จตุรีตรีทวีป - นิยาย จตุรีตรีทวีป : Dek-D.com - Writer
×

    จตุรีตรีทวีป

    สามทวีปที่มีความแตกต่าง หนุ่มๆ จากยุคสมัยแห่งวัตถุก้าวหน้า กับสาวๆ จากยุคคุณค่าแห่งจิต เมื่อต้องฟันฝ่าภารกิจเพื่อบรรลุจุดประสงค์เดียวกัน ท่ามกลางความแตกต่าง จะสามารถพบเห็นสิ่งที่ต่างก็ต้องการหรือไม่

    ผู้เข้าชมรวม

    235

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    235

    ความคิดเห็น


    12

    คนติดตาม


    1
    จำนวนตอน :  19 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  19 ส.ค. 58 / 11:30 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทที่ 1 – ตโยทีป

    คืนพระจันทร์เต็มดวงทรงกลดเดือน 12 กลับมีฝนหลงฤดูตกปรอยต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำ ช่วยเติมน้ำที่เอ่อท้น
    ทั้งฝั่งมหาดและลำน้ำอชินี ในเรือนประธานแห่งนี้กลับเงียบเชียบนัก ด้วยประเพณีที่ว่า ยามกำเนิดทายาทแห่งอชินีนั้น ห้ามมิให้มีดวงตาคู่ที่สามอยู่บริเวณนั้นเด็ดขาด และผู้ทำหน้าที่นำทารกมาสู่อ้อมอกมารดาจะเป็นใครไปมิได้ นอกจาก
    บิดาผู้ให้กำเนิดซึ่งก็คือประมุขคนปัจจุบันเท่านั้น เพียงทำคลอดทารกหาได้ลำบากแต่อย่างใด ด้วยประมุขของอชินี ย่อมได้รับประสิทธิ์ประสาทความรู้ความสามารถ ทุกประการ สืบทอดมาแต่ท่านคัคนานต์บรรพบุรุษ บัดนี้ตกทอดถึง
    รุ่นที่
    8 ภรรยานามรสิกา ท้องแก่ได้กำหนดคลอดแล้ว ว่าที่บิดาจับยามสามตาล่วงหน้า รู้ว่าคืนนี้จะเกิดเหตุมงคลอย่างยิ่ง แม้จะมีตำหนิเป็นทุกขลาภแก่บิดามารดาในเบื้องท้าย ก็ได้แต่ทำใจยอมรับและทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด ทุกอย่างล้วน
    ถูกตระเตรียมพร้อมมูล พลบค่ำได้ไม่นาน เสียงทารกก็ดังแว่วบนเรือน บิดาที่กำลังเปรมปิติตรวจดูทารกถ้วนทั่วทั้งตัว แล้วกลับชะงักงันนิ่งขึงตะลึงตะไล ภรรยาจึงกระซิบถาม “ลูกเราเป็นอย่างไรรึ” กล่าวถึงคำรบสาม สามียังไม่ตอบคำ จึงฝืนกระสนกายขึ้นพิงหัวเตียงไม้แตะแขนสามี กรุฒม์แห่งอชินีจึงรู้สึกตัวยื่นทารกให้

    “เราได้ลูกสาว”

    เมื่อเห็นกับตา นางรสิกาก็นิ่งตะลึง

    เพียงครู่ นางก็คืนสติแนบบุตรีเข้ากับอก เสียงร้องเงียบลงเมื่อได้ดื่มอุทกธารจากอกแม่ เมื่อจัดการสิ่งต่างๆ ในห้องเรียบ
    ร้อย
    กรุฒม์ก็หย่อนกายลงบนตั่งไม้ โน้มกอดภรรยาและบุตรีนิ่งนาน จุมพิตทั้งคู่ที่หน้าผาก นางรสิกาพยักหน้าให้ เขาจึงออกจากห้องมา จัดแจงชำระกาย นุ่งห่มผ้าฝ้ายขาวแล้วเข้าห้องเหนือ อันเป็นห้องเฉพาะสำหรับประมุขของอชินี เพื่อทำพิธีอ่านปูมและผนึกชื่อทารกแรกเกิด

    ประมุขหมู่บ้านอชินีสำรวมกายนั่งขัดสมาธิ หลับตาเบาๆ สำรวมใจลงให้นิ่ง ใส แต่เหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้นิวรณ์รุมเร้า 120 ปี ที่ผ่านมา ประมุขแห่งอชินีแปดรุ่น ล้วนแล้วแต่สืบทอดต่อเนื่องมาจากท่านคัคนานต์และนาง
    สริดาโดยบุตรโทน แม้แต่ท่านคัคนานต์เองก็เป็นบุตรโทนเช่นกัน ภาพบุตรีที่เพิ่งตัดสายสะดือด้วยคมไผ่สด สว่างวูบ
    ขึ้นในห้วงคำนึง ผู้เป็นบิดาเต็มตื้นในใจ เกิดเชื่อมันอย่างประหลาดว่า ทารกน้อยผู้นี้ต้องเป็นกุญแจสำคัญในอนาคต..

    กุญแจรึ?

    คำๆ นี้ผุดขึ้นเอง ต้องเป็นร่องรอยสำคัญอันใด แสงสีวูบวาบปรากฎขึ้นหลังเปลือกตาที่ปิดสนิท กรุฒม์เพียงกำหนดจิต
    รับรู้แล้วปล่อยวาง ไม่กด ไม่เพ่ง ไม่ขวางกั้น ไม่ชักนำสิ่งใด ภาพอดีตเมื่อบิดาเปิดประตู
    ห้องเหนือ เพื่อเข้าไปทำความ
    สะอาด ทำให้เขาได้เห็นปูมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก พานไม้ตาลขัดมันจนขึ้นลายใบใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานโต๊ะหมู่บูชา วัตถุเก่าแก่ที่อยู่คู่หมู่บ้านอชินีวางอยู่บนพานนี้ ของสำคัญที่เขาได้จับต้อง เมื่อรับมอบตำแหน่งประมุขหมู่บ้านสืบต่อ จากบิดาเมื่อ
    10 ปีก่อน ปกทำจากแผ่นเงินดุนลายนูน ภายในแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นแผ่นเงินบางดุนลาย สลัก
    อักษรตัวเล็กละเอียดสวยงาม เล่าที่มาที่ไปของหมู่บ้านอชินีและตระกูล

    ชัยภูมิของหมู่บ้านอชินีนั้น ทั้งด้านหลังและซ้ายขวาอยู่ในอ้อมโอบของเขาอชินีที่มั่นคงแข็งแรง ทำหน้าที่
    เสมือนบิดาผู้ปกป้องรักถนอมบุตร โบราณว่า หญิงซ้าย ชายขวา อ้อมอกบิดาคือปีกขวา ปีกซ้ายคือมารดา ซึ่งหลั่งอุทก
    ธารให้บุตรได้ดื่มกินตลอดชั่วนาตาปี น้ำตกจากเทือกเขาด้านหลังหมู่บ้าน ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคือ น้ำตาอชินีไหล
    อ้อมมาด้านซ้าย และวกผ่านหน้าหมู่บ้านกลายเป็นธารอชินี แม้หลังเดือน
    11 จะเริ่มเหน็บหนาวลงเรื่อยๆจนผิวธาร
    กลายเป็นน้ำแข็ง แต่กลับเพิ่มความแรงให้น้ำด้านล่าง ผุดขึ้นเป็นตาน้ำสามแห่งในหมู่บ้าน ที่ล้อมปากบ่อไว้ให้ชาวอชินี
    ทุกคนใช้ในยามหนาว อาณาเขตทั้งหมดเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประมุขหมู่บ้านอชินีที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วคน ควบคู่กับตำแหน่งโหราจารย์แห่งราชวงศ์อสัมภินพงศ์ ที่เป็นเจ้าชีวิตไพร่ฟ้าข้าเมืองอสัมพารา แห่งนี้นับได้กว่า 130
    ปี

    ตำนานเมืองว่า ประมุขหมู่บ้านอชินีคนแรกคือนักรบผู้กล้าคคนานต์ แม่ทัพคู่ใจเจ้าอสัมภินพงศ์ ปฐมกษัตริย์ ผู้รวบรวมผู้คนกำจัดโจรร้ายในแถบนั้นมาด้วยกัน เมื่อผู้คนเคารพศรัทธา ยกท่านขึ้นเป็นผู้ปกครอง คคนานต์ขุนพลก็
    สาบานตนเป็นข้ารองบาท อาสากระทำการกระทั่งบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนา สงบร่มเย็น เมื่อลุเข้ากลางรัชสมัย เขาก็ทูลลาเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ พร้อมด้วยทหารเอกคู่ใจทั้ง
    4 เจ้าอสัมภินพงศ์จำต้องพระราชทานอนุญาต แต่ด้วยเสียดายความสามารถของขุนพลคู่ใจ จึงตั้งเงื่อนไขตรากฎให้ประมุขอชินีผู้สืบสกุลแห่งคคนานต์ ดำรงตำแหน่ง
    โหราจารย์แห่งราชสำนัก เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของกษัตริย์แห่ง
    อสัมพารา เพื่อช่วยค้ำจุนอาณาจักรต่อไป พระราชทาน สิทธิ์ขาดในที่ดินผืนใหญ่ กินพื้นที่ภูเขารอบด้านรวมถึงน้ำตกและลำธารเป็นรางวัล ทรงตรากฎว่าหากประมุขแห่งอชินี มิได้อนุญาต แม้แต่กษัตริย์แห่งอสัมพาราก็ห้ามมิให้ย่างเท้าเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

    หมู่บ้านอชินีสร้างศิษย์มากมายซึ่งล้วนแล้วแต่สืบสาวต้นตระกูลย้อนหลังไปได้ถึงยอดขุนพลคคนานต์ และทหารเอกคู่ใจทั้ง 4 ท่าน และทหารสนิทอีกหลายสิบคนที่ติดตามมารับใช้ ขณะที่อสัมพาราเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็น
    ลำดับ หมู่บ้านอชินีก็มีโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น

    เมื่อจบส่วนแรก กรุฒม์ก็พลิกผ่านแผ่นเงินว่างเปล่า 8 แผ่น เขาอุทานเบาๆ กับความสวยงามของภาพดุนลาย บนแผ่นที่ 9 บ้านทุกหลังที่รายรอบลานฝึก ศาลาจตุรมุข ทางเดิน ทางลัด บันไดลิง ทางลับทั้งบนบก และสายเถาวัลย์
    หลายสิบเส้นสู่ทางลับบนยอดไม้ กับดักริมน้ำ กับดักริมเขา จุดซ่อนอาวุธ โพรงไม้ซุ่มยาม ทุกอย่างเห็นชัดประหนึ่งเขา
    แปลงร่างเป็นนกเขาบินอยู่เหนือหมู่บ้าน ผู้เป็นบิดาปล่อยให้ลูกชายดื่มด่ำกับความงาน และเหนือไปกว่านั้น ข้อมูลลับ

    “เอ๊ะ” ลูกชายละสายตาขึ้นมองหน้าบิดา เมื่อเห็นรอยดุนนูนขีดสั้นๆ เป็นเส้นประจากองค์พระบนเขา ทอดยาวสู่ท้ายวัง ทางมุมบนขวาของภาพ มีเส้นทางจากบ่อน้ำทิศบูรพา ที่พวกเขาใช้ในหน้าหนาวทะลุไปยังตลิ่งแม่น้ำอชินี และเส้นประ
    อีกเส้นจากฐานพระพุทธรูป ทอดต่ำลงสู่ยุ้งฉางที่ใช้ร่วมกันระหว่างบ้านของพันทิศ
    และพันดู ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิท
    ของกรุฒม์ และเป็น
    2 ใน 4 จตุรารุ่นที่ 8 สืบสกุลมาจากท่านพันธินและท่านพันชา บ้านของทั้งสองปลูกในตำแหน่งนี้ เพื่อรับหน้าที่เป็นปราการด้านหลังให้หมู่บ้าน กรุฒม์เพิ่งตระหนักว่า ตนคือกบน้อยในกะลาก็วันนี้ ที่คิดว่าตนรู้จักทุก
    ตารางนิ้วของหมู่บ้าน เข้านอกออกในบ้านทุกหลังมาตลอด ยังไม่ระแคะระคายถึงทางลับสำคัญสองเส้นนี้ น่าแปลก
    ที่จำนวนบ้านเรือนและผู้คนในหมู่บ้าน มิได้แตกต่างจากครั้งเมื่อแรกสร้างเท่าไหร่เลย ผู้เป็นพ่ออธิบายถึงกลไกทางเข้า
    ออกที่มีในภาพจนกระจ่าง

    “มีผู้ใดรู้จักทางลับพวกนี้อีกขอรับ”

    “มีเพียงผู้ดำรงตำแหน่งประมุขกับจตุราทั้งสี่ แต่ในอดีตเมื่อยามคับขัน ครอบครัวของพวกเขาก็รับรู้ทางลับที่จะหนี ออกนอกหมู่บ้านได้ ส่วนทางลับเข้าสู่วังเป็นเรื่องเฉพาะระหว่างกษัตริย์กับโหราจารย์เท่านั้น เจ้าจงจำไว้” ชายหนุ่มตั้งใจศึกษาภาพตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะพลิกสู่ส่วนถัดไป ส่วนที่สองของปูมเป็นแผ่นหนังบาง สีน้ำตาลอมส้ม เรียบเนียบและว่างเปล่า

    “พลิกเปิดขึ้นตามใจเจ้า” บิดาสั่ง กรุฒม์กรีดนิ้วเปิดแต่มันกลับติดขึ้นมาเป็นปึก เมื่อกางออกก็เห็นอักษรลายมือแบบเดิม สีเข้มเต็มหน้าไปหมด

    “เจ้าจะเปิดอ่านปูมส่วนที่สองได้เฉพาะหน้าที่เกี่ยวกับตัวเจ้าเท่านั้น และปูมจะถูกเปิดอีกครั้งก็ต่อเมื่อ เมียของเจ้า ให้กำเนิดทายาทอชินีคนต่อไป จงจดจำและส่งมอบต่อบุตรของเจ้า”

    ภาพของเด็กชายตัวจ้ำม่ำ นรลักษณ์ทั่วองคาพยพล้วนถูกต้องตามตำราปรากฎขึ้นในลำดับถัดมา พีรัช คือ
    มงคลนามที่กรุฒม์ตั้งให้เด็กน้อยผู้นี้ ห้าวันก่อนเมื่อจตุราออกตรวจตราตามหน้าที่ พันทิศก็พบหญิงสาวท้องแก่ กับ เด็กหญิงอีกคนได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนไม่ได้สติอยู่อีกฝั่งน้ำตก เขาได้ช่วยทำคลอดทารกเพศชาย ก่อนมารดาจะ
    สิ้นลมในเวลาไม่นาน สตรีท้องแก่นางนี้ไม่มีที่มาที่ไปให้สืบสาว แต่พันดูเห็นว่าผ้านุ่งของนาง ทอสลับลายเดินเส้นเงิน
    และทองที่ตีนผ้า จึงเก็บผ้านุ่งของนางไว้และฝังศพนางบนเนินสูงใกล้ทางลงน้ำตก สะพายเด็กทารกใส่ห่อผ้าด้านหลัง และอุ้มเด็กหญิงที่หมดสติกลับหมู่บ้าน

    แม่ครูรสิการับห่อผ้าไปจากพันทิศ เดินหายไปทางเรือนด้านหลัง พ่อครูกรุฒม์ปฐมพยาบาลจน เด็กหญิงฟื้น บาดแผลของเด็กหญิงเพกาไม่เร่งด่วนเป็นแต่ฟกช้ำและรอยถลอก จึงหาข้าวต้มมาให้กินก่อน ถามไถ่ก็ไม่ได้
    รายละเอียดอันใด เด็กหญิงชื่อเพกา อายุ
    13 ปี บ้านเกิดของตนชื่อบ้านตะมงแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน ถูกขายมาเป็นเด็กรับใช้
    ให้นายหญิงที่ท้องแก่ และจะเดินทางมาคลอดลูกที่อสัมพารากับคนติดตามราว
    20 คน เดินทางมากับเจ้านายได้ 4 วัน เมื่อคืนวานนอนพักกลางทางก็ถูกกลุ่มโจรโพกผ้าหลายสิบคนบุกเข้าเข่นฆ่า ตนวิ่งหนีตายตามเจ้านายมากระทั่ง
    หมดสติไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    “เพกา เจ้าจำตำแหน่งที่เจ้ากับกลุ่มพักค้างแรมเมื่อคืนได้หรือไม่” เพกาครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า ยกข้าวต้มขึ้นซดจนเกลี้ยง

    “อ้อ ข้าจำได้แล้ว ตอนก่อไฟหุงข้าว ข้าได้ยินลุงคนนำทางบอกนายหญิงว่าอีกสองวันถึงจะเข้าเมือง” ชายหนุ่มทั้งสองสบตากันแบบไม่หวังอะไรมาก พันดูกระซิบว่า

    “ข้าเห็นว่ามาสลบอยู่ชานเมืองแค่นี้ คงเชื่อข้อมูลเด็กเพกามิได้” กรุฒม์พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนเอ่ยว่า

    “เจ้าพักอยู่นี่ อย่าเดินเพ่นพ่าน เดี๋ยวเมียข้าจะมาดูแผลให้” สั่งแล้วสองหนุ่มก็หับประตูไว้ พากันเดินไปเรือนด้านหลัง

    “ใครถามก็บอกว่าเพกาเป็นหลานของญาติเมียข้ามาฝากมาอาศัยที่นี่” พันทิศรับคำ เมื่อกรุฒม์สมทบกับภรรยาที่เรือนหลัง นางรสิกากำลังป้อนน้ำข้าวให้ทารก เด็กชายหยุดกิน ลืมตาแป๋ว และไม่โยเย
    แม้แต่น้อย ประมุขอชินีมีสีหน้าครุ่นคิด สาวเท้าไปที่หน้าต่างเรือน พลางคำนวณบางอย่างในใจ ก่อนเดินกลับมา คลี่ผ้าห่อตัวทารกออกเพื่อมองดูให้ทั่วร่าง กล่าวว่า “เมียของเจ้าก็ท้องแก่ใกล้คลอดใน
    7 ถึง 10 เพลานี้แล้ว” พันดูยิ้มรับ

    “ฝากพีรัชไว้กับเจ้าก่อน อย่าให้ใครเห็น” สีหน้าพันดูเคร่งขึ้น ก่อนจะโอบห่อผ้าแนบอกก้าวหายลงจากเรือนและบัดนี้ ถึงเวลาที่พีรัชจะย้ายมาเรือนใหญ่แล้ว

    อีกเปลาะของห่วงโซ่เคลื่อนเข้าที่

    ข่าวว่าลูกสะใภ้ท้องแก่ ทายาทคนเดียวที่เหลือของขุนพลใจหาญ ที่เดินทางกลับมาตุภูมิเพื่อคลอดบุตร แต่กลับสูญหายไปทั้งขบวน สะพัดมาถึงอชินีตอนบ่าย

    “ท่านกรุฒม์ขอรับ” เสียงเรียกแว่วมาในมโนสำนึก ชายหนุ่มค่อยลืมตาขึ้น หากไม่มีเรื่องสำคัญ พันดูคงไม่ส่งกระแสจิต เรียก เขากราบพระแล้วเดินออกไปเรือนหน้า หนึ่งในสี่จตุรายืนรออยู่ตีนบันไดพร้อมภีมะคนสนิท

    “เมียของเจ้ามาดที่ท้องแก่แต่เกิดอยากมะม่วง ปีนขึ้นไปเก็บเอง นางพลัดตกลงมาอาการสาหัสขอรับ”

    ประมุขหมู่บ้านก้าวยาวๆ นำหน้า ขบวนศิษย์พร้อมหีบยาและเครื่องมือหมอรออยู่พร้อม สาวเท้าตามอย่างเร่งรีบ เมื่อถึงที่เกิดเหตุเหล่าศิษย์ก็กระจายตัวออกล้อมวงส่องคบไฟ เจ้ามาดที่เพิ่งกลับจากไร่ยืนกระวนกระวายอยู่ข้างร่างเมีย พอเห็นก็ร้องฟังแทบไม่ได้ศัพท์ให้พ่อครูช่วยด้วย ทุกคนในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่ได้รับการสั่งสอน หรือถ่ายทอดวิชา ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจากท่านกรุฒม์ ดังนั้นจึงเรียกหาเขาเป็นพ่อครู หนึ่งในผู้ติดตามต้องจับเจ้ามาดไว้ ไม่ให้เกะกะ
    ขวางทาง ท่านกรุฒม์ตรงเข้าเลิกผ้าที่มีคนเอามาคลุมคนเจ็บออก ร่างนั้นซีดขาวนิ่งสนิท เหลือเพียงลมหายใจรวยริน เขาเปิดเปลือกตาดู จับชีพจร ร่างนั้นหาความอุ่นแทบไม่ได้ นางคงตกต้นไม้ลงมาไม่ได้สติ และนอนตากฝนนานแล้ว กรุฒม์ส่ายหน้าช้าๆ หันไปกล่าวอะไรบางอย่างกับศิษย์ เจ้ามาดร้องไห้สะอึกสะอื้น และพยักหน้าปาดน้ำตา ผู้เป็นทั้งครู
    และหมอให้ลูกศิษย์กางผ้าดิบล้อมเขาและคนป่วย พันดูโอบไหล่เจ้ามาดดึงออกไป ไม่ให้เห็นสิ่งที่ดำเนินไป
    ในล้อมวงผ้าขาวนั้น

    อีกสองวันต่อมา เจ้ามาดก็เข้ามาลาท่านกรุฒม์กลับไปหาแม่ที่ป่วยหนักอยู่บ้านน้ำผุดซึ่งห่างจากอชินีเป็นเวลาเดินเท้าถึงห้าวัน

    “เจ้ากตัญญู ข้าก็อนุโมทนาด้วย ก่อนจะไป เจ้าอยากจะเห็นหน้าเด็กสักหน่อยไหม” อีกฝ่ายก้มหน้านิ่ง หากเขาได้อุ้ม
    ทารกอาจจะตัดใจไม่ได้ แต่แม่ครูที่อยู่ห้องข้างก็อุ้มห่อผ้าเข้ามาวางลงตรงหน้า เสียงอ้อแอ้ทำให้ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้น เด็กทารกตัวแดง ผมไฟสีน้ำตาลอ่อนจางสั้นกุดเป็นวงล้อมอยู่ครึ่งศีรษะ ดวงตากลมโต ปากจิ้มลิ้มสีแดงสด เมื่อมืออัน
    สั่นเทาของเจ้ามาดคลี่ผ้าออกพึมพำว่า “ลูกพ่อ ลูกสาวของพ่อ” น้ำตาคลอ มือของทารกปัดป่ายเหมือนต้องการออกจาก
    ห่อผ้า พ่อกวาดตาขึ้นลงมองลูกสาวเหมือนจะจดจำภาพไว้ให้ขึ้นใจ

    “เอ๊ะ! พ่อครู” สายตามองสลับระหว่างท่อนล่างของทารกกับพ่อครูขณะเรียบเรียงคำถาม เจ้ามาดลูบน่องข้างซ้าย ที่ลีบเล็กกว่าอีกข้างของทารกเบาๆ “ลูกสาวข้าเป็นอะไร มัน มัน..” คำว่าพิการไม่อาจหลุดออกจากปาก “..จะหายดีไหม” เหมือนว่าหากไม่มีใครพูดออกมา มันจะยังไม่เป็นจริงกระนั้น เขาจับข้อเท้าซ้ายที่เอียงแบะออกผิดมุม
    ดันเข้าที่ เพียงเพื่อเห็นมันค่อยดีดกลับที่เดิมเมื่อปล่อยมือ

    “เรื่องขาของทารกเป็นเรื่องที่เจ้าควรกังวลน้อยที่สุด” พ่อครูพูดอย่างหนักแน่น “ข้าอยากขอเด็กไว้ ครบหกขวบจะให้
    ยกพานไหว้ครู” คำหลังทำให้เจ้ามาดตะลึงจนลืมหายใจ ลูกสาวเขาจะได้เป็นศิษย์พ่อครูแห่งอชินี เทียวหรือ แม่ครูเสริม “ที่บ้านแม่เจ้าไม่รู้จะหาแม่นมได้หรือไม่ ต่อให้หาได้ แต่เดินทางไกลถึงห้าวัน ทารกเพิ่งคลอด ลำพังให้น้ำข้าวคงไม่พอ แต่ที่นี่มีแม่ลูกอ่อนถึงสามคนจะช่วยให้นมนังหนูมัน ฝากพ่อครูไว้เถอะ จะได้รักษาขาไปด้วย เจ้าจะได้เดินทางไปอย่าง
    สบายใจและดูแลแม่ได้อย่างเต็มกำลัง” คำพูดของแม่ครูแทงใจดำเจ้ามาดทุกคำ เขาครุ่นคิดมาทั้งคืนก็วนเวียนแต่เรื่อง
    เหล่านี้ แล้วแม่ครูก็หาทางออกให้เขาจนหมด

    “เจ้าจะเต็มใจยกลูกสาวให้เป็นศิษย์ข้าหรือไม่” กรุฒม์ถาม แทนคำตอบเจ้ามาดประคองห่อผ้าขึ้นวางลงบนตักประมุขอชินีก่อนจะก้มกราบ

    “กระผมขอมอบเด็กให้พ่อครูช่วยดูแลเป็นสิทธิ์ขาดขอรับ” น้ำตาลูกผู้ชายหยาดหยด ยิ้มทั้งน้ำตา

    “ข้าสัญญา เมื่อถึงเวลาลูกเจ้าจะได้รับประคำหาวจากมือข้า เด็กคนนี้จะมีอนาคตที่รุ่งเรือง ทำประโยชน์มหาศาลให้
    ผู้อื่น”

    อีกเปลาะของห่วงโซ่เคลื่อนเข้าที่

    เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น