Part I
‘จิน’ นักแสดงหนุ่มมาดนิ่งขวัญใจวัยรุ่นเปิดเผยถึงความสัมพันธ์หวานชื่นกับนักแต่งเพลง ‘โฮซอก’ ยืนยันว่าออกเดทกันจริงและย้ายมาอยู่ด้วยกันได้เดือนกว่าแล้ว!
ร่างสูงของคิมซอกจิน
หรือ จิน นั่งพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ไปมาอยู่บนโซฟาในกลางดึกก่อนจะพลิกมาเห็นพาดหัวข่าวบันเทิงที่เขียนเกี่ยวกับตัวเอง
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับเนื้อหาข่าวนี้มากนัก
จะมีก็แต่…
“นักแสดงหรอ… หึ! ฉันเดบิวต์มาเป็นนักร้องต่างหาก” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เพราะแม้แต่นักข่าวยังเขียนว่าเขาเป็นนักแสดงเลย…ทั้งที่เขาเดบิวต์ด้วยการเป็นนักร้อง
และความจริงแล้วเขาเองก็ออกจะชอบอาชีพนักร้องมากกว่านักแสดงเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้เพลงของเขาจะไม่ค่อยได้รับความนิยมก็เถอะ… แต่ด้วยช่วงเวลาและโอกาสที่ทำให้เขาได้มีโอกาสมาแสดงละครและเกิดดังเป็นพลุแตกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คนทั่วไปจึงรู้จักเขาในฐานะนักแสดงไปโดยปริยาย…
แต่ก็นั่นแหละ… คิมซอกจินไม่ใช่คนโง่
เขาจึงวางแผนหาทางทำให้ตัวเองได้กลับไปมีชื่อเสียงในฐานะนักร้องอีกครั้ง
ติ๊ดๆ แกร๊ก แอ๊ด~
เสียงเปิดประตูคอนโดดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มบนโซฟาหันไปทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ
และก็ได้พบกับคนคุ้นหน้าที่เพิ่งจะกลับมาถึง
“อ้าว! ยังไม่นอนอีกหรอฮะพี่จิน”
เสียงหวานใสเอ่ยขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงก้าวเข้ามาในห้องในสภาพเพลียเล็กน้อย
เสื้อเชิ้ตสีขาวบางตัวใหญ่นั้นก็ดูหลุดรุ่ยไม่เรียบร้อย…
แบบที่รู้ๆกันอยู่ว่าคืนนี้ได้ผ่านอะไรมา
“ก็รอนายนั่นแหละ โฮซอก”
“แหม~ ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องรอ
ผมไปสนุกของผมเดี๋ยวก็กลับ” ร่างเล็กตอบกลับขณะที่มือเรียวสวยถอดแว่นกันแดดออก
“เพราะพี่ปล่อยให้นายไปสนุกอยู่คนเดียวไม่ได้ไงล่ะโฮซอก”
ร่างสูงกล่าวเสียงขรึมและมองสภาพคนตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ก็ไหนตอนแรกที่ตกลงกันพี่ว่าจะให้อิสระกัน
จะทำอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ให้นักข่าวรู้ไม่ใช่หรอ” โฮซอกเดินมานั่งลงบนโซฟาข้างๆร่างสูงแล้ววางแว่นกันแดดที่ใช้อำพรางใบหน้าเมื่ออยู่ข้างนอกลงบนโต๊ะหน้าโซฟา
“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยเล่า~” เสียงหวานลากยาวแล้วยู่ปากอย่างเซ็งๆ
ไม่ได้มีท่าทีว่าจะกลัวท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายเลยสักนิด
ฟึ่บ!
จากที่นั่งจ้องคนตัวเล็กกว่านิ่ง..
ร่างหนาก็ขยับตัวอย่างรวดเร็วดึงใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงนั้นเข้ามาชิดตนและมอบจูบให้อย่างดูดดื่ม
มือใหญ่รองไว้ที่ท้ายทอยและแทรกเข้าไปในกลุ่มผมสีน้ำตาลแดงของอีกฝ่าย
ลิ้นอุ่นเริ่มไม่อยู่เฉยและค่อยๆแทรกผ่านกลีบปากบางเข้าไปทักทายลิ้นเล็กที่กระหวัดตอบรับอย่างไม่เขินอาย
มือหนาที่เดิมรองอยู่ตรงท้ายทอยเลื่อนมาด้านหน้าและสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตคอกว้างของคนตัวเล็ก
“อื้อ ไม่เอานะฮะ” จังหวะนั้นเองที่คนตัวเล็กกว่ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปรีบดันตัวเองออกมาจากวงแขนแกร่ง
“วันนี้ผมเพลียแล้ว
แล้วอีกอย่างพี่ก็ไม่ต้องกลัวผมจะทำชื่อเสียงที่พี่รักเสียหายหรอกน่า
ยังไงผมเองก็ยังอยากขายเพลงที่ผมแต่งให้ได้เยอะๆเหมือนกันนั่นแหละ
ถ้าพี่กลัวว่าคนข้างนอกจะจำผมได้ละก็หายห่วง ผมปลอมตัวอย่างแนบเนียนที่สุดแล้ว~”
โฮซอกอธิบายเพราะรู้ว่าสิ่งที่ซอกจินกำลังจะทำนั้นก็เพราะเจ้าตัวอยากจะให้ทำให้แน่ใจว่าทั้งสองคนนั้นยังอยู่ในอาณัติของกันและกันจริงๆ
เหมือนทุกๆครั้งที่ร่างสูงมักจะบอกกับตนก่อนจะทำเรื่องอย่างว่า
“…ก็รู้นี่” เสียงทุ้มกล่าวเรียบๆ
“เราต่างก็ได้ประโยชน์กันตามแผนของพี่
พี่ได้เพลงของผมไปร้องแล้วก็ได้กู้ชื่อเสียงในฐานะนักร้องกลับมา ส่วนผมก็ได้ทำให้เพลงของผมดังผ่านกระแสของแฟนคลับพี่
เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องกลัวผมจะทำลายสัญญาของเราหรอกน่า…” เสียงหวานเอ่ยหน่ายๆเพราะประโยคนี้ตนนั้นได้บอกมันกับร่างสูงเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
“แต่ว่า… นายให้คนอื่นได้
แต่ให้ผัวไม่ได้รึไง!?” ครั้งนี้จินตอบกลับด้วยเสียงที่ดุขึ้นกว่าเดิมทำเอาโฮซอกใจกระตุกวูบเพราะความเกรง
แต่ก็เข้าใจได้ว่าอารมณ์ของคิมซอกจินนั้นถ้าถูกจุดขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะดับ
“แล้วเราไปเป็นผัวเมียกันตั้งแต่เมื่อไหร่” คนตัวเล็กเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงยียวนเพราะอยากยั่วอารมณ์ร่างสูงเล่น “เพราะเราก็ไม่เคยมีความรู้สึกให้กันแบบผัวเมียอยู่แล้วนี่
นอกจากตอนอยู่หน้ากล้องอะนะ” ดวงตากลมละสายตาจากการสบตาร่างสูงเมื่อพูดประโยคหลังเพราะไม่อยากให้ร่างสูงเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของตน
“ก็เกือบถูก… ที่จริงต้องบอกว่าเราไม่เคยเป็นผัวเมียกันจริงๆนอกจากตอนอยู่หน้ากล้อง…”
สายตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวาน “…กับใต้ผ้าห่มต่างหาก”
สิ้นประโยค
จินก็เข้าประกบจูบบนกลีบปากบางอีกครั้งซึ่งโฮซอกก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านแต่อย่างใด
ลิ้นเล็กทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี
คนตัวเล็กขบที่ริมฝีปากหนาของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อช่วยปลุกอารมณ์ให้กับร่างสูง
แขนแกร่งช้อนที่ข้อพับเข่าของโฮซอกและอุ้มคนตัวเล็กขึ้นพาเดินยังในห้องนอนและวางร่างเล็กลงบนเตียง
จากนั้นร่างสูงก็ตามไปคร่อมทับร่างของโฮซอกทันทีโดยที่ใบหน้าของทั้งคู่ไมได้ละจากกันเลย
มือใหญ่สอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตบางตัวใหญ่ของร่างเล็กอย่างรีบร้อน
ลูบไล้ไปทั่วผิวกายเนียนนุ่มจนร่างเล็กบิดไปมาเพราะความเสียวซ่าน
“อื้อ” เสียงหวานครางอึงในลำคอบ่งบอกว่ากำลังหายใจไม่ทัน
ร่างหนาจึงละความสนใจจากกลีบปากสีสวยมาเป็นซอกคอขาวเนียนแทน กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆที่ติดตัวโฮซอกมายิ่งทำให้จินมัวเมาในร่างของคนใต้ร่างมากขึ้นไปอีก
มือเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำของจินเพื่อระบายความเสียวซ่าน
ระหว่างที่ร่างสูงสร้างรอบประทับสีกุหลาบไปทั่วลำคอระหงนั้น
มือใหญ่ก็ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของคนตัวเล็กไปทีละเม็ดด้วย จนสุดท้ายร่างสูงก็จักการเปลื้องอาภรณ์ทุกชิ้นที่ขวางกันทั้งสองจากกันออกจนหมด
สายตาคมไล่มองไปทั่วร่างบอบบางของคนใต้ร่างที่ตอนนี้เปลือยเปล่าเหลือไว้แต่เพียงสร้อยคอพร้อมจี้ตัวอักษร
‘SJ’
ที่ย่อมาจากชื่อของซอกจิน
ซึ่งเขาเองก็สวมสร้อยแบบเดียวกันพร้อมกับจี้ตัวอักษร ‘HS’ ย่อมาจากชื่อของอีกฝ่ายเช่นกัน
จริงๆสร้อยนี้จินก็สั่งทำมาเพื่อหลอกให้ทุนคนเชื่อว่าเขาทั้งสองคบกันจริงๆและตกลงกันว่าจะใส่มันไว้ตลอดเวลา
“นายมันเซ็กซี่เป็นบ้า.. รู้ตัวรึเปล่า”
ร่างสูงก้มลงไปกระซิบข้างหูร่างเล็กจนคนตัวเล็กขนลุก ใช่แล้ว…
สำหรับซอกจิน โฮซอกที่ปราศจากอาภรณ์แต่สวมเพียงสร้อยตัวย่อชื่อของเขาน่ะปลุกอารมณ์เขาได้ดีกว่าอะไรในโลกนี้แล้ว
จินเอื้อมไปดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของทั้งสองไว้เพราะเกรงว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในห้องนอนจะทำให้คนตัวเล็กหนาวได้เพราะโฮซอกนั้นเป็นคนค่อนข้างขี้หนาวไม่น้อย
ร่างสูงจับท่อนขาเรียวให้ชันขึ้นและเข้าไปแทรกตัวอยู่ตรงกลางก่อนจะค่อยๆเปิดทางให้กับคนใต้ร่างอย่างใจเย็น
“อ…อืมมมม” คนตัวเล็กหลุดร้องออกมาเมื่อร่างสูงขยับเร็วขึ้นเรื่อยๆเพราะความเสียว
จนกระทั่งร่างเล็กหมดความเจ็บปวดและพร้อมที่จะรับสิ่งที่ใหญ่กว่าร่างหนาก็กดแทรกเข้ามาทีเดียวจนสุด
“อ๊า~ พ…พี่จิน”
“อ่า.. ดีมากเลยโฮซอก” ร่างสูงขยับตัวเป็นจังหวะเนิบนาบในตอนแรกและเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือหนาข้างหนึ่งก็เลื่อนลงมาช่วยปรนเปรอให้กับคนตัวเล็ก
“อึก… อื้อ.. อื้อ..” เสียงหวานหลุดครางออกมาทุกครั้งที่คนตัวใหญ่กว่ากระแทกโดนจุดสำคัญ
แขนเรียวยกขึ้นมาคล้องลำคอแกร่งโดยอัตโนมัติ
ใบหน้าสวยเชิดขึ้นหลับตาแน่นเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
เสียงหวานดังสอดประสันกับเสียงทุ้ม
ใบหน้าของโฮซอกขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นเพราะแรงอารมณ์ สองร่างแนบชิดเสียดสีกัน
บทรักดำเนินอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งทั้งสองใกล้ถึงปลายทาง
“อะ… พี่จิน อื้อ~!”
“อืม.. โฮซอกอ่า…”
“ฮื่อ..” ร่างบางกระตุกเกร็งเมื่อร่างสูงโถมกายเข้ามาครั้งสุดท้ายและปลดปล่อยสายธารรักเข้ามาในร่างกายของตนในเวลาเดียวกับที่ตนเองก็ได้ปลดปล่อยออกมาเช่นกัน
และร่างหนาก็ก้มลงมากดจูบหนักๆบนริมฝีปากสีสวยอีกครั้ง
“อื้อ~ ไม่เอา เหนื่อย..”
โฮซอกร้องประท้วงขึ้นแล้วหันหน้าหลบ
หายใจหอบถี่เพราะความเหนื่อยอ่อน
“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเอ็นดูคนเด็กกว่า
จากนั้นร่างหนาก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆกับร่างเล็ก จินเฝ้ามองเปลือกตาสีอ่อนปิดลงและการหายใจของคนข้างๆเข้าสู้จังหวะสม่ำเสมอบ่งบอกว่าคนตัวเล็กเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
จินเอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียงแล้วหันกลับมานอนมองใบหน้าหวานหลับพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนต่อ
แต่แล้วหัวทุยๆนั้นก็ขยับมาซบที่ไหล่กว้างอย่างไม่รู้ตัว ร่างสูงยิ้มออกมาบางๆในความมืดขณะที่ยกมือขึ้นมาลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ชักมือกลับมา
จากนั้นก็หลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราไป…
ค่ำหนึ่ง ณ Studio อัดรายการ
“ตกลงคุณทั้งสองคนคบกันจริงๆแล้วใช่ไหมครับเนี่ย
แหม่.. ผมนี่ยังอึ้งอยู่เลยนะครับ สาวๆค่อนประเทศอกหักกันเป็นแถบเลยนะครับคุณจิน”
เสียงพิธีกรชายตัวบางกล่าวขณะที่อัดรายการสัมภาษณ์อยู่
“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะหักอกทุกคนหรอกนะครับ
แต่คุณฮีชอลคงเข้าใจ ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้จริงๆครับ” จินตอบยิ้มๆแล้วเอื้อมมือหนาไปกุมมือของโฮซอกที่นั่งข้างๆตนไว้
“คุณเป็นคนที่โชคดีมากเลยนะครับเนี่ย คุณโฮซอก”
พิธีกรเจ้าของนามคิมฮีชอลหันมาพูดกับคนตัวเล็กกว่าข้างๆร่างสูงบ้าง
“คงงั้นมั้งครับ” ร่างเล็กตอบอายๆแล้วหันไปสบตากับร่างสูงที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของตนนิ้วเรียวขยับสอดประสานกับมือหนาให้กระชับขึ้น
“ผมรู้สึกโชคดีมาก…ที่พี่จินเข้ามาในชีวิตของผม”
“เป็นคู่รักที่น่ารักจริงๆเลยนะครับ” พิธีกรหน้าสวยกล่าวขณะที่มองคู่รักใหม่แห่งวงการบันเทิงด้วยความเอ็นดู
“แล้วอย่างนี้เวลาคุณโฮซอกแต่งเพลงนี่ต้องนึกถึงแต่หน้าคุณจินแน่ๆเลยใช่มั้ยครับ”
ไม่วายตบท้ายด้วยการแซวคนตัวเล็กอีกรอบ
“จะบอกว่าไม่จริงก็คงไม่ได้นะฮะ” พวงแก้มใสขึ้นสีแดงจางๆด้วยความเขินอาย “แต่เวลาแต่งเพลงก็นึกถึงแต่หน้าพี่จินจริงๆ
แล้วก็นำความรักของพวกเรามาบรรยายเป็นเพลงน่ะฮะ แต่เพราะความรู้สึกที่ผมใส่ลงไปในเพลง
ผมมีให้พี่จินคนเดียว ก็เลยอยากให้พี่จินเป็นคนร้องเพลงของผมน่ะฮะ^^”
“และเวลาผมร้องเพลง ผมก็นึกเสมอครับ
ว่าร้องให้โฮซอกเขาฟัง” ร่างพูดสูงเสริมแล้วยกแขนขึ้นมาโอบไหล่โฮซอกเอาไว้ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับกล้อง
“แล้วก็… ขอฝากหน่อยนะครับ
เร็วๆนี้ผมจะปล่อยมินิอัลบั้มมาให้ทุกคนได้ฟังกัน รอติดตามกันด้วยนะครับ!”
“หวานมดขึ้นสตูดิโอแล้วครับ ฮ่าๆๆๆๆ” ฮีชอลกล่าวแซวทั้งคู่จากนั้นก็หันไปมองกล้อง “เอาล่ะครับวันนี้พวกเราก็ได้พูดคุยกับคุณจินและคุณโฮซอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่กำลังเป็น
talk of the town ในช่วงนี้กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ
รวมถึงสัปดาห์นี้ก็หมดเวลาของรายการเราแล้ว พบกันใหม่สัปดาห์หน้าเวลาเดิม
แล้วมาคอยติดตามกันนะครับว่ารายการเราจะพาดาราคนไหนมาเล่าเรื่องราวของพวกเขากันอีก
วันนี้ต้องลาคุณผู้ชมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับบบบบ” เมื่อคิมฮีชอลกล่าวปิดรายการและผู้กำกับสั่งคัทแล้ว
ฮีชอล จิน และโฮซอกก็กลับเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนชุดของสปอนเซอร์คืน
ขณะที่ซอกจินและฮีชอลกำลังจัดของของตนเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านนั้น
โฮซอกก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างแวกซ์บนผมของตนออกก่อนเนื่องจากเจ้าตัวไม่ค่อยชอบมันเท่าไรนัก
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่ารองเท้า 2 คู่นี้คู่ไหนเป็นของคุณฮีชอลหรือของคุณโฮซอกกันแน่คะ
บังเอิญว่ามันเป็นแบบเดียวกันเลยน่ะค่ะ” สตาฟฟ์หญิงคนหนึ่งที่กำลังนำรองเท้ามาให้เจ้าของเอ่ยถามขึ้น
“คู่นี้ของโฮซอกครับ คู่ที่เล็กกว่า” ยังไม่ทันที่ฮีชอลจะได้ตอบว่าคู่ไหนเป็นของตน
เสียงของจินก็ดังตอบออกมาก่อน จากนั้นก็รับรองเท้าของโฮซอกไว้
แล้วสตาฟฟ์ก้นำรองเท้าอีกคู่ไปให้คิมฮีชอลแทน
“โอ้โห~ จำได้กระทั่งไซส์รองเท้ากันเลยนะครับ”
พิธีกรตัวบางยังคงเอ่ยแซวไม่เลิกแม้จะปิดกล้องแล้ว
“หึๆ ก็.. นิดหน่อยน่ะครับ”
จินตอบยิ้มๆ แล้วฮีชอลก็ใส่รองเท้าของตนแล้วออกจากห้องแต่งตัวไปก่อน
จากนั้นไม่นานโฮซอกก็ออกมาจากห้องน้ำ เก็บของ และเดินไปที่อาคารจอดรถเพื่อกลับบ้านพร้อมกับร่างสูง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
Kim Heechul
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
คิมซอกจินชอบความเป็นส่วนตัว…ดังนั้นเวลาเสร็จงานเขาจึงชอบที่จะขับรถกลับคอนโดเองมากกว่าให้ผู้จัดการหรือคนขับรถมาส่ง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน…ร่างสูงนั่งประจำที่คนขับโดยมีร่างเล็กของโฮซอกนั่งข้างๆ
จินขับรถตามทางกลับคอนโดมาเรื่อยๆโดยไม่มีบทสนทนาใดหลุดออกจากปากของทั้งคู่เลย… จนกระทั่งรถติดไฟแดงตรงสี่แยก
“…” จินหันมามองใบหน้าหวานของคนข้างๆที่กำลังมองตรงออกไปนอกกระจกรถ
มือหนาเอื้อมมาจัดปอยผมสีน้ำตาลแดงด้านหน้าที่ตกลงมาเกือบปรกตาของโฮซอกออกให้เรียบร้อย
“…” โฮซอกหันมามองร่างสูงเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนสัมผัส
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไร เช่นเดียวกับจินที่ยังคงเงียบและเกลี่ยผมด้านหน้าของโฮซอกออกให้อย่างเบามือ
ทั้งคู่ประสานสายตากัน…คนตัวเล็กพยายามปรับสีหน้าและแววตาของตนให้เป็นปกติที่สุดเพื่อซ่อนความกลัวเอาไว้ไม่ให้ร่างสูงเห็น…กลัวว่าร่างสูงจะรู้ความลับของเขา… ส่วนสายตาของร่างสูงนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่โฮซอกอ่านไม่ออก
มันเหมือนความไม่แน่ใจ ความลังเล แต่ก็ยังคงอ่อนโยนในสายตาของโฮซอก
ซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมสายตาของจินจึงสะท้อนความรู้สึกเหล่านั้นออกมา
ชั่ววินาทีต่อมา…ร่างสูงก็เลื่อนมือที่วางไว้บนหัวทุยสวยมาช้อนคางเรียวขึ้นแล้วโน้มตัวไปมอบจุมพิตให้กับร่างเล็ก… ริมฝีปากหนาบดคลึงจูบรสหวานลงกับกลีบปากบางโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ
ลมหายใจของทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน
ฝ่ายร่างเล็กแม้จะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆจินถึงทำแบบนี้ แต่ก็ยอมจูบตอบแต่โดยดี ริมฝีปากบางขบเม้มริมฝีปากหนาเบาๆและเอียงใบหน้ารับรับองศาการจูบของอีกฝ่าย
และคงจะถือเป็นโชคดีที่สี่แยกนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นแยกที่จอแจที่สุดในเมืองเลยก็ว่าได้
กว่าสัญญาณไฟจราจรจะเปลี่ยนกลับเป็นสีเขียวก็ใช้เวลานานพอสมควร
ทั้งสองจึงมีเวลาดูดดื่มในรสจูบของกันและกันไม่น้อย…
สุดท้ายจินก็เป็นฝ่ายละใบหน้าออกมาก่อน
สายตาของทั้งคู่สบกันอีกครั้ง
แต่ในจังหวะนั้นเองที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
จินจึงหันไปถือพวงมาลัยเอาไว้อย่างเดิม และแววตาแปลกๆของร่างสูงก็หายไปด้วย
“นายตอบคำถามเก่งดีนะ หัวไวเหมือนกันนี่” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆเมื่อรถยนต์ออกตัวไปอีกครั้ง
“อะ…อ่อ… ยังไง…ผมก็ช่วยพี่จินอยู่แล้วละฮะ” โฮซอกที่ยังคงงงๆกับการเริ่มบทสนทนากะทันหันของจินตอบออกไป และเบนสายตากลับมามองออกไปนอกกระจกด้านหน้าเหมือนเดิม
“…” ร่างสูงไม่ได้พูดอะไร
ปรากฏเพียงรอยยิ้มบางภายใต้แสงสลัวของไฟถนน
“พี่ก็…แสดงได้เก่งมากเลยฮะ เหมือน…คู่รักจริงๆเลย”
“หึๆ…” ร่างสูงแค่นหัวเราะเบาๆ
กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “…ขอบใจ” และบทสนทนาทั้งหลายก็ถูกกลืนหายเข้าไปในความเงียบอีกครั้ง
Hoseok’s part
‘หัวไวงั้นเหรอ…
ก็แค่ตอบออกมาจากใจตรงๆ มันจะยากอะไรกันเชียว อ่า…แต่อาจจะบิดเบือนไปหน่อยที่ว่าเอาความรักของเราสองคนมาบรรยายเป็นเพลง
ถ้าให้ถูกอาจจะต้องใช้คำว่า “ความรักของผม” ซะมากกว่า’ ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนมาถึงคอนโด
เมื่อมาถึงคอนโดตอนประมาณสามทุ่มกว่า
ผมก็ไม่รอช้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมข้าวของเพื่อจะออกไปข้างนอกเหมือนที่ผมออกไปทุกๆคืน
“จะไปไหนค่ำๆมืดๆอีก” เสียงพี่จินที่นั่งพักยืดเส้นอยู่ที่โซฟาทักผมขึ้น
“ก็ออกไปเที่ยวเหมือนเดิมแหละน่า เดี๋ยวก็กลับ”
ผมปรับเสียตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะเอ่ยตอบไป
“ออกไปข้างนอกคนเดียวตอนกลางคืนบ่อยๆไม่กลัวรึไง” พี่จินพูดต่อแล้วมองมาทางผม
“…” ผมไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ยักไหล่และยิ้มน้อยๆตอบเขาไป
“ไปละ” จากนั้นผมก็เดินออกนอกประตูคอนโดมา
ปล่อยให้พี่ซอกจินอยู่ที่คอนโดคนเดียว
“…”
แต่ก้าวออกมาได้สองสามก้าวผมก็หยุดฝีเท้าตัวเองลง
ด้านหลังของผมยังคงเป็นประตูคอนโดของผมกับพี่จิน “ก็กลัวนะ…”
ผมตอบคำถามที่พี่ซอกจินถามผมเมื่อครู่ออกมา
ทั้งที่รู้ว่าพูดไปคนถามเขาก็ไม่มีทางได้ยินหรอก…แต่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะไม่ต้องรับรู้
“แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะหลงรักพี่เข้าจริงๆไปมากกว่านี้มากกว่า”
ผมเงยหน้าขึ้นเพราะรู้สึกว่าขอบตาตัวเองเริ่มร้อนขึ้นมาพิกลๆ
ผมกำลังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“ผมกลัวว่าผมจะเจ็บเวลาโดนความจริงตอกย้ำว่าพี่ไม่ได้รักผม”
แต่สุดท้ายความพยายามของผมก็ล้มเหลวเมื่อน้ำตาอุ่นไหลออกมาจนได้ “ฮึก.. ผมกลัวจะเจ็บเมื่อวันนั้นมาถึง… วันที่ผมหมดประโยชน์ วันที่พี่จะทิ้งผมไป…”
ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกหยดแล้วหยดเล่าเพราะรู้ว่าผมกลั้นมันไม่อยู่อีกต่อไป
ผมยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เกือบสิบนาทีเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง
สุดท้ายผมก็ยกมือขึ้นมาปาดคราบน้ำตาออกจากแก้ม
หยิบเอาแว่นดำออกมาสวมแล้วออกเดินต่อ
‘แล้วยังจะมาคิดว่าผมไปนอนกับคนอื่นอีกนะ’ ผมได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ ‘ผมออกไปกินเหล้าอย่างเดียวต่างหาก…
ส่วนไอ้เรื่องอย่างว่าน่ะ ผมไม่เคยให้ใครนอกจากคนที่ผมรัก… นอกจากพี่ พี่จิน… เวลาผมกลับมาแล้วเสื้อผ้าหลุดๆรุ่ยๆแบบนั้นน่ะ
ก็แค่จะทำพี่เชื่อว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่แค่นั้นแหละ’
ใช่แล้ว ผมกลัวว่าผมจะรักพี่จินไปมากกว่านี้
และผมก็กลัวว่าถ้าวันนี้พี่จินรู้ว่าผมรู้สึกยังไง วันพรุ่งนี้ผมจะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีก
เพราะงั้นปล่อยให้มันเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว… วันไหนที่พี่เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการผมแล้ว
วันนั้นผมจะเดินออกมาเอง…
สุดท้ายไม่ว่าจะยังไงชีวิตนี้ผมก็คงได้แต่บอกรักพี่เขาอยู่แค่ในใจนี้แหละ…
End of Hoseok’s part
Jin’s part
“ออกไปข้างนอกคนเดียวตอนกลางคืนบ่อยๆไม่กลัวรึไง” ผมพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าโฮซอกกำลังจะออกไปข้างนอกอีกแล้ว
“…” แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไร
เพียงแต่ยักไหล่และยิ้มน้อยๆกลับมา “ไปละ” สิ้นคำพูดเขาก็เดินออกนอกประตูไป
ปล่อยให้ผมอยู่ที่คอนโดคนเดียวเหมือนที่ผมต้องอยู่ประจำ
“เฮ้อ…” ผมก็คงห้ามอะไรเขาไม่ได้จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา
ผมนั่งเอาศอกเท้ากับหัวเข่าแล้วมองไปที่ประตูนิ่งเพราะภาพแผ่นหลังบางที่เดินออกจากประตูไปยังคงติดอยู่ในความคิด
เรื่องมันบานปลายขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ..
‘สุดท้ายฉันก็ตกหลุมพรางของตัวเอง… สุดท้ายฉันก็ตกหลุมรักนาย จองโฮซอก…’ เสียงในความคิดของผมดังก้องอยู่ในหัว
‘ฉันอยากรู้ว่าเวลานายอยู่กับฉัน
นายมีความสุขเท่ากับเวลานายออกไปหาความสุขกับคนอื่นรึเปล่า’ ถึงผมจะอยากรั้งเขาไว้ไม่ให้ไปในที่อโคจรแบบนั้นแค่ไหนผมก็คงห้ามไม่ได้
ความจริงคือผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของเขาคนเดียวอยู่แล้ว
เพราะยังไงหัวใจของเขาก็ไม่เคยเป็นของผม
“…พี่ก็ไม่ต้องกลัวผมจะทำชื่อเสียงที่พี่รักเสียหายหรอกน่า…”
เสียงหวานใสของโฮซอกที่เคยพูดประโยคนี้ยังคงติดอยู่ในโสตประสาท
‘ใช่…ตอนแรกฉันรักชื่อเสียง
แต่ตอนนี้ฉันรักนาย โฮซอก’ ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากได้แต่เอ่ยตอบประโยคนั้นของเขาอยู่ในใจ
เพราะถ้าโฮซอกรู้ว่าผมคิดยังไงกับเขา โฮซอกอาจจะหนีผมไปก็ได้
และถ้าจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ขอเลือกที่จะพันธนาการเขาไว้แบบนี้ดีกว่า รอวันหนึ่งที่เขาทนไม่ไหว… รอวันที่เขาจะเอ่ยปากขอเดินออกจากชีวิตผมไปเองเสียยังจะดีกว่า…
“พี่ก็…แสดงได้เก่งมากเลยฮะ เหมือน…คู่รักจริงๆเลย”
อีกประโยคที่โฮซอกเพิ่งพูดกับผมเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่แล้วผุดขึ้นมาในหัวอีก
ตอนที่เราสบตากันในรถ ผมเห็นความกลัวในแววตาเขา เขาคงกลัวว่าผมจะผลักไสเขาเมื่อเขาหมดประโยชน์กับผมสินะ… เขาคงกลัวว่าเขาจะต้องกลับไปเป็นนักแต่งเพลงโนเนมที่ไม่มีใครรู้จักอีก
แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมไม่มีทางไล่เขาออกไปจากชีวิตได้ ผมไม่มีทางทิ้งเขาลง…
ผมได้แต่ยิ้มสมเพชตัวเองออกมา
“หึ… แสดงงั้นเหรอ” ผมพูดออกมาคนเดียวท่ามกลางห้องที่เงียบสงัด “เด็กโง่…นั่นน่ะมันของจริงต่างหาก…”
ผมเอนหลังพิงโซฟาและหลับตาลง
คืนนี้ก็คงเหมือนทุกๆคืนที่ผมจะรอโฮซอกกลับมาอย่างปลอดภัย เหมือนทุกๆคืนที่ผมจะเปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้เผื่อว่ามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นกับโฮซอกแล้วเขาติดต่อมา…
ถ้าเขายังไม่กลับมาอย่างปลอดภัย ผมก็ไม่มีทางข่มตาข่มใจหลับได้ลงหรอก ผมเป็นห่วงโฮซอก…
Why does
everyone know our love?
Everyone except
you…
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
งานดราม่าก็มา 555555555 อย่าฆ่าไรท์นะคะ;------;
ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ติดตามและอ่านฟิคกากๆนี้จนจบนะคะ รักกกกกกกกกกกก
หากมีคำผิดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ_/|\_
SJเขาฝากมาย้ำว่าเดี๋ยวปลายปีนี้เขาจะคัมแบคนะคะทุกคน 5555555555555555555555 //อย่าตบไรท์ ไรท์แค่ทำหน้าที่ E.L.F ที่ดี._.
ที่มาภาพ
https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/a0/86/97/a086976c58411b7d6b2cc6918a30a1c9.jpg (Dispatch)
และเนื่องจากไรท์เห็นว่ารีดเดอร์หลายคนอาจต้องทรมานใจกับตอนจบหน่วงจิตแบบนี้ บางคนก็อยากให้มีต่อ งั้น ได้!! ไรท์จัดให้ เอามาเสิร์ฟถึงที่^^ กับ Parallax Part II (ความจริงคือไรท์มีพล็อตเต็มหัว อยากหาเรื่องเขียนเหมือนกัน พอเห็นพล็อตที่มีเข้ากับเรื่องนี้ได้ก็เลยแต่งต่อให้เลย 555555)
อ่านต่อได้ด้านล่างนี้เลยจ้าาาาาา
Part II
วันหนึ่ง…เป็นเวลากว่า 10 เดือนหลังจากที่ทั้งสองย้ายมาอยู่ด้วยกัน
ในที่สุดตารางงานของทั้งคู่ก็มีวันหยุดยาวตรงกัน
จินจึงใช้โอกาสนี้ชวนโฮซอกไปเที่ยวประเทศเยอรมันนีด้วยกัน
ตอนแรกโฮซอกก็ไม่ค่อยอยากไปหรอก จริงๆคือไม่ใช่ว่าไม่อยากไปเที่ยวต่างประเทศ
แต่ว่าไม่อยากไปกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของตนต่างหาก ก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำไม… เพราะโฮซอกกลัวใจตัวเอง
และก็ตามคาด…
การมาต่างประเทศด้วยกันครั้งแรกครั้งนี้เป็นอะไรที่อันตรายกับหัวใจดวงน้อยของจองโฮซอกเอามากๆ
เพราะต่างคนก็ต่างก็มีเพียงกันและกัน ดังนั้นจินกับโฮซอกจึงได้เรียกได้ว่าอยู่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา
เหตุการณ์แบบนี้ถ้าเกิดที่เกาหลีโฮซอกก็ยังพอหาเรื่องเลี่ยงไปที่อื่นได้
แต่เพราะเป็นที่นี่ร่างเล็กจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้
“อันนู้นน่ากินดีนะ ไปซื้อมาลองกัน” เสียงทุ้มเอ่ยชวนอย่างอบอุ่นก่อนจะคว้ามือเรียวแล้วออกแรงดึงให้คนตัวเล็กเดินตามตนไปยังร้านที่ตนสนใจ
ซึ่งโฮซอกก็ได้แต่เดินตามไปพร้อมกับแอบถอนหายใจเบาๆเพราะไม่รู้ว่าตนเองควรจะควบคุมหัวใจของตนที่เต้นโครมครามอย่างไม่เป็นจังหวะได้อย่างไรดีในตอนนี้
ขณะที่โฮซอกพยายามข่มใจตัวเองและตั้งกำแพงสูงเพื่อป้องกันตน…
กลับกัน
จินนั้นเมื่อเริ่มตระหนักได้ว่าในเมื่อตนเป็นคนเริ่มดึงโฮซอกมาข้องเกี่ยวกับชีวิตของตนเองเอง
เขาก็จะขอถือโอกาสนี้สร้างรอยยิ้มให้กับคนตัวเล็กบ้าง แม้มันจะยาก แต่จินก็จะลองดู
เผื่อว่าโฮซอกจะได้อยู่กับเขาอย่างมีความสุขมากกว่าเดิม
เผื่อว่าโฮซอกจะรู้สึกดีๆกับเขาเหมือนที่เขารู้สึกกับคนตัวเล็กบ้าง… แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
“นี่ๆ เดี๋ยววันนี้เดินเล่นในเมืองต่ออีกแป๊ปนึงแล้วกลับกันมั้ย
ฟ้าใกล้มืดแล้ว แล้วค่ำๆไปหาเบียร์ดื่มแถวโรงแรมกัน” ขณะที่ทั้งคู่เดินกินอาหารที่เพิ่งซื้อมาไปตามทาง
จินก็กล่าวกับโฮซอกพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
รอยยิ้มที่โฮซอกไม่หันมามองเสียด้วยซ้ำเพราะวันนี้เขาได้รับมันมามากเกินไปแล้ว…เกินกว่าที่โฮซอกจะต้านทานใจของตัวเองไว้ได้ไหวแล้ว
“ยังไงก็ได้” ร่างเล็กตอบเรียบๆแล้วหันไปมองรอบๆ
Mitte District ที่ผู้คนเริ่มหนาแน่นขึ้น
“โอโห! ตึกนั้นสร้างไว้สวยเชียวเนอะ”
จินพูดอย่างตื่นเต้นแล้วชี้ไปที่ยอดตึกทรงโดม
ปกติเขาก็ไม่ใช่คนตื่นเต้นอะไรง่ายๆอย่างนี้หรอก ออกจะนิ่งๆเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากำลังหาเรื่องคุยกับคนตัวเล็กอยู่
“เขาเรียกว่า Deutscher Dom (ดอยท์เชอร์โดม)
ต่างหาก” โฮซอกว่า
“งั้นหรอ ฮะๆๆ” ร่างสูงหัวเราะแก้เก้อน้อยๆ
“ทำไมนายดูไม่ค่อยตื่นเต้นเลยล่ะ ไม่ชอบที่นี่เหรอ?”
“ชอบ แต่ผมก็มาที่นี่ครั้งที่ 2 แล้วไงฮะ จะให้ตื่นเต้นอะไรทุกครั้ง”
“และครั้งก่อนหน้านี้มาทำอะไรอะ? มากับใคร?”
“มาคนเดียว ก็มาเที่ยวพักผ่อนในเมือง
มาหาแรงบันดาลใจแต่งเพลง” ร่างเล็กตอบแล้วก้มมองเท้าตัวเองขณะเดินกลับโรงแรมไปเรื่อยๆ
ปากเล็กเม้มเข้าหากัน คิ้วสวยขมวดน้อยๆเพราะไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าร่างสูงสนใจเรื่องของตนด้วย
‘เขาอาจจะแค่ถามไปงั้นๆก็ได้’ ร่างเล็กคิดในใจ
“อ๋อ~ แล้วคราวก่อนได้ลองกินไส้กรอกของที่นี่รึยัง
อร่อยอย่างที่เขาว่ามั้ย?”
“…อือ อร่อยดี”
“งั้นพรุ่งนี้พี่ต้องไปหาลองบ้างแล้ว ร้านไหนอร่อยพาไปหน่อยสิ”
จินยังคงชวนคุยต่อ
“มันก็เหมือนๆกันแหละน่า” โฮซอกตอบตัดรำคาญ
เขาไม่อยากจะพูดคุยกับจินไปมากกว่านี้แล้ว
วันนี้เขาใกล้ชิดกับร่างสูงมากเกินไปแล้ว
“เออ พี่อยากลอง Kuchen ของเยอรมันจัง
มันดูแปลกตาดี คราวก่อนที่มานายได้ลองหรือยัง”
“…” ไม่มีเสียงหวานหลุดออกจากกลีบปากสวย
มีเพียงการส่ายหน้าน้อยๆเป็นคำตอบเท่านั้น
“ดีเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหามาลองกัน ตามร้าน bakery
ก็น่าจะมี” เสียงทุ้มยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เอ้อ! พี่ไปอ่านเจอว่า
“…” คำพูดของร่างสูงไม่ได้เข้าไปประมวลผลในสมองของโฮซอกเสียเท่าไร
เพราะคนตัวเล็กพยายามใช้สมาธิบังคับไม่ให้ตนหลงใหลไปกับความโรแมนติคในฝันของตนอยู่
ทั้งสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุโรปรอบๆตัว อากาศเย็นสบาย
และคนข้างกายที่ครอบครองหัวใจของร่างเล็กเอาไว้ทั้งดวง ‘จริงๆถ้าพี่รักผมบ้างก็คงดีเนอะ’
คนตัวเล็กได้แต่เปล่งเสียงอยู่เพียงในใจ
“โฮซอก วันนี้นายไม่ค่อยพูดเลย เป็นอะไรรึเปล่า
ไม่สบายตรงไหนไหม” จินถามขึ้นอย่างเป็นห่วงขณะเดินผ่านล็อบบี้ไปยังหน้าลิฟต์
พร้อมกับยกมือขึ้นมาจะมาทาบที่หน้าผากมน
“ไม่เป็นไรฮะ เพลียๆเฉยๆ” คนตัวเล็กเอนตัวหลบสัมผัสของร่างสูง
“แน่ใจหรอ”
“อือ...”
“จริงนะ?”
“จริงฮะ~” เสียงหวานถูกลากยาวขึ้นเพราะเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว วันนี้จินดูเหมือนว่าจะวอแวเขามากเกินไปแล้ว
“งั้น… โฮซอก
ไว้วันก่อนกลับเราไปแม่น้ำ
“พี่จะไปไหนก็ไปเถอะฮะ อยากจะลากผมไปไหนอีกก็ไปเลย!
แต่วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมขอพักนะฮะ ส่วนเรื่องเบียร์ถ้าพี่อยากดื่มก็ไปคนเดียวเลย
ไม่ต้องรอผม” ร่างเล็กขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ทำไมนะ ทำไมซอกจินต้องมาตอแยเขาอยู่ได้
ทั้งๆที่เขาพยายามจะไม่คิดอะไรกับร่างสูง
แต่สิ่งที่ร่างสูงทำมันกลับทำให้ความพยายามของโฮซอกสูญเปล่า
แค่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกเหมือนที่ตนรู้สึกแต่ต้องมาทนอยู่ด้วยกันมันยังทรมานไม่มากพออีกหรอ
ทำไมจินถึงไม่ใจร้ายกับเขาหรือเมินเขาไปเลยเพราะมันคงง่ายกว่าที่โฮซอกจะได้ทำใจลืมเขาได้
ทำไมต้องมาทำให้โฮซอกรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆด้วย เพราะยิ่งร่างเล็กรู้สึกรักมากเท่าไร…ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บมากเท่านั้น
ถ้าไม่รักกันก็อย่ามาให้ความหวังได้ไหม...
“…” จินมองคนตัวเล็กนิ่ง พูดอะไรไม่ออก
ส่วนโฮซอกนั้นก็ได้แต่มองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาจิน ประจวบเหมาะกับที่ลิฟต์มาถึงพอดี
ขาเรียวก้าวพาตัวเองเข้าไปยืนในลิฟต์โดยไม่สบตาร่างสูงเลยแม้แต่น้อย
แต่รอจนกระทั่งลิฟต์ปิดจินก็ไม่ยอมก้าวขึ้นมา
ซึ่งโฮซอกก็ไม่ได้เรียกหรือรั้งร่างสูงไว้เพราะรู้ว่าจินไม่เคยถูกตนขึ้นเสียงใส่แบบนั้น
ก็คงจะสับสนและตกใจเป็นธรรมดา อีกอย่างโฮซอกก็ต้องการอยู่คนเดียวสักพักเพื่อที่จะทบทวนหาทางออกให้กับหัวใจของตัวเองเหมือนกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตั้งแต่โฮซอกขึ้นมาถึงห้องพัก
คนตัวเล็กก็ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที
ดวงตากลมใสเหม่อมองไปบนเพดานเป็นเวลาเดียวกับที่น้ำตาอุ่นเริ่มซึมออกมา
“ทำไมพี่ต้องทำให้ผมมีความสุขขนาดนี้ด้วยนะ
ถ้าวันหนึ่งพี่จะต้องทิ้งผมไป ก็ช่วยอย่าสร้างความผูกพันแบบนี้เอาไว้ได้มั้ย ฮึก..
พี่อย่าทำให้ผมขาดพี่ไม่ได้แบบนี้ได้มั้ย”
ร่างเล็กเปล่งเสียงดังไปทั่วห้องเพื่อระบายความอัดอั้น
สะอื้นตัวโยนปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างน่าสงสาร ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่โฮซอกเฝ้าหวังอยู่เสมอร่างสูงจะรักตนบ้างนั้นได้เป็นจริงแล้ว
แต่คงเป็นเพราะความกลัวที่กลายเป็นม่านบังความจริงเอาไว้
คนตัวเล็กจึงไม่ได้รับรู้เลยว่าสิ่งที่จินทำไปนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่
ความอัดอั้นตันใจถูกระบายผ่านเสียงสะอื้นและน้ำตาออกมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งโฮซอกผล็อยหลับไปประมาณ 1 ชั่วโมง
และตื่นขึ้นมาตอนเกือบสองทุ่ม ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวจึงไม่แปลกที่ด้านนอกจะมืดสนิทไปแล้ว
ร่างเล็กเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำและพบว่าดวงตากลมของตนตอนนี้บวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะการร้องไห้
ปลายนิ้วเล็กยกขึ้นมาคลึงเบาๆที่เบ้าตาครู่หนึ่งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเผื่อว่ามันจะช่วยลดอาการบวมได้บ้าง
จากนั้นโฮซอกก็กลับมานอนเล่นบนเตียงด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า
ไม่รู้จินกลับมาจะว่าอะไรตนบ้างที่ไปตะคอกอีกฝ่ายแบบนั้น
แต่รออยู่จนเกือบถึงสองทุ่มครึ่งจินก็ยังไม่กลับมาหรือติดต่อมาเลย
คนตัวเล็กเริ่มเป็นห่วงร่างสูงขึ้นเรื่อยๆทุกๆวินาทีที่ผ่านไป
จริงอยู่ว่าสำหรับคนเยอรมันเวลาสองทุ่มครึ่งนี้ยังไม่ถือว่าดึกมาก แต่สำหรับโฮซอก
จินไม่เคยหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าวนานขนาดนี้เลย จนความคิดหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัว ‘หรือว่าพี่จินจะทิ้งเราไปแล้ว’
“ไม่เอานะพี่จิน เราอย่าจากกันแบบนี้” คนตัวเล็กรำพึงคนเดียวขณะที่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะกดโทร.หาร่างสูงด้วยความกังวลใจก่อนจะตระหนักได้ว่าทั้งตัวเองและร่างสูงต่างก็ไม่ได้เปิด Data
Roaming เอาไว้…ก็ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้…
ไม่รอช้า
โฮซอกรีบหยิบสิ่งของมีค่าติดตัวไว้และไม่ลืมที่จะหยิบผ้าพันคอของร่างสูงจากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วย
เพราะอากาศตอนกลางคืนหนาวกว่าตอนกลางวันและเขาจำได้ว่าจินมีเพียงโค้ทยาวตัวเดียวติดตัวไป
ซึ่งก็ไม่น่าจะกันลมหนาวยามค่ำคืนได้
ร่างเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากโรงแรม
ตรงไปที่ร้านเบียร์ที่อยู่ใกล้โรงแรมมากที่สุด
เผื่อว่าจินจะมานั่งดื่มเบียร์อยู่ที่นี่ตามที่เจ้าตัวบอกว่าอยากจะลอง
แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่เห็นวี่แววของร่างสูงที่นี่เลย… ร่างเล็กมุ่งตรงไปยัง Deutscher Dom ที่ไปด้วยกันมาเมื่อตอนบ่าย
แต่ก็ยังไม่พบกับร่างสูงอีกเช่นกัน
“อยู่ไหนนะ… คงไม่ได้หลงอยู่ในเมืองใช่มั้ย”
โฮซอกรำพึงเบาๆ
คนตัวเล็กพยายามควบคุมสติและคิดว่าร่างสูงจะไปที่ไหนได้อีกบ้าง โชคดีที่ตนเคยมาที่นี่ก่อนแล้วครั้งหนึ่ง
ทำให้พอรู้ว่าสถานที่ใดอยู่ตรงไหน ตอนนี้ความกลัวที่เคยสะสมอยู่ในจิตใจพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
และถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วงและความห่วงหา
สิ่งที่คนตัวเล็กกำลังทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ออกมาจากใจจริง… มือบางกำผ้าพันคอสีกรมท่าของร่างสูงไว้แน่นและสูดหายใจเข้าลึก
จากนั้นก็ออกเดินต่อ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ท่อนขาแกร่งก้าวเดินมาเรื่อยๆตามฟุตบาทสายตาพยายามมองไปรอบๆและคิดว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหนกันแน่
ตั้งแต่ออกมาจากโรงแรม จินก็เดินมาตามฟุตบาทเรื่อยๆ ความคิดมากมายอัดอยู่เต็มสมอง
ซึ่งความคิดเหล่านั้นก็ล้วนเกี่ยวกับโฮซอกทั้งสิ้น
เขาคิดไปถึงขั้นที่ว่ากลับไปเกาหลีเขาควรจะปล่อยร่างเล็กไปไหม… แม้มันจะฝืนความรู้สึก แต่ถ้ามันทำให้โฮซอกมีความสุขเขาก็ยอมเสียสละเป็นคนที่เสียใจก็ได้…
กว่าร่างสูงจะรู้ตัวก็คือตอนที่ฟ้าเริ่มมืดลงและอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ
และเขาก็พบว่าเขาหลงทางเสียแล้ว… มือถือเจ้ากรรมก็ดันมาแบ็ตหมดเอาเสียตอนนี้
จะใช้โทรศัพท์สาธารณะก็จำเบอร์โรงแรมไม่ได้ จะถามทางจากคนแถวนี้ก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง
เพราะทั้งชาวเกาหลีอย่างเขากับชาวเยอรมันก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษได้คล่องขนาดนั้น
ร่างสูงได้แต่เดินไปเรื่อยๆ
พยายามเดินกลับมาทางเดิมแต่ก็ดูเหมือนว่าทางที่เดินย้อนมาจะเป็นทางที่เขาไม่เคยผ่านมาก่อน
สุดท้ายจินก็จำต้องเดินไปเรื่อยๆ มือหนาซุกเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท
กะว่าเมื่อมีแท็กซี่ผ่านมาก็เดี๋ยวค่อยเรียกกลับโรงแรม
“ความรู้สึกที่พี่ให้นายไปมันคงแลกกับหัวใจของนายไม่ได้เลยสินะ”
จินพูดความคิดที่วนเวียนไปมาอยู่ในหัวตลอดขึ้นมาลอยๆขณะเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ
และแล้วเขาก็มาถึงสะพานแห่งหนึ่ง เป็นสะพานอิฐสีหม่นที่ตัดข้ามแม่น้ำหรือคลองอะไรสักอย่างที่ร่างสูงไม่รู้จัก
ร่างสูงหยุดฝีเท้าลงตรงกลางสะพานแล้วยืนพิงราวสะพาน
มองขึ้นไปบนฟ้าที่ประดับไปด้วยดวงดาวประปราย ‘นานๆทีจะได้มาดูอะไรแบบนี้’
ร่างสูงคิด ‘ถ้าโฮซอกอยู่ด้วยก็คงดี’ แต่ก็ไม่วายมีเรื่องของคนตัวเล็กเข้ามาเกี่ยวข้องอีกจนได้ เวลาเพียง 2-3
ชั่วโมงที่ได้อยู่กับตัวเองไม่ได้ช่วยให้เขาทำใจเรื่องคนตัวเล็กได้มากขึ้นเลย
หยุดยืนอยู่เพียงครู่เดียวร่างสูงก็ออกเดินต่อ
เพราะนี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว เขาควรจะกลับที่พักได้แล้ว แต่เมื่อก้าวเท้าต่อได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดตรงรอบเอวจากด้านหลัง
“ไปอยู่ไหนมา ฮึก.. ฮืออออ”
เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้นพร้อมเสียงสะอื้น
“ฮ… โฮซอก…” มือหนาเลื่อนลงมากุมมือเล็กตรงเอวตนเอาไว้แน่น
ทั้งความตกใจและความดีใจสุมขึ้นในอก…
นี่โฮซอกออกตามหาเขางั้นเหรอ
“ถามว่าไปไหนมา ฮึก.. แล้วนี่จะไปไหน
ทำไมไม่กลับโรงแรม” แรงกอดรัดที่เอวเพิ่มมากขึ้นหัวทุยสวยของคนตัวเล็กซบลงกับแผ่นหลังกว้าง
มือหนาปลดพันธนาการของแขนเรียวออกแล้วหันมาสบตาคนตัวเล็กแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาออกจากพวงแก้มใสพร้อมกับประคองใบหน้าหวานเอาไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่
“นายมาตามหาพี่หรอ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเบาๆ ร่างหนาไม่นึกด้วยซ้ำว่าโฮซอกจะออกมาตามหาตน
ไม่นึกด้วยซ้ำว่าโฮซอกจะร้องไห้เพราะตนหายไป
“ก็ใช่น่ะสิ! ฮึก.. รออยู่ที่โรงแรมตั้งนาน ติดต่อก็ไม่ได้ ฮึก..” ไม่พูดเปล่า
มือเล็กยกขึ้นมาทุบตรงแผงอกแกร่ง แม้จะไม่เบานักแต่ก็ไม่ได้แรงถึงขนาดทำให้ร่างสูงรู้สึกเจ็บ
“ใจร้าย! ฮึก.. ทำไมต้องทำให้เป็นห่วงขนาดนี้ด้วย”
“…นาย เป็นห่วงพี่ด้วยหรอ…?” จินทวนคำที่คนตัวเล็กพูดออกมาเมื่อครู่อย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองนัก
“ฮึก…” แต่โฮซอกก็เลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น
คลายอ้อมกอดออกมาแล้วยกมือปาดคราบน้ำตาตัวเองลวกๆ “หนาวมั้ย”
เสียงหวานเอ่ยถาม
แต่ก็ดูเหมือนว่าคนถามจะไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใดเพราะเมื่อสิ้นเสียงหวานผ้าพันคอสีกรมท่าก็ถูกนำมาพันรอบลำคอของร่างสูงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ทันที
“…ขอบใจนะ”
“แล้ว… ตกลงพี่กำลังจะไปไหนฮะ”
ร่างเล็กถาม
“ก็…ว่าจะหาแท็กซี่กลับโรงแรมน่ะ”
“หลง?”
“…อืม”
“เลือกที่หลงได้หาง่ายดีเหมือนกันนะ มาถึงสะพาน Lütherbrücke เลย”
“สะพานอะไรนะ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
“Lütherbrücke แม่น้ำ
“สวยเนอะ ว่ามั้ย” เสียงทุ้มกล่าวเรียบๆพลางจ้องมองออกไปทางแม่น้ำเช่นกัน
“อื้อ” ร่างเล็กเปล่งเสียงตอบในลำคอเบาๆพลางพยักหน้าน้อยๆขณะที่ดวงตากลมยังคงมองออกไปยังแม่น้ำเหมือนเดิม
“กลับกันเถอะ” แล้วเสียงหวานก็เอ่ยขึ้นอีกแล้วหันกลับมามองหน้าร่างสูง
“ไม่ต้องถึงกับเรียกแท็กซี่หรอกฮะ โรงแรมอยู่ทางนี้
ไม่ไกลมาก”
ว่าจบคนตัวเล็กก็หันหลังเดินนำหน้าจินไป
แต่เพราะประโยคที่โฮซอกหลุดออกมาว่าเป็นห่วงร่างสูงและปฏิกิริยาของคนตัวเล็กเมื่อเขาหายไปนั้นทำให้จินมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างน้อยก็รู้ว่าโฮซอกไม่ได้เกลียดเขา… จินเดินตามมาติดๆ
ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อเปลี่ยนจากเดินตามเป็นเดินข้างๆร่างเล็กแทน
มือใหญ่เคลื่อนออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทช้าๆด้วยความลังเล
แต่สุดท้ายจินก็ตัดสินใจจับมือเล็กมาซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตนจนได้
ร่างเล็กไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแต่หันมามองร่างหนาโดยอัตโนมัติ แต่มองได้แค่เสี้ยววินาทีก็ต้องหลบสายตาอบอุ่นของจินที่ส่งมาทางตนด้วยความเขินอาย โฮซอกเองก็ยังไม่แน่ใจว่าร่างสูงรู้สึกอย่างไรกับตนกันแน่ แต่ตอนนี้เขารู้เพียงว่าเขาจะขอมีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบันเอาไว้ก่อน ถึงวันหนึ่งจะต้องจากกันแล้วความทรงจำเหล่านี้จะหวนกลับมาทำร้ายใจดวงน้อยนี้เอง มันก็คงไม่ทรมานต่างไปจากการฝืนใจตัวเองเหมือนที่เขาทำมาตลอดเสียเท่าไรนักหรอก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“โฮซอก…” ทันทีที่เข้ามาถึงห้องพัก
จินก็เรียกคนตัวเล็กขึ้นทันที
“ฮะ?”
“ตกลงนายเป็นห่วงพี่จริงๆหรอ? ที่นายร้องไห้เพราะพี่หายไปงั้นหรอ…?”
ร่างสูงเอ่ยถามสิ่งที่ตนอยากรู้
“…” โฮซอกไม่ได้ตอบอะไร
เมินหน้าหนีร่างสูงแล้วนำเสื้อโค้ทของตนไปพาดไปที่พนักเก้าอี้
“ตอบพี่หน่อยสิโฮซอก…” จินเอ่ยต่อ
แต่ก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงคาดคั้นแต่อย่างใด
“…อืม” สุดท้ายเสียงขานตอบในลำคอของคนตัวเล็กก็ดังออกมา
“โฮซอก…” จินเดินเข้าไปประชิดร่างเล็ก
แต่คนตัวเล็กกว่าก็เดินผ่านร่างสูงออกมาเหมือนไม่ได้ยินแล้วตรงไปเปิด Heater
แต่จินก็ยังไม่ละความพยายามและเดินตามร่างเล็กไป “โฮซอก พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย” พูดพลางคว้าข้อมือของคนตัวบางที่กำลังจะเดินหนีตนไปอีกครั้งเอาไว้
“…อะไรหรอ”
“โฮซอก… นาย… คิดยังไงกับพี่เหรอ”
“…”
“…”
“ก็…” เสียงหวานเอ่ยออกมาหลังจากเงียบไปสักพัก
“พี่คิดยังไง… ผมก็คิดแบบนั้นแหละ”
“แล้วนายรู้เหรอว่าพี่คิดยังไงกับนาย”
“…”
“ตอบตรงๆได้มั้ย พี่อยากรู้จริงๆนะ
เพราะถ้านายคิดเหมือนที่พี่คิดจริงๆ พี่จะดีใจมากเลย” ประโยคแสนกำกวมที่คนตัวเล็กพูดไปตอนแรก
ตอนนี้ถูกนำกลับมาใช้กับร่างเล็กเองเสียแล้ว…
จินหมายความว่ายังไงกัน… ถ้าโฮซอกคิดกับจินแค่พี่น้อง
จินก็จะสบายใจ? หรือหมายความว่าถ้าโฮซอกรักจิน
จินก็รักโฮซอกเหมือนกัน?
“ถ้าผมตอบ พี่จะไม่เปลี่ยนไปใช่มั้ย เราจะได้เจอกัน
ได้เห็นหน้ากันทุกวันเหมือนเดิมใช่มั้ย” ในเมื่อถูกถามขนาดนี้แล้วก็คงเลี่ยงอะไรไม่ได้อีกต่อไป
โฮซอกก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าและจะเปิดเผยให้จินได้รู้
“แน่นอน พี่สัญญา”
“ผม…” ร่างเล็กอ้ำอึ้ง
แต่สุดท้ายก็พูดคำคำนั้นออกไป “…ผม ผมรักพี่”
“…โฮซอก” เพียงแค่ได้ยินคำนั้นในใจของจินก็กระโดดโลดเต้นอย่างลิงโลดแล้ว ในที่สุดทั้งคู่ก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทใจเสียที
ในที่สุดโฮซอกก็ตอบรับความรู้สึกที่เขามีให้ แต่… “พี่ขอโทษ
แต่พี่คงรักษาสัญญาเมื่อกี้ไม่ได้แล้วล่ะ พี่คงจะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว
ในเมื่อนายรู้สึกแบบนี้… เราคงจะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
“พ…พี่จิน!” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจและผิดหวัง ทั้งที่เพิ่งจะสัญญากันได้ไม่ถึงนาที แต่กลับมาผิดคำพูดเสียแล้ว “ทำไมพี่พูดแบบนั้น ฮึก.. ไหนพี่ว่าพี่จะไม่เปลี่ยนไปไง พี่เพิ่งจะสัญญาไปเมื่อกี้เองนะ” และแล้วก้อนสะอื้นก็ตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาใสเอ่อรื้นขอบตา
“พี่…” จินลากเสียงเพราะอยากแกล้งคนตัวเล็กเล่น
แต่เมื่อเห็นน้ำตาของคนตรงหน้าเขาก็ทนแกล้งได้ไม่นานหรอก “พี่คงต้องเปลี่ยนเป็นแฟนนายจริงๆแล้วไงล่ะ”
“…” จินก้มตัวลงมาให้ใบหน้าของตนอยู่ระดับเดียวกับคนตัวเล็กแล้วส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักและความสุขให้กับโฮซอกที่ยังคงมึนงงอยู่
“เป็นแฟนกันจริงๆทั้งนอกจอทั้งในจอ… เพราะพี่ก็รักนาย”
“…พี่จิน~ ฮึก..”
“โอ๋ๆ ไม่ร้องไห้แล้วนะ เด็กขี้แย” มือหนายกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ร่างเล็ก
“ฮึก.. งื้อออออ แกล้งหรอ”
มือเล็กยกขึ้นมาผลักที่ไหล่กว้างเบาๆ
“ฮะๆๆๆ ต่อปากต่อคำเก่งดีนัก ต้องโดนแบบนี้แหละ”
จินกลับมายืนขึ้นเต็มความสูงแล้วขยี้ผมคนเด็กกว่าอย่างเอ็นดู
“ฮื่อ! พี่อะ” ใบหน้าหวานงอง้ำ แต่กลับกันในขณะที่พูดก็เดินตรงเข้ามาสวมกอดร่างสูงเอาไว้
“...จุ๊บ” ร่างสูงกอดตอบและจุมพิตบนศีรษะทุยเบาๆ
พร่ำพูดคำที่ตนอยากพูดมาแสนนานออกมา “ขอบคุณนะที่วันนี้มาตามหาพี่
พี่รักนายนะ โฮซอก พี่รักนาย”
“ผมก็รักพี่”
“เป็นแฟนกันนะ”
“ก็เป็นอยู่แล้วไม่ใช่รึไง” ใบหน้าสวยตอบเสียงอู้อี้เพราะกำลังซุกอยู่กับลาดไหล่กว้างด้วยความเขิน
“ก็พี่ยังไม่เคยขอนายเป็นแฟนเลยนี่นา
อีกอย่างที่เป็นอยู่นั่นมันงานด้วย อันนี้ต่างหากของจริง”
“งื้ออออ บ้า”
“หึๆ” ร่างสูงหัวเราะให้กับความเด็กของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“เอาไง ตกลงเป็นไม่เป็น?”
“เป็นสิ เป็น~” โฮซอกตอบทั้งที่ยังซุกใบหน้าอยู่แบบนั้น
จินดึงคนที่เด็กกว่าออกมาจากอ้อมกอด
มือหนาเชยคางมนขึ้นให้สบตากับตน
ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าหล่อค่อยๆเลื่อนเข้าไปใกล้
และสุดท้ายร่างสูงก็มอบจุมพิตแสนหวานให้กับคนตัวเล็ก
บดคลึงกลีบปากบางเบาๆอย่างอ่อนหวาน มือเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นมาวางบนลาดไหล่กว้าง
ร่างเล็กจูบตอบและเอียงใบหน้ารับจูบด้วยความเคยชิน จูบที่มีรสจูบต่างไปจากครั้งอื่นๆ
เพราะครั้งนี้มีรสของความรักถูกผสมอยู่ด้วย
Then, there’s
you, who always stay by my side,
and I’m sure tomorrow you will be here as well.
…The End…
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คราวนี้จบจริงละค่ะ 5555555 ขอบคุณที่ตามอ่านนะคะ หากมีคำผิดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ แล้วเดี๋ยวไรท์จะเอารูปประกอบมาลงให้ด้วยเน้อออออ ขอคอเมนท์ให้ Pt.II หน่อยเร้ววววววว เป็นไงกันบ้าง คราวนี้ Happy ending แล้วนะ 55555555555555555
รักรีดเดอร์ จุ้ฟฟฟ
โผล่มาลงรูป+แก้คำผิดจ้าา:)
นึกว่าจะจบเศร้าซะแล้ว จบแฮปปี้มาก ดีใจจริงๆ
สู้ๆค่าาาาา\>0