..This Christmas..
จะปีที่ 4 แล้วสินะ... สำหรับ Christmas ที่จะถึงนี้... ถ้าคุณฟื้น.. ผมก็จะไป..
ผู้เข้าชมรวม
355
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“จากวันนั้น...”
“...มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ? คิดว่าน่าจะซัก 3 ปีเห็นจะได้ คริสมาสต์ปีนี้ก็คง..”
“..ครบ 4 ปีพอดีสินะ..”
...........
..........................
“ซองมินๆ มานี่เร็วเข้า!!” ร่างบางตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังเก็บเพื่อเตรียมกลับบ้าน
“มีอะไรฮยอกแจ? นายนี่เสียงดังชะมัดเลย!~” ร่างอวบบ่นอุบแต่ก็ยอมเดินมาหาเพื่อนที่ยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ข้างหน้าต่าง
“ก็นั่นไง!~~” ฮยอกแจชี้จุดเกิดเหตุให้ดู
“ซีวอนอ่ะนะ!!???”
“ไม่ใช่!!!! นั่นไงๆ คนที่กำลังวิ่งมาหาซีวอนอ่ะ ที่ใส่เสื้อสีดำอ่ะ” ฮยอกแจพยายามชี้มให้ดูอีกครั้งหลังจากที่ครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ
คราวนี้ซองมินได้เห็นชัดๆว่าคนๆนั้นเป็นใคร ใบหน้าคมที่ตอนนี้ชื้นเหงื่อจากการวิ่ง รูปร่างสมส่วนพอเหมาะใส่ชุดลำลอง ชายหนุ่มคนนั้นกำลังคุยเล่นกับซีวอนอย่างออกรส รอยยิ้มสดใสนั่นทำให้ใครบางคนเผลอมองอย่างไม่รู้ตัว
“... มิน... ซองมิน!!~”
“อ่ะ ห๊ะ?? อะไร??”
“แหม... มองเพลินเลยนะ”
“อะ อะไร!!?? ใครมอง?? เปล่าซักหน่อย!!” ซองมินค้านสุดตัวเมื่อโดนจับได้
“หรอ?~~~~~~ เห็นมองหมอนั่นตาไม่ว่างเลยนะ” แต่ซองมินก็ไม่ตอบอะไรได้แต่มองค้อนเพื่อนน้อยๆและหันหลังเดินไปเก็บของต่อ โดยที่ไม่ทันได้เห็นว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังมองมาทางเขาอยู่เช่นกัน
**----------------------------------------**
ในระหว่างที่ร่างสูงกำลังคุยอยู่กับซีวอนนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกตัวว่าตนเองกำลังถูกจ้องมองอยู่แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อลองมองแบบผ่านๆเพื่อที่จะได้รู้ว่าใครเป็นคนจ้องเขานั้น พลันสายตาก็สบกับใครบางคนที่อยู่ชั้นบนริมหน้าต่าง ดวงตาดำสนิทแต่กลับดูสว่าง แก้มใสที่แม้จะเห็นจากระยะไกลก็พอมองออกมาว่ามันเป็นสีชมพูอ่อนๆ แม้จะเพียงแค่ชั่วคราวแต่ทำไมตัวเขาถึงกลับจดจำใบหน้านั้นได้อย่างสนิทใจ แต่เมื่อพอจะมองกลับไปอีกครั้งก็ไม่พบเสียแล้ว เมื่อออกกำลังกายเสร็จทั้งคู่ก็พากันมาที่ห้องพักนักกีฬาเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
“วันนี้จะไปไหนหรือเปล่าวะ?” ซีวอนถามเพื่อนที่กำลังล้างหน้าล้างตาเอาน้ำชโลมผมหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จแล้ว
“ไม่รู้ดิ.. ยังขี้เกียจกลับบ้านว่ะ”
“งั้นไปหาไรกินกัน วันนี้อยากกินของหวานๆซักหน่อย จะได้รู้สึกสดชื่น” ซีวอนว่าพลางเอาผ้าขนหนูเช็ดผมที่ตอนนี้เปียกปอน
“ก็ดี.. แล้วจะไปที่ไหนอ่ะ?” ร่างสูงถามพร้อมกับรับผ้าที่ซีวอนยื่นให้มาเช็ดผมเช่นเดียวกัน
“อืม... ร้านเค้กหน้ามหาลัยก็ได้นะ ร้านนี้เห็นเขาว่ามันอร่อยเหมือนกัน”
“ก็ดี.. จะได้ซื้อเค้กไปฝากพี่อาราด้วย”
เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่ และเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นเนื่องจากพวกเขาโยนมันออกมาจากห้องแต่งตัว ทั้งสองสะพายกระเป๋าเป้ออกมาและมุ่งหน้าตรงไปยังร้านสำหรับทานของหวานในวันนี้
บางครั้ง...
....การอยู่ใกล้กัน
...ทำไมมันถึงดูเหมือนไกลกันเสียเหลือเกิน?...
กริ๊ง~~
..
เสียงประตูร้านเปิดออกพร้อมกับเสียงของกระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ประตูดังขึ้น และตามด้วยเสียงกล่าวสวัสดีและขอบคุณของพนักงานในร้านเพราะมีลูกค้าสองคนเดินออกจากร้าน และมีลูกค้าอีกสองคนเดินเข้ามา ทำให้ทั้งสองฝั่งเดินสวนกัน แต่ทว่าคนที่เดินสวนกันนั้นกลับไม่มีใครได้เห็นหน้ากันเพียงเพราะต่างก็กำลังคุยกับเพื่อนของตน ทำให้ต่างคนต่างไมรู้ว่าใครกันที่เดินผ่านเขาไป เพียงแค่ระยะห่างไม่ถึงเซน แต่ทำไมถึงได้เจอกันนะ?
...หรือเป็นเพราะโชคชะตา?...
**----------------------------------------**
ผ่านไปหลายวันตั้งแต่ได้เจอครั้งแรก แม้จะไม่รู้จักแต่เพียงแค่ได้มองอยู่ไกลๆจากที่แห่งหนึ่ง เพียงแค่เดินผ่านในที่ที่มีเขาคนนั้นอยู่ แต่ทำไมมันถึงทำให้ใจของใครคนหนึ่งพองโตได้ขนาดนี้กันนะ?
...รักงั้นหรอ?...
แต่ทำไมมันถึงต้องเกิดกับคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดคุกันมาก่อนด้วยล่ะ? เพียงแค่ได้เห็นหน้าก็ทำให้เกิดความรักแล้วยังงั้นหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? เพราะมันง่ายเกินไป...
“มองเขาอีกแล้วนะ” ฮยอกแจพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบในระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งทำรายงานส่งอาจารย์ที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างสนามฟุตบอล
“ปะ เปล่าซะหน่อย แค่กำลังคิดว่าจะทำรายงานยังไงเท่านั้นเองนะ” ร่างอวบแก้ตัวทันควัน
“แต่ได้ข่าวว่าซองมินมีหน้าที่พิมพ์ส่วนที่เราสรุปให้แล้วอย่างเดียวนะ? จะหาอีกทำไม? แล้วถามแค่นิดเดียวก็ตอบซะยาวเลยนะ” ฮยอกแจเริ่มจับผิดเพื่อน เพราะช่วงนี้ซองมินดูแปลกตาไป บางครั้งก็เหม่อลอยไม่รู้ตัว และทุกครั้งที่มองตามสายตาของเพื่อนร่างอวบไปก็มักจะพบกับชายคนนั้นด้วยเสมอ
“ซองมิน..”
“อืม..” คนถูกเรียกคานรับในลำคอระหว่างพิมพ์รายงานไปด้วย
“เราเป็นเพื่อนกันใช่ป่ะ?”
“อืม”
“เรา.. ถามอะไรซองมินก็จะตอบใช่ป่ะ?”
“อืม”
“ซองมินชอบผู้ชายคนนั้นใช่ป่ะ?”
“อืม”
“............”
“... เฮ้ย!!!!!!!! เปล่านะ!!!!” ด้วยความที่ฟังคำถามผ่านๆเลยส่งผลให้เผลอยอมรับออกมาซะอย่างนั้น ทำให้ฮยอกแจล้อตนเองยกใหญ่
“ฮ่าๆ เห็นมั้ยๆ ชอบจริงๆด้วยอ่ะ ฮ่าๆ”
“เฮ้ย!!~~ เดี๋ยวดิ ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย” แต่ดูเหมือนการแก้ตัวมันก็คงไม่ได้ช่วยอะไรเสียแล้ว เพราะตอนนี้ฮยอกแจเอาแต่แซวเพื่อนร่างอวบอย่างเดียวเลย ซองมินเลยได้แต่ขู่ออกไปว่าถ้าหากยังพูดเรื่องนี้อยู่จะไม่พิมพ์รายงานให้พร้อมกับเปลี่ยนฝั่งที่นั่งจากเดิมที่นั่งหันหน้าเข้าสนาม กลายเป็นหันหลังให้สนามฟุตบอลแทน เพื่อเป็นการยับยังการพูดแซวของฮยอกแจ แต่ถึงกระนั้นฮยอกแจก็ยังคงมีแอบแซวอยู่บ้างเพื่อความสนุกปาก
**----------------------------------------**
ภายในสนามบอลนักศึกษาหลายคนกำลังใช้มันเป็นที่พักผ่อนออกกำลังกายหลังจากที่ตรากตรำจากการเรียนมา ซึ่งรวมถึงซีวอนและเพื่อนของเขาด้วยเช่นกัน ทั้งสองกำลังเล่นฟุตบอลร่วมกับเพื่อนๆที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ซีวอนและเพื่อนของเขาอยู่ฝั่งเดียวกัน ในระหว่างที่เล่นทั้งสองก็เข้าขากันได้ดี แม้ในบางจังหวะจะมีการเล่นนอกกติกาอยู่หลายครั้งแต่ก็แค่เล่นๆ ไม่ได้มีการเอาจริงจังอะไร
“เฮ้ยๆ!! ส่งทางนี้”
“กันทางซ้ายไว้ด้วย!!”
เวียงโหวกเหวกจากการสั่งกันเองในสนามดังเป็นระยะๆเพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามทำประตู ลูกบอลถูกส่งลอยข้ามหัวผู้เล่นไปมาแต่ทว่าลูกส่งในครั้งนี้มันอาจจะเป็นการส่งแรงไปหรือเปล่าจึงทำให้เกิดเรื่องไม่น่าเกิดขึ้น
...หรือเพราะโชคชะตา?...
“เอ้า!! ไอซีวอนรับนะ” ชายหนุ่มตะโกนข้ามฝั่งมาก่อนจะเตะลูกบอลส่งให้เพื่อน แต่มันกลับเลยหัวซีวอนไปและไปตกอยู่นอกสนามแทน
‘โครม!!!!’
เสียงดังสะนั่นท่ามกลางโต๊ะม้าหินอ่อนนอกสนามเนื่องจากมีสิ่งที่ไม่ได้รับเชิญในการทำรายงานตกลงมาจากฟ้า(?) ด้วยแรงและน้ำหนักของลูกบอลส่งผลให้โน๊ตบุ๊คที่กำลังเปิดเพื่อทำงานนั้นดับวูบทันที
ซองมินในตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตเพราะมัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ ส่วนฮยอกแจเองก็มัวแต่ด่าเจ้าของลูกบอลที่เตะลูกมาไม่ดูตาม้าตาเรือว่ามันจะพุ่งไปที่ไหน ส่วนเจ้าของลูกบอลพร้อมกับคนที่เตะมันมานั้นก็วิ่งกระหืดกระหอบมายังสถานที่เกิดเหตุเพื่อดูว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า?
“แฮ่กๆ ขอโทษนะครับ!! มีใครเป็นอะไรมั้ย?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นจากด้านหลังของซองมินและฮยอกแจ แต่ดูเหมือนว่าฮยอกแจจะมัวแต่บ่นให้เจ้าของลูกบอลเลยไม่ทันเห็นว่าเขาเป็นใคร
“เป็นดิวะ!!! เห็นรึไงว่าคนเขา นะ... เฮ้ย!!!!~~~~” คำพูดที่เตรียมพร้อมจะด่าว่าเจ้าของลูกบอลกลับกลืนหายลงไปในลำคอทันที เมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร พร้อมกับสะกิดเพื่อนที่ยังคงบ่นไม่เลิกเมื่อเห็นว่าโน๊ตบุ๊คของตัวเองเมื่อรู้ว่ามันไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆเสียแล้ว
“อย่าเพิ่งได้มั้ยฮยอกแจ!!” แต่ซองมินก็ยังคงยืนหันหลังให้จำเลยทั้งสองอยู่
“ซองมินๆ!~~ หันมานี่ก่อน” เพื่อนร่างบางพยายามกระซิบและดื้อดึงพยายามให้เพื่อนสนใจกับจำเลย
“อย่าเพิ่งได้มั้ย?!!” ซองมินหันมาบอกกับเพื่อนร่างบาง “เห็นมั้ยเนี่ยะว่าโน๊ตบุ๊คมันดับไปแล้ว!!!! แม่....ง!!~ เล่นกันยังไงวะเตะ. มะ...” แต่พลันหางตาเหลือมาเห็นกับจำเลยทั้งสองก็หยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นว่าหนึ่งในสองคนนั้นเป็นใคร
แต่ดูจำเลยทั้งสองก็ยังคงยืนนิ่งสนิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำนึกในความผิดที่ทำคอมเขาพังหรืออึ้งที่ร่างอวบสบถแบบหมดรูปคุณหนูออกมาแบบนี้กันแน่?
“เออ.... ” ซีวอนเกริ่นนำในความเงียบระหว่างพวกเขาทั้งสี่
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเพื่อนผมมันส่งบอลแรงไปหน่อย ผมรับลูกไม่ได้มันก็เลย....เป็นแบบนี้..” แต่ฝ่ายโจทก์กลับนิ่งเลยทำให้จำเลยทั้งสองใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ซองมิน.... เซฟงานหรือยัง?” ฮยอกแจที่มีสติเร็วกว่าเพราะเป็นห่วงงานของตนเอง แต่ซองมินก็เงียบอยู่นานราวกับกำลังประมวลผลก่อนพูดออกมาพร้อมกับคำตอบที่ทำให้ฮยอกแจแทบใจสลาย
“เออ.. ยังว่ะ”
“เฮ้ยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!”
ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองกำลังรู้สึกเหมือนว่าเป็นส่วนเกินของพวกเขาทั้งสองคนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากเป็นคนอื่นคงจะรีบเก็บลูกบอลคืนแล้วก็แผ่นไปแล้ว แต่พอดีทั้งสองมีความรับผิดชอบในความผิดของตนดีเลยไม่ทำเช่นนั้น
“แล้วจะทำไงดีเนี่ย!!!? งานต้องส่งอาทิตย์นี้แล้ว!!!” ฮยอกแจยังคงพร่ำเพ้อออกมาไม่เลิก จนฝ่ายจำเลยทั้งสองต่างก็มองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้
“เอาน่าๆ ฮยอกแจ เดี๋ยวค่อยไปพิมพ์ใหม่ก็ได้ คอมที่บ้านฮยอกแจก็มีนิ?”
“มีอ่ะ มีแน่ๆ แต่จะใช้ได้ไงล่ะในเมื่อมันอยู่ห้องพยาบาลในร้านคอมอ่ะ!!! โอ๊ย!!! งานฉัน!!”
“เออ....ขอโทษจริงๆนะครับ พวกผมก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้” ชายที่ยืนอยู่ข้างๆซีวอนพูดขึ้น
“ถ้าตั้งใจคงหนักกว่านี้!!” เนื่องจากฮยอกแจอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติเลยทำให้เกิดอาการเหวี่ยง
“ฮยอกแจ!!!” ร่างอวบหันไปดุเพื่อนเล็กๆ
“เอาโน๊ตบุ๊คของผมไปใช้ก่อนมั้ยครับ?” ชายคนเดิมพูดต่อทำให้ซองมินต้องหันมามองสบตาอย่างงงๆ แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน ไม่รู้ทำไม? มันรู้สึก... แปลกๆ...
“อะ เออ.. ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยไปพิมพ์ที่ห้องคอมฯก็ได้” พูดต่อหน้า แต่ก็พยายามที่จะหลบสายตาของผู้จ้องมอง
“แต่งานคุณรีบไม่ใช่หรอครับ?”
“เออ....”
“ก็ดี!!!” เสียงร่างบางแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอามาให้นะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมยิ้มอ่อนโยนทำเอาใจเล็กๆของซองมินเต้นไม่เป็นจังหวะ
“อ.. อืม”
“5 โมงผมจะมารอตรงนี้นะครับ” ชายหนุ่มบอกอีกครั้งก่อนจะบอกเพื่อนข้างๆให้รีบกลับไปเล่นบอลต่อ เพราะป่านนี้คนที่เหลือในสนามคงบ่นกันให้ยกใหญ่แล้ว ทั้งสองวิ่งลงสนามไปเล่นบอลต่อ แต่ซีวอนก็ยังไม่แน่ใจกับการกระทำของเพื่อน
“แน่ใจนะ??”
“เรื่อง?”
“โน๊ตบุ๊คมึงอ่ะ?”
“แล้ว?”
“ก็ปกติไม่เห็นจะให้ใครแตะต้องโน๊ตบุ๊คลูกรักของแกเลยไม่ใช่หรอ?”
“แล้ว?”
“ก็ไม่แล้วไง.. กูสงสัยเฉยๆ”
“แล้ว?”
“ก็ไม่แล้วไง? หรือมึงชอบคนนั้น?” ถามครั้งนี้กลับไม่มีคำตอบนอกจากบอกว่าให้รีบๆวิ่งเพราะเพื่อนในสนามกำลังรออยู่
...แล้วแบบนี้...
...เป็นเพราะโชคชะตานำพาหรือเปล่านะ?...
**--------------------***Edit***--------------------**
หลังจากที่ซองมินได้โน๊ตบุ๊คชั่วคราวจากเพื่อนของซีวอนมาแล้วก็ใช้มันจนสามารถทำรายงานของ
ฮยอกแจเสร็จทันเวลา ซองมินอยากจะขอบคุณเจ้าของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เสียเหลือเกินที่ทำให้งาน
ฮยอกแจเสร็จ และอยากจะขอบคุณมันที่ช่วยให้พวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ฮยอกแจสังเกตว่าเพื่อนของตนเองเริ่มจะมีอาการแปลกที่หนักขึ้นกว่าเดิมหลังจากเอาโน๊ตบุ๊คไปคืนเจ้าของแล้ว
“ซองมิน... กำลังคิดอะไรอยู่?” เขานั่งลงข้างๆซองมินที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่มักจะมานั่งทุกวัน
“ก็... เปล่านิ”
“คิดถึงคนนั้นอยู่หรือไง?”
“ปะ เปล่านะ!!! แค่คิดอยู่ว่าจะทำอะไรให้เขาดี เพราะเขาช่วยเราตั้งเยอะ”
“เยอะ.... ตรงไหน?”
“กะ ก็....” ร่างอวบเริ่มจะหาเหตุผลมาอธิบายต่อไม่จบเสียแล้ว
“...??...” ฮยอกแจจ้องมองหน้าอย่างกดดันเพื่อให้เพื่อนคายคำตอบออกมาโดยไว้
“ก็.. เรื่องที่เขาให้ยืมโน๊ตบุ๊คไง!”
“หรอ?... แล้ว... จะให้อะไร?”
“ไม่รู้ดิ~~”
ความเงียบเกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคัดค้านต่างคนต่างคิดว่าจะทำอะไรให้ดี คนรู้จักก็ไม่ใช่ คุยกันก็มาถึงสิบนาทีแม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป แล้วทำไมต้องกังวลแบบนี้ด้วยล่ะ? แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็อยากให้อยู่แล้ว ไม่เป็นจำเป็นว่าต้องมีเหตุผลใดๆมาอ้าง
“งั้นเอางี้ดิ...” ฮยอกแจนึกขึ้นได้
“..??”
“ก็...เดี๋ยวนะ”
“อ่าว.. นึกว่าคิดออก” ร่างอวบทำหน้าเซ็งทันทีเมื่อเห็นว่าฮยอกแจไม่ได้คิดออก
“ก็อย่าเพิ่งขัดดิ!!~ ก็จะถามก่อนว่าจะเอาอะไรให้เขา?? ของกินหรอ?”
“เออ.. เนอะ.. ของกินก็ได้ แต่จะให้เป็นอะไรล่ะ??” คำถามที่แก้ไม่ได้ก็ยังคงแก้ไม่ได้อยู่ดี
“งั้นก็ไปแอบสืบดูดิ เผื่อจะได้รู้ว่าเขาชอบทานอะไร?”
“เฮ้ย!!! ไม่เอา!!! จะบ้ารึไง?? เดี๋ยวเขาก็หาว่าเราชอบเขาหรอก!!!”
“แล้วชอบจริงรึเปล่าล่ะ(- -?)” คำถามของฮยอกแจทำเอาร่างอวบอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก ได้แต่แกล้งเสตามองไปทางอื่นไม่สนใจสายตาของเพื่อนที่คอยจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา
ทั้งสองนั่งคิดแผนใหม่ต่อไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็คิดไม่ออกจนต้องใช้แผนตามเดิมของฮยอกแจคือ “ตามสืบ” ว่าเขาชอบทานอะไร? และฮยอกแจก็สั่งให้เริ่มแผนตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไปเพื่อที่จะได้รู้เร็วขึ้น
**----------------------------------------**
“มีคนฝากมาให้ครับ” ชายแปลกหน้าคนหนึ่งยื่นถุงกระดาษสีชมพูอ่อนให้กับ
ซีวอนก่อนจะจากไป ทั้งคู่ทำหน้างงๆก่อนจะสังเกตที่ถุงและพบว่ามีเศษกระดาษสีน้ำตาลอ่อนเขียนด้วยปากกาสีขาว
‘ฝากให้เพื่อนสนิทของซีวอน’
“ของมึงอ่ะ” ชายหนุ่มยื่นถุงกระดาษให้เพื่อนไป เขาเองก็รับมันมาแบบงงๆว่าทำไมมันถึงเป็นของเขา
“แน่ใจหรอวะ?”
“เออดิ!!”
“แต่เขาไม่ได้เขียนชื่อกู”
“แต่เพื่อนกูมีคนเดียว”
คำตอบสุดท้ายปิดประเด็นทั้งหมดได้ในทันที แม้ว่าซีวอนจะมีเพื่อนมากมายแต่ก็มีคนที่สนิทเพียงคนเดียวคือคนที่อยู่ด้วยข้างๆในตอนนี้ และเพื่อนของซีวอนจึงต้องรับไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ และเมื่อเปิดถุงมามีขนมปังใส่ครีมกับนมสดที่เขาชอบซื้อเป็นประจำ แต่เขาก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า.. ทำไมมันเป็นของเขา? แล้วเขาไปทำอะไรให้ถึงต้องให้ของมา? และที่สำคัญ.. ใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้?
หลังจากนั้นทุกเช้าก็จะมีของแบบเดิมมาให้อยู่เสมอโดยที่มีการฝากคนอื่นส่งมาให้เสมอ จนคนรับเริ่มสงสัยเต็มที่ว่าใครเป็นคนให้ ชายหนุ่มจึงเริ่มที่จะค่อยๆสืบดูด้วยตนเองบ้างว่าใครกันที่มักซื้อของแบบนี้ในตอนเช้าโดยเริ่มจากการที่ไปนั่งอยู่ที่โรงอาหารของมหาลัยเพื่อสังเกตการณ์
...........
..........................
ชายหนุ่มนั่งข้างเตียงสีขาวโดยที่บนเตียงนั้นมีร่างๆหนึ่งนอนสงบนิ่ง ลมหายใจเบาบางและคงที่ เปลือกตาบางปิดสนิท ใบหน้าหวานที่แต่ก่อนมักเป็นสีชมพู แต่ตอนนี้กลับไร้สีสัน เรียวปากอมชมพูที่เคยปรากฏรอยยิ้ม แต่ตอนนี้เรียบสนิท สายตาคมทอดมองไปยังใบหน้าไรสีนั่นด้วยนัยน์ตาที่หม่นหม่อง พร้อมรอยยิ้มที่แสนเศร้า
“ซองมินจำได้มั้ยครับ? ตอนนั้นที่ซองมินจะซื้อขนมปังกับนมมาให้ผมทุกเช้า” มือหนาค่อยจับมือนุ่มมากุมเอาไว้เบาๆ โดยที่มีมือของตนเองทาบไว้ด้านบนอีกที
“ตอนแรก.. ผมก็ไม่รู้นะว่าใครซื้อมาให้ผม ผมก็เลยลองจับตาดูคนที่มักจะมาซื้อของในตอนเช้า แล้วก็เห็นว่าซองมินซื้อของแบบเดียวกับที่ให้ผม ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ... อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่ทว่าซองมินกลับซื้อมันทุกเช้า” มือหนาทั้งสองข้างเริ่มบีบ
มือนุ่มเพื่อให้ความอบอุ่นซึมผ่านไป
“ผมเลยมั่นใจ...”
มือหนาเปลี่ยนจากตอนแรกที่กุมมืออยู่มาเป็นจับมือนุ่มให้ทาบกับแก้มอุ่นๆของตนเอง นิ้วเรียวสอดประสานระหว่างนิ้วอวบ นัยน์ตาคมยังคงจ้องมองใบหน้าไร้สีตลอดเวลา ภาพในหัวกำลังฉายซ้ำไปมาอยู่ตลอดเวลา ภาพตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ภาพที่ยังคงเห็นคนๆนี้นอนนิ่งไม่เคลื่อนไหว และคำพูดเดิมที่จะเอ่ยออกมาทุกครั้งในยามที่ตนเองรู้สึกผิด
“ผมขอโทษนะครับ”
...........
..........................
ยิ่งนานวันชายหนุ่มก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าคนที่ให้ของแก่เขาคือซองมินคนนี้ เขาก็เลยคิดว่าถ้าอยากจะให้แน่ใจมั่นใจขึ้นอีกสักนิด ก็คงจะต้องมีการเขาไปคุยด้วยซักหน่อย ไม่ได้เข้าไปถามตรงๆให้กระต่ายน้อยตื่นตัว ก็แค่เข้าไปถามตามประสาคนที่ทักทายกันตอนเช้าก็เท่านั้นเอง
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงทักทายยามเช้าที่ไม่คุ้นหูทำเอาร่างอวบที่กำลังเลือกซื้อนมอยู่ที่หน้าตู้โชว์นั้นตกใจ
“อ๊ะ!!~” ร่างอวบหันไปมองยังต้นเสียงก็แทบจะวิ่งหนีจากตรงนั้น แต่ขามันกลับไม่ทำตามสมองสั่ง เขาจึงได้แต่ทักทายตอบกลับไปแบบใจดีสู้เสือ
“อะ.. อืม อะ.. อรุณสวัสดิ์” เมื่อมีการตอบกลับก็ทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างพึ่งพอใจ
“ครับ~ แล้ว... กำลังซื้ออะไรอยู่หรอครับ? ซองมิน” ชายหนุ่มถาม แต่คนถูกทักกลับอยู่ในอาการที่ดูจะประหม่านิดๆจนไม่ได้สังเกตว่าหรือสงสัยว่าชายคนนี้รู้จักชื่อของตนเองได้ยังไง??
สายตาคมเหลือบมองของที่ถูกวางอยู่ในตะกร้า ซึ่งพบว่าของในนั้นมีสองชิ้นในห้าชิ้นที่เหมือนกับของที่เขาได้รับในทุกๆเช้า เขาอมยิ้มเพียงเล็กน้อยและเริ่มมั่นใจมากขึ้นอีกนิดที่เป็นซองมิน
“อ่ะ เออ.. อื้อ” ซองมินไม่แม้แต่จะมองหน้าของคนที่เขากำลังคุยอยู่ด้วย เพราะถ้าหันไป ฝ่ายตรงข้ามต้องรู้แน่ๆว่าเขากำลังหน้าแดงอยู่!!
“ซองมินทานนมสดกับขนมปังทุกเช้าเลยหรอครับ?”
“เออ... ก็ไม่หรอก พอดีมาซื้อให้ฮยอกแจน่ะ” ปากตอบออกไปแต่ตาก็ยังคงเลือกดูของว่าจะเอาอันไหนดี แต่ถ้าให้พูดตามจริงแล้วก็ไม่ได้เลือกหรอก เพราะไม่กล้าหันไปมองคนข้างๆมากกว่า
“หรอครับ? เพื่อนซองมินทานเยอะเหมือนกันนะครับ ฝากซื้อซะเยอะเลย” ร่างอวบก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วจะให้บอกความจริงได้ยังไงล่ะว่าของที่มีอยู่ในตะกร้านี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นของของคนที่กำลังยืนคุยด้วยอยู่นี่แหละ
“เออ.. แล้ว... นายไม่ซื้ออะไรไปทานหน่อยหรอ?” ซองมินถามออกมาอย่างเกรงๆ
“อ่า.. ไม่ล่ะครับ ผมเพิ่งจะกินข้าวมา นี่ว่าจะซื้อนมไปให้ซีวอนน่ะ ซองมินซื้อครบรึยังครับ?” ร่างอวบพยักหน้าตอบอย่างเงียบๆ
“งั้นไปจ่ายเงินกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนซองมินหิวแล้วจะมาขย้ำผมเอา โทษฐานที่ทำให้ซองมินเอาอาหารเช้าไปให้ช้า” ชายหนุ่มพูดติดตลก แต่ซองมินก็ไม่ได้หัวเราะอะไรมาก ได้แต่ยิ้มน้อยๆให้เท่านั้น
ระหว่างยืนรอจ่ายเงิน ซองมินก็ได้แต่คิดอะไรคนเดียวเงียบๆ อาจจะเป็นเพราะตอนที่ชายหนุ่มบอกเขาว่า “เพิ่งจะกินข้าวมา” ก็เลยทำให้ซองมินเกิดอาการน้อยใจเล็กๆ ที่เช้านี้.. ชายคนนี้อาจจะไม่ได้ทานอาหารเช้าที่เขาซื้อไปให้
“จ่ายรวมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพนักงาน พร้อมทั้งแย่งตะกร้าที่อยู่ในมือของร่างอวบไปโดยไม่บอกกล่าว
“อ๊ะ!! เดี๋ยวเราจ่ายเอง” ซองมินบอกด้วยท่าทางตื่นๆ พร้อมกับจะบอกพนักงานว่าจะจ่ายแยก แต่ก็โดนชายหนุ่มขัดไว้เสียก่อน
แต่สุดท้ายก็จ่ายรวมเหมือนเดิม โดยชายหนุ่มบอกว่าคนอื่นๆเขากำลังรอจ่ายเงินอยู่ จ่ายรวมกันทีเดียวนี่แหละ มันเร็วดี จะได้ไม่เสียเวลาคนอื่นด้วย จนซองมินก็ต้องยอมทำตาม ระหว่างนั้นซองมินก็บอกให้พนักงานแยกถุงเล็กออกมาหนึ่งถุง โดยมีนมสดหนึ่งกล่องกับขนมปังอีกหนึ่งถุง พอชายหนุ่มถามว่าทำไมต้องแยก? ร่างอวบก็ตอบแบบไม่มั่นใจว่าจะให้ฮยอกแจ แต่คนถามก็จับผิดพฤติกรรมนั้นได้ เพราะมันช่างเป็นการโกหกที่ไม่เนียนเอาเสียเลย ก็ในเมื่อขวดนมและขนมปังในตะกร้านั้นมีอยู่อย่างสาม แต่ถ้าทานกันแค่สองคนก็ไม่น่าจะซื้อเยอะแบบนี้
และด้วยความสงสัยกอปรกับต้องการความแน่นอนเรื่องนมกับขนมปังของตนเองนั้น จึงทำให้ชายหนุ่มทำอะไรซักอย่างเพื่อบ่งบอกความแน่ชัด
“ผมช่วยนะครับ” ไม่ต้องรอคำตอบถุงสองถุงก็ตกไปอยู่ในมือของชายหนุ่มเรียบร้อย และเมื่อใกล้ถึงทางที่ต้องแยกกันไปตามคณะเรียนของตน เขาจึงคืนของให้
**------------------------------------------**
เมื่อเขากลับมาถึงที่ตึกของตนเองแล้วก็พบว่ามีคนกำลังคุยอยู่กับซีวอนเขาจึงเดินเขาไปหา เมื่อไปถึงยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรซีวอนก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ของมึงอ่ะ” ร่างสูงยื่นถุงกระดาษสีชมพูอ่อนให้ ซึ่งเป็นแบบเดิมกับที่เคยได้ แต่ต่างแค่ว่าภายในถุงนั้นกลับมีถุงพลาสติกสีขาวซึ่งบรรจุของเอาไว้อยู่
เมื่อได้ของเรียบร้อยแล้วจึงหันไปบอกขอบคุณผู้ที่นำของมาให้ ชายหนุ่มเดินไปนั่งลงข้างๆกับซีวอนที่กำลังค่อยมองดูว่าของที่ได้มานั้นจะเป็นขวดนมสดกับขนมปังอีกเหมือนเดิมหรือเปล่า? มือหนาเปิดถุงดูข้างในและพบกับกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆอีกเช่นเคย แต่คาวนี้เขียนต่างจากคราวก่อนๆ
..'ถ้ายังไม่หิวก็ยังไม่ต้องกินก็ได้นะ'..
ชายหนุ่มยิ้มและส่ายหัวน้อยๆกับข้อความสั้นนั้นๆ เพราะมันแสดงออกถึงความน้อยใจนิดๆที่เขายังไม่ทานมันในตอนนี้ และเขาก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่รอจ่ายเงินในตอนนั้นคนบางคนถึงได้ดูเงียบไปหลังจากที่เขาบอกว่ากินข้าวแล้ว
“เหมือนเดิมเปล่าวะ?”
“ไม่อ่ะ”
“มันจะไม่เหมือนเดิมได้ไงวะ? ก็ในเมื่อมันเป็นนมกับขนมปังที่มึงได้ทุกวันนิ?” ร่างสูงรูปหล่อบอกอย่างงงๆ ก็ในเมื่อเห็นอยู่ว่าเป็นของที่ได้อยู่ทุกๆวัน แล้วมันจะไม่เหมือนเดิมได้ยังไง?
“ก็ไม่เหมือนเดิมตรงที่ว่ากูรู้แล้วน่ะสิว่าใครให้มา” คำตอบของชายหนุ่มทำเอาซีวอนงงหนักกว่าเก่า
จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงก็ในเมื่อของที่ได้มาทุกๆวันเนี่ย เห็นแต่คนถือมาให้ แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าคนให้ เห็นอย่างมากก็มีแค่ลายมือที่ออกจะดูน่ารักก็แค่นั้น แล้วจะเอาอะไรมาตัดสินว่าใครเป็นคนให้มา
“บอกมาสิว่ารู้ได้ยังไง??” ร่างสูงยังคงต้องการคำตอบ
“นี่ไง..” ชายหนุ่มชูกระดาษเล็กๆแผ่นนึงขึ้นให้ซีวอนดู
“ก็แค่ใบเสร็จรับเงิน”
“ก็นี่แหละที่ทำให้รู้ว่าใครให้มา”
“อย่ามาลีลา!! ต้องการเนื้อความไม่อยากได้น้ำความ”
“ก็เมื่อเช้า..... กูเห็นซองมินเค้ากำลังซื้อของอยู่ที่มินิมาร์ท กูก็เลยเดินเข้าไปคุยด้วย..”
“สรุปความเป็นป่ะ?”
“เอ้อๆ!! ตอนกลับกูเป็นคนถือถุงใส่ของ แล้วกูก็เลยเอาใบเสร็จใส่ถุงเล็กที่ซองมินแยกของออกมาไง ถ้าของที่ได้มามีกระดาษอันนั้น ก็แสดงว่าซองมินเป็นคนให้ แต่ถ้าไม่มี.. ก็ไม่ใช่”
“แต่มันมี...”
“ดังนั้นคนให้ก็คือซองมิน”
......................
...............
“ซองมินครับ... อีกไม่กี่วันก็จะคริสมาสต์แล้วนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเขาจัดวางของเรียบร้อยแล้ว
“ปีนี้ซองมินอยากไปที่ไหนหรือเปล่าครับ?” ชายหนุ่มหันมาถามร่างที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงสีขาว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ...
.ที่มันเป็นแบบนี้มาตลอด 3 ปี...
ผ้าม่านสีครีมถูกเปิดออกเพื่อให้แสงแดดอ่อนๆสาดส่องเข้ามา เขาเดินไปนั่งลงบนเตียงนุ่มและค่อยๆพยุงให้ร่างอวบลุกขึ้นนั่งโดยใช้หมอนพิงหลังเอาไว้ และตนเองก็ลุกไปปรับเตียงอีกครั้งก่อนจะกลับมานั่งบนเตียงที่เดิมข้างๆกัน โดยที่ตนเองรั้งร่างอวบให้มาอยู่ในอ้อมกอดและพิงอกแกร่งของตนเองเอง มือหนาจับผมนุ่มที่ไม่เป็นทรงให้เข้าที่ นิ้วเรียวเกลี่ยไล้ไปตามโครงหน้าหวาน สายตาคมจ้องมองไปยังดวงตาที่ปิดสนิท สามปีแล้วที่เขาไม่เคยจะได้เห็นเห็นดวงตาคู่สวยคู่นี้อีกเลยตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาเป็นต้นเหตุของเรื่อง
..โดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ..
......................
...............
“เป็นอะไร?”
“เปล่า..”
“หงุดหงิดอะไร?”
“เปล่า...”
“ลี ซอง
มิน”
“เฮ้อ!! ก็ได้ๆ เมื่อเช้าเราเจอเพื่อซีวอน แล้วเขาก็คุยกับเรา...”
“เฮ้ย!! จริง!!!?? แล้ว..มันไม่ดีตรงไหน?”
“ก็.... เช้านี้เขาไม่ได้กินของที่เราซื้อให้อ่ะ”
“แค่เนี่ย!!!???” ซองมินได้แต่พยักหน้าอย่างซึม “โอ๊ย!! จะบ้าตาย!!”
“ก็แหม.... ” พูดได้แค่นั้นก็ได้แต่ทำปากพองลม จนฮยอกแจอดที่จะเอามือไปตีมันเบาๆไม่ได้ สักพักอาจารย์ก็เข้าห้องมาทำให้ทั้งสองหยุดคุยกันชั่วคราวก่อนจะหันไปตั้งใจเรียนต่อไป
ช่วงบ่ายของวันนี้ทั้งฮยอกแจและซองมินไม่มีเรียนต่อ จึงมานั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิมที่มานั่งเป็นประจำ แต่ก่อน... มันก็ไม่ได้เป็นที่ประจำของพวกเขาหรอก เพียงแค่ว่าในตอนบ่ายของทุกวันศุกร์มีใครบางคนอยากมาเจอคนๆนึงก็เท่านั้นเอง เพราะเขามักจะมาเตะบอลในช่วงบ่ายแก่ๆจนถึงเย็น
ซองมินนั่งหันข้างให้สนามบอล เพราะเขาไม่อยากให้ดูเหมือนว่ากำลังมองใครอยู่
แต่ฮยอกแจก็แซวอยู่เรื่องว่าถ้าอยากมองก็นั่งหันหน้าเข้าสนามบอลไปเลย จะไม่ต้องมาทำเป็น
อีแอบแบบนี้ แต่ซองมินก็ยังคงดื้อดึงที่จะไม่ทำแบบนั้น ในระหว่างรอทั้งสองก็นั่งทำงานไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะบ่ายสามแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่กำลังรอคอย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรอต่อไปโดยทำงานฆ่าเวลาไปด้วยเพื่อจะได้ไม่คิดอะไร
“ทำไมเขายังไม่มาล่ะฮยอกแจ?” ร่างอวบเริ่มมีความอดทนน้อยลง
“คงทำงานอยู่มั้ง?”
“แต่มันก็นานแล้วนะ.. ปกติจะมาเร็วกว่านี้อีก!!” คนที่รอเริ่มจะมีอาการหัวเสียนิดๆ จึงฟุบหัวลงกับแขนเก็บอาการงอน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อเช้าด้วยเลยทำให้เขาอารมณ์เสียง่าย
ฮยอกแจเห็นว่าเพื่อนของตนเองเริ่มมีอาการเหวี่ยงจึงไม่พูดอะไรอีก แต่ด้วยสายตาอันรวดเร็วและเฉียบคมถึงแม้ดวงตามันจะเล็กก็ตาม เขาก็เห็นใครคนหนึ่งเดินเคียงคู่มากับขาประจำจากด้านหลังของซองมิน แต่น่าแปลกที่พวกเขาเดินตรงมาทางนี้ แต่ถึงกระนั้นร่างบางก็ยังไม่ได้บอกกับซองมินที่ยังฟุบกับแขนอยู่ และเมื่อมั่นใจว่าพวกเขาเดินตรงมาทางนี้จริงๆ ฮยอกแจจึงคิดแผนออกสำหรับการแกล้งซองมิน
เมื่อทั้งสองเดินมาถึง แต่ยังไม่ทันที่สองคนผู้มาใหม่จะได้เอ่ยปากทัก ร่างบางก็รีบโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าให้เงียบๆและอยู่เฉยๆตรงนั้นก่อน
“ซองมิน...” คนถูกเรียกขานรับทั้งๆที่ยังคงฟุบหน้าอยู่
“อารมณ์ดียังเนี่ย?”
“ยัง”
“อารมณ์เสียเพราะยังไม่ได้เห็นเพื่อนของซีวอนเนี่ยนะ?” ร่างอวบขานรับ แต่ก็ยังคงฟุบหน้าเช่นเดิม แต่เพียงแค่คำตอบสั้นๆนั้นทำเอาคนที่กำลังยืนฟังบทสนทนาอยู่ด้านหลังถึงกับอมยิ้ม
“อยากเจอมากขนาดนั้นเลยหรอครับ?”
“อื้อ!!” ตอบเร็วทันใจจนไม่ได้สังเกตว่าเป็นเสียงของใคร
“...........” // “...........”
“...........” // “...........”
ทั้งสองฝ่ายเงียบไปซักพักก่อนจะเปิดบทสนทนาขึ้นมาอีก เพราะร่างอวบเริ่มรู้สึกตัวว่าเสียงที่ถามนั้นไม่ใช่เสียงของเพื่อนสนิท
“ฮยอกแจ เมื่อกี้ถามเราหรือเปล่า!!??” ซองมินเงยหน้าถามทันที แต่สีหน้า
ของฮยอกแจกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเอาร่างอวบฉุน จะตอบดีๆก็ไม่ตอบกลับทำลอยหน้าลอยตา!!
“สรุปนายถามรึเปล่าเนี่ย!!??”
“ผมถามครับ....” เสียงทุ้มจากด้านหลังตอบขึ้นทำเอาซองมินหยุดชะงักลืมความโกรธโมโหไปชั่วครู่หนึ่ง ดวงตาโตเบิกกว้างราวกับจะถามฮยอกแจว่าเสียงนี้คือของเขาใช่มั้ย? แต่ทว่าเสียงกลับไม่ออกมาแม้แต่น้อย แต่ฮยอกแจเหมือนจะอ่านสีหน้าเพื่อนตัวเองออกจึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มอย่างสะใจที่ได้แกล้งเพื่อน
“อะ เออ.. พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ เรากลับก่อนนะฮยอกแจ!!!” ร่างอวบพูดขึ้นไม่แม้แต่จะหันมามองทางด้านหลังแม้แต่น้อย แต่คงเป็นเพราะอายมากกว่าที่ตอบออกไปแบบนั้น สองมือเก็บกระเป๋าและจะก้าวขาเดินไป แต่ทว่ามืออวบกลับถูกรั้งไว้ด้วยมือๆหนึ่ง
“โกรธที่ผมลงมาช้าหรอครับ?” เสียงทุ้มถามขึ้น
“........” แต่ซองมินก็ยังคงไม่หันมามองเขาแม้แต่น้อย
“ผมผิดเอง.. ขอโทษนะครับ” เพียงแค่คำกล่าวโทษตัวเองทำให้ร่างอวบรู้สึกผิด ทั้งๆที่คนที่กำลังรั้งเขาไว้อยู่นั้นไม่ผิดอะไรเลย
“นายไม่ผิดนะ!!!! เออ...” ร่างอวบเผลอหันมาบอกอย่างจริงจัง จนเผลอสบกับนัยน์ตาคมคู่นั้นทำเอาทำอะไรไม่ถูก
“จะจีบกันอีกนานมั้ยครับ?” ฮยอกแจถามขึ้นด้วยความหมั่นไส้เล็กๆ จนซองมินทำหน้าไม่ถูกและไม่กล้าหันไปมองหน้าคนที่กำลังจับมือของเขาอยู่เลย
“นี่ก็เย็นแล้ว... จะกลับเลยมั้ย?” ซีวอนถามบ้าง เมื่อเห็นว่าวันนี้คงจะไม่ได้เล่นบอลแถมเพื่อนตัวเองก็ยังคงจับมือซองมินไม่ปล่อยอีกต่างห่าง
“อื้ม.. กลับเลยก็ได้ งั้นไปล่ะ ฝากไปส่งเพื่อนเราด้วยนะ บาย~” ฮยอกแจตัดบททิ้งเพื่อนดื้อๆทำเอาซองมินทำอะไรไม่ถูกมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนซีวอนก็บอกลาเพื่อนเดินตามฮยอกแจไป จนเหลือแค่พวกเขาสองคน
... ‘สอง คน’
. สองคนจริงดิ!!?? อ๊ากกกกก!!!~~~ ทำไงดีๆๆๆ คิดสิๆ ลี ซองมิน!!! ...
“...มิน ซองมินครับ...” เสียงทุ้มเรียกให้ร่างอวบหลุดจากภวังค์ของตนเอง
“อะ เออ.. มะ มีอะไร?”
“กลับบ้านกัน” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มทำเอาใจคนฟังเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงได้แต่พยักหน้ารับคำไป เมื่อได้รับคำตอบแล้วจึงหยิบกระเป๋าสะพายของร่างอวบไปสะพายพร้อมกับหันมาจับมือของซองมินตามเดิม และจูงมือซองมินเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงหน้าประตูมหาลัย
“เออ... เดี๋ยวเรากลับทางนี้น่ะ ว่าจะไปซื้อเค้กก่อนกลับด้วย” ซองมินพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ทำให้ใจตัวเองไม่เป็นปกติ
“งั้นไปด้วยกันครับ.. ผมก็อยากทานเหมือนกัน” เล่นมามุขนี้ใครจะไปปฏิเสธลง ร่างอวบจึงต้องยอมไปด้วยกันทั้งๆที่มือก็ยังคงกุมกันอยู่เช่นเดิม
เมื่อทั้งสองไปถึงร้านกะว่าจะนั่งกินที่ร้านด้วย แต่ทว่าคนกลับเยอะไม่มีที่นั่ง จึงได้แต่ซื้อเค้กกลับบ้านแทน และเป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเป็นฝ่ายจ่ายให้ซองมิน แม้จะคืนเงินให้แต่เขาก็มักจะบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งคู่เดินเรื่อยๆเพื่อไปยังป้ายรถเมล์ และยังคงเป็นเหมือนเดิมที่มือของทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกัน
“ซองมินชอบกินเค้กหรอครับ?”
“อื้ม”
“แล้วต้องซื้อกลับทุกวันเลยรึเปล่าครับ?”
“อื้ม แต่บางครั้งก็ไม่นะ เพราะเค้กที่อยากกินมันหมดอ่ะ”
“แล้วซองมินชอบเค้กอะไรครับ”
“ฟักทองสิ เค้กฟักทองอร่อยที่สุด!!”
“แล้ว... ชอบคนซื้อให้มั้ยครับ?”
“ชอบสิ.. ของฟรี คิกๆๆ”
“ผมหมายถึงว่า.. ชอบผมมั้ยครับ?”
“ชอบ... ” ด้วยความที่เป็นคนชอบตอบเร็วโดยที่ไม่ฟังคำถามให้ดีจนติดเป็นนิสัย... จึงทำให้เผลอตอบออกไปอย่างลืมตัว
“เดี๋ยวนะ.. เมื่อกี้นายว่าไงนะ??” ร่างอวบหันไปถามอีกครั้งเผื่อความแน่ใจว่าคำถามที่เขาได้ยินนั้นฟังๆไม่ผิด
“ผมชอบซองมินนะครับ” คำบอกรักแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาซองมินเงียบไปพักหนึ่ง
“แล้วซองมินล่ะครับ..? คิดยังไงกับผม?” คำถามตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมถูกยิงมาหาร่างอวบแบบไม่ทันตั้งตัว
การพูดตอบในสิ่งที่ต้องบอกชอบหรือไม่ชอบนั้นซองมินเป็นคนตรงๆและบอกแบบตรงๆ แต่การที่ต้องมาบอกว่ารู้สึกยังไงกับคนที่ตัวเองแอบแบบตรงๆนั้น เป็นใครๆก็ทำไม่ได้เช่นกัน แม้กระทั่งซองมิน
มือของซองมินที่ถูกกุมอยู่นั้นเริ่มชื่นจนเจ้าตัวรู้สึกได้ อาจจะเกิดจากความตื่นเต้นที่ เพราะแม้กระทั้งหัวใจก็ยังแทบจะไม่ทำงาน สมองอย่าให้พูดถึงเลยเพราะตอนนี้มันไม่ทำงานและไม่คิดอะไรอีกแล้ว ในหูมีเพียงแค่ประโยคบอกรักของอีกฝ่ายที่พูดออกมาแบบคนฟังไม่ทันตั้งตัว
“ผมขอโทษนะครับที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ” ชายหนุ่มอธิบายเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนิ่งไปแล้ว มือหนาบีบมืออวบเบาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
“เรา... เออ...”
“ไม่เป็นไรครับซองมิน.. ซองมินยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้ ผมรอได้ครับ”
“คือ... ”
คำขอโทษ.. เป็นอีกครั้งที่ทำให้ซองมินรู้สึกลำบากใจ ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำอะไรให้เขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษอะไร ตัวเขาต่างหาก ตัวของซองมินเองที่ต้องเป็นฝ่ายพูดเพราะเขาทำอะไรไม่ดีไว้ตั้งหลายอย่าง ทั้งโกหก ทั้งอารมณ์เสียใส่เขาแบบไม่มีเหตุผล ทั้งรัก.. แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไ
“วันคริสมาสต์...”
“..??..”
“เราจะบอกนายวันคริสมาสต์... วันนั้นตอนเย็น.. เจอกันที่ร้านเค้กร้านเดิมนะ”
......................
...............
ร่างสูงยังคงโอบคนหลับใหลเอาไว้ในอ้อมกอดเช่นเคย มือหนากุมมืออวบไว้เบาๆ สักพักมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็เอื้อมไปหยิบไอพอททัชสีดำมาเปิดเพลงฟัง หูฟังข้างหนึ่งใส่หูตนเองและอีกข้างใส่หูของคนหลับใหล
“วันนั้น... ซองมินรู้หรือเปล่าครับว่าผมตื่นเต้นมากๆเลยนะครับ” ชายหนุ่มพูดไปพร้อมอมยิ้มให้กับความเขินของตนเอง
“ฮา~ กว่าผมจะพูดออกไปแบบนั้นได้ก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองตายแน่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ
เพลงเริ่มเล่นไปเรื่อยๆจนกระทั้งมาถึงเพลงๆหนึ่ง เพลงที่ทำให้ใบหน้าคมที่ตอนแรกเปื้อนรอยยิ้มนั้นหายไป กลับกลายเป็นสีหน้าเรียบเฉยและนัยน์ตาคมดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เพลงนี้สินะ... ที่ผมได้ฟังหลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
“มันเข้ากันดีเนอะ.. ว่ามั้ยครับ?” รอยยิ้มแสนเศร้าคลี่ยิ้มออกมาจางๆ
“เอ... ซองมินยังไม่เคยฟังใช่มั้ยครับ? งั้น... ผมจะร้องให้ฟังนะครับ” นิ้วเรียว
กดรีเพลย์ใหม่อีกครั้งพร้อมกับร้องให้ร่างที่นอนหลับใหลฟังอย่างเบาๆ
..안돼요, 날 놓아버리면
ไม่ได้นะ ถ้าคุณทิ้งผมไปแบบนี้
힘들어도 여기 더 머물러요
มันคงจะเจ็บปวดมากถ้าเกิดผมยังคงอยู่ที่นี่ต่อไป
조금만 더 볼 수 있다면
แม้ว่าจะสามารถมองคุณได้เพียงแค่ตอนนี้
남은 사랑만큼 웃어볼텐데
จะยังคงสามารถรักและยิ้มได้เหมือนเดิมอีกหรือเปล่านะ...
......................
...............
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!~~~”
“อะไรๆ!!!??!?! ซองมินเกิดอะไรขึ้น” ฮยอกแจหันมาถามเพื่อนที่กำลังนอนตะโกนเสียงดังอยู่บนเตียงในห้องของเขา
“ไม่มีอะไร...” แต่คำโกหกของซองมินก็ไม่เคยที่จะใช้ได้ผลกับฮยอกแจ
“ลี ซอง มิน”
“ง่า~ ก็ได้ๆ” ซองมินไม่เคยทนน้ำเสียงข่มขู่ของร่างบางได้เลยสักครั้ง ทำให้เขาต้องยอมคายความจริงออกมา
“ก็เมื่อวาน.... เขาบอกรักเรา”
“หรอ?..... ห๊ะ!!?!?!?!!? ว่าไงนะ!!?!?” ฮยอกแจแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยิน
แบบนั้น เพราะเขาไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคนบอกก่อน ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่เห้นว่าจะมีอะไรบ่งบอกเลยว่าชายคนนั้นชอบซองมิน
“ก็เขาบอกแบบนั้นจริงๆ.. โอ๊ยๆๆ เราจะทำยังไงดีล่ะฮยอกแจ!!!??” ร่างอวบเริ่มหยิบหมอนมาปิดบังหน้าของตนเองเพื่อปกปิดความอายและตื่นเต้น
“แล้วๆๆ..... ซองมินบอกเขาไปหรือยัง?”
“เออ.. ยังอ่ะ”
“อ่าว?? ชอบเขาไม่ใช่หรอ?? ทำไมไม่บอกไปล่ะ??”
“ก็คนมันตื่นเต้นอ่ะ!!!!! แต่ว่า.... เราบอกเขาไว้ว่าวันคริสมาสต์จะให้คำตอบเขา”
“คริสมาสต์.... มันก็อีกไม่กี่วันแล้วนะ!!!”
“จริงดิ!!!??? โอ๊ยๆๆ ตายล่ะ ทำไงดีล่ะฮยอกแจ.. เรา.. ไม่กล้า”
“นี่.... ไม่กล้าไม่ได้นะ.. กล้าที่จะรัก.. ก็ต้องกล้าที่จะลงมือทำด้วยสิ ของแบบนี้มันไม่ได้ได้มาง่ายๆนะ โอกาสมันมาแล้ว.. เราก็ต้องคว้าเอาไว้ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง?”
“โห... เทศน์ซะ แต่ว่า... เราก็ไม่ค่อยกล้านี่นา”
“ตามใจ...”
ฮยอกแจเลิกสนใจซองมินที่กำลังเครียดมากกับโอกาสที่เข้ามาหา ส่วนซองมินก็ได้แต่คิดว่าควรจะทำยังไงกับโอกาสนี้ดี? เพราถ้าคิดตามความจริงแล้วมันก็เป็นอย่างที่ฮยอกแจบอกคือโอกาสมันไม่ได้มีมาง่ายๆและเราก็ควรที่จะคว้ามันเอาไว้ซะก่อนที่มันจะหลุดลอยหายไป
...แล้วเรา.. ควรจะทำยังไงดี?...
......................
...............
...Timeless 이 가슴에 묻어요
มันจะตราตรึงอยู่ในหัวใจดวงนี้ตลอดไป
순간의 열병처럼
เช่นเดียวกับกาลเวลา
잠시만 아플 뿐이니
มันจะเจ็บแค่แป๊บเดียวหรือเปล่านะ
We both agree. This is timeless love
แต่เราทั้งคู่เห็นด้วย...รักจะไม่มีวันสิ้นสุด...
......................
...............
เมื่อเวลาแห่งวันคริสมาสต์มาถึง ร่างอวบก็ตื่นเต้นจนแทบจะทำอะไรไม่เป็นเลย แม้ว่าเขาอยากจะบอกคำตอบที่ใจคิดออกไปมากเพียงใด แต่ร่างกายมันกลับไม่ทำตามใจสั่งเพราะความกลัวและเขินอายครอบคลุมเขาทั้งร่างกาย ฮยอกแจนั่งมองเพื่อนที่เหมือนคนบ้าคิดเองเออเองอยู่คนเดียวก็อดหมั่นไส้คนมีความรักไม่ได้
“โอ๊ย!! หมั่นไส้!! แล้วนี่... นัดเขาไว้กี่โมงล่ะ?” ฮยอกแจถามขึ้นเมื่อเห็นว่าซองมินยังไม่มีถ้าทีที่จะออกจากบ้านไป
“ก็... เออนั่นสิ.. กี่โมงหว่า?” ร่างบางแทบอยากจะเอามือตบหน้าผากเพื่อนสักที
“แล้วบอกเขาไปว่าไงล่ะ?”
“ก็... บอกแค่ว่าตอนเย็นเจอกันที่ร้านเค้กอ่ะ”
“เหอะๆ ดีครับงานนี้นัดสถานที่แต่ไม่นัดเวลา ลี ซองมินเอ๊ย!!!” ร่างอวบจึงได้แต่แสยะยิ้มแห้งให้กับความผิดพลาดของตนเอง
“งั้นเดียวเราโทรถามซีวอนให้”
“มีเบอร์หรอ?”
“มีไม่มีก็หาจนได้แล้วกัน” ฮยอกแจพูดอย่างอายๆก่อนจะรีบหลบสายตาจับผิดเพื่อนและโทรหาซีวอน
ในระหว่างที่ฮยอกแจโทรไปซองมิน ก็ได้แต่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆว่าจะได้คำตอบเป็นยังไง แต่ ฮยอกแจกลับยิ่งพูดเบามากขึ้นและลุกเดินหนีซองมินไปดื้อๆ ทำเอาซองมินต้องเดินตามเพราะอยากรู้ข่าวคราว แต่คุยได้พักใหญ่ซองมินก็ได้ยินฮยอกแจบอกเบอร์มือถือของตนเองให้กับปลายสายไปก่อนจะกดวาง
“ให้เบอร์เราไปหรอ?” ฮยอกแจพยักหน้าเบาๆ
“อ่าว... แล้วให้ไปทำไมล่ะ?”
“เออนา..... เดี๋ยวเขาก็โทรมาเองแหละ” ร่างบางบอกแบบปัดๆ ก่อนจะไปนั่งเล่นเกมส์ต่อไป และปล่อยให้ซองมินยืนงงอยู่คนเดียวและกลับมานั่งกอดหมอนนุ่มอยู่บนเตียงอย่างเดิม
“กี่โมงแล้วอ่ะฮยอกแจ?”
“หกโมงเย็น.. แล้วนี่.. ยังไม่ไปอีกหรือไง?”
“ก็มัน... ”
“ถามหน่อย... ชอบเพื่อนซีวอนเนี่ย แล้วรู้รึเปล่าว่าเขาชื่ออะไร?” คนถูกถามกลับส่ายหัวเป็นคำตอบให้ ทำเอาฮยอกแจต้องถอนหายใจออกมา จะคบกันทั้งทีก็น่าจะรู้จักชื่อกันสักนิด แต่นี่อะไร... ไม่รู้อะไรสักอย่าง
“จะบอกให้เอาบุญ... เพื่อนซีวอนชื่อ....” แต่เป็นเพราะบุญมีแต่กรรมบังของซองมินทำให้เขาไม่ได้รู้ชื่อของคนรักตัวเองเสียที เพราะดันมีโทรศัพท์โทรมาหาร่างอวบ เขาจึงต้องหันไปรับก่อน เพราะมันเป็นเบอร์แปลกด้วย
“ครับ? อ๊ะ!! ถึงนานหรือยัง?? ...” ร่างอวบคุยโทรศัพท์กับปลายสายไป แต่ฮยอกแจก็ไม่ลดละความพยายามที่จะบอกชื่อว่าที่แฟนในอนาคตให้กับซองมิน เขาจึงเขียนชื่อนั้นลงเศษกระดาษให้ และยื่นให้อ่าน
.‘
’
.
ซองมินรับกระดาษแผ่นนั้นมาก่อนจะคลี่รอยยิ้มออกมาด้วยความดีใจทั้งๆที่ยังคงคุยกับปลายสายที่เป็นเจ้าของชื่ออยู่
“อื้อๆ เดี๋ยวเรารีบไปนะ บาย~” เขาบอกลากับปลายสายก่อนจะกอดและพูด
กับฮยอกแจ
“ขอบคุณนะฮยอกแจ!!! เราจะทำตามอย่างที่ฮยอกแจบอกนะ ไปล่ะ” ร่างอวบโบกมือให้กับเพื่อนรักที่กำลังยิ้มให้เขา
“ระวังตัวด้วยนะซองมิน” ฮยอกแจตะโกนบอก แต่ก็ไม่ได้มีเสียงตอบกลับมา และไม่รู้ว่าซองมินจะได้ยินหรือเปล่า
**------------------------------------------**
บรรยากาศในวันนี้ร้านต่างๆก็พากันตกแต่งไฟประดับและของประดับต่างๆเต็มไปหมด ยิ่งเวลามืดแบบนี้ทำให้มันดูสวยงามยิ่งนัก ร่างสูงนั่งอยู่ภายในร้านซึ่งโต๊ะติดกับริมกระจกจึงทำให้มองเห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน มือหนาล้วงหยิบไอพอททัชของตนเองขึ้นมาเปิดเพลงฟังระหว่างที่รอใครบางคน มือที่ว่างอยู่ก็เปิดกระเป๋าสะพายของตนเอง แต่ในขณะที่เปิดกระเป๋านั้นถุงกำมะหยี่สีครีมมันกลับหล่นลงพื้นไป ทำให้เขาต้องก้มลงไปเก็บอย่างหงุดหงิดใจ แต่ทว่ากลับมีเสียงบางอย่างเล็ดลอดเข้ามาภายในประสาทการรับฟังของเขา แต่ก็ไม่ได้สนใจในทันที และเนื่องด้วยผู้คนในร้านเริ่มลุกขึ้นยื่นและออกไปนอกร้านจึงทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมา มือหนาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แต่ในมือก็ยังคงกำถุงเล็กๆนั้นไว้ในมือ สองเท้าก้าวออกไปตามผู้คนที่กำลังยืนรายล้อมอะไรบ้างอย่างอยู่ เขาพยายามเบียดเสียดผู้คนมากมายเพื่อที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถอดหูฟังออกและได้ยินเสียงคนตะโกนดังออกมา
“คนโดนรถชน ตามรถพยาบาลเร็วเข้า!!!!!!!”
ขอเพียงแค่.. สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
ขอเพียงแค่.. สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่กับคนที่เขารอ
......................
...............
“เฮือก!!!” ร่างสูงสะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด
เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และเมื่อหันมามองยังคนในอ้อมกอดก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงสูดความหอมจากเส้นผมนุ่มนั่น เขาค่อยๆวางร่างที่นอนนิ่งสนิทลงกับเตียงตามเดิม และปรับเตียงให้เป็นอย่างเก่าก่อนจะห่มผ้าให้ และก้มลงจูบกับแก้มนุ่มอีกครั้ง
“ฝันดีนะครับ... แล้วพรุ่งนี้.. ผมจะมาหาใหม่”
ความฝันร้ายที่มากับวันคริสมาสต์ในตลอดทุกปีมักเกิดขึ้นกับเขาเสมอ ความฝันร้ายที่เขาไม่อาจจะหยุดยั้งหรือห้ามมันได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะควรจะทำยังไงกับมัน? ทางแก้ไข.. ที่ต้องรอ หรืออาจจะต้องรอใครมาจัดการกับมัน บางที... อาจจะเป็นคนที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงนั่นก็ได้
เช้าวันคริสมาสต์มาถึง ชายหนุ่มปฏิบัติเช่นเดิมอย่างที่เคยทำคือการพาซองมินนั่งรถเข็นออกมาชมบรรยากาศด้านนอกที่เงียบสงบ แต่กลับสวยงามเพราะการตกแต่งของทางโรงพยาบาล แต่ครั้งนี้เขากลับพาคนในรถเข็นไปยังที่ที่หนึ่งซึ่งเขาเป็นคนจัดมันขึ้นมา
ณ ที่ตรงนั้นไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก เพราะมันเป็นที่ของทางโรงพยาบาลที่เขาไปขอมาเพื่อจัดมันขึ้น เขาเข็นรถนั่งไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่เงียบ และไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมา ตามกิ่งไม้นั้นถูกแขวนเต็มไปด้วยดวงดาวมากมายที่เขาเป็นคนทำมันขึ้นมา มีลูกพลาสติกเงาสีสันต่างๆแขวนอยู่ด้วย ส่วนโต๊ะที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้นั้น แม้มันจะเล็กแต่ก็พอที่จะวางของสองสามอย่างได้ บนโต๊ะมีถุงกำมะหยี่สีครีมอยู่อันหนึ่ง พร้อมจากเค้กที่ถูกวางด้วยเค้กปอนด์เล็กๆและด้านบนของเค้กก็มีกระต่ายน้อยสีชมพูกำลังยืนคู่อยู่กับหมาป่าที่อยู่ในชุดของซานต้าครอสสีแดง
“เป็นยังไงครับซองมิน...?? วันคริสมาสต์ปีนี้ถูกใจมั้ยครับ?” เขานั่งลงข้างรถเข็นและมองตามไปยังสิ่งที่เขาทำขึ้นมาอย่างพออกพอใจ
“ซองมินครับ.... ปีนี้ผมมีของขวัญมาให้ซองมินด้วยนะ” เขาลุกขึ้นไปหยิบถุงกำมะหยี่สีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะมา และนั่งลงข้างๆอีกครั้ง มือหนาเปิดมันออกเผยให้เห็นของชิ้นเล็กๆที่อยู่ภายในนั้น ที่ห้อยมือถือรูปกระต่ายสีชมพูตัวหนึ่งกำลังถือแครอทสีส้มอันเล็กอยู่ในมือ
“อันนี้... ผมกะว่าจะให้ซองมินในวันนั้น.. ” เพียงแค่คิดถึงในวันนั้น น้ำตามันพาลจะไหลอยู่ตลอดเวลา
“วันนั้น... ผมไม่สนใจหรอกนะครับว่าซองมินจะตอบผมว่ายังไง ... ผมก็ตั้งใจจะให้อันนี้กับซองมินอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหยุดพูดไปนาน เพราะเขาคิดว่าถ้าพูดต่อไปน้ำตาคงได้ไหลออกมาแน่ๆ เขาจึงดึงเก้าอี้เล็กที่อยู่กับโต๊ะมานั่งข้างๆรถเข็น นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้าหวานที่ยังคงเรียบเฉยอยู่เหมือนเดิม แต่กลับมีน้ำตาซึมออกมาจากหางตาของร่างอวบ มือหนายกขึ้นเช็ดน้ำตาที่หางตาเบาๆ
“ซองมินรู้มั้ยครับว่าผมดีใจนะที่ถึงแม้ว่าซองมินจะไม่ได้ลืมตาหรือพูดกับผม แต่เพียงแค่ผมเห็นน้ำตาของซองมินมันก็ทำให้ผมดีใจนะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าซองมินได้ยินในสิ่งที่ผมพูด” นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นน้ำตาของคนที่กำลังหลับใหลอยู่นี้ มีหลายครั้งที่เขาเห็น แต่เขาก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมัน เพราะมันทำให้เขารู้สึกผิด
“ถ้าวันนั้น... ผมไม่โทรไปหาซองมิน.. และไม่บอกว่าให้รีบๆมา มันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น....” เขาจับมืออวบมากุมเบาๆ
...세상은 다 가지만
แม้ว่าโลกนี้จะหมุนไป แต่ว่า...
슬픔마저 함께 가는 건가요
ความเจ็บปวดนั้น ก็คงจะไปด้วยกันทั้งหมด
너무 그리워 또 날 불러본 그대
คิดถึงคุณมากๆ ฉันอยากจะเจอคุณอีกสักครั้ง
마음뿐인 상처만 머물겠죠
บาดแผลในหัวใจก็ยังคงมีอยู่...
토해낸 눈물 삼키면
ถ้าหากว่ามีน้ำตา
그때서야 알게 될까요
อยากให้เป็นคุณที่เข้าใจและยืนเคียงข้างในตอนนั้น
“เฮ้อ~~ ซองมินครับ..” เขาเงยหน้ามองใบหน้าหวานที่ตอนนี้กำลังมีน้ำตาไหล
“คริสมาสต์ปีนี้... ผมให้สิ่งนี้กับซองมินนะครับ” เขาเอาที่ห้อยมือถือนั่นวางลงให้
มือของร่างอวบ
“แล้วก็.... คริสมาสต์ปีนี้.. มันจะเป็นปีแรกที่ผมขอพรกับพระเจ้า..” เขารวบมือ
ทั้งสองของร่างอวบเข้าด้วยกันและใช้มือของเขากอบกุมอีกที ส่วนตัวของเขาเองก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของร่างอวบ
“เรื่องทุกอย่าง.. มันเกิดขึ้นเพราะผม ถ้าผมไม่โทรไปเร่งให้ซองมินรีบออกมา มันก็คงไม่เกิดเรื่อง... ผมผิดเอง ผมเป็นคนทำผิดทั้งหมด ... ดังนั้น.. เมื่อซองมินฟื้นขึ้นมา ซองมินจะเกลียด จะโกรธผมยังไงก็ได้.. เวลาของคุณในโลกแห่งการหลับใหล ผมจะชดใช้ด้วยเวลาทั้งหมดของผมในการดูแลจนกว่าซองมินจะตื่นขึ้นมา... ”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มและใบหน้าคมของเขา ดวงตาพล่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนรักได้อย่างชัดเจน เขาพูดประโยคสุดท้าย.. ก่อนจะฟุบหลงกับมือของพวกเขาทั้งสองพร้อมกับคำกล่าวโทษทั้งหมดกับตัวเอง
“และ.. เมื่อซองมิน.. ฟื้นขึ้นมา.. ผม .. จะไปจากคุณเอง ผมจะไม่มาให้ซองมินเห็นหน้าคนที่เป็นตัวต้นเหตุคนนี้อีก ผม....” ร่างสูงไม่สามารถพูดอะไรได้ต่ออีกแล้ว.. เพราะตอนนี้มีแต่เสียงสะอื้นของเขาที่ดังออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลรินให้กับความเจ็บปวด
ความเจ็บปวด.. ที่เกิดจากเขาเป็นคนผิด
ความเจ็บปวด.. ที่เขาทำให้คนที่รักต้องเป็นแบบนี้
ความเจ็บปวด.. ที่เขาต้องทำโทษตนเองด้วยวิธีนี้
ความเจ็บปวด.. ที่
“อยู่... อยู่ดูแลกัน.. ” เสียงดังแว่วและแผ่วเบาเข้าสู่ประสาทรับฟังของชายหนุ่ม แต่เขาก็ไม่แน่ใจ
“ตลอดไป..” อีกครั้งที่มีเสียงเกิดขึ้น จนทำให้ชายหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้เห็นในสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด
ดวงตาสดใสแต่แลดูเศร้าหมองและมีน้ำแต่ไหลรินออกมาอยู่ตลอดเวลา เรียวปากสั่นระริกเพราะการร้องไห้ มือหนายกขึ้นปาดเช็ดน้ำตานั้นออกอย่างเบามือ
“ซอง.... มิน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่ออย่างแผ่วเบา
“อยู่ด้วย... กัน... นะ” ร่างอวบพยายามเอ่ยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ซองมิน....”
“อยู่ด้วยกัน.... อยู่ดูแลกัน... ตลอดไป... ไม่ได้หรอ? ฮึก~” ใบหน้าหวานก้มลงเพราะเริ่มร้องไห้อย่างหนัก แต่คำพูดที่เบาบางกลับทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะถามย้ำในคำพูดนั้น
“ซองมิน.. ว่าอะไรนะครับ”
“อยู่ด้วยกัน... ตลอดไปนะ ได้มั้ย?”
ชายหนุ่มพาร่างอวบลงจากรถเข็นและมานั่งยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตอนนี้เครื่องแขวนประดับกำลังส่องแสงวิบวับเพราะโดนกับแสงของพระอาทิตย์ ร่างอวบนั่งตักของชายหนุ่มและเอนศีรษะพิงกับอกแกร่ง แขนแกร่งของชายหนุ่มโอบกอดรอบเอวของซองมินเอาไว้ราวกับว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นอีก ทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ และถึงแม้อากาศจะเย็นแค่ไหน แต่ความอบอุ่นมันกลับแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย
“ซองมินครับ... มีเพลงอยู่ท่อนนึงที่ผมอยากร้องให้ซองมินฟัง”
“เพลงหรอ?” คนในอ้อมกอดถามอย่างสนใจ
“ครับ... ” เขาพยักหน้าตอบก่อนจะเริ่มร้อง
내 손 잡아요
จับมือของฉันไว้
떠나게 말아요
และไม่จากไปไหนอีก
Timeless 이별은 아니죠
จะไม่มีการลาจากกันชั่วนิรันดร์
한번의 삶이라면 지금뿐인데 Hold tight baby
ถ้ามีแค่ครั้งเดียวในชีวิต แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะขอกอดคุณ
Timeless 이 가슴에 묻어요
มันจะตราตรึงอยู่ในหัวใจดวงนี้ตลอดไป
“คยูฮยอน... รักนายนะ”
**Merry Christmas END**
Poda's Talk ..
เหอๆ... มีใครเดาถูกมั้ยว่าเป็น โจ คยูฮยอน ฮ่าๆๆ คงเดาออกกันหมดแหลเนอะ - -" พอดีว่า เขียนสเปฯแล้วชอบให่ทายอ่าค่ะว่าจะเป็นใครคู่ใคร ฮ่าๆๆ แต่เอาเถอะนะ.. รู้สึกมั้ยว่ามันจบได้ตัดตอนสั้นมากๆ - -" แต่อย่าให้เขียนต่อเลยค่ะ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นฟิคยาวไปซะก่อน.. แค่นี้ก็ยาวมากสำหรับฟิคสั้นแระ - -"
ขอบคุณเช่นเคยค่ะ..
Merry Christmas นะคะ (^^O)
ผลงานอื่นๆ ของ Kim_Jo_Lee ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Kim_Jo_Lee
ความคิดเห็น