ความโง่ของผม
นี่มันเป็นความโง่ของผมเองที่หลงไหลได้ปลื้มกับกระแสโลก กระแสแห่งความทันสมัยโดยไม่ได้คิดถึงเลยว่าพวกเราทุกคนมาจากอะไรกัน
ผู้เข้าชมรวม
98
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ว๊าววววววว”
ผมร้องลั่นเมื่อภาพตรงหน้าประจักษ์แก่สายตา
ก็อะไรซะล่ะ นี่มันสุดยอดแห่งจินตนาการของผมแท้ๆ ทั้งคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ โทรศัพท์รุ่นสุดเจ๋ง เครื่องเกมพกพาสุดล้ำ ไหนจะเกมที่เราไม่มีวันแพ้ อะโห ถ้าหากนี่เป็นความฝันก็คงจะเป็นฝันที่ไม่อยากให้หายไปซะจริงๆ ทีนี้แหละ จะได้ไม่ต้องไปง้อแม่ซะที แม่ที่ชอบบ่นที่ผมไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่สุงสิงกับใคร ชอบเอาแต่หมกตัวอยู่หน้าคอมทั้งวัน เหอๆ ทีนี้แหละน้า ว่าแต่ ใครมาส่งเสียงวุ่นวายแถวนี้ว้า
“นายน้อย นายน้อย”
เสียงผู้หญิงหวานๆที่ไหนไม่รู้ร้องเรียก ฉันไม่ใช่นายน้อยของเธอนะว้อย จะไปไหนก็ไปไป๊ อย่ามายุ่งกับความฝันของฉัน
“นายน้อย ตื่นเร็วจ้ะ”
ครั้งนี้มันไม่ได้มาแค่เสียง แต่มันมาพร้อมแรงราวช้างสารที่เขย่าตัวผมจนหัวเกือบหลุดออกจากบ่า
“งืม อะไรว้า”
ผมงัวเงียด้วยความหงุดหงิด ก็จะไม่ให้เป็นยังงี้ได้ไงในเมื่อไอ้เครื่องเกมและอะไรทั้งหลายแหล่นั่นเป็นแค่ความฝันเท่านั้น หงุดหงิดโว้ย
“นายน้อยเป็นอะไรไหมจ้ะ เดี๋ยวหนูเอาน้ำมาให้นะ”
ผมซึ่งยังงงๆอยู่ก็ได้แต่พยักหน้าแล้วก็ค่อยๆพยุงตัวขึ้นพร้อมกับรวบรวมความทรงจำ
ง่า นึกออกแล้ว เมื่อวันก่อนแม่โกรธผมมากที่ไม่ยอมทำอะไรเลย วันๆเอาแต่เล่นเกมทั้งๆที่เป็นวันสอบปลายภาค พอสอบเสร็จแม่ก็สั่งว่าให้ผมมาอยู่ที่บ้านพักบ้านนอกแห่งนี้ แล้วใครจะไปยอมล่ะ วันนั้นทั้งวันผมเลยขังตัวอยู่ในห้องยิ่งกว่าเดิมซะอีก ข้าวก็ไม่ได้กินเพราะล็อคห้องเอาไว้กลัวว่าแม่จะสั่งคนรับใช้ให้ลากตัวผมออกมาให้ได้ กลางดึกของอีกวันผมเลยต้องค่อยๆย่องออกไปหาของกิน ที่ไหนได้ล่ะ โดนใครก็ไม่รู้รวบตัวเข้าให้ สันนิษฐานว่าพวกนั้นคงจะรออยู่หน้าห้องตลอดเวลาล่ะมั้ง จากนั้นก็หมดสติไปเลย เพิ่งจะตื่นเมื่อกี๊นี้แหละ ซวยชะมัด เสียรู้แม่อีกแล้ว
“นี่จ้ะน้ำเย็น นายน้อยกินก่อนนะแล้วค่อยไปล้างหน้า”เด็กสาวอายุไม่น่าจะเกิน 15 วิ่งโครมๆเอาน้ำมาให้พร้อมพูดอย่างละล่ำละลัก
“เอาออกไป อย่ามายุ่งกับฉัน”
ผมตวาดลั่นพร้อมเอามือปัดถาดแก้วตกแตก ยัยเด็กนั่นมองอย่างตกใจอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วกลับหุบลงแล้วออกจากห้องไปหาผ้ามาเช็ดทำความสะอาด
ผมมองอย่างหงุดหงิดที่เธอทำเฉยอย่างกับผมไม่มีค่าซะงั้นเลยเดินตึงๆออกมาจากห้องนอนแล้วมาหยุดอยู่ที่ระเบียงบ้าน เมื่อมองออกไปถึงได้รู้ว่าที่นี่คือบ้านเล็กในป่าใหญ่ของแท้ เพราะที่ๆยืนอยู่นี้คือบ้านไม้ 2 ชั้น มองไปข้างหน้าคือภูเขา ข้างๆก็สวนผลไม้ ดูแล้วช่างห่างไกลความเจริญซะจริงๆ
“โว้ยยยย แม่นะแม่ ทำไมต้องทำอย่างงี้ด้วย”
ผมร้องอย่างฉุนเฉียวแล้วก็เลยไปลงกับเสาบ้านต้นใหญ่ ผลก็คือเจ็บจนน้ำตาไหลแต่มันก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของผมดีขึ้น แม่ทำอย่างงี้กับผมได้ยังไง มาปล่อยผมในที่กันดารอย่างนี้ได้ยังไงกัน แค่เล่นเกมทั้งวันเนี่ยนะ โกรธเว้ย โกรธๆๆๆๆๆๆ
“แม่งเอ๊ย”
ผมสบถอย่างเคยชินแล้วจะเดินเข้าห้องแต่กลับมียัยเด็กบ้านี่ยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ซะงั้น ฮึ่มมมม
“ออกไป๊ ฉันจะอยู่คนเดียว”
เธอทำหน้าตกใจกับอารมณ์ของผม ก็นะ ผมไม่เคยทำกับใครอย่างนี้ แต่ก็ช่างมันปะไรใครมันบังอาจมายุ่งกับผมล่ะก็ ตายแน่!
ว่าแล้วก็เดินลงส้นตึงๆไปกระแทกตัวบนเตียงที่ผมเพิ่งจะฟื้นมาเมื่อครู่แล้วข่มตาเพื่อหวังว่าจะหลับให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่สุดท้ายความง่วงก็ไม่ได้ย่างกรายมาหาสักนิด
เฮ้อ แล้วกรูจะทำไงดีฟะเนี่ย
“นายน้อย นายน้อยหลับหรือยังจ๊ะ”เสียงเด็กสาวคนเมื่อครู่ดังขึ้น ผมเลยต้องไปเปิดประตูให้อย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดียิ่งกว่านั้น
“มีอะไร”
“คุณนายโทรศัพท์มาจ้ะ ขอคุยกับนายน้อย”ผมมองมือถือรุ่นโบราณอย่างชั่งใจว่าจะพูดอย่างไรกับแม่ให้สาสมกับที่ทำกับผมไว้ดี แต่สุดท้าย เพื่อเห็นแก่อิสรภาพที่อาจมาถึงไวขึ้นเลยต้องพูดอย่างอดกลั้น
“ทำไมแม่ทำกับผมอย่างนี้ล่ะฮะ”
“อ้าว ผิดคาดแฮะ นี่ลูกไม่ได้อาละวาดหรอกเหรอ”
“ไม่ผิดคาดหรอก ผมอาละวาดไปแล้วรอบหนึ่งแล้วก็กำลังจะมีรอบต่อไปแล้วด้วย ว่าไงฮะทำกับผมอย่างงี้ทำไม”
“ก็แล้วลูกจะให้แม่ทำยังไงในเมื่อลูกของแม่ติดเกมขนาดนั้น”
“ก็ทำวิธีอื่นก็ได้นี่ พูดดีๆก็ได้”ผมละทึ่งตัวเองชะมัดที่ทนได้นานขนาดนี้
“แม่ลองทุกวิถีทางแล้วลูกจำไม่ได้เหรอ”เออว่ะ มันก็จริง
“โถ่แม่ฮะ แล้วจะให้ผมอยู่อย่างงี้ได้ยังไง ที่นี่มันมหากันดารอย่างนี้ ผมไม่เคยใช้ชีวิตอย่างนี้นะ”
“คนอื่นเขาอยู่ได้ลูกก็ต้องอยู่ได้สิจ๊ะ ไม่เอาน่าเบสท์ ไม่นานหรอกลูกถ้าทำตัวดีๆแล้วแม่จะไปรับเร็วๆ”
“แต่แม่ ผมอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะ แม่มารับผมนะครับผมจะเลิกเล่นแล้ว”ผมอ้อนแม่สุดกำลัง แต่ประโยคสุดท้ายนั้นตอแหลเต็มๆ
“อืม ไม่ได้หรอกจ๊ะ ทำตัวดีๆนะลูก ว๊ายตายแล้ว ถึงเวลาประชุมแล้วแม่ไปก่อนนะจ๊ะ บ๊ายบาย”แล้วสัญญาณก็ตัดไปในขณะที่ผมถือมือถือค้างท่าเดิม
ว๊ากกกกก นี่กรูต้องอยู่ที่นี่จริงๆใช่ไหมเนี่ยแล้วจะทำยังไงดีวะ กรูจะอยู่คนเดียวกลางป่าแบบนี้ได้ยังไง โฮๆๆ อยากร้องไห้ซะจริง
แต่เมื่อทำใจรู้แล้วว่าถึงจะทำยังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยตัดสินใจเดินลงไปดูบริเวณบ้านก็เลยได้ประจักษ์ว่าที่นี่คือบ้านพักตากอากาศของครอบครัวผมเองแต่เก่าลงไปเยอะ สีไม้เริ่มซีดหายจากเมื่อหลายปีก่อนที่ผมเคยมาที่นี่ บริเวณบ้านเต็มไปด้วยกล้วยไม้ป่าและต้นไม้นานาชนิด บางต้นสูงเลยบ้านไปแถมยังมีกล้วยไม้ขึ้นบนยอดไม้ตามธรรมชาติอีก เดินไปไม่ไกลก็เห็นแม่น้ำสายเล็กๆที่มีน้ำใสแจ๋ว ถัดไปก็เป็นป่าโปร่งที่มองคล้ายกับเกมเลเวลต่ำๆสักเกมเนี่ยแหละ
ยืนชมป่าไปได้สักพักก็รู้สึกถึงความชื้นและลมร้อนๆที่น่องขาหลัง ผมหันไปดูแล้วก็ต้องชักเท้าหนีอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเจ้าตัวต้นเหตุที่เป็นเจ้าตัว 4 ขาสีดำปลอดกระดิกหางให้
“เฮ้ย ไปไกลๆไป๊ ไปเซ่”ผมตวาดมันอย่างดังแต่มันกลับกระดิกหางแรงขึ้นพร้อมเงยหน้าสบตาผมซะงั้น
“ไอ้ตั๋ง ไปไกลๆไป”เสียงเด็กหญิงคนเดิมสั่งทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง
“ฉันอยากอยู่คนเดียว เธอจะไปไหนก็ไป”
“ไม่ได้หรอกนายน้อย แม่บอกให้ดูแลนายน้อยให้ดีๆเพราะแถวนี้มันป่าทั้งนั้น”
ผมมองหน้าซื่อๆนั้นอย่างปลงๆเพราะคนอย่างผมคงไม่สามารถยั่วโมโหเธอได้ง่ายๆแน่ และในเมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ก็จะเดินข้ามน้ำไปยังอีกฝั่งเพื่อไปนั่งที่โขดหินใหญ่ริมแม่น้ำสายเล็กๆนี่
“นายน้อยระวังนะ มันลึกเท่าเอวเลย ต้องเดินข้ามทางนี้จ๊ะ”เธอรีบชีบอกซึ่งก็ทำให้ผมต้องมองไปยังท้องน้ำอีกครั้ง มันลึกขนาดนั้นเลยหรือเนี่ย
“เธอชื่ออะไร”ผมเปิดประเด็นเมื่อได้ที่มั่นเรียบร้อย
“ชื่อแป้งจ้ะ อายุ 14ขวบ”
“อยู่แถวนี้มีอะไรให้ทำมั่ง”
“หนูอยู่นี่ก็ไปตลาดนัดบ้าง ไปน้ำตกบ้างแต่ส่วนมากก็ช่วยแม่ทำสวนนี่ล่ะจ้ะ”
เฮ้อ ก็รู้อะนะว่ามันกันดาร แต่โว้ย...มันจะกันดารมากไปไหมเนี่ย
“เหอะ แม่นะแม่ กลับไปล่ะก็คอยดูนะ จะเล่นเกมให้หนำใจไปเลย”
“นายน้อย อย่าหาว่าหนูสั่งสอนเลยนะแต่นายน้อยต้องมาที่นี่เพราะว่านายน้อยเล่นเกมมากไม่ใช่เหรอ ทางที่ดีหนูว่านายน้อยควรจะเลิกเล่นได้แล้วนะเพราะว่าคุณนายเขาห่วงนายน้อยมากเลย”
เธอพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ถึงกระนั้นก็เถอะ แค่คำพูดของเธอก็ทำให้ผมขึ้นได้แล้ว
“เธอว่าอะไรนะ เธอคิดว่าเธอเป็นใครฮะมาสั่งสอนฉัน เธอมันก็แค่คนรับใช้ไม่ใช่หรือไง อย่ามาแส่เรื่องของเจ้านายเขา แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะ ไม่งั้นล่ะก็ฉันเอาเธอตายแน่”ผมด่าเธออย่างแรงทำเอาหน้าเสียแล้วก็รีบจ้ำอ้าวกลับบ้าน หึ เด็กอย่างนี้มันต้องโดนซะมั่งช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงซะเลย ผมเป็นใคร มันเป็นใคร ไม่รู้ว่าแม่ผมเลี้ยงมันไว้ได้ยังไงกันนะ เสียข้าวสุกชะมัด
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 4 วันแล้วที่ผมไม่ได้ย่างกรายออกจากบ้านเหตุเพราะไม่ชินกับอากาศและความไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีนอกจากไปค้นหาหนังสือเก่ารุ่นพระเจ้าเหาที่มีอยู่ในห้องเก็บหนังสือมาอ่านแก้เซ็งไปวันๆ คนดูแลบ้านที่มีอยู่ 3 คนพ่อแม่ลูกก็ผลัดกันนำอาหารขึ้นมาให้แล้วก็ลงไป ทิ้งให้ผมหง่าวอยู่คนเดียว เฮ้อ แม่นะแม่ ทำกับผมหนักได้ใจจริงๆ
เสียงดังปึกๆ ดังขึ้นจากข้างล่างผมเลยเดินออกไปดูเพื่อหาต้นเสียง เด็กแป้งที่ผมด่าไปวันนั้นกำลังขะมักเขม้นง้างค้อนผ่าไม้อะไรสักอย่างสีดำอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้ผมสงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงตัวบางเช่นเธอกลับมีแรงเยอะขนาดนี้นะ ทั้งที่เพื่อนๆผมแต่ละคนวันๆเอาแต่แต่งหน้าและวี้ดว้ายผู้ชายไปวันๆเท่านั้น
เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมที่กำลังคิดอะไรเพลินจึงหลบตาไม่ทัน
“เธอผ่าอะไรน่ะ”ผมเอ่ยถามอย่างจนด้วยเกล้า
“อ๋อ นี่คือไม้ฟืนจ้ะ เอาไว้ย่างปลา เสร็จแล้วนายน้อยไปเดินเล่นกันไหมจ๊ะ”เธอถามพร้อมยิ้มกว้างราวกับไม่ได้โดนผมด่าเมื่อวันก่อน
“ง่า เออ”ไหนๆก็ไหนๆ เดินไปยืดเส้นยืดสายบ้างก็ดีนะ ผมคิด
“นายน้อยอยู่แต่ในบ้านไม่เบื่อเหรอจ๊ะ”เธอเอ่ยปากถามเมื่อเราเดินเคียงกันไปบนถนนลูกรังสายเล็กๆ
“ก็เบื่อน่ะสิ อยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว เฮ้ย ไปไกลๆไป๊”ประโยคหลังผมหันไปพูดกับไอ้ตั๋งที่เดินตามตูดมาอย่างกับขี้ปลาทอง
“ไอ้ตั๋งมันอยากรู้จักนายน้อยน่ะ ลองให้มันดมดูสิ”เธอแนะนำซึ่งผมก็นึกสนุกด้วยเลยหยุดให้มันดมสมใจหมาย จากนั้นมันก็เอาลิ้นแฉะๆมาเลียหลังมือทำเอาผมขนลุกซู่ด้วยความขยะแขยง
“กลับบ้านไปล้างมือเดี๋ยวนี้เลย”ผมพูดแล้ววิ่งเร็วตื๋อไปล้างมือที่ก๊อกในบ้าน เมื่อล้างเสร็จแล้วก็เดินกลับไปหาพร้อมจ้องเจ้าตั๋งไปด้วยเพื่อว่าถ้ามันมาหาจะได้หนีทัน
“นายน้อยรู้ไหมว่าทำไมไอ้ตั๋งถึงเลียมือนายน้อย”
ผมเงียบฟัง เธอจึงพูดต่อ
“เพราะว่ามันเป็นการแสดงความภักดีของหมามันไง ที่มันเลียนายน้อยก็แสดงว่ามันรักนายน้อยนะ”ได้ฟังแล้วผมก็อึ้ง นี่มีหมามารักผมด้วยหรือนี่ ความรู้สึกขยะแขยงเมื่อกี๊หายไปในปลิดทิ้ง ผมค่อยๆยื่นมือไปลูบหัวมันเบาๆ เจ้าหมาดำหลับตาพริ้มส่วนยัยเด็กคนข้างๆก็หัวเราะเบาๆ
หัวเราะอะไรของเธอวะ ไม่ขำนะเฟ้ย
“เออจริงสิ ขอโทษนะเรื่องเมื่อวันนั้นน่ะ”ผมเอ่ยเมื่อบรรยากาศมันเงียบพิกล
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะนายน้อย หนูรู้ว่านายน้อยกำลังหงุดหงิดแล้วหนูก็บังอาจเกินไปจริงๆ”
“เอาล่ะ ให้มันแล้วก็แล้วไปเถอะ อย่าไปคิดถึงมันเลย”เธอยิ้มบางๆให้ผม
“เอ้อนายน้อย ถ้านายน้อยเบื่อจะเล่นน้ำก็ได้นะจ๊ะ มันไม่ลึกมากหรอก เย็นดีด้วยแต่ต้องระวังหินข้างล่างหน่อยเพราะมันคม”
“อือ แต่ฉันไม่ค่อยชอบทำอะไรที่ต้องใช้กำลังแฮะ”
“โธ่ ถึงว่านายน้อยผอมกะหร่องเชียว ต้องออกกำลังกายสิจะได้แข็งแรง”ไอ้ผมก็เคยคิดอย่างนี้นะ แต่ความอยากเล่นเกมมันมีมากกว่านี่
“เลิกเรียกฉันว่านายน้อยซะทีเหอะ เรียกพี่เบสท์ก็ได้ อายุก็ไม่ต่างกันนักนี่”
“ไม่เอาดีกว่าจ้ะ หนูถนัดเรียกว่านายน้อยมากกว่า”
เมื่อพูดเสร็จเราสองคนก็เงียบด้วยกันทั้งคู่แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินมันอย่างเดียว แรกๆผมก็ชื่นชมกับวิถีชีวิตชาวบ้านกับธรรมชาติแถวนี้อะนะ แต่นี่มันชักจะเมื่อยแล้วแต่ท่าทางจะไม่ถึงจุดหมายซะที
“เธอจะพาฉันไปไหนเนี่ย”
“ไปห้องสมุดชุมชนจ้ะ”
“อีกไกลไหมกว่าจะถึง ฉันเมื่อยแล้วนา”
“อะไรกันนายน้อย เดินแค่นิดเดียวก็เมื่อยแล้วเหรอ”
“นิดหน่อยอะไรของเธอกันวะ เมื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“เอาน่านายน้อย ถือว่าออกกำลังไงจ๊ะ จะถึงแล้วอีกแค่นิดเดียว นั่นไงเห็นหลังคาแล้ว”
เฮ้อ เห็นหลังคาน่ะยังไม่ได้เห็นตัวอาคารนะนังหนู เมื่อยว้อย
สถานที่ที่เธอเรียกว่าห้องสมุดชุมชนนั้นห่างไกลจากภาพที่ผมวาดไว้นิดหน่อย ตอนแรกคิดว่าจะเป็นที่เล็กๆอับๆตามประสาบ้านนอก ที่ไหนได้มันกลับตรงกันข้าม เป็นที่ที่ใหญ่พอสมควรแม้ว่าหนังสืออาจจะบางตาไปหน่อย เอาวะก็ยังมีอะไรดีๆบ้าง
“นายน้อยลองไปหาหนังสือดูนะเดี๋ยวใช้บัตรหนูยืม”พูดจบเธอก็ทิ้งให้ผมยืนคว้างคนเดียว เมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินไปดูหนังสือเหล่านั้นบ้าง ผมพบว่าหนังสือแต่ละเล่มเก่าๆทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะระดับไหนแต่ทุกเล่มล้วนแล้วแต่ได้รับการห่อปกอย่างดี ส่วนหนังสือก็มีหลายๆแนวตั้งแต่หนังสือเรียนไปยันการ์ตูนญี่ปุ่น ผมหยิบนวนิยายแฟนตาซีได้เล่มหนึ่งแล้วจึงเดินไปหาเธอแต่กลับไม่เห็นซะงั้น
“แป้งไปไหนเหรอครับ”ผมถามบรรณารักษ์
“อยู่ในห้องน่ะจ้ะ”เธอชี้ไปยังห้องข้างหลังเคาน์เตอร์นั่น ผมเห็นห้องนั้นมีหนังสือที่ยังไม่ได้ห่อปกบ้าง ขาดรุ่งริ่งบ้างแต่เธอก็ยกหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างไม่ได้สนใจปกแม้แต่น้อย จนในที่สุดเธอก็หยิบออกมาถึง 2 เล่มซึ่งดูจากสภาพหนังสือเล่มนั้นคงอยู่ผจญโลกมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีเป็นแน่
“ทำไมเธอต้องไปเอาในนั้นด้วยล่ะ ข้างนอกก็มีตั้งเยอะแยะนี่”ผมถามขณะที่เธอกำลังเขียนบัตรยืมอยู่
“ข้างนอกนี่หนูอ่านหมดแล้วล่ะจ้ะเลยไปเอาหนังสือที่มาใหม่มาอ่าน”
อะโห ผมล่ะทึ่ง หนังสือข้างนอกก็ไม่ได้น้อยนะ เฮออ่านหมดเลยเหรอเนี่ย ทำได้ไงวะ
“เธอเอาเวลาที่ไหนไปอ่านกันเนี่ย”
“หนูก็อ่านตอนที่ช่วยแม่ทำงานแล้วก็ทำการบ้านเสร็จแล้วน่ะสิจ๊ะ”
โห เธอทำให้ผมต้องกลับย้อนมาดูตัวเองนะ คิดดูสิเธออายุแค่ 14 ผมอายุ 17 ในขณะที่เธอกำลังอ่านหนังสือ ผมกำลังเล่นเกมอย่างบ้าคลั่ง เพิ่งจะคิดได้ว่าสิ่งที่ผมนั้นมันสูญเปล่ามากมายเลย
“ว่าแต่ ทำไมสภาพหนังสือมันเก่าอย่างนี้ล่ะ ดูไม่น่าอ่านเลย”
“อ๋อ ก็หนังสือทั้งหมดนั่นเป็นหนังสือที่เขาบริจาคมาน่ะจ้ะ ถึงได้เก่าขนาดนั้น แต่ส่วนใหญ่มันก็สภาพดีนะจ๊ะ แต่บางเล่มก็ต้องซ่อมบ้าง กระดาษหายไปบ้าง แต่ก็ยังดีที่มีให้อ่าน”
เอ่อ เธอยิ่งพูดอย่างนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดนะ และในตอนนั้นผมก็สัญญากับตัวเองเลยว่าหากได้กลับไปที่บ้านแล้วผมจะขอร้องให้แม่ซื้อหนังสือใหม่ๆมาบริจาคให้ที่นี่เป็นแน่
เมื่อเดินกลับถึงบ้านเราก็ไปนั่งที่โขดหินใกล้แม่น้ำเดิมนั่น เธอบอกให้ฟังว่าถ้าถึงฤดูฝนล่ะก็โขดหินที่เรานั่งอยู่นี่จะอยู่กลางน้ำและน้ำก็จะสูงถึงระดับอกแน่ะ แถมน้ำก็แรงมากจนเป็นสีแดงเพราะมันได้พัดเอาดินมาด้วย เฮ้อ ผมชักรู้สึกโชคดีแล้วนะที่มาช่วงหน้าร้อนแบบนี้
เย็นวันนั้นเรา 4 คนคุยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกที่โต๊ะกินข้าวระเบียงบ้าน น้าพร แม่ของแป้งบอกว่าโล่งใจมากเลยที่ผมร่าเริงแล้ว เออเนอะ เชื่อไหมว่าผมเพิ่งจะรู้สึกถึงความห่วงใยจากใครหลายๆคน แต่ที่ผ่านมาผมกลับไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ผมทำอย่างนั้นไปได้ยังไงนะ สมแล้วแหละที่เด็กแป้งจะต่อว่าผมเมื่อวันนั้น
คืนนั้นผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลียพร้อมกับสายลมเย็นๆจากธรรมชาติอย่างที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศอย่างที่ในเมืองเขาใช้ อีกทั้งยังได้รู้ว่าปลาย่างถ่านอร่อยกว่าปลาที่ออกจากตู้อบไมโครเวฟหลายเท่านัก
บ่ายวันต่อมาแป้งชวนผมไปตลาดนัดในตัวเมืองซึ่งไกลจากบ้านเราเกือบ 20 กิโลเมตรโดยใช้มอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่คันเดียวของบ้าน ผมตัดสินใจไปเพราะไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว แบบว่ามันเสียวน่ะครับ และเนื่องจากถนนที่ออกจากหมู่บ้านเป็นดินลูกรักทำให้ก้นของผมเริ่มระบมแต่ยัยคนขับก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย จากนั้นก็เป็นถนนลาดยาง 2 เลนส์ที่นานๆจะมีรถยนต์ผ่านมาซักคัน
ผมเดินตลาดนัดชาวบ้านได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกปวดหัวนิดๆ คงเป็นเพราะแดดแรงแล้วช่วงนี้ก็ใช้แรงมากไปหน่อยล่ะมั้ง เฮ้อ ช่างน่าอายเสียจริงและด้วยความอายนี่เองทำให้ผมไม่ได้บอกเธอ เมื่อกลับมาถึงบ้านผมจึงวางของแล้วเดินไปยังห้องนอนทันที
“นายน้อยปวดหัวใช่ไหมจ๊ะ หนูเอายามาให้”เธอพูดอยู่หน้าประตูห้อง ผมว่าเธอนี่เหมือนผีพรายจริงๆนะ รู้ใจผมไปหมด
“ขอบใจ ได้นอนพักซักพักก็คงจะดีขึ้นล่ะมั้ง”ผมบอกอย่างไม่สมประกอบนัก
“จ้ะ”
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงด่าทอด้วยสำเนียงที่ฟังไม่ทันอยู่ข้างนอก เมื่อออกไปดูก็พบว่าน้าพรกำลังต่อว่าแป้งยกใหญ่
“น้าพรมีอะไรฮะ”
“อ้าว นายน้อย น้าทำให้ตื่นหรือเปล่าจ้ะ”
“เปล่าหรอก แล้วมีอะไรกันเหรอ”
“จะอะไรซะอีกล่ะจ๊ะ ก็นังแป้งมันทำให้นายน้อยไม่สบาย น้าเลยต้องสั่งสอนมันบ้าง วันหลังจะได้ไม่ทำอีกน่ะจ้ะ”
“เฮ้ยน้าพร แป้งไม่ได้เป็นคนทำหรอก ผมไม่แข็งแรงเองต่างหาก น้าอย่าไปดุแป้งเลยนะ”
“จ้ะๆ งั้นเดี๋ยวนายน้อยไปนอนต่อดีกว่านะจ๊ะ จะได้หายไวๆ”
ผมยิ้มรับคำน้าพรก่อนจะส่งสัญญาณให้แป้งไปเจอกันข้างนอกบ้าน
“ทำไมเธอถึงไม่เถียงแม่ไปล่ะว่าไม่ได้เป็นคนทำ”ผมเปิดทันทีที่เห็นเธอเข้ามาใกล้
“ก็หนูผิดจริงๆนี่นา”
“แต่เธอไม่ได้ผิด ฉันรู้ว่าเธอก็ไม่คิดว่าเธอผิดแต่ทำไมไม่เถียงแม่บ้างล่ะ เป็นฉันนะแม่ก็แม่เถอะ ไม่ได้แอ้มหรอก”
เธอเงียบไปสักครู่
“ก็หนูมีแม่คนเดียวนี่นา จะโดนว่าบ้างก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะแม่ทำงานมาเหนื่อยแล้ว ถ้าจะให้หนูไปทำแม่ปวดหัวอีกก็ไม่เอาหรอกจ๊ะ”
เธอพูดยืดยาวทำเอาผมสะอึกแล้วก็ต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเองอีกรอบ ผมซึ่งแม่ให้อะไรได้ทุกอย่าง ขออะไรเป็นให้ เรื่องทุกข์ใจไม่เคยทำให้เห็นแต่ผมกลับตอบแทนแม่ด้วยการดื้อแพ่ง ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ทำหน้าที่ลูกที่ดี ผิดกับเธอ เด็กสาวชนบทที่พ่อแม่ไม่สามารถให้อะไรได้มากนักแต่กลับทดแทนคุณพ่อแม่อย่างสุดความสามารถ ผมนี่มันแย่จริงๆให้ตายสิ
“โอเคฉันเข้าใจเธอแล้ว แต่ก็น่าจะอธิบายให้ฟังก็นี่”ผมก็ยังไม่เลิก
“ก็แม่รักนายน้อยมากไงจ๊ะถึงได้โกรธหนูมาก”
“เฮ้อ ฉันเบื่อจะพูดกับเธอแล้ว เอาขนมไปให้ที่ห้องด้วยนะ จะอ่านหนังสือให้จบแล้ว”
เธอยิ้มรับคำก่อนจะเดินไปเอาให้ตามบัญชา
2 อาทิตย์ต่อมาแม่มารับผมทำเอาอารมณ์รื่นรมย์ธรรมชาติสะดุดเพราะคิดอยู่ว่าผมจะกลับไปเลยดีไหม กลับไปแล้วจะเล่นเกมเหมือนเดิมหรือเปล่าและที่สำคัญผมจะคิดถึงบ้านหลังนี้และคนที่นี่หรือเปล่าน่ะสิ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจจะกลับอยู่ดีเพราะถึงแม้จะชอบที่นี่แต่ชีวิตของผมอยู่ที่กรุงเทพต่างหาก ว่าไปแล้วแม่ไม่น่าเอาผมมาทิ้งไว้ที่นี่เลยนะ ครั้งแรกที่มาก็อยากกลับบ้านพอจะมารับกลับผมก็คิดถึงที่นี่ซะอีก ไม่เคยมีความพอดีในชีวิตคนเราเล้ย
“แป้ง ฉันกลับก่อนล่ะนะ”ผมเข้าไปลาเธอที่ซักผ้าขี้ริ้วที่ริมน้ำ
“จ๊ะ แล้วนายน้อยก็มาที่นี่อีกนะ”เธอแหงนหน้ามาตอบผม
“เออ ว่าแต่มาคราวหน้าเธออยากได้อะไรไหม”
“ไม่อยากได้หรอกจ้ะ แต่หวังว่าคราวหน้าที่มาที่นี่นายน้อยคงจะไม่ถูกคุณนายจับตัวมาอีกนะ”เธอพูดติดตลก
“เออน่า ไม่ทำอีกแล้วแหละ”แล้วเราก็ต่างคนต่างเงียบอย่างไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนานี้ว่าอย่างไรจนกระทั่ง
“เบสท์ไปเร็วลูก เรายังต้องเดินทางอีกไกลนะ”แม่ตะโกนออกมาทำให้ผมตัดสินใจ
“ขอบใจนะแป้ง สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”ผมพูดอย่างจริงใจทำให้เธอต้องแหงนหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะนายน้อย ขอแค่นายน้อยจำเหตุการณ์ที่นี่ไว้ตลอดไปละกันนะจ๊ะ”
“อื้ม เอาไว้เจอกันใหม่นะ”เธอยิ้มรับก่อนที่ผมจะเดินไปขึ้นรถ ภาพหลังคาบ้านหายไปจากสายตาเรื่อยๆจนกระทั่งหายลับจากสายตา ผมจึงล้มตัวลงนอนในรถท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของแม่ที่ส่องมาเป็นระยะๆ
หลังจากที่กลับมาจากบ้านป่าได้ไม่กี่วัน แม่ก็จัดการส่งหนังสือเก่าของบ้านและหนังสือใหม่ที่ผมไปเลือกเองไปยังห้องสมุดชุมชนแห่งนั้น และตั้งแต่วันที่สัญญากับเด็กน้อยคนนั้น เกมทุกอย่างถูกผมทิ้งอย่างไม่เสียดายแล้วก็ไปซื้อจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่มาต่อเล่น งานนี้พ่อกับแม่ผมเอาใจเสียยกใหญ่พร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้านป่าแห่งนั้นต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆถึงทำให้ผมเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้ขนาดนี้ ก็นะ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะต้องฟังเสียงของเด็กรับใช้อายุม.ต้นอย่างนั้น แต่มันก็เป็นไปแล้วล่ะครับ
“ไอ้เบสท์ เกมใหม่มาแรงออกแล้วเว้ย กรูเพิ่งไปถอยมาเมื่อวานนี้เองสนใจปะ”เพื่อนในกลุ่มผมวิ่งมาพร้อมพูดเสียงดังมาแต่ไกล
“เฮ้ย กรูเลิกเล่นแล้วว่ะ”มันมองผมด้วยความฉงนสนเท่
“ไอ้พล”ผมตะโกนเรียกเพื่อนที่กำลังเดินถือลูกบอลมุ่งตรงไปยังสนามหญ้า “กรูเล่นด้วยโว้ย”
ผลงานอื่นๆ ของ สีโปสเตอร์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สีโปสเตอร์
ความคิดเห็น