจ้อนบ่นว่าอ้วนมือยังถือช้อนตักกินไม่เลิกเลยเหอะ

                ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วทั้งกัดทั้งแซวกันจนเป็นบรรยากาศปกติของร้าน On the Snow ไปแล้ว สองเจ้าของร้านที่เป็นเพื่อนสนิทกันอย่าง เชนเบ จะทำอย่างไรได้ นอกจากปล่อยให้เด็กๆขยันสร้างเสียงหัวเราะกันต่อไป

     

                “นั่นแฟนคลับมึงหนิ ไปต้อนรับสิเพื่อน” เบกระซิบพลางยกมือขึ้นตบบ่าหลังจากเห็นกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิงหรือลูกค้าเจ้าประจำของพี่เชนเขากำลังเดินเข้ามาในร้านด้วยรัศมีสามเมตรจะถึงตัว

     

                “ส่วนพี่สาวคนสวยตรงนั้นหน้าที่กูเอง” ว่าพลางเดินหยิบเมนูไปทางเก้านาฬิกาด้วยท่าทางกวนประสาท ก็จะไม่อะไรเท่าไหร่หรอกถ้าพี่สาวคนสวยที่ว่านั่นไม่ใช่ แฟนเก่าของเพื่อนสนิทตัวสูงที่ทำหน้าเอือมอยู่ตรงนี้ จะอ้าปากด่าก็คงไม่ทัน เพราะแฟนคลับที่เขาถูกโยนให้รับหน้าที่นั่นเดินตรงดิ่งมาหาเชนโอปป้าตรงนี้แล้วเรียบร้อยแล้ว ฝากไว้ก่อนเถอะพริษฐ์..

     

                “กรี๊ด วันนี้เชนโอปป้าอยู่ที่ร้านด้วย!

     

                “ครับ...พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”

     

    (= _ =)

     

    เชนรพี วิศวกรรมบัณฑิตผู้ซึ่งติสอยากจะเปิดร้านคาเฟ่บิงซูที่มีทั้งเครื่องดื่มและไอศครีมโฮมเมดเล็กๆเป็นของตัวเองแทนการเป็นวิศวกรหนุ่มรูปหล่อ และเพื่อนสนิทอย่าง พริษฐ์ ศิลปกรรมบัณฑิตที่บังเอิญติสเหมือนกันเลยตัดสินใจมาร่วมกันเปิดร้าน On the Snow ขึ้นมาแม่งซะเลย หากหลุดปากบอกไปว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของเขากลายเป็นกระดาษธรรมดาที่ตั้งอยู่ในกรอบรูป แถมตอนนี้ก็ไม่ได้สนใจจะเหลียวแลมันแล้วด้วย จะมีใครว่าอะไรไหมนะ..

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

    "ผมไปนะครับ แล้วจะแวะมาใหม่”

     

    “จ้ะลูก”

    สุ้มเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมๆกับเจ้าของกายโปร่งเดินก้าวเข้ามากอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง หญิงสาววัยกลางคนตอบรับโดยการยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้าง อีกข้างหนึ่งก็ลูบหัวลูกชายคนโตของเธอ แววตาอ่อนโยนคู่นั้นยังคงเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกจนเติบใหญ่และมีครอบครัวเป็นของตัวเองในวันนี้

    แม้จะใจหายอยู่นิดหน่อย แต่คุณหญิงรัมภากลับภูมิใจและปลาบปลื้มในตัวลูกชายคนโตของเธอ จุนพัฒน์นายแพทย์หนุ่มที่เพิ่งแต่งงานกับผู้หญิงคนที่สองที่รักมากที่สุดในชีวิตลองจากผู้ให้กำเนิด จนถึงตอนนี้แล้ว คุณชายคนโตก็เติบใหญ่เกินกว่าที่เขาจะคอยนั่งบอกนั่งสอนเหมือนแต่ก่อน เพราะอีกไม่นาน เขาก็ต้องเป็นฝ่ายอบรบสั่งสอนลูกหลานบ้างเสียแล้ว .. จุนพัฒน์กำลังจะเป็นพ่อคน

     

    “อย่าซนกับแม่ พี่กลาง แล้วก็คุณหนูเล็กนะ เจ้าเล็ก” เจ้าของสรรพนาม เจ้าเล็กพยักหน้าหงึกหงักพลางตะเบ๊ะรับรู้อย่างทะเล้นทะลึ่ง เข้าไปกอดแขนคุณหนูเล็ก หรือเจ้าของกายผิวขาวที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆแล้วก็อดจะหมั่นเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ ติดนักติดหนายิ่งกว่าพี่แท้ๆเสียอีกล่ะมั้ง

     

    “ฝากคิดถึงคุณพลอยแพรวด้วยนะครับ”

     

    “เจ้าตัวเล็กด้วยไหม”

     

    “อื้ม!” ศิรภัทรพยักหน้า “ต้องเอาให้ดิ้นรับรู้นะครับ ว่าเซฮุนฝากมา”

    อมยิ้มขำจนตาหยี สุดท้ายก็ถูกมือหนาขยี้กลุ่มผมอย่างเอ็นดู นายแพทย์หนุ่มถือกระเป๋า หันไปมองทุกคนในบ้านก่อนจะบอกลาอีกครั้ง ความจริงจุนพัฒน์ก็ไม่ได้จากไปไหนไกล แค่ย้ายออกมาอยู่บ้านหลังใหม่กับภรรยา และทายาทตัวน้อยที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนนี้ เขาจะแวะกลับมาเยี่ยมบ้านทุกอาทิตย์ ไม่ก็สองอาทิตย์ครั้ง ถ้าไม่ติดเคสด่วนที่โรงพยาบาล

    แม้ในใจจะคิดห่วงคนเป็นแม่และน้องๆยามไม่มีตนดูแล เพราะหัวหน้าครอบครัวอย่างคุณพ่อราวินทร์ที่เป็นถึงท่านทูตก็ประจำการอยู่ต่างประเทศ กว่าจะกลับมาก็เป็นปีเป็นเดือน ทั้งนี้ทั้งนั้น จุนพัฒน์ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับน้องชายคนกลางวัยยี่สิบห้าของตนให้ดูแลครอบครัวยามพี่ไม่อยู่ ว่าให้ดูแลทุกคนในครอบครัวอย่างดีที่สุด

     

    “ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย เจ้าเล็ก”

     

    “ค้าบ เดี๋ยวไปค้าบ”

     

    “เดี๋ยวตั้งแต่เย็นจนตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว เตะบอลมาจนเหงื่อโชกแบบนั้น อย่าให้แม่ต้องดุนะ มาคิน!

     

    “พี่เซฮุนช่วยด้วย แม่ดุมาร์ค”

    ศิรภัทรหัวเราะ ยามคนอายุน้อยกว่าวิ่งมาหลบหลังแล้วใช้เขาเป็นเกราะกำบังฝ่ามือของคนเป็นแม่ที่หวังจะตีเจ้าลูกดื้อๆวัยสิบเจ็ดคนนี้ บรรยากาศแบบนี้คงเป็นปกติตั้งแต่เขาเติบโตมาพร้อมกับคนของครอบครัวเทวบดินทร์ และแน่นอนว่าไม่มีคราวไหนที่ไม่ยิ้มตาม ยิ่งตอนมาคินเด็กๆ ก็ถือโอกาสช่วยคุณน้ารัมภาเลี้ยงน้องไปด้วย ไม่แปลกที่เด็กชายจะหลงรักพี่ตัวขาวลูกครึ่งเกาหลีของเขาคนนี้ราวกับพี่น้องในท้องเดียวกัน

     

                เห้อ แม่เหนื่อยจะบ่น เซฮุนพาเจ้าเล็กขึ้นไปอาบน้ำทีนะคะ แล้วหนูก็อย่านอนดึกมากนะรู้ไหม”

     

                “ครับ! น้าภา”

     

                “วันนี้จะนอนกับพี่เซฮุน”

     

                “ไม่ต้องไปรบกวนพี่เขาเลย โตป่านนี้แล้วยังจะ-”

     

                “พี่เซฮุนครับ ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า เดี๋ยวมาร์คเล่นกีตาร์ให้ฟัง อยู่ข้างล่างร๊อนร้อน” ยังไม่ทันที่คุณหญิงรัมภาจะได้พูดจบประโยค เจ้าแสบก็รีบแทรกโดยการกอดแขนพลางออดอ้อนพี่ชายตัวขาวขึ้นไปข้างบนทันที

     

    “เจ้าลูกคนนี้!” ก็เป็นเสียงอย่างนี้แล้วจะไม่น่าตียังไงไหว ถึงจะโตจนอีกนิดจะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ความซนปนทะเล้นทะลึ่งน่ะมันไม่หาย ดื้อปานนั้น แสบปานนี้ อย่าให้พูดถึงตอนวัยจับปูใส่กระด้งเลยเชียว เพราะเจ้าเล็กน่ะเป็นยิ่งกว่าปูเสียอีก

                คุณหญิงรัมภากอดอกมองพลางส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็อมยิ้มมองภาพเจ้าคนเล็กของเธอที่ชอบไปออดอ้อนพี่เขาได้ตลอดเวลา ศิรภัทรก็น่ารักเหลือเกิน ยอมน้องทุกอย่าง มีหรือใครจะไม่รัก เพราะแม้แต่เขาก็รักและเอ็นดูราวกับลูกในไส้ของตน จนบางทีก็อยากจะถือวิสาสะกับคุณอึนแชและคุณชายศรัณย์วรรษที่อยู่เบื้องบนว่าให้เรียกเธอว่าแม่อีกคนได้ไหม

     

    คุณใหญ่กลับไปแล้วเหรอคะคุณรัมภาเป็นเสียงของหัวหน้าคนใช้หรือป้าไพรที่เดินออกมาจากครัวหลังทำหน้าที่เก็บล้างทำความสะอาดถ้วยชามที่เจ้านายกินกันไปเมื่อค่ำ

     

    จ้ะ ช่วงนี้กลับไวหน่อยเพราะหนูแพรวใกล้คลอด”

     

    “ถึงว่าล่ะ วันนี้คุณหญิงถึงให้ดิฉันทำกับข้าวไวกว่าปกติ” เธอกล่าวยิ้มๆ “ดิฉันก็มัวแต่ยุ่งล้างครัว ไม่ได้มาลาคุณใหญ่เลย อาทิตย์หนึ่งจะมาสักครั้ง..”

     

    “รายนั้นน่ะไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ” เธอยิ้ม “เหลือแต่คนที่รับปากกับฉันว่าจะมาร่วมมื้อเย็นด้วยกันเนี่ยสิ..

     

    ตายจริง คุณกลางยังไม่กลับบ้านอีกเหรอคะ!”

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

                ขายาวเดินโซซัดเซพร้อมด้วยท่อนแขนที่เกาะราวบันไดประคับประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกเพราะฤทธิ์จากน้ำเมา สภาพไม่ต่างอะไรกับพวกฉลองหนักจนลืมเวลา สายตาปรับโฟกัสภาพอันพร่ามัวข้างหน้าแล้วพยายามเดินขึ้นไปให้ถึงจุดหมาย คนถูกปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างพี่ช้าง คนงานคนสนิทได้แต่มองอยู่ห่างๆ เพราะรู้ว่าถ้าเข้าไปใกล้หวังจะช่วยคงจะโดนไล่กลับมาเหมือนเมื่อสักครู่นี้ เลยได้แต่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายแม้อยากจะขัดอยู่ก็เถอะ

    ได้แต่มองแล้วก็ถอนหายใจกับคุณชายของเขาที่ดื่มหนักจนลืมเวลา ต้องขอบคุณพี่ผู้จัดการที่ลำบากขับรถของเจ้าของกายสีน้ำผึ้งพามาส่งถึงบ้านในยามวิกาลแล้วเจ้าตัวก็นั่งแท็กซี่กลับเสียอย่างนั้น โชคดีที่คุณหญิงท่านหลับไปนานแล้ว หากเห็นสภาพลูกชายคนกลางของเธอในสภาพนี้ แน่นอนว่าคงได้บ้านแตก

    อาการตื้อหัวทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดและอยากทิ้งตัวลงนอนมันทั้งอย่างนั้น พยายามก้าวขาขึ้นมาทีละก้าวสองก้าว สติน่ะมีแต่อาจจะน้อยจนไม่อาจเจรจากับใคร อือ ออได้ไม่กี่คำก็มากไปสำหรับคนเมาแล้ว แต่ก็นั่นแหละ..คนเก่งไปเสียทุกอย่างอย่างเจตน์ภพ ก็พาตัวเองขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้านได้อย่างปลอดภัยจนได้

     

    "..."

    ร่างโปร่งหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูที่ปิดสนิท พยายามยกมือขึ้นบิดลูกบิดแต่สภาพอันปวกเปียกมันทำให้เขาอยากกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถทะลุผ่านมันไปตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

    แอร์เย็นๆผิดกับอุณหภูมิภายนอกทำให้คนเมาไม่รีรอที่จะพาร่างตัวเองไปยังเตียงนอน ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วกดปิดสวิตตัวเองซะ เขาไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ลำพังพาตัวเองเดินมาถึงห้องนอนโดยปฏิเสธความช่วยเหลือจากพี่ช้างก็เก่งมากพอแล้ว

    ใบหน้าหล่อได้รูปแทรกไปกับกองผ้าห่มนุ่มๆ แต่ราวกับว่าหมอนข้างของเขาจะนุ่มผิดปกติจนทำให้มือไม้ของชายคนนี้อยู่ไม่สุข แน่นอนว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้คนปกติไม่หลงเหลือซึ่งสติ กายหนาขยับตัวพร้อมแทรกไปกับกองผ้าห่มและควานเอาจับหมอนข้างนิ่มๆนั่นเข้ามากอด กลิ่นหอมกลิ่นนั้นอาจทำให้คุ้นจมูกอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะ คนเมามันจะไปนึกอะไรออกนอกจากในเวลาแบบนี้ที่ทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม และ..

     

    "อือ.."

    ก้มลงสูดดมเจ้าหมอนข้างนั้นอย่างไร้สติ รู้สึกได้ถึงแรงขัดขืนเล็กน้อยจากใต้ร่าง ความอุ่นซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าถ้าสิ่งที่เขากำลังกอดอยู่นั้นเป็นหมอนข้างจริงๆ มันคงแผ่รังสีความร้อนแบบนี้ให้กันและกันไม่ได้ จมูกโด่งก้มลงสูดดมความหอมที่มันยิ่งกระชากสติเขาให้หลุดกระเจิง และอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มเริ่มต่อต้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องประท้วง .. บ่งบอกว่านั่นคือสิ่งมีชีวิตโดยแน่แท้แล้ว

     

    "อื้อ!"

    แต่แล้วยังไง คนเมาหน้าไหนจะมาสนใจ ณ เวลานี้ไครู้สึกว่าร่างบอบบางที่เขากำลังทับอยู่นั้น ควรจัดการให้หยุดนิ่งและเป็นไปตามประสงค์ของเขา ประสงค์ที่ว่านั่นคือการไล้จมูกคมสันไปตามซอกคอขาว ก่อนจะย้ายริมฝีปากอุ่นร้อนของตนประทับลงบนเนื้อนุ่มจนคนใต้ร่างสั่นสะท้าน ช่างรวดเร็วและเชี่ยวชาญตามนิสัย..

     

    "อืม.." และมันจะไม่อะไรเลย ถ้าเข่าที่พยายามยกชันขึ้นเป็นการต่อต้านของอีกฝ่าย ไม่สัมผัสโดนจุดต้องห้ามของตน เพราะอย่างนั้น แทนที่จะสงบจึงกลับกลายเป็นจุดไฟในร่างชายหนุ่มให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ

     

    "ฮื่ออ.." เจ้าของเสียงเล็กได้แต่ดิ้นหนีอย่างยากลำบาก ราวกับฝันไปแต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว น้ำหนักที่ไม่น้อยของคนข้างบนทำให้สติของเขาเริ่มประติประต่อ จนกระทั่งมืออุ่นแทรกเข้าใต้เสื้อนอนตัวบาง เจ้าของผิวนุ่มลื่นมือจึงได้สะดุ้งจนตัวโยน

     

    "อ..ออกไปนะ! ช่วยด้วยครับ!

                ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดันร่างทั้งร่างของใครก็ไม่รู้ออกไปให้พ้นร่างตนอย่างเต็มแรง กายบอบบางเขยิบแนบชิดขอบหัวเตียง หายใจหอบถี่ด้วยความกลัวปนตกใจ พยายามตั้งสติเตรียมจะลุกหนีออกไปจากตรงนี้แล้ววิ่งไปหาป้าไพร พี่ช้าง คุณน้าหรือใครสักคนในบ้านตอนนี้ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความเงียบไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวผิดปกติพอที่จะหยุดเขาเอาไว้ที่เดิม

     

                “...”

                ศิรภัทรยังคงกลัวและไม่แน่ใจว่าเมื่อสักครู่นี้ตนเจอกับอะไรกันแน่ แต่เขามั่นใจว่าตนไม่ได้ฝันไปอย่างแน่นอน เจ้าคลาวด์หรือสัตว์เลี้ยงกระต่ายแคระสีขาวของตนคงไม่ตัวหนักขนาดนั้น สัมผัสดังกล่าวทำให้คนตัวผอมไม่กล้าเอามือออกไปไกลตัวราวกับจะป้องกันตัวเองเอาไว้ไม่ให้โดนเช่นนั้นอีก มือบางควานหาที่ตั้งของโคมไฟและเปิดมันให้ส่องสว่างเพื่อการมองเห็น จนกระทั่งร่างของคนที่กำลังนอนคว่ำหน้าไร้สติอยู่ปลายเตียง ปรากฏสู่กรอบสายตา..

     

                “คุณกลาง..”

     

     

                .

                .

     

     

                TBC

     

     

    - - - - - - - - - -

     

    ด้วยความที่เราตั้งชื่อไทยให้คล้องกับชื่อเกาหลี ไม่งงกันใช่ไหมคะ? (คุณนักอ่าน: งงว้อย) ๕๕๕
    เอาเป็นว่า เราทำพาร์ทแนะนำตัวละครพร้อมรูปมาแล้ว ใครสับสน ลิงค์นี้เลยจ้า http://goo.gl/Zz81CR
    มีคนถามว่าจะมีดราม่าไหม ซึ่งคนที่ตามอ่านงานเขียนของเราจะรู้ว่าเราไม่ค่อยถนัดสายนี้
    แต่! เรื่องนี้จะค่อนข้างดราม่ากว่าเรื่องอื่นๆค่ะ ฉะนั้นจึงต้องมีทีมดูแลน้องเซฮุน (. _ .)
    ดูเอาแล้วกันว่ามาถึงก็เกือบทำร้ายน้องแล้วอ่ะ คุณกลางข่นถ่าลึ่ง ! *ใส่เสื้อสมาคมคุณแม่น้องเซฮุน*

    #คลาสสิคซีน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×