ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( exo ) BAKE A WISH - KAIHUN ft. EXO

    ลำดับตอนที่ #6 : 05 : สีของแก้มคุณตอนนี้ สตรอเบอร์รี่ยังแพ้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.49K
      27
      5 ต.ค. 58








     

    CHAPTER 5

     

     

     

     

     

                Baekhyun: อรุณสวัสดิ์ครับ

    การพยายามพิมพ์แต่ละตัวอักษร จนได้เป็นหนึ่งประโยคนี่มันยากพอๆกับการแก้โจทย์แคลคูลัสระดับเด็กป.โท หรือบางทีอาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ พิมพ์แล้วก็ลบ ค้างไว้ไม่กล้าส่ง 'ตื่นหรือยังครับ? คุณทำอะไรอยู่เหรอ' โคตรจะเบสิค และเป็นคำถามที่แม่งโคตรจะน่าเบื่อเหอะ แต่ก็นั่นแหละ จะให้ส่งไปว่า 'อยากเจอคุณว่ะ' ใครมันจะไปกล้า ผมคนนึงแหละที่ไม่ . _ .

     

    Chanyeol: อรุณสวัสดิ์ครับคุณตัวเล็ก

    ก็แล้วจะไม่ให้ยิ้มจนเป็นบ้ากับโทรศัพท์แบบนี้ได้อย่างไร พี่เขาเล่นเรียกมาขนาดนี้ ไม่เขินก็ไม่ใช่คนแล้วคุณ ปาร์คชานยอลนี่เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกัน ขยันทำให้กลายเป็นคนอัตราการเต้นของหัวใจสูงอยู่เรื่อย ซานฟรานก็ไม่ใช่เมืองร้อนขนาดนั้น แต่แก้มนี่ร้อนพอๆกับเตาอบของไอ้จงอินมันแล้ว

     

    Chanyeol: กินข้าวหรือยังครับ?

    ค้างกับสรรพนามน่ารักที่ขัดกับนิสัยห้าวๆของเจ้าตัวจนไม่ได้พิมพ์ตอบ และกลายเป็นชานยอลที่ส่งข้อความดังกล่าวมาถามเขาอีกครั้ง คุณตัวเล็กที่ว่าก็เลยอมยิ้มอย่างคนได้ใจ มองอะไรบางอย่างในจานเซรามิคข้างแก้วกาแฟของตัวเองก่อนจะกดตัวเลือกกล้องถ่ายรูปในหน้าแชทของเขากับชานยอล

     

    'แชะ'

     

     

    Baekhyun: กินเจ้านี่อยู่น่ะคุณ อร่อยมาก! ไว้ผมจะเอาไปฝากอีกนะ

    โทสชิ้นใหญ่ที่ถูกงับไปหนึ่งคำถูกถ่ายแล้วส่งไปให้เจ้าของหน้าแชทคนนั้น แบคฮยอนยิ้ม พลางหยิบที่เหลือมางับต่อ ถือโอกาสโฆษณาร้านขนมที่ตัวเองทำอยู่ รายนั้นก็บอกว่าเคยผ่าน แต่ไม่มีโอกาสได้แวะเสียที เพิ่งจะได้ชิมรสชาติขนมแสนอร่อยอย่างที่แบคฮยอนว่าก็ตอนที่เจ้าตัวเอาไปฝากเขาคราวก่อน และพอได้รู้ว่าเป็นของคนเกาหลีเชื้อสายอเมริกัน ก็ยิ่งอยากจะมาดูสักครั้ง

     

    Chanyeol: ไม่เอาหรอกครับ ผมต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงขนมคุณบ้างสิ

    ถึงจะถูกปฏิเสธแต่กลับอมยิ้มขึ้นมาเสียดื้อๆ ในใจคิดเถียงกันให้วุ่นว่าควรตอบกลับไปแบบไหน ปฏิเสธจะดูเล่นตัวไหม แล้วถ้าตอบรับไปเลยจะดูเห็นแก่กินหรือเปล่าวะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แค่อยากเจอหน้าเขา นั่นแหละ เหตุผลหลักของบยอนแบคฮยอน

     

    Baekhyun: ผมเปิดเทอมแล้ว เราจะว่างตรงกันเหรอครับ

    พิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ใจจริงก็อยากไปใจจะขาด สองสามวันมานี้เขากับชานยอลไม่ได้กลับบ้านพร้อมกัน เหตุผลก็เป็นอย่างที่บอก บางวันก็เรียนเช้าเลิกเย็น บางวันก็เรียนแค่ช่วงบ่ายยันค่ำ เลยมีเวลามาช่วยที่ร้านอย่างวันนี้ กลัวเหมือนกัน ว่าเวลาจะทำให้ความสัมพันธ์ที่มีน้อยอยู่แล้ว จะน้อยเข้าไปอีก.. สำหรับคนสองคนที่บังเอิญเจอ จะมี relationship อะไรไปมากกว่าเพื่อนบ้านเกิดเดียวกัน หรือบางทีอาจจะเป็นแค่คนรู้จักกันล่ะคุณ .. คิดแบบนั้นได้อยู่ไม่นาน ข้อความก็เด้งตอบกลับในเวลาต่อมา และแบคฮยอนก็พร้อมที่จะเปิดอ่านมันทันที

     

    Chanyeol: งั้นวันนี้ ผมขอนัดแบคฮยอนเลยได้หรือเปล่า : )

     

    คำถาม: พี่เขาขอเดทผมใช่หรือไม่ (20 คะแนน)

    คำตอบ: กูมโนไปเอง (เอาไป 100 คะแนน)

     

    "แบคฮยอน!"

     

    "จ..จ้าลุง ว่าไง! ไอ้ไคมันอบขนมเสร็จแล้วหรอ แปปนะลุง เดี๋ยวขอคำสุดท้ายกับกาแฟอีกก้นแก้ว"

     

    "No no. I just ask you.. Why are you keep smiling?" (ลุงก็แค่จะถามว่า..ทำไมเอาแต่ยิ้มนักนะ?)

     

    โดนไปหนึ่งดอก

     

    เพราะคุณเลยแม่ง .. ปาร์คชานยอล! (; A ;)

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

    "เป็นอะไร ยิ้มอยู่ได้"

     

    "เปล่า" (' - ')

     

    "บอกกี่ครั้งแล้วว่านายโกหกไม่เก่ง ยัยฮุนผ้าเช็ดหน้า" เรียวนิ้วชี้จิ้มหน้าผากเพื่อนสนิทตัวผอมจนคนข้างๆเซไปอีกทาง เซฮุนยู่หน้าให้กับสรรพนามดังกล่าวแล้วถือแก้วน้ำในมือแน่น

     

    "อย่าเรียกแบบนั้นต่อหน้าพี่ไคนะ" (. _ .)

     

    "ทำไม เป็นอะไรกับเชฟคนนั้นเหรอ"

     

    "ป..เปล่า เราแค่กลัวพี่ไคหัวเราะ"

    อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าไม่ใช่แค่พี่ไคอะไรนั่นที่หัวเราะ แต่เป็นเขาเหมือนกันที่หมั่นเขี้ยวยัยเพื่อนข้างๆคนนี้นัก ตั้งแต่นัดมากินข้าวเที่ยง ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับแซนด์วิชเหมือนกับเมื่อวันก่อนชิ้นนั้น ปล่อยให้เขากินมันบดกับสเต็กปลาคนเดียวทั้งที่เป็นฝ่ายชวนออกมาแท้ๆ ถามว่ากินแค่นั้นจะอิ่มเหรอ แต่เขาคงจะลืมไป พวกกระเพาะเล็กอย่างโอเซฮุนน่ะ กินเหมือนแมวดมอยู่แล้ว = _ =

     

    "ชอบเชฟนั่นเหรอ"

     

    "หือ!" (•___•)

     

    "ชอบแน่ๆเลยอ่ะ"

     

    "มะ..ไม่-"

     

    "ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น?"

    ยักไหล่ใส่ไปทีด้วยท่าทางกวนๆ ก่อนจะแย่งช็อคโกแลตเฟรปเป้ของอีกคนมาดูด เซฮุนไม่ได้สนใจว่าช็อคโกแลตที่ตนรักจะหมดไปแค่ไหน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด คือแก้มที่จู่ๆมันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

    "มินซอก เราต้องไปแล้วอ่า เพื่อนเรารออยู่ทางโน้น"

    ชี้นิ้วไปทางเก้านาฬิกา ก่อนเด็กหน้าตาเอเชียท่าทางเฟรนด์ลี่จะมองมาทางนี้พร้อมโบกมือให้อย่างรู้งาน มินซอกยิ้มแห้งๆตอบกลับไปตามประสาคนเพิ่งรู้จักกันเพราะเป็นเพื่อนของเพื่อน แล้วก็ได้รู้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นชาวญี่ปุ่น หันไปบอกลาเพื่อนสนิทตัวผอมข้างๆ เขาเองก็ต้องเข้าคลาสช่วงบ่ายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้เหมือนกัน

    เซฮุนยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ต่างสัญชาติ ถ้าถามว่าไปรู้จักกันได้อย่างไร ก็ไม่พ้นเพื่อนร่วมเซค ที่เจอกันตั้งแต่คลาสแรกจนไปเกือบทุกคาบ ยูตะเป็นฝ่ายเริ่มคุย ท่าทางอัธยาศัยดี แถมเป็นเด็กแถบเอเชียเหมือนกันกับเขา ก็เลยลดความประหม่าของเด็กขี้อายอย่างโอเซฮุนไปได้บ้าง

     

    "Who's that? Hunnie Jung" (นั่นใครหรอ? ฮุนนี่จัง)

     

    "My close friend" (เพื่อนสนิทเราเอง)

     

    "Now we are close friend too, right?" (แล้วตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนสนิทเหมือนกันใช่ป่ะ)

    ยูตะพูดติดตลก แล้วเซฮุนก็ไม่นึกขัด หัวเราะจนตาหยีพลางพยักหน้าแล้วเดินไปกอดแขนเพื่อนสนิทซะน่ารักน่าหยิก เดินด้วยกันก็เหมือนกับฝาแฝด ยูตะเองก็ใช่ย่อย ผลัดกันงุ๊งงิ๊งอย่างโน้นอย่างนี้เสียจนเหมือนเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน

     

    "Teach me korean!" (สอนเกาหลีหน่อยสิ!)

     

    "Umm.. What is the word that you want to know" (อืม..อยากรู้คำไหนล่ะ ' - ')

     

    "อันย๊อง..?"

     

    "คึ.." เซฮุนหลุดขำ ประโยคทักทายอย่างไม่เป็นทางการหลุดออกจากปาก คนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักแต่คำเบสิคพวกนี้ สีหน้าไม่มั่นใจของเพื่อนที่กำลังกลายเป็นเพื่อนสนิทในเวลาอันสั้นทำให้เซฮุนหัวเราะออกมาได้ง่ายๆ ตอนแรกที่รู้จัก ก็เรียกชื่อเขาเป็นสำเนียงญี่ปุ่น เซฟุนอะไรไม่รู้ ไม่ใช่เซฟุนสักหน่อย กว่าจะสอนให้เรียกให้ถูกได้ก็เป็นครึ่งค่อนวัน แถมถูกเรียกใหม่เป็น 'ฮุนนี่จัง' ไปเสียอย่างนั้น แล้วเจ้าของชื่อใหม่จะไปปฏิเสธอะไรได้เล่า

     

    "That's mean 'Hello' but it's probably informal. We use when we talk with friends or younger people." (นั่นแปลว่า 'สวัสดี' แต่มันค่อนข้างจะไม่ทางการนะ ส่วนใหญ่จะไว้พูดกับเพื่อนแล้วก็คนอายุน้อยกว่าน่ะ)

     

    "Ah.. I see" (อ่า..เข้าใจแล้ว)

     

    "However, it means 'Goodbye' too~" (แต่ก็แปลว่า 'ลาก่อน' ได้เหมือนกันนะ)

     

    "Then.. If I want to ask you 'What's your name?'" (แล้วถ้าเราอยากถามว่านายชื่ออะไรล่ะ?)

     

    "คุณ" เซฮุนเริ่มพูดเป็นภาษาเกาหลี รอให้อีกฝ่ายพูดตาม

     

    "คู๊น?"

     

    "ไม่ใช่ๆ.. คุณ"

     

    "ไม่ช้ายมะช้าย คุ๊น?!"

     

    "ง่ะ.." (. _ .)

    เซฮุนยู่หน้า มองหน้าเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่กระพริบตามองเขาปริบๆแล้วก็พูดตามไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งคำว่า 'ง่ะ' ที่เป็นคำอุทานติดตัวของเจ้าของกายผิวน้ำนมเมื่อสักครู่นี้ด้วย

     

    "Let's do it again!" (เอาใหม่อีกรอบนะ!)

     

    "OK!"

     

    "คุณ"

     

    "ค..คุณ?"

     

    "ชื่อ"

     

    "เช่อ..อ่าๆ ชื่อ"

     

    "อะ"

     

    "อะ"

     

    "ไร"

     

    "ไร"

     

    "ไอกู ~ เก่งจัง!"

     

    "ไอกู~~ เก๊งงจั๊ง!"

     

    "No no.. I mean you have done a great job" (ไม่ใช่ๆ เราหมายถึง..นายเก่งมาก)

    พูดพร้อมยกนิ้วโป้งขึ้นชูประกอบคำพูดดังกล่าว ประโยคแรกผ่านไปด้วยดี ถึงจะฟังดูแปลกๆแต่ก็เก่งใช่ย่อย และถ้าจะให้คนอย่างโอเซฮุนไปพูดภาษาญี่ปุ่นบ้าง เจ้าตัวเล็กก็คงพูดผิดพูดถูกแบบนี้ไม่ต่างกัน

    มิตรภาพกำลังเริ่มต้นขึ้นระหว่างคนสองคนที่ต่างสัญชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม แต่กลับสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ยูตะเป็นเด็กญี่ปุ่นที่รักการวาดรูปเหมือนเขา อายุน้อยกว่าหนึ่งปีแต่เข้ามาเรียนพร้อมกันเนื่องจากสอบชิงทุนมาได้เสียก่อน ดูท่าทางจะเก่งเอาการ แถมอัธยาศัยดีและอยู่ไม่ค่อยจะสุข(?) และนั่นมันก็ทำให้โอเซฮุนยิ้มออกมาได้ไม่ยาก อย่างน้อย เขาก็ไม่เหงาเวลาที่ต้องแยกจากมินซอกมาเรียนวิชาคณะตัวเอง

     

    "ฮุนนี่จัง! ซารังแฮ๊ย๊งง"

     

    ผมว่า ผมได้เพื่อนเป็นคนตลกแล้วล่ะครับ .. (・。・)

     

     

    - - - - - - - - - -

     

     

    ต่อให้คุณสร้างหลุมรักไว้มากเท่าไหร่ ..

    ผมก็จะยอมตกลงไปซ้ำๆอยู่ดี : )

     

     

    ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บ่งบอกเวลาตกเย็นใกล้หัวค่ำ อุณหภูมิต่ำลงเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าคืนฝนตกที่ต้องหาเสื้อโค้ชมาใส่กันอากาศเย็นๆชื้นๆแบบวันก่อนๆ .. มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็ก หวังจะกดโทรหาใครบางคนแต่กลับถูกฝ่ามือสัมผัสที่หัวไหล่ข้างซ้าย

     

    "โฮ้ย ตกใจหมดเลยคุณ"

     

    ฮ่าๆ กลัวอะไรครับ

     

    สงสัยระแวงแก๊งกระชากกระเป๋ามาดามที่ออกข่าวเมื่อคืนมั้งครับ” (. _ .)

     

    "ให้ผมปลอบใจดีไหม"

     

    แหน่ะ ..

     

    "นี่..ผมยี่สิบห้าแล้วนะ" แบคฮยอนเบ้ปาก ยักไหล่ตามนิสัยห้าวๆของตัวเอง ก่อนจะเริ่มออกเดินทางเท้าไปพร้อมกับเจ้าของใบหน้าหล่อปนหวานข้างๆ

               

    "คุณเด็กกว่าผมตั้งสี่ปี" ชานยอลยิ้ม "กินข้าวมาแล้วใช่ไหมครับ"

     

    "เรียบร้อย! เดินย่อยให้ท้องว่างรอใส่ของหวานตบท้ายที่คุณจะเลี้ยงเนี่ย"

    พูดพลางลูบท้องตัวเองขำๆ พาลทำอีกฝ่ายหัวเราะออกมาตามๆกัน ด้วยความที่รู้มาว่าคนตัวเล็กทำงานอยู่ที่ร้านขนม คงจะเบื่อกับขนมปังและเหล่าบรรดาเบเกอรี่ทั้งหลาย ผู้ชายมีเซนส์อย่างปาร์คชานยอลก็เลยพาคนรักไอศกรีมมาหยุดอยู่ที่ร้าน Swensen หรือร้านไอศครีมที่แรกของเมืองซานฟรานซิสโก

     

    "ว่าแต่..คุณจะเลี้ยงผมจริงๆเหรอ"

     

    "พามาขนาดนี้แล้ว ผมจะหลอกคุณตัวเล็กทำไม"

     

    "ไม่ใช่คุณตัวเล็กสักหน่อย" (. _ .)

    ย่นจมูกใส่คนตัวสูง กล้าดีอย่างไรมากล่าวหาว่าเขาเป็นคนตัวเล็ก เรียกแบบนี้จะมาปั่นป่วนหัวใจบยอนแบคฮยอนเกินไปแล้ว ชานยอลไม่นึกเถียง อมยิ้มแล้วพยักพเยิดหน้าให้อีกคนเข้าไปในร้านเป็นการย้ำว่าเขาพามาเลี้ยงจริงๆ แถมมีการท้าด้วยว่า ใครจะกินได้เยอะกว่ากัน แค่โคนละไม่กี่เหรียญจะไปลำบากอะไรสำหรับเจ้าหน้าที่กงสุลอย่างเขา

     

    "Can I have a cone of chocolate chip?" (เอาช็อคโกแลตชิบโคนนึงครับ)

     

    "Yeah, sure!" (ได้ครับ!) พนักงานตอบ

     

    “กินเบสิคจังคุณ” แบคฮยอนแซวทั้งที่สายตายังจ้องอยู่กับเมนู

     

    "แล้วคุณจะกินรสอะไรครับ?" หันมาถามคนข้างๆที่ยืนเลือกรสไอศครีมอยู่ คนตัวเล็กกว่าทำหน้าครุ่นคิด แล้วเงยหน้ามามองเขาด้วยท่าทางลำบากใจอีกครั้งราวกับเลือกไม่ได้เสียที

     

    "เลือกไม่ได้อ่ะคุณ น่ากินหมดเลย"

     

    "งั้นก็สั่งหมดเลยสิครับ ถ้าแบคฮยอนกินไหว"

     

    "เฮ้ย เกรงใจคุณอ่ะ โคนเดียวพอ"

     

    "ถือว่าผมท้าไงครับ ถ้าแบคฮยอนกินหมด ผมพร้อมจ่าย" ชูกระเป๋าตังค์ให้ดูขำๆว่ามื้อนี้มีคนจ่ายแล้ว เห็นแบบนั้น คนหลงรักไอศครีมอย่างแบคฮยอนเลยไม่คิดจะเกรงใจหรือเล่นตัวให้มากเรื่อง อย่าได้มาท้ากระเพาะช้าง(?)อย่างเขาเลย ตัวแค่นี้แต่กินจุมากเหอะ ยัดได้ไม่ยั้ง เวลานอนเท่านั้นที่จะหยุดกิน อาม๊าบอกว่ามาอยู่นี่ต้องกินเยอะๆ อย่าได้อดอยาก เงินหมดให้โทรบอก ส่งเงินได้เสมอถ้ากระเพาะน้องแบ้กต้องการ (´ A`)

     

    แล้วสุดท้ายก็ได้มาสามโคนถ้วน .. กินหมดไปแล้วหนึ่ง (- _ -)

     

    "นี่ผมไดเอตล้มเหลวก็เพราะคุณเลยนะ"

     

    "จะอดไปทำไมครับ คุณตัวแค่นี้ก็ควรกินเยอะๆน่ะถูกแล้ว"

     

    "คนตัวเล็กแต่ลงพุงคุณไม่เข้าใจหรอก" (ㅜㅡㅜ)

    ทำหน้าจะร้องไห้ แต่ปากก็กัดโคนไอศครีมไม่เลิก ก่อนหน้านั้นที่กินหมดไปเป็นรสมะนาว ส่วนที่ถืออยู่ในมือสองข้างเป็นรสบลูเบอร์รี่คอบเบลอร์กับร็อคกี้โรด เข้ากันแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว!

     

    "คุณจะกินโคนเดียวจริงๆหรอ" แบคฮยอนถาม

     

    "ครับ มองคุณกินก็อิ่มแล้ว" ชานยอลพูดปนขำ

     

    "จะบอกว่าผมตะกละอ่ะดิ๊!" เบ้ปากใส่แล้วงับก้นโคนที่เหลือจนหมดไปอีกหนึ่ง และคาดว่าโคนที่สามจะหมดในไม่ช้า นี่ถ้ามีชูตติ้งสตาร์เหมือนบาสกินรอบบิ้นนะคุณ ผมกินได้เป็นถังเลยเหอะไม่อยากจะโม้ (- v -)b

    ชานยอลมองท่าทางของเด็กป.โทที่บอกว่าตัวเองอายุยี่สิบห้า ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆแบบที่เขาแซว แต่ท่าทางแบบนั้นไม่อยากจะพูดเลยว่ายี่สิบห้าหรือแค่สิบห้า เผลอๆเด็กอายุสิบห้าสมัยนี้อาจจะดูโตเกินวัยกว่าแบคฮยอนก็ได้

     

    "เลอะหมดแล้วครับ"

    หยิบกระดาษทิชชู่ที่ทางร้านให้มา ถือโอกาสจับมือข้างหนึ่งที่ว่างของใครอีกคนมาเช็ดคราบไอศครีมที่ละลายจนไหลเลอะหลังมือ ไม่เช็ดตอนนี้เดี๋ยวจะพาลให้เหนียวเหนอะหนะกันไปเสียหมด .. คนถูกเช็ดได้แต่ยืนนิ่งๆ ราวกับถูกสตาฟให้แข็ง แต่ใบหน้ากลับร้อนจนรู้สึกเหมือนจะละลายไม่ต่างอะไรกับไอศครีมที่กินอยู่ ปาร์คชานยอลกำลังทำตัวเหมือนเป็นไฟ ขยันทำให้ไอศครีมอย่างเขาละลายบ่อยเกินไปแล้ว .. แล้วไอ้ก้อนเนื้อข้างซ้ายมันจะเต้นรัวไปถึงไหน เต้นดังแข่งกับเสียงคนเล่นดนตรีเปิดหมวกตรงนั้นเหรอไงกันเล่า

     

    "มือคุณเรียวจัง"

     

    "ร..เหรอ ผมคงได้แม่มามั้ง" (. _ .)

     

    "งั้น..คุณแม่คงสวยมากแน่ๆ" ชานยอลยิ้ม

     

    "หื้ม.."

     

    "แบคฮยอนก็เลยได้คุณแม่มาแบบนี้"

     

    : )

     

    แบ้กจะไม่ทนแล้วครับ ..

     

    ( ಠ)

     

    - - - - - - - - - -

     


     

                ตอนนี้มีเพื่อนญี่ปุ่นด้วยแหละครับปะป๊า

                ง่ะ เซฮุนพูดญี่ปุ่นไม่เป็นอ่า.. อาริกาโตะ?”

    ปะป๊าขำเซฮุนแบบนี้แสดงว่าปะป๊าหายดีแล้วใช่ไหมครับ?!”

               

                สุ้มเสียงน่ารักดังเจื้อยแจ้ว ผ่านสายโทรศัพท์ระหว่างคนเป็นพ่อที่เพิ่งจะตื่นจากการพักฟื้นอยู่นานพอสมควร สิ่งแรกที่นึกถึง คือลูกชายคนเล็กหลังจากได้รู้ข่าวว่าเซฮุนร้องไห้ไม่หยุด เพราะคนเล็กของพ่อเป็นห่วงเขามากเสียจนทำอะไรไม่ได้ .. อาการหัวใจกำเริบของ โอจงโฮ ทำให้เขาต้องเข้าไอซียูโดยด่วน โชคเข้าข้างที่ถึงมือหมอไว ทำให้ช่วยไว้ได้ทัน เยียวยารักษาอาการไม่ให้หนักอย่างที่คิด ไม่อย่างนั้นคงจะได้ฟังข่าวร้ายกว่านี้

     

    ปะป๊านอนพักได้แล้วครับ

    เซฮุนรักปะป๊านะครับ

     

                ปิดท้ายด้วยประโยคบอกรักตามประสาคนน่ารักของครอบครัว แอบได้ยินเสียงพี่เซโฮแว่วๆแทรกเข้ามาว่า ห้ามมีแฟนจนกว่าพี่จะรู้จักก่อนแต่คนเป็นพ่อก็กดวางสายพอดี เลยยู่หน้าใส่โทรศัพท์อย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วก็หน้าร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ ในใจคิดเถียงว่าจะให้เซฮุนไปมีใคร จีบใครเขาก็ไม่เป็น ส่วนเรื่องใครจะมาจีบก็ยังไม่เคยนึกถึงเลย ถึงพอจะมีอยู่ไม่น้อยช่วงมัธยม เพราะน้องคนเล็กของพี่เซโฮหน้าตาน่ารักขนาดนี้ เลยไม่แปลกที่มีแต่คนอยากจะดูแล แต่โอเซฮุนก็ยังไม่ตอบรับใครทั้งนั้น

    หยิบกระดาษที่วาดรูปค้างไว้ออกมาวางไว้บนตัก .. ภาพวาดของสะพานโกลเด้นเกตถูกแต่งแต้มสีสันด้วยปากกาโคปิค หรือที่นักวาดส่วนใหญ่ใช้กันแทนสีน้ำ ถือเป็นการฝึกน้ำหนักมือในการลงสีที่ไม่ได้ใช้มาสักพัก แทนการแรเงาภาพด้วยดินสอแบบวันก่อนๆ สร้างความแปลกตาโดยสีที่โดดเด่นกว่าภาพขาวดำ หากแต่ผลงานชิ้นนี้ไม่ใช่เจ้าของกายสีน้ำผึ้งที่จะได้รับไปเก็บเพื่อแลกขนมอย่างที่เจ้าตัวชอบวาดให้ เพราะโอเซฮุนจะต้องส่งให้อาจารย์เป็นงานชิ้นแรกของการเปิดภาคเรียน เพื่อดูทักษะการวาดภาพของเด็กแต่ละคนก่อนจะเริ่มเรียนกันอย่างจริงจัง โดยให้หัวข้อว่า เป็นสถาปัตยกรรมอะไรก็ได้ ที่อยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกแห่งนี้เท่านั้น

                ขาเรียวก้าวลงมาจากชั้นบน หยิบสีหลักติดมือมาสองสามแท่งเพื่อเก็บรายละเอียดอีกห้าเปอร์เซ็นที่เหลือ คุณอากำลังจะปิดร้าน เพราะวันนี้ขายหมดไว ส่วนพี่แบคฮยอนมีเรียนช่วงบ่ายยาวยันเย็น เลยได้เจอพี่ชายตัวเล็กไปแค่ตอนเช้า

     

                เซฮุน อยากกินอะไรอีกไหมครับ

     

                ไก่อบของคุณอาเมื่อตอนเย็นยังทำเซฮุนอิ่มอยู่เลยครับ

     

                อาทำอร่อยล่ะสิ!เซฮุนพยักหน้ารัว

     

                คุณอากำลังจะทำให้เซฮุนมีพุงครับ

                พูดติดตลกแล้วทำท่าทางประกอบโดยการลูบท้องน้อยๆของตัวเอง ที่มันแทบหาเนื้อหรือไขมันไม่ได้สักนิด คงจะเป็นอย่างที่คิมมินซอกเพื่อนสนิทของเขาถาม ว่าตั้งแต่เล็กจนโตไม่คิดจะอ้วนขึ้นเลยบ้างหรืออย่างไรกัน อิจฉาพวกกระเพาะเล็กเหลือเกิน พวกที่กินเท่าไหร่..ก็ไม่อ้วน = _ =

     

                แต่ฝีมืออาคงสู้ฝีมือไอ้ไคมันไม่ได้หรอกเนอะ

                พยักพเยิดหน้ามองคนที่อยู่ข้างในครัวยิ้มๆ ทั้งๆที่ควรจะเป็นเวลาพัก แต่คิมจงอินกลับกำลังทำขนมต่ออยู่ในนั้น ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่คุณลูกค้าคนสนิทที่สั่งเค้กมูสช็อคโกแลตสามสิบชิ้นเอาไว้ แล้วเดทไลน์พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ถ้าไม่สนิทกับพ่อ เขาไม่รับออเดอร์กะทันหันแบบนี้แน่นอน

     

                "ง่ะ..คุณอาก็ทำเก่งครับ” (‘ – ‘)

     

                เด็กช่างพูดยิ้มพลางยื่นมือไปลูบผมอย่างเอ็นดู เดี๋ยวอาจะกลับแล้ว ถ้าไคมันแกล้ง พรุ่งนี้เช้าค่อยมาฟ้องอานะครับ?!”

                เจสันพูดติดตลกราวกับเซฮุนเป็นเด็กเล็กๆเสียอย่างนั้น ก่อนหมวกคาวบอยจะถูกสวมใส่อย่างเคยชิน ถ้าเป็นตอนเช้าหรือตอนกลางวันก็จะมีแว่นดำใส่เท่ๆสไตล์ country แล้วก็จะเปิดแต่เพลง Hotel California ไม่ก็อะไรเทือกนี้ฟังตลอดตั้งแต่คิมจงอินเล็กๆยันโตขนาดนี้นั่นแหละ เท่ซะไม่มี

     

                ขับรถกลับดีๆนะครับคุณอา!

                โบกมือลายามรถกระบะคันเก่งของคิมเจสันเคลื่อนตัวออกจากหน้าร้าน เซฮุนจัดการล็อคประตูแบบที่จงอินเคยสอนเอาไว้ แต่เดี๋ยวคนเป็นพี่ก็จะออกมาเช็คก่อนขึ้นไปชั้นบนพร้อมกันอยู่ดี

                เค้กมูสช็อคโกแลต คือสิ่งที่คิมจงอินจะต้องทำให้เสร็จในคืนนี้เป็นจำนวนห้าสิบชิ้น .. ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ก็แค่ทำชิ้นใหญ่แล้วมาแบ่งตัดพร้อมเสิร์ฟต่อหนึ่งจาน เสียเวลาหน่อยก็ตรงที่ต้องจัดแต่งทีละชิ้นและห่อหุ้มพลาสติกใส่ให้คงสภาพเดิมเอาไว้เนื่องจากเป็นมูส .. แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ เมนูนี้ก็เลยไม่ได้ยากอะไรนัก ติดก็แค่ต้องรอให้มูสแข็งตัว แล้วใช้เวลาอบเค้กที่เป็นเนื้อแป้งเพื่อใช้เป็นฐานด้านล่างให้เสร็จไปพลางๆ และที่ต้องมาทำตั้งแต่คืนนี้ ไม่ใช่เพราะเค้กประเภทมูสมันใช้เวลากว่าประเภทอื่นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคุณลูกค้าเขาต้องการภายในเที่ยงของวันพรุ่งนี้ คิมจงอินก็เลยต้องอยู่ทำในคืนนี้มันเสียเลย

    ทำท่าจะเดินไปเปิดตู้เย็น แต่ไม้รู้ว่าเป็นเพราะหันไปรวดเดียวหรืออย่างไร เอวมันถึงได้ลั่นจนปวดลามไปทั้งหลัง .. จงอินนิ่วหน้า ยืนอยู่ครู่หนึ่ง จิ๊ปากให้กับอาการที่จู่ๆก็กำเริบอย่างอดจะหงุดหงิดไม่ได้ จนกระทั่งเดินไปจับที่เปิดตู้เย็นเอาไว้เพื่อยึดไม่ให้ตัวเองเสียศูนย์แบบเมื่อสักครู่นี้

     

    "พี่ไคครับ"

     

    และทุกอย่างในตอนนั้น มันตกอยู่ในสายตาของโอเซฮุน

     

    "ว่ายังไงครับ ทำไมยังไม่ขึ้นไปนอน?"

    หันหน้ากลับมาหาแล้วยิ้มให้น้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอเซฮุนไม่ได้ตอบในทันที ถึงใจจริงอยากจะถามกลับไปเพราะเห็นว่าคนเป็นพี่มีท่าทีแปลกๆ และเป็นจงอินที่พูดเบี่ยงเบนความสนใจนั้นอีกครั้ง .. ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าน้องก็คงเห็น

     

    "เซฮุนวาดรูปเสร็จแล้วเหรอ"

     

    "เสร็จแล้วครับ"

    พยักหน้าทันทีที่ถูกถาม นี่แหละความน่ารักของโอเซฮุน น้องซื่อบื้อจนอยากเดินเข้าไปหยิกแก้ม ก่อนหน้านั้นก็เห็นว่าคุยเจื้อยแจ้วกับคนเป็นพ่ออยู่ข้างนอกจนพ่อกลับไปแล้ว คงจะเหงา เลยเข้ามาก่อกวนเขาถึงในครัวแบบนี้

     

    "งั้นเราก็ต้องไปนอนได้แล้ว" .. ถึงใจจริงอยากให้อยู่ด้วยกันก็เถอะ

     

    "แต่พี่ไคยังไม่นอนเลย.."

     

    "รอพี่?" จงอินแอบยิ้ม

     

    "..." (. _ .)

     

    "เซฮุนดื้อ..ใช่ไหมครับ"

     

    "เซฮุนแค่อยากดูพี่ไค.."

                ก็เพราะเป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะให้เขาไปปฏิเสธอะไรได้ลง เห็นแววตาของเด็กคนนั้นไหมคุณ พร้อมจะงอแง ออดอ้อนตลอดเวลา มีร้อยให้ร้อย มีล้านแถมให้สิบล้านเลย จะรู้ตัวไหมนะว่ากำลังทำให้เชฟมืออาชีพอย่างเขาเสียสมาธิ เมื่อเช้าวันก่อนยังไม่พอหรืออย่างไร ที่มา จุ้บแก้มแล้วทิ้งให้ยืนอึ้งอยู่แบบนั้นคนเดียวในครัว โอเซฮุนน่ะ ร้ายลึก : )

     

                งั้นมานี่เลย

                ในเมื่อน้องดื้ออยากจะอยู่ด้วยกันเขาก็จะให้อยู่ เพราะยังไงก็ยังอยากเห็นหน้าของเด็กคนนี้อยู่แล้ว ดื้ออ้อนจะนอนพร้อมเขามาได้ทุกคืน คืนนี้ด้วยอีกคืนจะเป็นไร .. มือหนาจัดการหยิบชามเซรามิคใบใหญ่ที่ใส่สตรอเบอร์รี่เชื่อมเคลื่อนมาใกล้ตัว พร้อมๆกับสุ้มเสียงใสที่เอ่ยถามข้างๆว่าจะให้เขาทำอะไรด้วยความตื่นเต้น

     

                เซฮุนหยิบสตรอเบอร์รี่วางตรงนี้ให้พี่ได้ไหมครับ

     

                “ง่ะ..เซฮุนกลัวทำไม่สวย” (. _ .)

     

                “งั้นดูพี่ก่อนเนอะ”

    พูดพร้อมสาธิตวิธีการทำให้น้องดูว่ามันไม่ได้ยากอะไรอย่างที่คิด ก็แค่วางลงบนหน้าเค้ก และรอเขาตกแต่งเพิ่มก็เป็นอันเสร็จ แต่ก็ถูกสุ้มเสียงใสแย้งขึ้นอีกครั้งว่านี่เป็นขนมที่พี่ไคต้องทำให้ลูกค้า ถ้าน้องซุ่มซ่ามทำเสียขึ้นมาจะว่าอย่างไร เซฮุนทำหน้าไม่มั่นใจ และมันก็เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อได้ไม่ยาก เห็นมือข้างขวาของน้องยื่นมาอย่างกล้าๆกลัวๆไม่กล้าจับไปวาง สุดท้ายก็เลยตัดสินใจทำมันด้วยกันเสียเลย

     

                “...”

                หากจะคิดว่าคิมจงอินทำให้ดูเพื่อที่จะให้น้องทำตามน่ะเหรอ คุณคิดผิดแล้วล่ะ .. เพราะมืออุ่นหนาข้างนั้นของเชฟคนเก่งกำลังจับมือนุ่มนิ่มที่เคยจับแต่ดินสอวาดรูปให้จับก้านผลไม้สีแดงสดลูกเล็กขึ้นมา น้องมือสั่นและมันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ บวกกับความกลัวว่าจะทำเค้กของคนเป็นพี่เสียเพราะตัวเอง ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แต่สำหรับเซฮุนแล้ว เขาก็กลัวอยู่ดี

     

                เห็นไหม เซฮุนวางได้หนึ่งชิ้นแล้ว

                กระซิบข้างๆแล้วจับมือน้องให้หยิบสตรอเบอร์รี่ขึ้นมาอีกลูกเพื่อวางบนมูสเค้กชิ้นต่อไป แต่คุณรู้อะไรไหมว่าแก้มของเด็กคนนั้นกำลังแดงเป็นสีเดียวกับเจ้าผลไม้ลูกเล็กในมือ เซฮุนเม้มปากเสียแน่น มือก็เกร็ง แต่ก็ทำได้แค่ปล่อยให้พี่ไคกุมมือเขาเอาไว้แบบนี้

                ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของทั้งสบู่และแชมพู พาจมูกโด่งฉกฉวยโอกาสสูดดมความหอมของเด็กตัวขาวที่ยืนใกล้กันเสียจนแนบชิด จะรู้ตัวไหมนะ ว่าร่างผอมบางของตนน่ะ กำลังจะหลุบหายเข้ามาในอกเขาอยู่แล้ว

     

                เซฮุนแก้มแดงทำไมครับ

     

                ปะ..เปล่านะครับ

     

                แก้มแดงอย่างกับสตรอเบอร์รี่” : )

     

                ฮือ” (/////)

     

                มาฮืออะไรเล่าหื้ม.. ลูกเจี๊ยบต้องร้องเจี๊ยบๆสิ

     

                พี่ไคอ่ะ ไม่เอาแล้ว

                พอนึกหาคำเถียงไม่ได้ก็งอแงเป็นลูกเจี๊ยบหลงฝูงราวกับร้องหาแม่ไก่เสียอย่างนั้นแหละ แก้มแดงไปจนถึงหูไม่ต่างอะไรจากสตรอเบอร์รี่ที่ถืออยู่ก็ยังจะมาเถียงอีก มือข้างนั้นของน้องยังไม่ปล่อยจากก้านผลสีแดง เช่นเดียวกับการที่คิมจงอินไม่ยอมปล่อยมือของตัวเองออกจากมือขาวๆนั้น

     

                น้องดื้อหันมาหาพี่ไคหน่อยครับ

     

                ไม่เอา..

     

                น้องดื้อ..

     

                พี่ไคแกล้งเซฮุน..

     

                ถ้าไม่หันมาน่ะ..พี่จะแกล้ง” : )

                เนียนใช้มือข้างที่ว่างโอบเอวบางๆเข้ามาใกล้ โอเซฮุนเองก็ไม่ได้ดึงดันจะถอยห่าง เลยพาให้คนขี้แกล้งสะดวกกว่าเดิม ได้ยินแบบนั้นก็เลยค่อยๆหันหน้ากลับมาหา ได้เห็นชัดๆว่าน้องกำลัง เขินอาการที่เดาได้ไม่อยากจากคนที่เก็บอาการไม่เก่งอย่างเด็กคนนี้ บังอาจมาน่ารักใส่ ก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ใช่หรอกเหรอ .. และสุดท้ายก็จบด้วยการที่จับมือขาวๆนั่นมาป้อนสตรอเบอร์รี่ใส่ปากตัวเองเสียเลย : )

     

                “...”

                จงอินกัดผลสีแดงไปครึ่งลูก โดยที่ยังจับมืออีกฝ่ายไว้อย่างนั้นแล้วงับไปจนถึงก้าน พาลให้ริมฝีปากมันงับโดนนิ้วเรียวเล็กของคนที่ถืออยู่เบาๆ รู้สึกได้ถึงความสะดุ้ง แต่โอเซฮุนก็ไม่ได้ดึงมือของตัวเองออกไปไหน

     

    "จะให้พี่กินก้านเข้าไปด้วยเหรอไง"

    กลายเป็นจงอินที่ผละริมฝีปากออกมาแล้วจับก้านจากมือน้องออก เจ้าของผิวสีน้ำนมได้แต่ยืนตัวเกร็ง มือค้างจนเขาต้องกลั้นขำ นี่ก็น่ารักไปทุกอากัปกิริยา

     

                อร่อย” : )

     

                ทายสิ .. ว่าสตรอเบอร์รี่ หรืออย่างอื่น : )

     

                พ..พี่ไค ไม่รีบทำเดี๋ยวจะไม่ทันนะครับ

                เอ่ยออกมาอย่างติดๆขัดๆ ราวกับจะหาเรื่องพูดแก้อาการประหม่าของตัวเอง ที่ว่าหน้าแดงจนเหมือนเจ้าผลไม้สีแดงลูกนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง ไม่อยากจะเห็นหน้าตัวเองตอนนี้เอาซะเลย แล้วก็ไม่อยากให้พี่ไคมองเขาในตอนนี้ด้วย

     

                ดูถูกเชฟอย่างพี่ซะแล้ว..จงอินยิ้มมุมปาก

     

                ก็เซฮุนไม่อยากให้นอนดึก..

     

                เรานั่นแหละ ที่ต้องนอนดึกไปด้วยเพราะจะอยู่รอพี่น่ะ

     

                “...” (. _ .)

     

                เซฮุนไปนอนครับ เดี๋ยวพี่ทำตรงนี้ต่อเอง

    ไม่ยอมตอบรับเพราะในใจดึงดันอยากจะอยู่กับเจ้าของกายสูงใหญ่ นอนไม่หลับหรอก พี่ไคมาทำแบบนี้ก็ยิ่งนอนไม่หลับ ใจร้าย..มาแกล้งให้ก้อนเนื้อของเขามันเต้นรัวแล้วก็จะไล่ไปนอนอย่างนั้นเหรอ แววตาเคลือบใสเป็นประกายเอ่ยจ้องอยู่ตรงหน้า เด็กดื้ออย่างเซฮุนก็ไม่ยอมขยับไปไหนเสียที จงอินเลยยกมือขึ้นมาปัดผมที่ปกดวงหน้าน่ารักนั้นออกอย่างเบามือ เบากว่าการทำขนมที่ต้องใช้ความประณีตเสียอีก อยากทะนุถนอมกายบอบบางนี้ให้สมกับที่คุณน้าชินฮเยได้ฝากเอาไว้ และถึงคุณน้าจะไม่พูดแบบนั้น เขาก็จะดูแลน้องให้ดีที่สุดอยู่แล้ว

     

                'จะน่ารักไปจนกว่าพี่ไคจะชอบ'

    ประโยคเมื่อวันก่อนยังไม่หลุดออกไปจากหัว เขาจำได้ดี และก็ไม่คิดจะลืมว่าน้องเคยพูดเอาไว้ ในเมื่อบอกเองว่าจะน่ารักไปจนกว่าเขาจะชอบ แล้วถ้าตอนนี้เขาชอบขึ้นมาแล้ว โอเซฮุน จะหยุดน่ารักหรือเปล่านะ .. คนน่ารัก จะไม่ใจร้ายอย่างที่ใครเขาบอกเอาไว้ใช่ไหม

     

    "อื้อ"

    ทนไม่ไหวแล้ว จับจูบมันตรงนี้เสียเลย ในเมื่อไม่ยอมหนีเขาไป ปล่อยให้ตบะของคนที่เคยมีความอดทนสูง มันมาต่ำเอาง่ายๆยามมองริมฝีปากสีชมพูแบบนั้น ก็เลยต้องโดนแบบนี้ สมควรแล้วใช่ไหม โอเซฮุนควรจะ 'โดนจูบ' แบบที่ไม่ใช่การแอบจูบแบบคืนนั้นน่ะถูกต้องแล้ว

    เฝ้าบอกตัวเองว่าอย่ามากกว่านี้ ถึงน้องจะน่ารักมากแค่ไหนจนห้ามใจยาก แต่จะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ที่น้องไม่ขัด ก็ใช่ว่าจะยอมเสมอไป คิมจงอินเลยได้แต่กดย้ำริมฝีปากอยู่สักระยะ ต่างจากในตอนแรกที่เพียงจะมอบสัมผัสเบาๆเพื่อไล่ฝันร้ายออกจากตัวน้องในคืนนั้น และครั้งนี้เราทั้งคู่ก็มีสติ รู้ตัวดีเสมอยามที่ริมฝีปากอุ่นร้อนของเราแตะโดนกัน .. โอเซฮุนไม่คิดถาม ไม่คิดสงสัย ว่าสำหรับเจ้าของกายสีน้ำผึ้งคนนี้แล้วเขาเป็นจูบที่เท่าไหร่ แต่สำหรับเขา พี่ไคเป็น จูบแรก

     

    "ทำไมหวาน.."

     

    คำถามนั้นก็คงไม่มีใครตอบได้ เหมือนกับการที่ถามว่าจำนวนเกล็ดน้ำตาลในเค้กชิ้นนี้ มีเท่าไหร่นั่นแหละ : )

     

    คุณบอกว่าคุณจะน่ารักไปจนกว่าผมจะชอบ

    แล้วถ้าผมชอบคุณไปแล้ว อย่าหยุดน่ารักจะได้หรือเปล่า : )

     

     

               .

               .

     

     

               TBC

     

     

    - - - - - - - - - -

     

    รับสตรอเบอร์รี่สักลูกจากมือน้องดื้อไหมคะ หวานหมาก อร่อยด้วย แต่ไม่อนุญาตให้กินนิ้วน้องนะคะ ส่วนนั้นของคุณเชฟเขา(?) คุณไคคนไม่ดี เอะอะจูบอ่ะ นิสัย เป็นเชฟต้องความอดทนสูงนะ (มุงแต่งเองไหม 55555555) พาร์ทนี้หยอดมันทั้งสองคู่เลยวุ้ย ทั้งคุณปาร์คกับแบ้ก ทั้งน้องดื้อกับพี่เชฟ ฮ่าาาา

    ปล. คอนเวอร์ผิดตรงไหน เม้นท์บอกคนโง่แกรมม่าได้เลยค่ะ ไม่โกรธ ขอบคุณซะอีก ฮรึก . _ .

     

    #ฟิคเบคอะวิช

    CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×