잊지 못 한 너... 잊지 못 하는 나… (Stay within me)
Writer : Kiratar
Type : Boy’s love
Pair : Jhope x Suga
Rate : PG
ตอนนี้ฉันจะไม่ขออะไรอีกแล้ว
ขอแค่นายอยู่กับฉันก็พอ
Hoseok’s
part
ตะวันคล้อยเข้าสู่ช่วงบ่ายของวันแล้ว
ผม จองโฮซอก ยืนอยู่หน้ากระจกในห้องนอน เพิ่งออกจากห้องน้ำได้ไม่ถึงสิบนาที
ผมไม่ได้เพิ่งตื่นนะ แต่ผมมีนัดสำคัญเลยต้องเข้ามาอาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีหน่อย
เอาล่ะ ผมคิดว่าผมดูดีแล้ว งั้นผมออกไปเลยดีกว่า ผมไม่อยากผิดนัด
ก่อนออกจากบ้านผมก็ไม่ลืมที่จะคว้าเอาช่อกล้วยไม้ที่เพิ่งสั่งมาติดมือไปด้วย
คุณคงเดาออกแล้วล่ะ ใช่แล้ว… ผมกำลังจะไปหามินยุนกิ คนรักของผมเอง
เมื่อมาถึงสวนสาธารณะที่นัดกับยุนกิไว้
ผมก็เจอร่างเล็กของแฟนผมมารออยู่ก่อนแล้ว ผมจึงรีบเดินเข้าไปทักเขาทันที
“รอนานมั้ย คิดถึงจังเลยยยยย”
ผมเอ่ยขึ้นจากทางข้างหลังของแฟนตัวขาวของผม
“อ้าว โฮซอก!” เขาหันมาเมื่อได้ยินเสียงผมก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มหวานที่ผมชอบที่สุดในโลก
“ไม่นานเลย”
“อะ” ผมยื่นช่อกล้วยไม้ให้กับยุนกิ
กล้วยไม้ซึ่งแปลในภาษาดอกไม้ได้ว่า ‘ฉันไม่อาจห้ามใจไม่ให้คิดถึงเธอได้เลย’
“โห! ขอบใจนะ สวยจัง” เขารับช่อดอกไม้ไป
ผมดีใจนะที่เขาชอบมัน
“เออเนี่ย เมื่อวานฉันฝันร้ายด้วยล่ะ ฉันฝันว่านายตายด้วย
เป็นฝันที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยฝันมาเลย” ผมเล่าให้เขาฟังขณะที่เดินเล่นชมธรรมชาติในสวนสาธารณะข้างๆกัน
ถึงจะเป็นช่วงบ่าย แต่ต้นไม้ที่นี่ก็มีมากพอที่จะให้ร่มเงากับเรา
“โถ่~ แค่ฝันร้ายน่า ไม่ต้องคิดมากนะ ฉันอยู่ตรงนี้นี่ไง”
เสียงหวานๆเอ่ยปลอบผมแล้วแขนเล็กข้างหนึ่งก็ถูกเจ้าตัวยกขึ้นมากอดเอวผมไว้
ผมจึงยกแขนมากอดตอบเช่นกัน
“ฟอดดดด”
“เห้ย! อะไรเนี่ย!?” ยุนกิดีดตัวออกจากผมอย่างตกใจ
มือขาวยกขึ้นมากุมแก้มที่ผมเพิ่งขโมยสูดกลิ่นหอมไปเมื่อครู่อย่างน่ารัก
“ก็เช็กว่ายังอยู่กับฉันจริงๆรึเปล่า” ผมตอบอย่างขี้เล่นในแบบของผม
แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่หลบสายตาผมแล้วเดินต่อ สงสัยจะเขินละมั้ง ฮ่าๆๆๆๆ
“…”
“นี่รู้มั้ย..” พอเห็นว่าเขาเงียบผมเลยชวนคุยตามสไตล์ผู้ชายพูดมาก(?)อย่างผม “…ว่าทำไมโลกนี้ถึงน่าอยู่?”
“หือ? อืม… เพราะมีธรรมชาติสวย?”
ยุนกิเดาสุ่มๆออกมา
“ไม่ใช่~”
“ไม่รู้สิ ทำไมอะ?”
“โลกน่าอยู่ เพราะ You น่ารัก” ผมเฉลยคำถามพร้อมหันไปส่งสายตาหวานๆแบบที่ผมคิดว่าจะยั่วให้เขาหงุดหงิดได้
“ชิ ไม่ต้องเลย นายนี่…” มือเล็กยกมาตีผมที่แขน
ไม่แรง แต่ก็ไม่ได้เบาเท่าไหร่ การยั่วอารมณ์เขาของผมดูจะสำเร็จสินะ
หน้าตายุนกิเวลาเขาทำเป็นหงุดหงิดทั้งที่จริงๆเขินอยู่นี่น่ารักเป็นบ้า หลังจากนั้นผมก็ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ
เพียงแค่แอบยื่นมือของผมไปประสานกับมือของเขาเอาไว้แล้วก็เดินสูดอากาศบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ
ผมรู้ว่าเขาชอบเพราะผมแอบเห็นเขาอมยิ้มด้วยล่ะ
เดินไปเรื่อยๆจนสุดท้ายเราก็มาหยุดนั่งพักชมวิวเพลินๆกันที่ใต้ต้นไม้ริมสระน้ำที่ถูกขุดขึ้นในสวนแห่งนี้
“ร้อนไหม เดี๋ยวฉันไปซื้อไอศกรีมมาให้”
“อื้อ เอาสิๆ”
เมื่อคนตัวเล็กตอบรับผมก็ลุกไปยังร้านค้าของสวนที่อยู่ใกล้ๆทันที
เลือกไอศกรีมรสโปรดของผมรวมถึงของเขาขึ้นมาโดยไร้ความลังเล
จ่ายเงินให้กับแม่ค้าแล้วจึงเดินกลับไปหายุนกิที่นั่งรออยู่
เมื่อผมส่งไอศกรีมให้
เราทั้งคู่ก็เปิดกินกันทันที กินถ้วยของตัวเองบ้าง ถ้วยของอีกฝ่ายบ้าง
ผลัดๆกันกินแบบที่เราทำกันเป็นประจำ
จนกระทั่งไอศกรีมถ้วยเล็กทั้งสองถ้วยของเราหมดลง
“โตป่านนี้แล้วยังจะกินเลอะเทอะอยู่อีก” ผมพูดแล้วใช้กระดาษทิชชู่ในมือเช็ดที่รอบๆปากเล็กได้รูปนั้นให้โดยไม่รอให้เขาตอบอะไรก่อน
“ขอบใจนะ” หลังจากผมเช็ดเสร็จยุนกิก็ส่งรอยยิ้มบางๆและสายตาที่เต็มไปด้วยประกายความสุขมาให้ผมพร้อมกับคำขอบคุณ
การฟังเสียงสายลม มองประกายวิบวับของแสงอาทิตย์ยามบ่ายที่สะท้อนกับผิวน้ำ
และสูดกลิ่งหอมของธรรมชาติ
ทำให้การนั่งซึมซับบรรยากาศดีๆแบบนี้กับคนรักเป็นอะไรเกินกว่าคำว่ามีความสุข
มันคุ้มมากๆกับเวลาที่เสียไปแม้ว่าบ่ายนี้เราทั้งคู่จะว่างอยู่แล้วก็ตาม
และมันก็จะกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าของเราสองคน
แต่ดูเหมือนคนรักของผมจะเพลินไปหน่อย เพราะตอนนี้เขาผล็อยหลับไปเสียแล้ว
หัวทุยสวยนั้นซบลงมาที่ไหล่ของผมอย่างหาที่พิง
ผมไม่ได้รู้สึกหนักหรือไม่สบายตัวเลย ผมกลับชอบด้วยซ้ำ
จริงๆถ้าได้มีเขามานอนซบผมทุกคืนด้วยก็คงจะดีไม่น้อย… ผมคิดว่าผมจะปล่อยเขานอนต่ออีกสักสิบนาทีแล้วค่อยปลุกกลับบ้านดีกว่า
ถ้าให้หลับแบบนี้นานๆเขาคงไม่สบายตัวเท่าไหร่
.
.
.
.
.
.
.
.
“พรุ่งนี้มาเจอกันอีกสิ เดี๋ยวฉันเลี้ยงมื้อเที่ยงนายเอง” ผมบอกยุนกิหลังจากที่ผมปลุกเขาและกำลังเดินกลับ
“อื้ม ก็ได้” แฟนตัวขาวของผมตอบ “ที่ไหนดีล่ะ ที่ห้าง XXX มั้ย
มีร้านโปรดนายด้วยนี่นา”
“แล้วแต่นายเลย”
“งั้นก็ที่นั่นแหละ ตามนี้นะ”
“อาฮะ เจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมยิ้มและโบกมือลาเขาเพราะเราเดินมาถึงทางที่ต้องแยกกันพอดี
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เฮือก!!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนดึกหลังจากนอนดิ้นอยู่พักใหญ่
มือใหญ่ของผมกำผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดไว้แน่น
เหงื่อกาฬผุดพราวจนชื้นไปทั่วใบหน้าและไหลลงมาจนถึงสันกรามของผม
ผมหายใจหอบถี่โกยอากาศเข้าปอดเพราะความตกใจ ผมฝันร้ายอีกแล้ว
ผมฝันเห็นรถเก๋งสีเทาเข้มของผมหงายอยู่ข้างทาง ผมเห็นเลือดเต็มไปหมด
เศษกระจกเกลื่อนเต็มพื้นมากมาย และสิ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นก็คือการที่ในฝันนั้น…
ตัวผมที่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยนั่งกอดร่างไร้วิญญาณของคนรักอยู่ริมถนน
ผมฝันแบบนี้มาหลายคืนแล้วนะ ให้ตายสิ! เมื่อไหร่ไอ้ฝันนี้มันจะหายไปซะที
เมื่อไหร่ผมจะเลิกฝันแบบนี้ซะทีนะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
วันนี้ผมสวมแจ็กเก็ทยีนส์ตัวโปรดทับเสื้อยืดสีขาวกับ Ripped jeans สีดำพอดีตัวและรองเท้าผ้าใบสีเดียวกันโดยไม่ลืมที่จะใส่หมวก
Beanie คู่ใจมาด้วย
วันนี้ผมนัดมาทานมื้อเที่ยงกับยุนกิที่ห้างฯแต่พอหลังจากเราทานอาหารกันเสร็จแล้วผมก็ชวนเขาเดิน
Shopping ต่อ ผมอยากใช้เวลาอยู่กับเขาเยอะๆน่ะครับ^^
“…นี่!” เสียงหวานของคนที่รอผมอยู่ร้องแหวขึ้นเมื่อผมโผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงหลังจากที่ผมขอแวะเข้าห้องน้ำระหว่างเดินดูของ
ผมชอบแกล้งให้เขาตกใจเล่นน่ะครับ
ครั้งนี้พอผมออกมาจากห้องน้ำผมก็เห็นยุนกิยืนดูดชานมไข่มุกอยู่
ผมเลยแอบฉวยมาแย่งกิน “ไม่ต้องมาทำเนียนจูบทางอ้อมเลยนะ”
“…” ผมคิดว่าประโยคนั้นยุนกิคงอยากให้ผมยอมจำนนแล้วหัวเราะแห้งๆอะไรทำนองนี้ละมั้ง
แต่มันทำอะไรผมไม่ได้หรอก เพราะผมรู้วิธีที่จะสวนเขาไปให้เขาเป็นฝ่ายเขินได้ “ก็รู้นี่… ถ้าไม่อยากให้ทำแบบนี้งั้นก็ขอจูบตรงๆเลยได้มั้ยล่ะ”
พูดจบผมก็ยื่นหน้าเข้าใบใกล้ๆใบหน้าหวานของยุนกิและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ฮึ่ย!” ร่างเล็กขยับออกห่างจากตัวผมแล้วก้มหน้างุดด้วยความเขิน
แก้มขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อนิดๆ คงเพราะความใกล้ชิดแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อครู่ “ไม่คุยด้วยแล่ว~” ยุนกิพูดเพียงเท่านี้แล้วออกเดินต่อ
ผมก็เดินตามไปขนาบข้าง
“ฮะๆๆ” ผมหัวเราะน้อยๆให้กับความน่ารักน่าเอ็นดูของเขา
ยุนกิไม่น่าทักผมตั้งแต่แรกเลย ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ
แต่สุดท้ายเราสองคนก็ผลัดๆกันดื่มชานมไข่มุกแก้วนั้นจนหมด เราเดินดูร้านนู้นร้านนี้ไปเรื่อยๆจนผมไปสะดุดเข้ากับร้านหนึ่งที่ผมคิดว่าเสื้อผ้าของร้านดูน่าสนใจดี ผมกับยุนกิจึงเดินเข้าไป หยิบจับเสื้อตัวนู้นตัวนี้ดูไปเรื่อย และแล้วผมก็เหลือบไปเห็นเสื้อตัวหนึ่ง
“นี่ เสื้อตัวนี้สวยดีนะ เข้ากับนายเลย ชอบมั้ย? เดี๋ยวฉันซื้อให้”
ผมหยิบเสื้อแขนยาวลายขวางสีดำ-แดงออกมาจากราวแขวนแล้วเอาไปทาบกับตัวยุนกิ
ผมคิดว่ามันตัดกับผิวขาวๆของเขาจริงๆนะ และด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย
ผมว่าเวลาเขาใส่มันต้องดูน่ารักน่าปกป้องแน่ๆ
“อืม สวยดีนะ” เขารับเสื้อจากมือผมไป
เดินตรงไปหน้ากระจกและทาบเสื้อตัวนั้นกับตัวเอง โดยมีผมเดินตามไปดูด้วย “นายว่าฉันใส่แล้วดูดีมั้ย?”
“ดูดีสิ ใส่กับยีนส์สีเข้มที่นายใส่เมื่อวานก็ดูดีนะ” ผมตอบ
“อื้อ งั้นเอาตัวนี้ก็ได้ นายจะซื้อให้จริงดิ?”
“จริง นายอยากได้อะไรบอกเลย วันนี้ฉันจะซื้อให้นายทุกอย่าง” ผมยิ้มตอบ
“ป๋าเชียวนะวันนี้” ยุนกิแซวผม
“อยากได้ตัวไหนอีกมั้ย?”
“ไม่มีแล้วอะ แล้วของนายล่ะ?”
“ยังไม่เจอตัวที่ถูกใจน่ะ.. งั้นแค่ตัวนี้ใช่มั้ย? ไปจ่ายเงินกัน” พูดจบผมก็เดินนำเขาไปที่ Cashier
และจ่ายค่าเสื้อตัวนั้น จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นดูร้านอื่นกันต่อ
แต่ก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มเลย จนกระทั่ง…
“โฮซอก~” ไม่เรียกเปล่า
มือเล็กคว้าข้อมือของผมตรงไปที่ kiosk กลางทางเดินกว้างของห้างฯแห่งนี้
มันเป็น kiosk ขายพวกหมวกแก็ป “ดูนี่สิ
หมวกลายคุมะมง น่ารักเนอะ” มือขาวหยิบหมวกแก็ปสีดำปักลายคุมะมงขึ้นมาถือให้ผมดูแล้วทำตาปริบๆใส่ผม
ตอนนี้เขาดูเหมือนลูกสุนัขที่น่าเอ็นดูเลย
“ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะด้วยความเอ็นดูคนตัวเล็กกว่าแล้วยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมสีทองของเขาเบาๆ
“อยากได้หรอ?”
“…” ไม่ได้มีเสียงตอบรับใด มีเพียงแต่การพยักหน้าขึ้นลงของยุนกิเท่านั้น
“เอาสิ ฉันซื้อให้” พูดจบผมล้วงเอาเงินออกมาจ่ายให้กับแม่ค้า
จากนั้นเธอก็จัดแจงนำหมวกใส่ถุงส่งให้กับยุนกิ
“เย่! ขอบคุณนะ” ยุนกิเอ่ยแล้วยิ้มจนตาปิดอย่างมีความสุข
ได้เห็นรอยยิ้มนั้นแล้วผมก็อดยิ้มตามไม่ได้เลย
------------------------------------------------------------------[70%]------------------------------------------------------------------
เราทั้งสองเดิน shopping กันต่อจนพอใจ เราจึงตัดสินใจจะกลับกัน แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากตัวห้างฯไปที่อาคารจอดรถนั้นเอง ยุนกิก็เหลือบไปเห็นร้านอะไรบางอย่างตรงใกล้ๆประตูห้างฯเข้า และเขาก็ชวนผมเข้าไปดู
“นี่ๆ สวยดีเนอะว่ามั้ย?” เสียงหวานเอ่ยถามผมพร้อมกับหยิบกำไลถักที่ทำจากหนังเทียมขึ้นมาให้ผมดู
ตอนนี้เราอยู่ในร้านที่ขายเครื่อยประดับโลหะจำพวกเงินและมีหนังเทียมถักด้วย
“ตัวนี้เราจะมีแถมจี้ตัวอักษรซึ่งทำจากทองเหลืองให้ฟรีด้วยนะครับ” พนักงานขายในร้านกล่าว
“จริงเหรอฮะ” เสียงของยุนกิดังขึ้นอีกครั้ง “นี่ ฉันว่ามันเข้ากับนายดีนะเราซื้อมาใส่คู่กันนะ เดี๋ยวฉันซื้อให้”
“มันเข้ากับฉันจริงดิ” ผมทวนคำถามซ้ำเพราะผมไม่เคยใส่อะไรจำพวกนี้มาก่อน
ผมไม่ได้ไม่ชอบนะ แต่ผมแค่ไม่คุ้นเฉยๆ ผมเลยลองยื่นข้อมือออกไปทาบกับกำไลหนังถักสีน้ำตาลเข้มอันนั้นดู
อืม… จะว่าไปมันก็ไม่เลวนะ
มันก็เข้ากับข้อมือของผมเหมือนที่ยุนกิบอกจริงๆอะแหละ
“จริงสิ” คนตัวขาวพยักหน้ารับรัวๆจนผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“อื้ม งั้นก็เอาสิ อันนี้นายจะเป็นคนซื้อเหรอ?”
“อื้อ ฉันอยากซื้อให้นายบ้าง” เมื่อตอบผมแล้วยุนกิก็หันไปเลือกกำไลหนังถักนั้นมา
2 อันและส่งให้กับพนักงานโดยไม่ลืมที่จะสั่งตัวอักษรทองเหลือง
2 ตัวด้วย…ตัว H และตัว
Y
ทันทีที่ขึ้นก้าวขึ้นมานั่งในรถสีเทาเข้มคันหรูของผมยุนกิก็เอากำไลคู่นั้นออกจากถุงพลาสติกอย่างตื่นเต้น
หลังจากนั้นมือเล็กก็คว้าเอาข้อมือของผมไว้แล้วสวมกำไลที่มีจี้ตัว Y ให้ผมทันที จากนั้นจึงสวมกำไลแบบเดียวกันที่มีจี้ตัว H ให้กับตัวเอง
“ฉันจะห้อยชื่อนายไว้ ส่วนนายก็ห้อยชื่อฉันไว้นะ” ร่างเล็กหันมาพูดแล้วยิ้มให้ผม
ผมพยักหน้ารับแล้วเอื้อมมือไปขยี้ผมเขาเบาๆ ทำไมแฟนผมถึงน่ารักขนาดนี้นะ ให้ตายสิ!
สุดท้ายผมก็ออกรถแล้วขับไปส่งยุนกิที่บ้าน
จากนั้นจึงขับกลับบ้านตัวเอง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
คืนนั้นเอง
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย หายใจหอบถี่
ผ้าปูที่นอนสีขาวยับยู่ยี่ไปหมดคงเพราะการดิ้นตอนที่ยังอยู่ในความฝัน
ผ้าห่มสีเดียวกันถูกเตะไปกองปลายเตียงด้วยฝีมือของผมเอง
มือซ้ายของผมคว้าเอากำไลหนังถักที่ห้อยจี้ตัว H บนหัวเตียงมาทาบไว้แนบอก
ส่วนมือขวาก็กุมข้อมืออีกข้างของตัวเองที่มีกำไลแบบเดียวกันพร้อมจี้ตัว Y ไว้แน่น ผมค่อยๆเอนตัวลงนอนบนเตียงช้าๆ ปิดเปลือกตาลง
และปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ใช่… ผมร้องไห้ ผมร้องไห้ออกมา
ส่งเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วห้องนอนจนกระทั่งร่างกายของผมอ่อนเพลียและหลับไปเองตอนเกือบรุ่งสาง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ก๊อก
ก๊อก ก๊อก
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว ผมลืมตาขึ้นมาเพราะแสงสว่างที่สะท้อนกับผนังห้องสีขาวมันแยงตา รวมถึงได้ยินเสียงเคาะประตูห้องและตามมาด้วยร่างของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมไม่คุ้นหน้าเธอเลย เธอเดินเข้ามาตรงข้างเตียงผม
“คุณเป็นใคร ปกติไม่ใช่คุณนี่?” ผมเอ่ยออกไป
“เอ่อ… ค่ะ ดิฉันเพิ่งมาใหม่” เธอตอบ
“พวกเดียวกัน?”
“ค่ะ นี่ค่ะยาของคุณ” เธอส่งยาในแก้วใบจิ๋วมาให้ผม
ผมก็รับมาแต่โดยดี…
ทุกเช้าจะมีผู้หญิงแปลกๆเอายานี่มาให้ผมกิน
ตอนแรกผมก็ไม่กินหรอก ผมถามเธอว่าเธอเป็นใคร เธอก็ตอบผมว่าเป็นพยาบาล
นั่นทำเอาผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ พยาบาล? แล้วพยาบาลเข้ามาในห้องนอนของผมได้ยังไง?
เขามาทำไม? ผมเคยถามเธอไปแล้วแต่เธอก็ตอบในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจออกมา
คุยยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยไม่ยอมกินมันในตอนแรก
แต่แทนที่เธอจะกลับไปตามที่ผมไล่ เธอกลับพาคนอีก 2-3 คนเข้ามาในห้องของผม!
ทุกคนเกลี้ยกล่อมให้ผมยอมกินยานั่น
ผมไม่เข้าใจเลย ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรนะ ทำไมต้องกินด้วย จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นหมอบอกผมด้วยเสียงนิ่งๆว่าให้ผมลองกินดู
เพราะยานี่มันจะมีผลดีกับผม
แต่ถ้าผมไม่ไว้ใจและถ้ามันมีอันตรายเกิดขึ้นเขาจะรีบทำการรักษาผมทันที
ตอนนั้นผมเริ่มหงุดหงิดและรำคาญคนพวกนี้แล้ว
และดูจากลักษณะการพูดที่พวกเขาพูดกับผมคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไร
สุดท้ายผมจึงยอมกินยานั่น แต่เนื่องจากมันเป็นแคปซูลและผมรู้ว่าเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วมันจะใช้เวลาประมาณ
15 นาทีในการที่แคปซูลจะละลายและปลดปล่อยยาในนั้นออกมา
ผมก็รั้งให้คนที่บอกว่าคนเป็นหมออยู่กับผมตลอด 20 นาทีให้แน่ใจว่ายานั่นไม่เป็นพิษต่อร่างกายผมผมจึงยอมปล่อยเขาไป
ผมแอบไปหาหมอประจำของผมให้เขาตรวจร่างกายด้วย
แต่ก็ไม่พบสารพิษหรือความผิดปกติใดๆ ผมก็ค่อยโล่งใจหน่อย… สรุปคือทุกวันนี้ผมก็ต้องกินยานั่นทุกเช้า
และเช้าวันนี้…
หลังจากผมรับยาจากพยาบาลที่ผมไม่คุ้นหน้ามาและกินมันเข้าไปแล้ว
ผู้ชายคนที่บอกว่าตนเป็นหมอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็เข้ามาในห้องผม ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาชื่อ
ยูแจซอก เช้าบางวันเขาก็จะเข้ามาหาและพูดคุยกับผม เหมือนเช้าวันนี้นั่นแหละ
“ผมกินยาไปแล้ว ตอนนี้ผมออกไปหาแฟนผมได้แล้วใช่ไหมครับ” ผมเอ่ยถามเขายิ้มๆ
เพราะเขาคุยดีกับผมทุกครั้งผมจึงค่อนข้างไว้ใจเขาแล้วในตอนนี้
และผมก็รู้แล้วว่าเขาเป็นหมอจริงๆ
“อืม… วันนี้คุณนัดแฟนไว้เหรอ?” เสียงทุ้มของคุณหมอยูถามขึ้น
“ใช่ครับ วันนี้ผมนัดไปดูหนังกับเขา”
“อ่า…” เขาดูมีท่าทีลังเลนิดหน่อย
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมาด้วย “แต่ว่า… แฟนคุณไม่อยู่แล้วนะ
เขาเสียไปเมื่อเกือบสองปีที่แล้วไง ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ นี่ไง รอยแผลเป็นที่แขนคุณจากอุบัติเหตุครั้งนั้น”
เขาไม่พูดเปล่าแต่ชี้มาที่รอยแผลเป็นใต้เสื้อแขนยาวตรงใกล้ๆข้อศอกของผมด้วย
“ตอนนั้นคุณก็เป็นคนขับรถเองไม่ใช่เหรอ”
“…ที่รถสิบล้อเมาแล้วขับรถเร็วจะมาชนรถผมน่ะเหรอครับ?” ผมถามออกไปนิ่งๆ งงๆ ผมไม่แน่ใจว่าเขาไปรู้เรื่องอุบัติเหตุนี่มาจากไหน
เพราะผมคิดว่าผมไม่ได้เล่าให้เขาฟังนะ
“…” คุณหมอยูพยักหน้าช้าๆ
“ผมไม่รู้นะว่าคุณไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน” ผมชี้แจง “แต่ว่าวันนั้นผมขับไปคนเดียว คุณคงไปฟังมาผิดแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”
“…”
“ไปก่อนนะครับ ผมไม่อยากไปสาย^^” ผมยิ้มให้เขาบางๆแล้วลุกออกจากเตียง
End
of Hoseok’s part
“เคสนี้เป็นอะไรเหรอคะ?” พยาบาลสาวที่นำยาไปให้โฮซอกเมื่อครู่เอ่ยถามคุณหมอยู
เจ้าของเคส
“อ้อ คุณเป็นพยาบาลใหม่ คงยังไม่รู้
มันเริ่มจากที่คุณจองโฮซอกกับแฟนของเขาขับรถไปต่างจังหวัดด้วยกันน่ะ
ระหว่างทางก็ดันไปเจอกับรถสิบล้อที่คนขับเมาขับมาจะชนรถของพวกเขาอย่างเร็ว
คุณโฮซอกจึงหักหลบทำให้รถพลิกคว่ำ…”
“…” พยาบาลสาวพยักหน้าตามและฟังอย่างตั้งใจ
“…แฟนของเขาที่ชื่อยุนกิน่ะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ส่วนคุณโฮซอกก็บาดเจ็บไม่น้อยเหมือนกันแต่ว่ารอดออกมาได้ เห็นว่าตอนรถพยาบาลไปถึงน่ะคุณโฮซอกนั่งกอดศพแฟนไว้ไม่ห่างเลยล่ะ”
“โห… น่าสงสารจังเลยนะคะ” พยาบาลสาวกล่าวโดยมีคุณหมอยูพยักหน้าตอบรับน้อยๆ
“คุณโฮซอกเสียใจมากที่คนรักตาย เขาโทษว่าสาเหตุที่คุณยุนกิตายเป็นเพราะเขา
เขาเสียใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ตายตามคนรักไปด้วย เขาเคยจะฆ่าตัวตายด้วยล่ะ
แต่ว่ามีคนช่วยไว้ได้ทัน
หลังจากนั้นสุขภาพจิตของเขาก็แย่ลงและมีอาการทางจิตอย่างที่คุณเห็นในที่สุด
ญาติจึงพามาบำบัดที่นี่
แต่ว่าตั้งแต่เขามาบำบัดมามันก็ปีครึ่งแล้วแต่เขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย
เขายังคงเก็บกำไลข้อมือของคนรักไว้ที่หัวนอน ผมคิดว่าเขาคงใช้ชีวิตอยู่กับอดีต
สิ่งที่คุณโฮซอกเห็นน่าจะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
เหตุการณ์พวกนั้นฉายซ้ำไปมาต่อหน้าเขาเสมือนว่าคุณยุนกิยังอยู่… คงจะรักกันมาก” เล่าจบคุณหมอยูก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างหนักอกก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ
พยาบาลสาวเดินออกมาที่สวน
สวนแห่งนี้จะเป็นที่ที่ปล่อยให้ผู้ป่วยที่ไม่ได้มีอาการคลุ้มคลั่งหรือก้าวร้าวได้ทำอะไรตามใจตนเองได้ภายในขอบเขตของความปลอดภัย
เธอกวาดตามองไปรอบๆ เห็นผู้ป่วยทางจิตในชุดสีน้ำเงินของโรงพยาบาลอยู่ในกรอบสายตา
บางคนก็เดินไปเดินมาเหมือนคนปกติ บางคนก็มีท่าทางแปลกๆเช่น
อยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาคนเดียวหรืออะไรทำนองนี้
จนกระทั่งสายตาของเธอไปสะดุดเข้ากับโต๊ะม้าหินตัวหนึ่งใต้ร่มไม้ของสวน
เธอเห็นผู้ป่วยจองโฮซอกนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหิน
มือใหญ่คู่นั้นจัดปกเสื้อและปัดๆตรงไหล่ราวกับจะจัดให้มันเรียบร้อย
ช่อกล้วยไม้ที่เหี่ยวและร่วงโรยไปมากในห่อพลาสติกซึ่งยับยู่ยี่ไปตามกาลเวลาวางอยู่ข้างตัว
ชายหนุ่มนั่งอมยิ้มอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาก็เงยขึ้นไปมองตรงหน้าตัวเองอย่างเร็วราวกับรับรู้ได้ว่ามีใครมานั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา
เธอคิดว่านั่นคงจะเป็นคุณยุนกิ ในความคิดของโฮซอก
เขาอาจจะกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารสักแห่งหนึ่ง
อาจจะนัดคนรักมาทานอาหารด้วยกันก่อนที่จะไปดูหนังด้วยกันตามที่เธอได้ยินจากเขาเมื่อเช้า…
‘ช่อดอกไม้นั่นก็คงเป็นของที่เกี่ยวกับคนรักสินะ…’ เธอนึกสงสารโฮซอกอยู่ในใจ
จองโฮซอกส่งยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและรักใคร่ให้กับอากาศธาตุตรงหน้าตัวเอง… ความจริงแล้วเขากำลังส่งยิ้มให้กับคนรักที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วด้วยซ้ำ
แต่เพราะความรักที่มีล้นใจโฮซอกจึงยังคงเห็นยุนกิส่งรอยยิ้มในแบบที่เขาชอบมากที่สุดมาให้เขาเสมอ
ยุนกิยังคงอยู่กับโฮซอกเสมอ และจะอยู่ตลอดไป…
มินยุนกิจะมีชีวิตอยู่ในความทรงจำอันแจ่มชัดของจองโฮซอกตลอดไป...
...The End...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบแล้วววววววววววววว งงแมะ คือยุนกิไม่ได้เป็นผีนะ แต่พี่โฮปเป็นบ้า ไม่งงใช่มะ;-------; แงงงงง หักมุมไปมั้ย 555555555 ต้นเรื่องนี่มาซะมุ้งมิ้งน้ำตาลขึ้นเป็นเบาหวานกันถ้วนหน้า จบทีเหมือนคนเป็นเบาหวานร้ายแรงและขาดอินซูลิน(ดูมันเปรียนเทียบ 555555555555) เอาเป็นว่าขอเมนท์ติชมกันหน่อยน้าาา ไรท์จะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือในเรื่องต่อไปได้นะคะ^^
ขอขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ติดตามและให้ความสนใจฟิคสั้นเรื่องนี้นะคะ เจอกันเรื่องหน้าเน้ออออ^O^ luv u guys~
หากมีคำผิดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ