ช่วงนี้คงเป็นช่วงใกล้หมดเขตยื่นคะแนน Admission แล้วซิ หลายๆคนคงกำลังวุ่นวายกันน่าดูเลย จะเลือกคณะอะไร คะแนนจะถึงมั้ย แล้วจากนั้นก็มานั่งลุ้นกันจนตัวโก่งนับวันรอเวลาประกาศผล ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นเหมือนๆเดิมทุกปีเพียงแค่เปลี่ยนตัวละครก็เท่านั้น แต่สำหรับพี่มันคงจะแตกต่างไปบ้างตรงที่
พี่ไม่เคยยื่นคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย!!!!!! แต่ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่ก็มีคนเข้ามาขอคำปรึกษาเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ยิ่งช่วงไฟลนก้นกันแบบนี้ งานชักจะเริ่มเข้า มีน้องคนถึงขอความเห็นเกี่ยวกับการเลือกคณะที่กำลังจะยื่นคะแนนในเร็ววันนี้ ดูแล้วทุกอันดับที่น้องเลือกคะแนนมันสูงกว่าคะแนนน้องทั้งนั้นเลย ก็เลยถึงเหตุผล คำตอบที่ได้รับก็คือ
“ ก็ปีนี้คิดว่าคะแนนสูงสุด ต่ำสุดมันจะลดลงจากปีที่แล้ว ”
“ พระเจ้า..........” O.O!!!!!!! อยากจะบ้าตาย..... ด้วยอากาศที่มันร้อนขนาดนี้มันอาจจะทำให้ถึงตายขึ้นมาจริงๆก็ได้ถ้าไม่พยายามระงับสติอารมณ์ไว้ก่อน -_-;;;;;;;;
“ แล้วถ้าคะแนนมันไม่ลดหรือมันเพิ่มขึ้นละคร้าบ....คุณน้อง!!!!! ”
เฮ้อ....ทำไมไม่คิดให้รอบคอบซะเลย ยื่นคะแนนนี่มันมีรอบเดียวนะ แล้วถ้ามันพลาดเนี่ย....จากที่เคยๆผ่านมาเขาบอกว่าการเลือกคณะนี่อันดับแรกเลยให้เลือกคณะที่อยากเรียนที่สุด ส่วนอันดับสุดท้ายกันเหนียวเอาคณะที่คิดว่าคะแนนถึงแน่นอน แต่ต้องอย่าลืมบวกลบค่าความคลาดเคลื่อนของการเปลี่ยนแปลงของคะแนนเข้าไปด้วยละ จบประเด็นเรื่องคะแนนไปหนึ่งละ ทีนี้ดูจากสี่อันดับที่น้องเลือกแล้วมันหลากหลายน่าดูเลย มีทั้งสายรัฐศาสตร์ สายแพทย์ แล้วก็สายมนุษยศาสตร์ (พี่ว่าน้องน่าจะลองเลือสาย..ยะศาสตร์เข้าไปด้วยนะ เพื่อว่าจะช่วยได้ +5555) ก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไร น้องอาจจะถนัดทุกอย่างเลยก็เป็นได้ แต่ก็อดถามด้วยความหวังดีไม่ได้ว่า แล้วน้องชอบและอยากเรียนอะไร ทีนี้คำตอบมันก็ชวนปวดหัวอีกแล้วครับท่าน
“ อะไรก็ได้ ” -.O;;;;;;;
มันชักจะยังไงๆอยู่นะไอ้อะไรก็ได้เนี่ย พอคุยกันไปคุยกันมาก็ปรากฏว่า ตัวน้องเองก็ยังไม่รู้เลยว่าชอบอะไร อยากเป็นอะไร รู้แต่ว่าให้เรียนอะไรก็พอเรียนได้หมด แต่ไม่ได้เด่นอะไรเป็นพิเศษ ทีนี่พอถามว่าแล้วอันดับหนึ่งที่น้องเลือกเนี่ย ชอบรึปล่าว น้องบอกว่าชอบ แต่ถามว่ารู้ไหมว่าเข้าไปแล้วต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง จบไปทำงานที่ไหน อะไรยังไง แล้วเงื่อนไขการรับเป็นยังไง คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้ รู้แต่ว่าจบแล้วมีงานทำ ดูแล้วมั่นคงแล้วก็มีเกียรติ..............
ยอมรับว่าหนักใจอยู่เหมือนกันนะกับน้องคนนี้ แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้เพราะเราเองก็เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาเหมือนกัน พอจะเข้าใจว่า ด้วยประสบการณ์และอะไรหลายๆอย่าง ทำให้เราไม่แน่ใจ แล้วก็ตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยที่คาดไม่ถึงก็ได้ เล่ามาถึงตรงนี้ก็อดเป็นห่วงน้องๆหลายๆคนไม่ได้ เลยอยากจะเล่าเรื่องราวของพี่ให้ฟัง อาจจะดูไร้สาระไปบ้าง ก็ลองอ่านดูละกัน เผื่อจะได้อะไรดีๆบ้าง.....
พี่เข้ามาเรียนที่ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ในคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เอกปิโตรเคมีและวัสดุพอลิเมอร์ ด้วยการสอบโควตา ไม่รู้ว่าด้วยโชคชะตา ฟ้าลิขิต หรือว่าผีผลัก ที่ทำให้พี่ได้มาเรียนที่นี้ เพราะแต่ไหนแต่ไร คำว่า วิศวะ มันไม่เคยอยู่ในหัวพี่เลย ไม่เคยคิดอยากจะเป็นเลยด้วยซ้ำ
ช่วงสามปีตอนม.ปลาย พี่มีฝันหลายๆอย่าง และพยายามค้นหาตัวเองอยู่นาน ทั้ง สถาปัต ดีไซเนอร์ หรือแม้แต่นัก(อยาก)เขียน ก็เคยคิด ดูแล้วมันคนละทางกับวิศวะเลยเนอะ.... แต่พอมาถึงช่วงม.หกมันก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มคิดอะไรมากกว่าความชอบ บางครั้งสิ่งที่เราชอบกับสิ่งที่เหมาะสมกับเรามันก็อาจจะอยู่กันคนละซีกโลก เหมือนกับคนที่เรารักกับคนที่รักเราไง(เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย!!!) ระหว่างคนที่เรารักแต่ไม่อาจครอบครอง กับคนที่เราไม่ได้รักแต่เหมาะสมกับเรา แล้วเราควรจะเลือกอะไรละ มันก็คงคล้ายๆกับการเลือกคณะละมั้ง (ลืมบอกไปว่าพี่เรียนสายวิทย์มาตั้งแต่ม.ต้น แต่ก็ชอบขีดๆเขียนๆไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายออกมาดูยังไงก็ไม่ค่อยจะเป็นสับปะรด ...ก็ไม่ได้วาดสับปะรดนี่ จะให้เป็นสับปะรดได้ไง อิอิ....^.^!!!!!!) สุดท้ายพี่ก็หาทางสายกลาง เอาสิ่งที่พี่ชอบกับสิ่งที่เหมาะกับพี่มารวมกันแล้วก็ตัดสินใจว่า เอาละ ฉันจะเลือกเรียนเภสัช แต่ดูยังไงมันก็ยังไม่ใช่วิศวะนะเนี่ย....-.-:::::: แต่แล้วด้วยเหตุผลล้านแปดประการ ทั้งความเห็นของครอบครัว อาจารย์ที่โรงเรียน ระบบ Admission ที่แสนจะวุ่นวาย (รุ่นพี่เป็นรุ่นแรกที่ใช้ระบบนี้อะ ตอนนั้นเล่นเอาหัวหมุนกันเลยทีเดียว)แล้วก็อื่นๆมากมายที่เล่ากันเป็นวันอาจจะไม่จบ พี่ขอละไว้ละกัน (ถ้าใครสนใจก็แวะเข้ามาคุยกันวันหลังนะ) มันก็ทำให้พี่ต้องออกนอกทางแห่งความฝันแล้วมาสอบโควตาที่ศิลปากร แล้วมันก็ดันติดขึ้นมาโดยที่ไม่คาดคิด
ตอนที่พี่ได้โควตา เป็นช่วงเดือนสิงหาคมมั้ง ถ้าจำไม่ผิด เพราะว่ามันก็นานมาแล้ว...^.^ พอเรารู้สึกว่ามีที่เรียนแน่ๆบวกกับความเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือมานาน มันก็ทำให้พี่อยากจะหยุดพัก แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ทิ้งความฝันที่จะเป็นเภสัชนะ แม้ว่าทางบ้านจะไม่เห็นด้วยก็ตาม หลังจากที่ติดโควตาจนกระทั่งช่วงสอบเอเน็ตก็ประมาณหกเดือน มันมากพอที่จะทำให้ความขี้เกียจเจริญเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยอมรับว่าหลังจากติดที่นี่แล้วพี่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลย ความฝันก็เริ่มจางๆลง เนื่องจากทางบ้านเห็นดีเห็นงามและอยากจะให้พี่เรียนทางด้านนี้มากๆ พอวันสอบมาถึงเข้าจริงพี่ก็ไปสอบตามปกติ เพราะว่าสมัครไว้ตั้งแต่ก่อนสอบโควตาแล้ว แต่ความตั้งใจนั้นมันก็น้อยเต็มที แต่ก็พอจะหวังได้ว่าน่าจะติดเภสัชสักที่ ก็เลยคิดว่าจะแอบที่บ้านยื่นคะแนนดู และถ้าติดขึ้นมาจริงๆค่อยหาทางพูดกันทีหลัง แต่ด้วยระบบนี้เป็นเรื่องใหม่ มันก็เลยเกิดปัญหาพากันวุ่นวายทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ระบบล้ม การตรวจคะแนนผิดพลาดจนต้องประท้วงแก้ไขกันวุ่นวาย การคิดคะแนนที่ยังคงไม่เข้าใจนัก แล้วก็บลาๆๆๆๆๆ สุดท้ายกว่าคะแนนจะออกมา กว่าอะไรๆจะลงร่องลงรอย พี่ก็หมดความอดทนกับมันเสียแล้ว.... สุดท้ายพี่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ยื่นคะแนน แล้วก็ไม่ได้สนใจมันอีกเลย T_T
ยอมรับว่าตอนนั้นอาจจะใจร้อนไปหน่อย หนักแน่นน้อยไปนิด แล้วก็คิดอะไรง่ายไป แต่ในตอนนั้นพี่ก็คิดว่าพี่ทำดีที่สุดแล้ว แต่พอเวลาผ่านมาลองมองย้อนกลับไปดูตัวเองแล้ว เราก็ไม่ต่างจากเด็กคนนั้น(ตอนต้นเรื่อง) ถามว่าเสียใจมั้ย ก็มีเสียดายบ้าง แต่ก็คิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว จากนั้นสุดท้ายพี่ก็ต้องมาเรียนวิศวะจนได้ มาแบบตกกระไดพลอยโจน แล้วน้องๆว่ามันจะเป็นยังไงละ ถ้ามีคนสนใจเข้ามาอ่าน เข้ามาเม้นให้พี่ก็จะเข้ามาเล่าให้ฟังต่อนะ แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาก็ไม่รู้ว่าจะเขียนให้ใครอ่าน
ขอให้น้องที่บังเอิญผ่านเข้ามาและได้อ่านถึงตรงนี้โชคดี ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปก็คิดดีๆก่อน มันเป็นครึ่งชีวิตที่เหลือซึ่งจะต้องอยู่กับเราไปอีกยาวนาน เลือกในสิ่งที่เรารักและเหมาะสมกับเรา ถ้าเลือกในสิ่งที่เรารักอย่างเดียวเราก็อาจจะตายเพราะความรักนั้น (ตกงาน,เงินเดือนน้อยก็อาจจะอดตายได้) แต่ถ้าเลือกในสิ่งที่เราทำได้แต่ไม่ได้รัก ชีวิตมันจะไปมีความสุขอะไร....
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น