[ฮัลโหล วอนพิล]
“ฮัลโหล โทร.มีไรเปล่าครับพี่”
[ถ้าไม่มีแล้วโทร.ไม่ได้หรอ]
“เฮ้อ…” คนตัวเล็กถอนหายใจ
[แค่อยากได้ยินสียง]
เสียงนุ่มของฝ่ายนั้นว่า
“พี่ซองจิน เอาดีๆ
ผมจะขึ้นร้องเพลงแล้ว” คนทางนี้ได้แต่ทำเป็นรีบกลบเกลื่อนทั้งที่จริงๆแอบยิ้มเขินอยู่คนเดียวหลังเวทีเล็กๆของร้านอาหารแห่งหนึ่ง
[จะถามว่าทำไมวันอาทิตย์นี้ไม่มาเรียนขับรถ]
“ไปอ่านหนังสือเตรียมสอบหอเพื่อนครับ”
[ไปกี่คน]
เสียงนุ่มในตอนแรกฟังดูแข็งขึ้น แต่คนฟังก็ยังแอบยิ้มกับคำถามนั้นอยู่ดี
“ไป 4-5 คน”
[แล้วไป] เสียงอีกฝ่ายอ่อนลง
[ร้านเดิมใช่ป้ะ จะให้ไปรับไหม]
“แล้วแต่”
ไม่นานนักสายก็จำเป็นต้องถูกตัดไปเพราะคิมวอนพิล นักศึกษาสาขาดุริยางคศาสตร์
เอกเปียโน ต้องขึ้นร้องเพลงแล้ว วอนพิลทำงานพาร์ทไทม์ร้องเพลงกลางคืนตามร้านอาหาร
เสียงหวานขับร้องเพลงไปเรื่อยๆจนถึงช่วงดึก
ในที่สุดก็หมดคิวของวอนพิล ร่างเล็กคว้าเป้ที่วางไว้ขึ้นมา
เช็คดูข้าวของว่าไม่ได้ลืมอะไรไว้
จากนั้นก็เอามันสะพายที่บ่าข้างหนึ่งแล้วเดินไปลานจอดรถหลังร้านเพื่อไปหาพัคซองจิน
เพราะรู้ว่าฝ่ายนั้นจะมารับที่ร้านเหมือนครั้งก่อนๆ
“ไง” ยังไม่ทันเดินไปถึงรถ
ชายหนุ่มตัวสูงกว่าที่ยืนพิงรถเก๋งสีดำก็เอ่ยทักคนตัวเล็ก
“พี่ซองจิน” วอนพิลโบกมือน้อยๆให้อีกฝ่าย
“วันนี้ลองขับกลับไหม
ดึกแล้วรถไม่เยอะหรอก” พูดพลางยื่นกุญแจรถให้วอนพิล
“…ลองก็ได้” ร่างเล็กดูจะลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมรับกุญแจมาแล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ
พัคซองจินกับคิมวอนพิลรู้จักกันเมื่อเดือนก่อนที่สถาบันสอนขับรถ
ซองจินเป็นครูของวอนพิล ซึ่งร่างหนาก็ยอมรับว่าถูกชะตากับคนตัวเล็กอย่างบอกไม่ถูก
จากปกติที่เขาจะชวนนักเรียนคุยนู่นนี่ระหว่างสอนอยู่แล้ว กลายเป็นว่ายิ่งคุยถูกคอ
ส่วนวอนพิลนั้นก็เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จึงทำให้ทั้งคู่สนิทกันอย่างง่ายดาย และจนถึงตอนนี้ทั้งคู่ก็ต่างรู้ตัวดีว่าสนิทกันเกินกว่าครูและนักเรียนไปแล้ว…
“อย่าลืมคาดเข็มขัดสิ” ไม่พูดเปล่า ซองจินโน้มตัวไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้กับคนตัวเล็กทำให้ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันจนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน
ซึ่งซองจินก็ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น
ร่างหนาจ้องตาคนตัวเล็กกว่าที่ก็สบตาเขาอย่างประหม่าๆเช่นกัน
เขาพูดกับวอนพิลโดยยังไม่ถอยตัวกลับมาทั้งที่คาดเข็มขัดเสร็จแล้ว “เดี๋ยวตอนสอบใบขับขี่ก็ไม่ผ่านหรอก”
เหตุการณ์นั้นทำเอาวอนพิลหน้าเห่อร้อนจนพูดอะไรไม่ออก
หลังจากนั้นร่างเล็กก็ได้แต่ขับรถกลับหอพักตัวเองโดยมีซองจินคอยพูดแนะนำเป็นระยะๆ
และวอนพิลก็คงจะเริ่มบทสนทนาไม่ถูกถ้าซองจินไม่เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
“คราวหน้าเรียนครั้งสุดท้าย
เดี๋ยวก็ไปสอบใบขับขี่ได้แล้ว” ร่างหนาว่า
“อื้อ หวังว่าจะผ่านนะครับ ฮ่าๆๆๆ”
“ถ้าไม่ผ่านก็กลับมาเป็นนักเรียนพี่ต่อ
ฮ่าๆๆ” ซองจินพูดติดตลก
ส่วนวอนพิลก็แอบคิดเล่นๆว่าแกล้งสอบตกจะได้กลับมาเรียนกับร่างสูงอีกจะดีหรือไม่
แต่ยังไงเสียเขากับซองจินก็มาเจอกันทีหลังได้อยู่แล้ว “แต่สอบให้ผ่านไปนั่นแหละ
จะได้ขับรถไปไหนมาไหนเองเสียที นั่งแท็กซี่มันอันตราย” ซองจินกล่าวอย่างจริงใจ
“ถ้าได้ใบขับขี่นะ
ที่แรกที่ผมจะขับไปก็คือร้านหมูสามชั้นของแม่พี่” ใช่… วอนพิลสนิทกับซองจินขนาดรู้ว่าที่บ้านอีกฝ่ายทำมาหากินอะไร
“มาสิ เดี๋ยวเลี้ยงเลย”
“พูดอย่างกับเป็นร้านของตัวเองเลยนะครับ”
คนตัวเล็กแซ็ว
“ก็อีกหน่อยเดี๋ยวก็เป็นของพี่แล้ว
อีกอย่างแม่พี่ไม่ว่าหรอกถ้าเลี้ยงเราน่ะ ฮ่าๆๆ”
“ทำไมล่ะครับ” ร่างเล็กถามโดยยังไม่ละสายตาไปจากถนนข้างหน้า
“แม่อยากให้พี่หาแฟนสักที” ประโยคนั้นทำเอาวอนพิลเผลอขับคร่อมเลนไปครู่หนึ่ง
แต่โชคดีที่ไม่มีรถคันอื่นอยู่แถวนั้น
“ระวังหน่อย”
“ก็พี่อะแหละ” วอนพิลทำปากยื่น แก้มใสขึ้นสีชมพูระเรื่อ
“จริงนะ
แม่พี่ต้องชอบแน่ถ้ามีแฟนเป็นว่าที่ครูสอนเปียโน” คนพูดก็ได้แต่พูดไปยิ้มไป
แต่คนฟังที่ขับรถอยู่นี่ต้องพยายามดึงสมาธิมาที่ถนนข้างหน้าทั้งที่อยากจะก้มหน้าเพราะเขินคนข้างๆ
อยากจะบอกซองจินจริงๆว่าถ้ารักชีวิตก็อย่าเพิ่งรุกแรงตอนนี้
วอนพิลจอดรถที่หน้าหอพักที่ตัวเองอาศัยอยู่โดยไม่ได้ดับเครื่องยนต์
คนตัวเล็กก้าวลงจารถโดยไม่ลืมที่จะคว้าเป้ของตัวเองลงมาด้วย
ส่วนซองจินก็ลงจากรถตามมาส่งถึงหน้าประตูหอพัก
“รีบนอนล่ะ ดึกแล้ว” คนตัวสูงกว่าว่า “แล้วก็วันอาทิตย์หน้าก็อย่าลืมรีบจองคิวเรียนด้วย
เดี๋ยวครูหล่อๆอย่างพี่คิวเต็มแล้วช่วยไม่ได้นะ” พัคซองจินยกยิ้มกวนทำเอาร่างเล็กเบะปาก
“ฮ็อตมากมั้ง”
“ก็ไม่น้อยนะครับ”
“อี๋ ขี้อวด คิดว่าหล่อมากมั้ง”
“หล่อไม่หล่อไม่รู้แต่เราก็ชอบไม่ใช่หรอครับ”
การแซ็วครั้งนี้ทำเอาวอนพิลหน้าขึ้นสีอีกครั้ง
“ไปนอนดีกว่า ง่วง” ร่างเล็กอ้อมแอ้มพูดเขินๆแล้วรีบหันหลังให้ร่างหนาซ่อนพวงแก้มสีแดงไว้ “ขับรถกลับดีๆนะครับ”
“ฮะๆๆ” ซองจินหัวเราะน้อยๆให้กับความน่ารักของคนตรงหน้า
ถึงจะไม่อยากให้เห็นว่าตัวเองหน้าแดง
แต่ทำแบบนี้เขาดูไม่ออกเลยมั้งว่าเขินอยู่เนี่ย “ฝันดีนะครับ
แล้วเจอกันนะ” ร่างหนากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อื้อ..” วอนพิลขานรับในลำคอโดยยังคงหันหลังให้
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูรถแล้วจึงหันหลังกลับไปมอง ก็พบว่าซองจินยังไม่ออกรถไป
ซ้ำใบหน้าหล่อยังส่งยิ้มที่ทำให้วอนพิลใจสั่นมาให้อีก
คนตัวเล็กที่ยังเขินๆอยู่จึงได้แต่ยกมือโบกลาน้อยๆ แล้วร่างหนาก็ขับรถออกไป
วันอาทิตย์
ทุกวันอาทิตย์คิมวอนพิลจะต้องมาเรียนขับรถ
แต่ความจริงวันอาทิตย์ที่แล้วควรจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขาถ้าไม่ติดว่าต้องไปอ่านหนังสือกับเพื่อนจนต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน
วอนพิลขับรถไปตามถนนในช่วงกลางวัน เพราะเป็นวันหยุด รถจึงไม่ติดมากเท่าไร
โดยรวมคนตัวเล็กก็ขับรถเริ่มคล่องแล้ว พักซองจินจึงแทบไม่ต้องสอนอะไรเพิ่มเติมเลย
ระหว่างทางทั้งคู่ก็พูดคุยกันอย่างออกรสเหมือนทุกครั้ง
ทั้งเรื่องดนตรี เรื่องมหาลัย เรื่องร้านอาหารของคุณแม่ของซองจิน
แล้วก็เรื่องสัพเพเหระอื่นๆ แต่พัคซองจินก็ไม่ประมาท
คอยมองทางและสังเกตการขับรถของวอนพิลไปด้วย
“ชิดซ้ายไว้นะ
เดี๋ยวแยกหน้าเลี้ยวซ้าย”
“โอเคครับ” วอนพิลรับคำแล้วทำตาม
ร่างเล็กมองกระจกซ้ายและกระจกหลังแล้วเปลี่ยนเลนอย่างระมัดระวังโดยไม่ลืมที่จะเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายด้วย
เมื่อมาถึงแยกคนตัวเล็กก็พารถเลี้ยวซ้ายได้อย่างสวยงาม
“ดีมาก” ซองจินเอ่ยชม
จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างนึกสนุกแล้วพูดขึ้น “เลี้ยวซ้ายเข้าโรงแรมข้างหน้าเลยดีมั้ย”
“น่าเกลียด!!” ไม่พูดเปล่า มือเล็กถูกเอื้อมมาตีที่แขนแกร่งอย่างไม่เบาไม่แรง
แต่วอนพิลก็ยังไม่ละสายตาจากถนนข้างหน้า
“เดี๋ยวนี้ขับเก่งแล้วลงไม้ลงมือนะ”
ร่างหนาพูดติดตลก “แล้วตีพี่ทำไมไม่รู้ แค่จะบอกว่าอาหารโรงแรมนี้อร่อยแค่นั้นเอง”
“…” คนตัวเล็กเบ้ปากเพราะรู้ว่าโดนแกล้งเสียแล้ว
“คิดอะไรก็ไม่รู้เราอะ”
“พี่อ้ะ!!!” เสียงหวานแหวขึ้นเสียงดังพร้อมใบหน้าขึ้นสีที่ซ่อนไม่มิด
เรียกเสียงหัวเราะเพราะเอ็นดูจากคนที่นั่งอยู่ที่ข้างคนขับได้เป็นอย่างดี
ซองจินเปิดประตูร้านหมูสามชั้นย่างของผู้เป็นแม่เข้ามาในตอนบ่ายของวัน
วันนี้เป็นวันหยุด และซองจินหมดคิวที่ต้องไปสอนขับรถแล้วด้วย
การกลับมากินอาหารอร่อยๆฝีมือแม่จึงดูเป็นความคิดที่เข้าท่า
แต่ดูเหมือนวันของพัคซองจินจะยังไม่จบแค่นี้
คนตัวเล็กในเสื้อใหม่พรมคอวีสีเทาส่งยิ้มร่ามาให้ร่างหนาตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้ามาในร้าน
ร่างเล็กที่เพิ่งได้คุยกันครั้งล่าสุดผ่านแชทเมื่อตอนเช้ายืนขึ้นเมื่อซองจินก้าวเข้ามาในร้าน
รอยยิ้มกว้างนั้นยังไม่จางหายไป
“มาได้ไงเนี่ย” เสียงทุ้มว่าพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มเพราะดีใจที่เจอคนตรงหน้า “อย่าบอกนะว่า…”
“ปิ๊งป่อง! ใช่แล้ว
ผมสอบใบขับขี่ผ่านแล้วนะ” วอนพิลเฉลย
ยิ้มกว้างจนตาปิดพร้อมกับอธิบายว่ารถคันที่จอดอยู่ตรงฟุตบาธใกล้ๆนั้นเป็นของแม่ของตนซึ่งท่านให้วอนพิลนำมาใช้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“สอบผ่านปุ๊บขับมาที่นี่เลยหรอ”
“ใช่แล้ว ก็บอกแล้วไงว่าจะมาเป็นที่แรก”
เสียงหวานตอบ
“นี่น่ะเหรอ
น้องวอนพิลที่ลูกเล่าให้ฟังบ่อยๆ” ระหว่างที่คุยกันอยู่เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนก็ดังขึ้นขัดพร้อมกับร่างของเธอที่เดินเข้ามาใกล้
“น่ารักกว่าในรูปอีกนะซองจิน”
“บอกแล้วครับว่าน่ารัก” ร่างหนาหันไปกระซิบกับมารดาที่กำลังยิ้มอย่างเอ็นดูคิมวอนพิล
กลัวว่าถ้าพูดออกมาเสียงดังคนตัวเล็กจะเขินหนักกว่าเดิม
เพราะแค่คำชมของคุณนายพัคก็แทบทำวอนพิลมุดดินหนีแล้ว
“สอบผ่านแล้วเหรอลูก ยินดีด้วยนะ”
คุณนายพัคกล่าวอย่างใจดีพร้อมกับส่งมือข้างหนึ่งมาตบเบาๆที่ต้นแขนของวอนพิล
“มานั่งตั้งนานไม่ทันสังเกตว่าเป็นวอนพิลนะเนี่ย มาๆๆ
กินอะไรสิ เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง”
“ขอบคุณครับแม่” ซองจินพูด
“ขอบคุณครับ” วอนพิลโค้งขอบคุณหญิงวัยกลางคนอย่างสุภาพ
จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะตามเดิมแล้วเริ่มพูดคุยกับซองจิน
จนคุณนายพัคเอาอาหารมาให้ด้วยตนเอง ทั้งสองจึงเริ่มรับประทาน
“พี่เล่าเรื่องผมให้คุณแม่พี่ฟังด้วยหรอครับ”
“อื้ม” ซองจินตอบแล้วพลิกหมูบนเตา
“น่ารักขนาดนี้ไม่เล่าไม่ได้หรอก”
“บ้า..”
“อะ อ้าปาก” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับหมูห่อผักถูกยื่นมาตรงหน้าร่างเล็กโดยซองจิน
“…” วอนพิลทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
พวงแก้มน้อยขึ้นสีจางๆอย่างน่ารัก สุดท้ายวอนพิลก็ประมวลผลได้ว่าจะตอบโต้อย่างไร “ไม่ เป็นใครหรอถึงต้องมาป้อน” ร่างเล็กพูดพลางเชิดปากขึ้นอย่างขี้เล่น
“ก็ได้..” ซองจินต้องยอมไปก่อนเมื่อมือเล็กนั้นรับหมูห่อผักไปจากมือเขาแล้วเอาส่งเข้ามาด้วยตัวเอง
ครั้งหน้าอย่ามาปฏิเสธแล้วกันเด็กน้อยเอ๊ย
ทั้งสองกินไปคุยกันไปจนกระทั่งอิ่มท้อง
ซองจินก็ชวนวอนพิลไปดูหนังซึ่งร่างเล็กก็ตกลง ก่อนออกจากร้าน
คิมวอนพิลก็ไม่ลืมที่จะบอกลาผู้ใหญ่จนทำให้ผู้เป็นแม่เอ็นดูเจ้าตัวยิ่งกว่าเดิม
เพราะทานอาหารมาแล้ว
ตอนดูหนังจึงไม่ได้ซื้ออะไรเข้าไปนอกจากน้ำคนละแก้ว
พอออกมาจากโรงก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ทั้งคู่จึงเห็นพ้องกันว่าควรจะกลับได้แล้ว
ระหว่างที่จะเดินออกจากห้างฯ
ทั้งคู่ก็เดินผ่านร้านขายเครื่องดนตรีร้านหนึ่ง
ซองจินเป็นฝ่ายชวนคนตัวเล็กเข้าไปในร้าน ร่างหนาคว้ากีตาร์โปร่งตัวหนึ่งที่แขวนอยู่ลงมาแล้วไปนั่งลงข้างๆวอนพิลที่ประจำตำแหน่งเปียโน
จากนั้นเสียงเพลงก็เริ่มบรรเลง
เสียงนุ่มของเปียโนผสานกับเสียงฟังสบายของกีตาร์
เสริมด้วยเสียงร้องเพลงหวานๆของวอนพิลโดยมีเสียงทุ้มนุ่มร้องเสริมบ้างทำให้คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับต้องหันมอง
เด็กน้อยคนหนึ่งถึงกับหยุดเพื่อดูทั้งคู่บรรเลงเพลงจนผู้ปกครองต้องมาพาตัวไป
ซองจินเหลือบมองคนตัวเล็กเป็นระยะ
เช่นเดียวกับวอนพิลที่หันไปหาร่างหนาเพื่อส่งยิ้มเปี่ยมสุขให้
คงเพราะชอบดนตรีเหมือนๆกันแบบนี้คุณนายพัคจึงเคยบอกว่าถ้าลูกชายได้แฟนเป็นคิมวอนพิลผู้ซึ่งมีเป้าหมายชีวิตในการเป็นครูสอนเปียโนก็คงจะดี
“เดี๋ยวผมไปส่งพี่นะ” วอนพิลว่า
ดูเหมือนคนตัวเล็กจะเห่อใบขับขี่เป็นพิเศษเพราะตอนมาที่ห้างฯก็เป็นเจ้าตัวที่ขับรถมา
“ไม่เอา เราแหละขับกลับไปที่หอ
เดี๋ยวพี่เรียกแท็กซี่กลับเอง” ซองจินปฏิเสธ
“เพื่ออะไรเนี่ย
มันเปลืองเงินนะครับ” ร่างเล็กแย้งกลับพร้อมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“เอาน่า
พี่จะได้รู้ว่าเรากลับถึงหออย่างปลอดภัยรึเปล่าไง”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่ ลำบากเปล่าๆ
เดี๋ยวถึงหอผมทักแชทมาบอกก็ได้” คนตัวเล็กปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ลำบากหรอกน่า” ร่างหนายืนกราน
“แต่…” เสียงหวานถูกเบรกไว้ด้วยคำพูดของอีกฝ่าย
“เป็นห่วง”
“…”
“ตกลงตามนี้นะ” ซองจินถามย้ำอีกครั้ง
“ก็ได้..” คราวนี้เสียงหวานอ่อนลง
วอนพิลหลบสายตาของซองจินที่จ้องมาที่ตนอย่างไม่ปิดบัง
พยายามสงบจิตสงบใจให้อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นเพียงได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงมันลงลดบ้าง
สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามที่พัคซองจินต้องการ
วอนพิลขับรถมาถึงหอพักอย่างปลอดภัยโดยมีซองจินนั่งมาด้วยและนำรถเข้าจอดได้อย่างเรียบร้อย
ขณะที่ร่างหนากำลังยืนรอแท็กซี่
วอนพิลก็มายืนรอเป็นเพื่อนซึ่งซองจินก็ไม่ได้ว่าอะไร มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่เล็กน้อย
รอไม่นานนักแท็กซี่ก็ผ่านมา ซองจินจึงโบกเรียก
“วอนพิล” ซองจินหันมาเรียกคนตัวเล็กขณะที่แท็กซี่กำลังชะลอความเร็ว
“ครับ?” รถแท็กซี่ที่ร่างหนาเรียกแล่นช้าๆเลียบฟุตบาธและเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นแฟนกับพี่นะ” เมื่อจบประโยคของร่างหนา
รถแท็กซี่ก็จอดนิ่งตรงริมฟุตบาธด้านหน้าซองจินพอดี
“เอ่อ….” คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้างทำตาโตเพราะคำขอเป็นแฟนที่ฉุกละหุก
“รถพี่มารอแล้วนะ จะเป็นมั้ยครับ”
ร่างหนาเร่งยิ้มๆอย่างไม่จริงจัง
ความจริงแค่เห็นแก้มแดงๆนั้นก็อจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกเช่นเดียวกับตน
“ป…เป็นครับ”
ร่างเล็กอ้อมแอ้มตอบเบาๆ รอยยิ้มที่เก็บไม่อยู่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“งั้นต่อไปนี้ห้ามปฏิเสธเวลาพี่ป้อนอะไรให้กินแล้วนะ” คนตัวสูงกว่าพูดพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน
“พูดมากน่า ไปเลย คนขับรอแล้ว”
วอนพิลไล่ร่างหนาอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ใช่อะไร คนมันเขิน
“งั้นเดี๋ยวพี่ทักไปนะครับตัวเล็ก”
พูดจบก็ขยี้ผมนุ่มของคนตัวเล็กกว่าเบาๆแล้วเปิดประตูขึ้นรถแท็กซี่ไป
ทิ้งให้คิมวอนพิลต้องยืนยิ้มเขินๆกับสรรพนามใหม่ที่แฟนหมาดๆเพิ่งตั้งให้ขณะที่มองตามรถรับจ้างไปจนรถเลี้ยงออกไปนอกสายตา…
…The
End…
*********************************************************************************************************************
จบแย้วววววววววว มาอัพจบให้วันเกิดนพิลนะคะ แง้ ช่วงนี้ไรท์หลงคิมวอนพิลมากเลย ไม่ว่าจะร่างวอนพิลหรือร่างพิริมิริไรท์ก็รักเค้าาาาาาาา ฮื้ออออออออออออ
อีกอย่างอยากแต่งซีนนี้จาก When you love someone มานานแล้ว ตอนดูเอ็มวีครั้งแรกคือแบ๊บบบบบ ฮื้อออออ ซองพิลๆๆๆๆมั่กๆเรยTT ^ TT
อ่ะ! สาระ!! ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ใครมีความเห็นอย่างไรกับฟิคเราสามารถทิ้งคอมเมนท์ไว้ได้เลยนะคะ ไม่ว่าจะหวีด จะติชม ได้หมดเลย เราจะนำทุกความเห็นของทุกคนไปพัฒนาฝีมือตัวเองต่อไปค่ะ
สุดท้าย! ขอฝาก จอยลดา อีกเรื่องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนทีนะคะ คู่ซองพิลเหมือนเดิม ชื่อเรื่องว่า DAY to sing หรือไปดูแท็ก #นักร้องซองพิล ในทวิตเตอร์ได้ค่ะ ขอบคุณค่าาาาาาาาาาา //โค้งงามๆ
-หากมีคำผิดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ-