คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [SF] SUN & AIR #2...FACT
— FACT —
“ถ้าไม่ไปฉันจะไปเขียนโน้ตให้นะ”
“งั้นฉันเขียนเองก็ได้”
“ไอแทมิน!”
ในขณะที่เสียงเอ็ดตะโรของ ชเว มินโฮ ดังสนั่นลั่นห้องกระจกเล็ก ๆ ที่ถูกกั้นไว้ให้เป็นห้องเขียนโน้ตในห้องชมรมดนตรีนั้น อี แทมิน นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ปีสี่ผู้ไม่เคยเดือดร้อนกับสิ่งใดกลับหยิบหูฟังขนาด ใหญ่ขึ้นมาครอบหัว ราวกับต้องการเมินทุกการกระทำของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เริ่มทำตัว ‘เกรียน’ เหมือนเด็ก ๆ
“หูฟังนี่ฉันเป็นคนให้ไม่ใช่เหรอ? สำนึกบุญคุณกันหน่อยสิ!”
ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ยังพยายามดึงเจ้าหูฟังราคาแพงออกจากหัวเพื่อนตัวบางอีก หัวของแทมินโคลงเคลงไปมาเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ทำเอามินโฮอดเผลออมยิ้มเบา ๆ ให้ท่าทางของเพื่อนสนิทอย่างไม่รู้ตัว
อี แทมินไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบสังคม ชอบทำงานคนเดียว และทำอะไรด้วยตัวคนเดียวเสมอ รูปหน้าทั้งที่จริง ๆ ก็สวยจัดเกินกว่าผู้หญิงทั่วไปเสียอีกนั้นไม่ค่อยได้รับการดูแลที่ดีเท่า ไหร่ ผมยาวระต้นคอที่เจ้าตัวชอบบ่นรำคาญอยู่เรื่อยไปนั้นไม่เคยถูกตัดออกไปเสียที เพราะเจ้าของบอกว่าไม่มีเวลาไปตัด เพื่อนฝูงรอบตัวไม่ชอบอุปนิสัยรักสันโดษของร่างบางคนนี้สักเท่าไหร่ จะมีก็แค่ ชเว มินโฮเท่านั้นที่คุยกับ อี แทมินได้
ซึ่งกว่าจะมาคุยได้อย่างทุกวันนี้ มินโฮเองก็ยอมรับว่าลงทุนลงแรงไปเยอะพอสมควรเหมือนกัน
สายตาที่มักมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างอยู่เสมอนั้นทำให้เขาอดแอบลอบมองอีกฝ่ายบ้างไมได้ ร่างบอบบางที่ไม่เคยสนใจไยดีใครนั้นดึงดูดความสนใจของเขาอย่างน่าประหลาด ค่อนข้างจะตกใจเลยทีเดียวที่ได้เห็นหน้าใกล้ ๆ ในวันที่ได้มีโอกาสไปเป็นนายแบบให้
‘สวย’
อารมณ์นี้คงไม่เกิดกับผู้ชายอย่างเขาบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งกับ ‘ผู้ชาย’ ด้วยกันเองแล้ว
ไหล่เล็กชวนให้อยากปกป้องนั้นเข้มแข็งเสียจนน่าทึ่ง เด็กปีหนึ่งเอกกำกับการแสดงที่วัน ๆ แบกเอาอุปกรณ์มากมายนั้นมาจากบ้าน กำลังเดินนำไปในทางเดียวกับที่เขาจะต้องเดินผ่าน
และหยุดลงที่จุดหมายเดียวกันคือห้องของชมรมดนตรี
เป็นอันเฉลยในเวลาต่อมา อี แทมินเป็นสมาชิกอีกคนที่ชมรมรับเข้ามาพร้อมกับเขาที่เป็นลูกหม้อชมรมมาอยู่นาน เพราะได้มาคลุกคลีที่นี่ตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย การที่ได้รู้อีกว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าทำให้ความรู้สึกเอ็นดูรื่นขึ้นมาในใจ ยิ่งรุ่นพี่ทั้งหลายยุยงให้เขาดูแลคนตัวเล็กนั่นด้วยแล้ว ความรู้สึกอยากสนิทนั้นยิ่งฉายชัด
‘เขาไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับใครมากขนาดนี้มาก่อน’
รอยยิ้มดี ๆ คำพูดดี ๆ ทุกอย่างเขามอบให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ ทว่ากลับได้ปฏิกิริยาเย็นชาและมึนตึงกลับ อีกฝ่ายมักมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจและหวั่นเกรงอยู่ตลอดเวลา
และนั่นก็ทำให้มินโฮแอบมองเห็นความอ่อนแอและหวาดกลัวบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจใครคนนั้น
“ให้ฉันได้อยู่ข้าง ๆ นายก็ได้ ไม่ต้องเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ยอมคุยกับฉันได้มั้ย?”
กว่าสองเดือนที่คนตัวสูงพยายามเข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิตของร่างบางที่ชื่อ อี แทมิน ถึงจะรำคาญและหงุดหงิดใจเพียงใด แทมินกลับไม่รู้สึกตัวเลยว่าตนเองนั้นค่อย ๆ เปิดรับอีกฝ่ายทีละนิด
ค่อย ๆ ถูกดวงอาทิตย์ดึงดูดเข้าไปทีละนิด
จนเวลาผ่านเลยไปสองปี ช่องว่างระหว่างเขากับ ชเว มินโฮ ก็ไม่มีอีกต่อไป
‘อี แทมินพ่ายแพ้แก่ดวงอาทิตย์โดยสมบูรณ์’
เศษอากาศหลอมรวมเป็นดาวดวงเล็กที่มักติดสอยห้อยตามดวงอาทิตย์ไปเสมอ ๆ บรรยากาศระหว่างเพื่อนทั่วไปเป็นมิตรมากขึ้นเพราะมีมินโฮอยู่ใกล้ ๆ หัวใจที่เปิดรับแม้จะไม่แสดงออกแต่ก็รู้ได้จากการกระทำ
แต่แทมินกลัวเหลือเกิน.....
วันเวลาที่พ้นผ่านเติบโตไปกับหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกใหม่ ความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะลบหรือแม้กระทั่งทำความเข้าใจ หัวใจที่เต้นแรงยามอยู่ใกล้กันหรือถูกสัมผัสนั้นคืออะไร?
และปีสุดท้ายของชีวิตมหาลัยก็ทำให้เขาได้เข้าใจว่า อี แทมินได้หลงรักดวงอาทิตย์ที่ชื่อ ชเว มินโฮ เข้าเสียแล้ว
“จะจบปริญญาอยู่แล้ว อย่าทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ได้มั้ยมินโฮ?”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสว่างแหงนหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวสูง ก่อนจะสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้โดยไม่ทันระวังตัว
“ครั้งนี้สำคัญจริง ๆ นะ ฉันอยากแนะนำใครบางคนให้นายรู้จัก”
หูฟังถูกถอดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่แทมินรับรู้ได้ในตอนนี้คือใบหน้าของมินโฮที่โน้มลงมาต่ำเสียจนแทบชิด จมูกโด่งที่อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรจะสัมผัสกับปลายจมูกของเขานั้นชวนให้ใจสั่นระรัว ความร้อนเข้าไปรวมที่ใบหน้าราวเป็นจุดศูนย์กลาง ก่อนสองมือจะรีบดันหน้าเพื่อนตัวสูงออกไปทันทีพร้อมหน้ากากเย็นชาที่ถูกชักขึ้นมาใช้ยามจวนตัวเหมือนเคย
“ไปก็ได้ เก็บของสิ”
สิ้นคำสั่งของร่างบาง มินโฮไม่รีรอเลยที่จะรีบเก็บของ เขาสะพายเป้คู่ใจพร้อมกระเป๋าขาตั้งกล้องให้เพื่อนอย่างเอาอกเอาใจ ทั้งคู่เดินไปบอกลารุ่นพี่ในชมรม (ที่เหมือนจะมีแค่มินโฮมากกว่าที่บอก) แล้วเดินออกไปที่รถด้วยกัน
“รู้มั้ยแทมิน?”
“รู้อะไร?”
รถสปอตคันหรูของมินโฮเปรียบเสมือนยานพาหนะประจำตัวของแทมินมาเป็นปีที่สามแล้ว เหตุผลง่าย ๆ หลายข้อที่คนตัวสูงที่ชอบเข้ามาจุ้นจ้านกับชีวิตร่างบางอย่างที่สุดมักจะบอกว่า มันเสียเวลาเอย นายต้องแบกของหนักเอย แต่ทุกครั้งที่ไปรับไปส่งมินโฮก็มักจะช่วยขนสัมภาระไปมาเสมอ ๆ
ตอนแรกก็รำคาญอยู่หรอก แต่หลัง ๆ กลับกลายมาเป็นมองตามแล้วแอบยิ้มไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ความรักเปลี่ยนคนเสียง่ายดาย ความรักก่อเกิดได้ทั้งความสัมพันธ์เปราะบางและความหวาดกลัวที่จะต้องเสียคนที่รักไป
รวมไปถึง...กลัวที่จะบอก ‘รัก’
“นายเคยรู้อะไรเกี่ยวกับฉันบ้างรึเปล่า?”
เป็นอีกครั้งที่สีหน้าจริงจังของมินโฮที่น้อยครั้งจะได้เห็นถูกแสดงออกมา แทมินตอบอะไรไม่ได้หรอก ชีวิตเขาตื่นมาก็เจอแค่ตัวเอง เปิดประตูออกไปก็เจอแค่มินโฮ คนที่คุยด้วยก็มีแค่มินโฮ คนที่เขามองเห็นก็มีแค่มินโฮ
‘คนที่เขารักก็มีแค่มินโฮ’
เขายอมให้มินโฮเข้ามาอยู่ในโลกของเขา แต่เขาก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของอีกฝ่ายเลย
ด้วยกลัว...กลัว ที่จะหายไปเพราะแสดงสว่างที่เจิดจ้าเกินไปนั้น กลัวที่จะมองเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนเสียจนทำร้ายกลุ่มก้อนอากาศให้สลายไป จนไม่เหลือแม้เป็นเศษ
“.....”
“แทมินอ่า...นายเป็นคนสำคัญของฉันนะ แล้วฉันเคยเป็นคนสำคัญของนายบ้างรึเปล่า?”
ประโยคตัดพ้อนั้นคงถูกกลั่นออกมาจากหัวใจของ ชเว มินโฮ จริง ๆ ตลอดระยะเวลาเกือบสามปีที่อยู่ด้วยกันมา อี แทมินเป็นผู้ชายที่ใจแข็งที่สุดเท่าที่เขาเคยได้เจอ ความพยายามเข้าหาช่วยให้เขาพาตัวเองเข้าใจอีกฝ่ายมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่ยิ่งนานไปเท่าใดมินโฮก็ยิ่งอยากได้ความมั่นใจ อยากให้อีกฝ่ายสนใจเขาบ้าง
เพราะแทมินเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่เขารู้สึกไว้ใจและเชื่อใจมากที่สุด
การ ที่ต้องออกแรงวิ่งตามคนแสนเข้มแข็งตรงหน้า บางครั้งก็ทำให้ ชเว มินโฮ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเสียเหลือเกิน เขามองแผ่นหลังที่มักจะหันมามองเขาบ้างเพื่อบอกให้วิ่งต่อ แต่ยิ่งวิ่งตามเท่าไหร่ก็ยังวิ่งไปไม่ถึงข้างกาย อี แทมินเสียที
เขาอยากเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจนั้น...ทั้งหมดของ อี แทมิน คนสำคัญของเขา
‘ให้ฉันได้ยืนข้างนายไม่ได้รึไง?’
“.....แล้วฉันเคยเป็นคนสำคัญของนายบ้างรึเปล่า?”
เหมือนสมองขาวโพลนไปชั่วครู่ ที่เขาได้ยินนั้นไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั้ย? อี แทมินนิ่งงันราวต้องสาป หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับได้ยินสิ่งที่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต ตาสวยทอดมองตาคมโตที่จดจ้องมาที่เขาอย่างมุ่งมั่น ใบหน้าของมินโฮดูเหมือนเจ็บปวดที่ต้องพูด ผู้ชายที่คอยตามใจเขามาตลอดกำลังขอความเห็นใจและเรียกร้องให้เขาสนใจตนมากกว่านี้
โดยใช้คำว่า ‘คนสำคัญ’
ผู้ชายโลกแคบอย่าง อี แทมิน ไม่เข้าใจความหมายนั้นลึกซึ้งหรอกนะ ต้องการอะไรจากเขางั้นเหรอ? รู้สึกอะไรกับเขางั้นเหรอ?
ไม่เคยรู้บ้างเลยเหรอ? ว่าคนที่สำคัญที่สุดสำหรับ อี แทมิน ก็มีแค่ ชเว มินโฮ เท่านั้นแหละ
“คือ...”
Rrrrrr!!!
“แปปนะแทมิน”
“ครับ”
[.....]
“โอเค..ถึงแล้วครับ”
[.....]
“ครับ ๆ แค่นี้นะ”
ก่อนที่สมองจะได้พูดตามที่หัวใจสั่งออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือของมินโฮก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน ร่างสูงรับสายรวดเร็วพลางบอกให้เพื่อนตัวเล็กหยุดการต่อบทสนทนา ใบหน้าหล่อเหลาแย้มยิ้มสดใสผิดกับท่าทางจริงจังและเจ็บปวดเมื่อครู่ในทันทีที่พูดคุยกับใครบางคนผ่านโทรศัพท์ แค่เพียงสองสามประโยคเขาก็วางสายรถยนต์คันหรูออกแล่นไปตามถนนสายหลักทันที
เหมือนบทสนทนาเมื่อครู่นี้ถูกลืมไปเสียเฉย ๆ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใดต่อกัน อาจเป็นเพราะมินโฮที่ต้องใช้สมาธิกับการขับรถ และแทมินที่ปากหนักเกินจะเริ่มอะไรด้วยตนเอง ทุกสรรพสิ่งรอบตัวจึงเงียบสงัดและเหมือนต่างคนต่างมีโลกส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง
กึก!
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น รถยนต์คันงามก็จอดเทียบที่ลานจอดรถของร้านอาหารมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในย่าน คังนัม ชุมชนหรูหราที่นาน ๆ ครั้งแทมินจะได้ย่างกรายเข้ามาที่นี่สักที สาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะเพื่อนตัวสูงข้างตัวคิดเผด็จการในบางโอกาสก็เท่านั้น
“ลงสิ ถึงแล้วล่ะ”
ไม่ทันได้ตั้งสติดี ร่างสูงก็เอื้อมตัวเข้ามาปลดเข็มขัดนิรภัยให้โดยไม่มีส่งสัญญาณเตือนอะไรสักคำ ลมหายใจอุ่นร้อนเฉียดผ่านแก้มนิ่มไปไว ๆ ชวนให้หัวใจสั่นนิด ๆ จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มินโฮทำแบบนี้กับเขา
แต่มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแปลกไปเพราะคำพูดเมื่อไม่กี่นาทีก่อนของร่างสูงคนนี้ต่างหากล่ะ
แทมินพยายามเรียกคืนสติที่พร้อมจะล่องลอยเพ้อฝันไปได้ทุกเมื่อของตนให้กลับคืนเป็นปกติ ทั้งคู่ก้าวลงรถไปพร้อมกันโดยมีจุดมุ่งหมายคือร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนแสนหรูอันเป็นเจ้าของลานจอดรถแห่งนี้ แทมินชักสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ที่ต้องมานั่งทานของแพง ๆ ที่ตนเองเกลียดแสนเกลียดเป็นครั้งที่สองในรอบเดือน ไม่รู้ว่ามินโฮจะชอบอะไรหนักหนากับการพาเขามาเข้าร้านที่อาหารมีอยู่หย่อมเดียวแต่ราคาเท่ากับรามยอนจานโตสักร้อยชามแบบนี้
“จะมากินร้านแบบนี้ทำไมไม่บอก?”
แทมินเอ่ยถามเสียงเย็น เขาต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติสินะ ต้องลบความคิดฟุ้งซ่านของตนออกไปใช่มั้ย?
“อย่างที่บอก...นัดคนไว้”
“งั้นต้องพาฉันมาด้วยรึไง นายนัดใครฉันก็ไม่รู้จัก”
คนข้างตัวทำท่าอมลมล้อเลียนความไม่พอใจของแทมินอย่างสนุกใจ มือใหญ่เข้ามาโอบไหล่บางไว้หลวม ๆ ก่อนจะพูดออดอ้อนอย่างที่เคยทำเสมอ ๆ
“อยากให้รู้จักจริง ๆ นี่หน่า รู้เรื่องของฉันบ้างไม่ได้รึไง?”
ใต้รอยยิ้มนั้น แทมินเดาไม่ออกว่ามินโฮรู้สึกอย่างไร? ถ้อยคำที่เหมือนจะเน้นย้ำในประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษเรียกเอาความทรงจำในรถกลับมาอีกครั้ง ร่างบางปิดปากเงียบเป็นอันตกลงใจ ก่อนทั้งคู่จะเปิดประตูเข้าไปในร้านอาหารอย่างไม่ลังเล
“มินโฮ!...”
เพียงครู่หนึ่ง แทมินอยากจะสารภาพความรู้สึกบางอย่างออกไป มือเล็กฉุดมือใหญ่ไม่ให้ออกเดิน ในขณะที่มินโฮยังไม่หันกลับมา เขาก็ล้มเลิกความคิดของตนไปกลางคันอีกครา
“เอ่อ...เข้าไปเถอะ ไม่มีอะไร”
ในขณะที่ยังไม่ปล่อยมือทั้งคู่ออกจากกัน มินโฮฉุดให้แทมินก้าวเข้ามาข้างใน พาเดินเข้าไปลึกก่อนจะหยุดที่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง คนตัวสูงเคาะประตูไม่กี่ครั้งก็มีเสียงหวานดังลอดออกมาจากห้องเป็นเชิงอนุญาตให้เข้าไปได้
แกรก!
ห้องส่วนตัวขนาดสีเหลี่ยมจัตุรัสเล็ก ๆ นั้นแลดูหรูหราเกินความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ชายที่ชื่อ อี แทมิน ทั้งตัวห้องที่ตกแต่งเป็นสไตล์แบบอังกฤษในช่วงยุคกลาง โคมไฟระย้าที่ส่องแสงระยิบระยับ โต๊ะหินอ่อนลายสวยหรู หรืออย่างไรก็ตามที
ตอนนี้จุดที่น่าสนใจที่สุดของห้องนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารนั่นต่างหาก
‘...ใคร?’
ดวงหน้ารูปไข่รีเนียนนั้นจัดว่าสวยถึงสวยมาก ผิวสีอ่อนดูคมเข้มกว่าคำว่าขาวพิสุทธิ์อยู่เล็กน้อยทว่าดูนวลนุ่มสบายตา ผมสีทองของหล่อนถูกจัดเกล้าทิ้งหน้าม้าให้ปาดข้างดูเรียบร้อยรับกันดีกับสูท สีครีมและกระโปรงเลยเข่าสีเดียวกัน ท่าทางที่ดูอ่อนหวานดูมีภูมิฐานฉายชัด บรรยากาศรอบตัวทำให้ร่างเล็กตรงหน้าเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่ารูปหน้า
เหมือนพี่สาวในบางที?
“ไงมินโฮ? พาเพื่อนเข้ามานั่งสิ”
ความอ่อนนุ่มนี้คืออะไร บรรยากาศละมุนละไมระหว่างมินโฮกับผู้หญิงคนนั้นทำให้แทมินรู้สึกแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากถาม
“นั่งเลยแทมิน”
ร่างเล็กนั่งลงตามสั่งทว่าสายตาของเขายังเอาแต่ทอดมองผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในห้องไม่ลดละ และเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตได้ว่าถูกจ้องอยู่ เธอจึงเบนสายตาจากคนตัวสูงที่นั่งข้าง ๆ เขามาที่เขาแทน
“ยินดีที่ได้พบจ่ะ แทมิน ได้ยินมินโฮพูดถึงทุกครั้งที่เจอเลย”
ไม่พูดเปล่าหล่อนยื่นมามาทักทายเป็นธรรมเนียม ร่างเล็กที่ดูจะเงอะงะกับการทำความรู้จักใครสักคนดูชักช้าและงุ่มง่ามเลยจนคนตัวสูงอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“คน ๆ นี้คือ ควอน โบอา คู่หมั้นของฉันเอง”
เหมือนฟันเฟืองของนาฬิกาหยุดชะงัก คำเฉลยของลางร้ายที่เฝ้ารอการปรากฏได้เปิดออก หัวใจที่เต้นถี่อย่างสม่ำเสมอกำลังถูกบีบให้อ่อนแรง แสงสว่างที่อยู่รอบตัวพร่ามัวจนแทบจะมืดดับ
แทมินรู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ติดอยู่ที่คอ รอยยิ้มและสายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความสุขเหลือล้นของ ชเว มินโฮ ดับฝันรักที่เขาเฝ้ามโนมาเสมอให้ดับลง คำลวงที่อาจไม่ตั้งใจหลอกล่อให้เขาตกสู้ห่วงจินตนาการที่เกือบจะทำให้ตนเองพลั้งพลาด หัวใจที่สั่นเร้าเจ็บปวดสะเทือนไปถึงทุกประสาทที่ยังต้องได้ยิน ได้กลิ่น และมองเห็นภาพตรงหน้า
‘อยากออกไปจากที่นี่เหลือเกิน’
หนีไปให้ไกลที่สุด ให้ไม่ต้องได้รับรู้ถึงอณูความรู้สึกของ ชเว มินโฮ
ภายในหัวใจที่เจ็บปวดและดำดิ่งไม่ได้ทำให้ร่างกายขยับทำงานได้ดั่งที่นึกคิดไว้เลยแม้แต่น้อย เหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่รับคำสั่งให้ต้องหยัดยืนและเข้มแข็งต่อด้วยรอยยิ้ม แทมินยื่นมือนิ่มไปสัมผัสอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะจัดแจงนั่งลงเปิดแผ่นเมนูอย่างไร้ชีวิต เขาไม่ได้สนใจว่ารายชื่ออาหารเลิศรสชนิดใดได้ผ่านตาเขาไปบ้าง แต่การกระทำทั้งหมดทั้งมวลมันก็พอจะทำให้ตัวเขารู้สึกดู ‘ปกติ’ ที่สุด ร่างเล็กไม่อยากให้ใครผิดสังเกต ตราบเท่าที่หัวใจจะอดทนให้ผ่านมันไปได้ เขาจะไม่ยอมแสดงด้านที่อ่อนแอให้ใครได้เห็นเป็นอันขาด
“จริง ๆ แล้วฉันกับพี่เขาถูกคลุมถุงชนล่ะ แต่พอมารู้จักกันก็โอเคนะ เราเข้ากันได้ดีจนน่าตกใจเลย ช่วงที่ฉันบอกว่าไปทำธุระที่บ้าน จริง ๆ แล้วก็แอบมาเดทนี่แหละ...แค่อยากให้นายสงสัยบ้างน่ะนะ แต่ก็ไม่ได้ผล คราวนี้เลยพามาให้เจอซะเลย ตกใจใช่มั้ยล่ะ?”
เหมือนฝ่ายมินโฮจะพยายามลากเขาให้เข้าไปร่วมในบทสนทนาให้ได้มากที่สุด ร่างสูงอธิบายต้นเรื่องของเหตุการณ์ทั้งหมดพลางพยายามขอความเห็นที่มีเพียงปฏิกิริยาตอบรับ ‘หือ...อือ’ จากแทมินเพียงเท่านั้น
เหมือนรูปสลักหน้าสวยที่ตั้งประดับท่ามกลางบรรยากาศของคู่รักวัยหนุ่มสาว อาหารชั้นดีถูกเขี่ยไปมาอย่างไร้ค่า ในขณะที่ข้าง ๆ ของรูปสลักนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของคนสองคนที่กำลังเบ่งบานความสัมพันธ์ราวกับเหมือนว่าได้ลืมอีกชีวิตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไปแล้ว
บางทีเป็นรูปปั้นอาจจะยังดีเสียกว่า
.....รูปปั้นไม่มีหัวใจ มีใบหน้าเพียงหนึ่งเดียว และไม่อาจมีความรู้สึกใด ๆ
ยิ่งคิดย้อนไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต หัวใจก็เหมือนถูกตะปูตอกเข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะความโง่เขลาและหลงตัวเองของเขาแท้ ๆ
‘ดวงอาทิตย์ย่อมมีดวงจันทร์ที่เหมาะสมอยู่เคียงข้าง’
เศษอากาศช่างสำคัญตนผิดเสียเหลือเกินที่บังอาจเทียบตนเหมือนจันทรา
“แทมิน กลับกันเถอะ”
เหมือนเสียงของมินโฮเรียกคืนสติให้กลับมาได้อีกครั้ง ดวงตาที่เหม่อลอยกลับมาเข้าที่เข้าทาง แม้จะยังดูเหมือนรูปสลักอยู่หรืออย่างไรก็ตามที แทมินพยายามชักสีหน้าให้ดีขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความเหนื่อยล้าทั้งแรงกายและ แรงใจของตนเอง
“ฉันว่า...นายไปส่งพี่เขาเถอะ น่าจะได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ บ้างนะ”
ปากของชายหนุ่มผู้โง่เขลา ย่อมพูดแต่สิ่งที่โง่เขลา เฝ้าทำร้ายหัวใจตัวเองอยู่ร่ำไป
“ฉันกลับเองได้...อย่าห่วงเลย”
เหมือนพยายามตัดบทเพื่อนตัวสูง ร่างบางออกเดินก้าวยาวไปอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตอบรับความหวังดีของเขาหรือไม่ จากสาวเท้ายาว ๆ เฉย ๆ กลายเป็นออกวิ่งไปให้ไวขึ้น ก่อนที่ฟ้าจะเป็นสีมืดสนิท ร่างของ อี แทมิน ก็มายืนพิงผนังอยู่หน้าคอนโดของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คอนโดมิเนียมคับแคบเต็มไปด้วยสิ่งของปัจจัยแสนธรรมดา ทีวีที่ฝุ่นจับเขรอะเพราะไม่ได้รับการทำความสะอาดหรือแม้แต่ความใส่ใจที่จะใช้งานจากเจ้าของนั้นฉายชัดในเรื่องอุปนิสัยไม่ชอบความบันเทิง สมุด หนังสือ รูปถ่ายและของใช้อีกมากมายกองรวมกันอยู่บนโต๊ะอาหารราวกับเพื่อให้เจ้าของ ได้หยิบจับมาใช้งานง่ายและไม่ต้องยุ่งยากในการหามันเท่าไหร่นัก
มันช่างดูเป็นห้องที่เหมาะสมกับผู้ชายธรรมดา ๆ อย่าง อี แทมินเสียจริง
เป้หนังสีดำถูกร่างบางเหวี่ยงลงโยนบนเตียง พร้อมทั้งปลดอาภรณ์ทุกอย่างออกเพื่อรับการชำระล้างร่างกายที่ต้องทนกับความเจ็บปวดอนธการมาตลอดทั้งวัน เสียงซ่าและความเย็นของสายน้ำที่พรูออกมาจากฟักบัวนั้นเหมือนช่วยบรรเทา หัวใจให้ได้ผ่อนคลายลงครู่หนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องได้รับการเยียวยาอย่างเชื่องช้า และต้องแข็งแรงขึ้นอีกเพื่อเตรียมรับมือกับความเจ็บปวดในอนาคตที่ไม่รู้ต้อง ทุกข์ทนอีกเท่าไหร่
“เรื่องมันจะง่ายกว่านี้...ถ้าฉันกับนายไม่รู้จักกันใช่มั้ย? มินโฮ”
พึมพำออกไปพร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ถูกชะไปตามสายน้ำที่ไหลผ่านร่างกาย
กึก!
“แทมิน”
“มะ..มินโฮ! นาย...เข้ามาได้ไง?”
เสร็จ กิจธุระส่วนตัวได้ไม่นาน แทมินก็จัดการพันพาเช็ดตัวหลวม ๆ พลางเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำอย่างไม่คิดอะไร ในชั่วขณะที่จิตใจและร่างกายได้ชำระล้างนั้นทำให้รู้สึกปลอดโปร่งไม่น้อย ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น
ทุกอย่างก็หนีจากเขาไปทันทีที่ได้พบหน้าของผู้ชายที่เพิ่งจากกันมาได้ไม่กี่ชั่วโมง
‘ชเว มินโฮ’
“รีบกลับทำไม?”
ตรงประเด็นไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับร่างสูง มินโฮไม่ทันได้เข้าใจความหมายของเพื่อนสนิทที่รีบด่วนแยกกับตนไปทันทีสักเท่าไหร่นัก ในหัวใจรู้สึกเป็นห่วงและหงุดหงิดกับท่าทางที่เงียบผิดปกติของคนข้างตัวมาตลอด แต่เขาก็ยังหาสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแบบนั้นไม่ได้
‘บางทีแทมินอาจจะโกรธเขา’
แน่นอนว่าสมควรโกรธ การพามาพบคู่หมั้นเหมือนพามาเป็นก้างขวางคอให้คนไร้คู่อิจฉาเล่นมากพออยู่แล้ว ซ้ำยังแอบมีโดยไม่บอกอีก แล้วไหนจะเป็น ควอน โบอา ที่เพียบพร้อม คงเป็นธรรมดาที่เพื่อนเขาอดจะริษยาไม่ได้กระมัง
แต่การกระทำก่อนกลับนั้น ชวนให้เขาสงสัยในท่าทีของคนตัวเล็กเสียมากมาย คำพูดที่เหมือนถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบากทำให้เขารู้สึกเจ็บลึก ๆ เหมือนกับรู้สึกได้ว่าเขากำลังทำร้ายแทมินอยู่ แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป
อาจจะเป็นเรื่องที่ขอให้สนใจเขา อาจจะเป็นเรื่องที่เขาเรียกร้องความสนใจมากไปใช่มั้ย?
คิดมากไปก็เท่านั้น สำคัญคือเขาควรจะถามในสิ่งที่อยากรู้ไปเฉย ๆ ก็พอจะดีกว่า
“ว่า ไงล่ะ? พี่โบอาเขามีรถ นายจะยัดเยียดให้ฉันไปส่งเขาทำไม อีกอย่างคนที่พานายมาก็คือฉันเพราะงั้นคนที่จะต้องพานายกลับก็ต้องเป็นฉันสิ โกรธอะไรกันรึเปล่า?”
เหมือนถูกจี้ใจดำ มินโฮเป็นผู้ชายที่ทำร้ายเขาด้วยคำถาม ต้อน อี แทมินให้จนมุมด้วยคำถามได้โดยไม่รู้ตัว ร่างบางรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ฉลาดพอที่จะมองเห็นความรู้สึกของเขาหรอก แต่มินโฮสามารถพูดเพื่อให้มันถูกแสดงออกมาได้ และแทมินเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดมองไม่ออก
“ฉัน...เหนื่อย แล้วก็ไม่ชอบอาหารที่นั่นเท่าไหร่ เลยไม่อยากให้นายรู้น่ะ”
ร่าง บางบอกปัดไปโดยไม่มองหน้า ทว่ากลับถูกนิ้วเรียวช้อนคางขึ้นมาให้สบตาชัด ๆ ตาคมจ้องลึกราวกับจะจับผิดท่าทางของเขาอย่างสุดความสามารถ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางที่กำลังทำอยู่นั้น เรียกเอาความร้อนและจังหวะหัวใจของแทมินให้ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นแค่ไหน
‘ยิ่งเพิ่มเท่าไหร่ยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดไปไกลยิ่งช้ำเพิ่ม’
“ปล่อย”
แท มินคงไม่ชอบการกระทำที่ดูอุกอาจ มินโฮยอมรับว่าชั่ววูบหนึ่งเผลอใช้กำลังบังคับไปจริง ๆ นิ้วยาวละออกจากคางมนอย่างคนรู้สึกผิด แต่ก่อนที่จะได้กล่าวขอโทษอะไร เจ้าของผิวเนียนเขาเพิ่งสัมผัสไปเมื่อครู่ก็เดินหนีเข้าห้องไปเสียก่อน
“แทมิน! เดี๋ยวก่อนสิ! ออกมาคุยกันก่อน ฉันยังพูดไม่จบนะ!”
“งั้นก็ให้ฉันได้ใส่เสื้อผ้าก่อนไม่ได้รึไง?!”
ได้ยินดังนั้นสมองของคนตัวสูงก็ประมวลผลย้อนกลับไปสู่ต้นเรื่องได้ทันที ทั้งภาพผิวขาวผ่องหรือผมยาวที่เปียกลู่ชวนให้เกิดอารมณ์ร้อน ๆ ที่ใบหน้าอย่างน่าประหลาด แทมินเป็นผู้ชายตัวเล็ก เอวคอดและผิวขาวจนแทบจะเรียกได้ว่ามีเพียงแผ่นอกแบนราบเท่านั้นที่ช่วยชี้ ให้เห็นชัดว่าเป็นผู้ชายอยู่
นี่หากว่าเพื่อนสนิทคนนี้ของเขาเป็นผู้หญิงล่ะก็...ควอน โบอา ก็คงไม่มีโอกาสที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตเขาได้อย่างแน่นอน
แกรก!
“นายมีอะไรก็ว่ามา”
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีดี ร่างบางก็ปรากฏตัวอีกครั้งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบปกติ แม้ผมจะยังเปียกชื้อและไม่หมาดน้ำดีเท่าไหร่ก็ตาม
“เข้าไปนะ?”
แทมินหลีกทางให้ร่างสูงเดินเข้ามาแต่โดยดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มินโฮได้มีโอกาสเข้ามาเยือนห้องนอนของเพื่อนสนิทตัวเล็ก ทั้งของทุกอย่าง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นหรือแม้แต่ลายผ้าห่ม เขาจดจำลายละเอียดทุกสิ่งได้ดีประหนึ่งเป็นเจ้าของห้องอีกคนก็ไม่ผิด คนตัวสูงสาวเท้ามาใกล้เตียงเล็กก่อนจะตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งบนฟูกสีครีมพลาง เรียกเจ้าของห้องมานั่งพื้นข้างล่างระหว่างขายาวของตน
“มานั่งนี่สิ จะเช็ดให้”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็แห้ง”
“อย่าดื้อได้มั้ย?”
มินโฮส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ
นานมาแล้วที่มือใหญ่ไม่ได้เช็ดผมให้เขาแบบนี้ บางทีมันออกจะดูแปลกไปสักหน่อยที่เพื่อนผู้ชายจะมานั่งเช็ดผมให้กันเหมือนภรรยาปรนนิบัติสามี แต่มินโฮไม่สนใจธรรมเนียมทำนองนั้นสักเท่าไหร่ เขาบอกเพียงว่าชอบผมนุ่ม ๆ ของแทมินถึงอยากทำและเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสว่างเองก็ไม่เคยนึกรังเกียจและอ่อนยอมให้อีกฝ่ายทุกครั้งไป
แต่ครั้งนี้อย่างไรก็ต่าง.....
สัมผัสที่นวดคลึงตามขมับทำให้แทมินรู้สึกผ่อนคลายและเขินอายไปในเวลาเดียวกัน เส้นผมทุกเส้นของเขาเหมือนรู้สึกได้ถึงผิวมือที่บีบนวดและสางไปมาแม้มีผ้าขนหนูผืนนิ่มขั้นกลาง
“สบายล่ะสิ”
เผลอลอบยิ้มหวานให้โดยไม่ตั้งใจ ตากลมหลับพริ้มรับสัมผัสอบอุ่นจากเพื่อนชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจเขาโดยไม่รู้ตัวมานาน
“นายเป็นคนสำคัญสำหรับฉันมากจริง ๆ นะ รู้รึเปล่า?”
แทมินไม่เข้าใจความหมายนี้อีกเลยตั้งแต่ได้พบคู่หมั้นของคนตัวสูงตรงหน้า เขาไม่กล้าแม้จะเอ่ยถาม ทักท้วง และคิดว่ามันคงเป็นอารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่าย
...แล้วคราวนี้ล่ะ?
ดวงอาทิตย์ชอบเล่นตลกกับหัวใจเขาเสมอ เจ็บปวดกระวนกระวายเพียงใด อีกฝ่ายไม่เคยมารับรู้กับเขา ใช่...โลกของ อี แทมิน นั้นสุดท้ายก็ไม่มีใครเข้าถึง
“คนสำคัญ...ขนาดไหนกัน?”
เพราะหัวใจอยากถาม ปากเลยเอ่ยกล่าวขึ้นมาทั้งที่ตายังปิดสนิท หากถ้าเขาลืมตาตื่น บางทีทุกสิ่งอาจเป็นเพียงฝัน ดังนั้นเขาก็ยังอยากฝันต่อให้จบ
“อืม...ขนาดที่ขาดไม่ได้..กระมัง”
ว่า แล้วว่าทุกอย่างคงเป็นแค่ฝันที่เขาเพ้อเจ้อขึ้นเอง ชเว มินโฮ จะมาพูดแบบนี้กับเขาได้อย่างไรกัน ในเมื่อศักดิ์ที่เป็นได้คือ ‘เพื่อนสนิท’ เท่านั้น
“แล้วถ้าให้เลือกระหว่างขาดฉัน...กับขาดพี่โบอา นายจะทำยังไง?”
“......”
ขนาด ชเว มินโฮ ในฝันยังต้องคิดนานขนาดนี้เลยเหรอ? แทนที่จะช่วยตอบให้เขาได้ชื่นใจ ได้ชโลมหัวใจมากกว่านี้ แทมินกลับยังต้องหวาดกลัวแม้ในมโนสำนึกของตนเองสินะ
“ฉันขาดใครไม่ได้เลย...ทั้งเพื่อนของฉันและคนรักของฉัน”
สถานะ แบ่งแยกชัดเจนเสียจนเหมือนเอามีดมากรีดแบ่งหัวใจ ‘เพื่อน’ เป็นคำ ๆ เดียวที่ผู้ชายตัวสูงมอบให้เขา ทุกอย่างมันเสมือนจริงเสียจนน่ากลัว ขอบตาที่ร้อนผะผ่าวบ่งบอกว่าหัวใจที่เพิ่งดีขึ้นของแทมินเริ่มจะทนทานกับ สำนึกนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“เมื่อไหร่...ฉันจะตื่นกันนะ”
พึมพำเสียงเบา ก่อนสัมผัสเย็น ๆ ของมือใหญ่ทั้งคู่จะเลื่อนมาโอบอุ้มที่ลำคอ ก่อนจัดการเชิดคางให้แหงนขึ้นอีกครั้ง
“ก็ลืมตาเสียสิ...นายยังไม่ได้หลับสักหน่อย”
ลืมตาไม่ได้ แทมินรู้ดี เขาพยายามหลอกให้ทุกสิ่งที่กำลังเกิดอยู่เป็นเพียงฝันลวง ๆ ที่เขาชอบมโนอยู่ทุกที แต่ทำอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้
“แทมินอ่า...ถ้านายง่วงฉันจะกลับเลยแล้วกันนะ”
สัมผัสอบอุ่นกำลังจะละจากเขาไป แทมินรู้สึกได้ หัวใจที่โหยหาและอยากฉุดรั้งเขาไว้ไม่อาจต่อต้านจิตสำนึกแห่งความเจ็บปวดในสมอง ทันทีที่มินโฮลุกออกไป ตาทั้งคู่ก็ปรือขึ้นพร้อมน้ำใสที่ปริ่มขอบตาเสียจนเห็นเป็นเรื่อสีแดงจาง ๆ
มินโฮกำลังจะจากไปจากห้องนี้...อีกครั้ง
“มินโฮ!”
มือเล็กคว้ามือใหญ่ไว้ในชั่ววูบหนึ่งที่หัวใจขาดสติ เขาอยากบอกความรู้สึกนี้ไปเหลือเกิน ความอัดอั้นมันทำให้แทมินต้องทรมานแสนสาหัส เขาอยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้
และการกระทำเช่นนี้เหมือนบีบบังคับให้อีกคนต้องเลือก...ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ว่าอย่างไรตัวเองก็แพ้ อี แทมิน ก็ยังอยากบอกออกไป
“มินโฮอ่า...”
โดยไม่หันกลับมา แทมินที่กำลังพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองต้องสั่นพยายามที่จะกลั่นคำพูดนั้นออกมาจากหัวใจ
“ฉัน...รักนาย”
เสียงของสองคำสุดท้ายไม่ถูกเอื้อนเอ่ยออกไปแม้ปากจะขยับ แทมินมองแผ่นหลังเพื่อนตัวสูงทั้งน้ำตา แรงกดดันไม่อาจหาญสู้ความกลัว ความกล้าเพียงชั่ววูบไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกนี้ได้ น้ำอุ่น ๆ ไหลอาบแก้มขาวไปโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีเสียง ไม่มีแม้แต่สะอื้น
“นาย...ก็เป็นคนสำคัญของฉันเหมือนกันนะ”
ควบคุมไม่ให้เสียงสั่นไมได้ ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ทุกอย่างมันแปรปรวน หัวใจของเขามันปวดร้าวเกินจะกล่าวคำอื่นใด
มินโฮทำท่าจะหันกลับมา ทว่าถูกมือเล็กขืนไว้เป็นเชิงบอกว่าไม่ให้หันมามอง ร่างสูงเผยยิ้มที่สุขใจที่สุดในชีวิตที่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจากเพื่อนสนิทอย่าง อี แทมิน เสียที
ใจอยากจะหันไปยกขึ้นมากอด เหวี่ยงหมุน แล้วบอกขอบคุณเป็นล้านครั้ง แต่เขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายน่าจะยังเขินอายที่ต้องพูดออกมาตามวิสัยของคนปากหนักที่เริ่มพูดให้ตรงกับใจเป็นครั้งแรก
“ฉัน...ดีใจมากนะ อยากกอดนายแต่นายคงไม่ยอมให้ฉันหันไปใช่มั้ย?”
“.....”
“แทมิน...ที่ข้าง ๆ ฉัน ที่ของเพื่อนเจ้าบ่าวเพียงหนึ่งเดียวในวันแต่งงานของฉัน ฉันอยากให้นายเป็นคน ๆ นั้นนะ...”
“อยู่เคียงข้างฉันในวันนั้นนะ...เพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน”
‘มินโฮกลับไปแล้ว’
ประโยคสุดท้ายของ ชเว มินโฮ ดังผ่านโสตประสาทของเขาไปนานแล้ว ทว่าห้วงเวลาเหมือนถูกหยุดตรึง ทันทีที่ประตูสีเบจถูกปิดลง ร่างที่ร่างก็ไม่อาจทรงตัวหยัดยืนได้ด้วยสองขาอีกต่อไป แทมินปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด เขาชินเสียแล้วกับการร้องไห้โดยไร้เสียงสะอื้น ทว่ายิ่งนานไปเท่าไหร่ น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลเอาเสียเลย
ร่าง กายผอมบางล้มตัวลงแนบกับพื้นห้องสีขุ่นอันเย็นเยียบ ดวงตาที่บวมช้ำเคลื่อนปิดสนิท แม้จะยังชุ่มน้ำที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลเมื่อไหร่ มือทั้งสองกอดกุมกันราวกับจะกอบโกยเอาทุกอณูความอบอุ่นของคนในหัวใจเอาไว้ ให้มากที่สุด
“แทมินเหนื่อยเหลือเกินมินโฮ...เหนื่อย..จนไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกแล้ว”
ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ดวงอาทิตย์มากเท่าไหร่ เศษอากาศก็ยิ่งระเหยหายไป สุดท้ายก็ยังไร้ตัวตน ไร้ค่าเฉกเช่นเดิมร่ำไป
TBC
——————————————————
TALK: สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ! ใครไม่ได้ออกไปเล่นน้ำที่ไหนก็มานั่งอ่านฟิคคลายร้อนเเล้วกัน~
ความคิดเห็น