ตอนที่ 3 : Stigma
Chapter 3
Stigma
“ทำอะไรลงไป รู้ตัวรึเปล่า”
เสียงเข้มของรุ่นพี่ทหารตรงหน้าทำเอาร้อยเอกจอนวอนอูวัย 25 ปี ถอนหายใจพรืดด้วยความเหนื่อยหน่าย คนตรงหน้ายังคงดูมีน้ำโหอยู่ จนกระทั่งแววตาใสที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นเลื่อนขึ้นมาสบถึงได้เบาลงไปบ้าง
“พี่ซึงชอลก็รู้ว่าผมไม่ผิด”
“พี่รู้ว่าเราไม่ผิด แต่ก็ไม่น่าไปพูดแบบนั้นกับท่านนายพล”
“…”
“ถ้าเขาส่งเราไปทำงานเฉียดตายล่ะจะทำยังไง”
“ก็จะทำไงได้ นายสั่งก็ต้องทำนี่ครับ”
“จอนวอนอู!”
วอนอูทำทีเป็นมองอย่างอื่นนอกหน้าต่างร้านกาแฟ คนฝั่งตรงข้ามเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกเบาๆ แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างเหนื่อยหน่าย วอนอูก็ยังเป็นเด็กดื้ออยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม
“...จริงๆ นายสั่งมาแล้ว”
“…!?”
“ฆ่านายพลคัง”
“จะบ้าเหรอวอนอู! รับคำสั่งแบบนี้มาทำไม” ซึงชอลกระแทกแก้วกาแฟพลาสติกลงบนโต๊ะกระจกอย่างแรง แววตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเจือกับความโกรธ หากแต่ฝ่ายตรงข้ามทำเพียงแค่ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ และยักไหล่แบบไม่ยี่หระอะไร
“เราเลือกงานได้ด้วยเหรอครับ”
ประโยคเหล่านั้นดูไม่ใช่ประโยคคำถามเท่าไร เหมือนกับจะย้ำให้อีกฝ่ายเข้าใจหน้าที่เสียมากกว่า พอได้ยินเช่นนั้นซึงชอลก็ทำได้แค่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมขมับตัวเองตามด้วยถอนหายใจยาวเหยียด เขามองไม่เห็นหนทางที่วอนอูจะรอดกลับมาแม้แต่สักทาง ก็นายพลคนนั้นน่ะ ทั้งโหดเหี้ยม ทั้งมีเครือข่ายอยู่มากมาย ต่อให้รอดมาได้ก็ใช่ว่าจะไม่โดนตามล่า
นายพลอิม ผู้มอบหมายงานให้กับวอนอู เขาน่ะเป็นคนมีระเบียบ ปฏิบัติตัวอยู่ในกฎทุกข้อ และเขาก็มีปัญหากับนายพลคังผู้ฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นกิจวัตรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ด้วยความเป็นคนมีวินัยของเขาก็ย่อมถูกใจความสุภาพและมีระเบียบของวอนอูจนเกิดอยากจะแนะนำลูกสาวให้
แล้วนั่นก็สร้างความไม่พอใจให้จอนอึนอูเอามากๆ
แต่ไม่ทันที่อึนอูจะได้อาละวาด วอนอูก็ออกตัวปฏิเสธไปก่อน ด้วยความคิดที่ว่าเจ้านายของเขาเป็นคนยุติธรรม ถ้าหากว่าปฏิเสธลูกสาวท่านไปจะไม่มีปัญหาตามมา
แต่วอนอูน่ะคิดผิด... ความยุติธรรมของท่านนายพลอิมก็ยังแพ้ให้กับความรักที่มีต่อลูกสาว เมื่อวอนอูหยามลูกสาวเขาขนาดนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเก็บร้อยเอกอนาคตไกลที่ตัวเองเคยเอ็นดูคนนี้ไว้อีกต่อไป
“พี่ไม่อนุญาตให้นายตายนะ”
มือหนาเลื่อนมาเกาะกุมฝ่ามือขาวบางของวอนอูเบาๆ เจ้าตัวก็ยิ้มตอบกลับให้กับพี่ชายที่แสนดีไป แววตาสั่นไหวกับคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นทำให้เขาหวั่นใจขึ้นมาอีกหน่อย ที่ผ่านมาเขาคิดมาตลอดว่าถ้าหากคนไม่มีอะไรผูกมัดเลยอย่างเขา ต่อให้ตายไปก็คงไม่เสียดายชีวิต แต่พอสิ่งที่เคยคิดไว้เริ่มใกล้เข้ามาทุกทีก็ดันนึกขึ้นมาได้ว่ายังเหลือบ้านชเวที่เขายังไม่ได้ทดแทนบุญคุณ แล้วตอนนี้ก็มีแฟนหนุ่มอย่างร้อยเอกนายแพทย์ลีซอกมินให้ได้เป็นห่วงอีก
ถ้าวันนึงเขาไม่อยู่ ซอกมินจะคิดถึงเขาไหม
ถ้าเขาตายไป ซึงชอลจะอยู่ได้ไหม
ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ มินกยูจะเห็นเขาอยู่ในสายตาไหม
ช่วงนี้ดูเหมือนว่าคนไข้ของซอกมินจะเยอะเป็นพิเศษ จนแฟนหนุ่มอย่างวอนอูไม่ค่อยจะได้เจอหน้านัก จะมีก็แต่คุยโทรศัพท์วันละไม่เกินสามนาที ก่อนจะมีเสียงผู้หญิงแทรกเข้ามา เช่น ‘มีเคสใหม่ค่ะคุณหมอ’ หรือ ‘ได้เวลาออกตรวจแล้วนะคะ’ แม้จะคิดถึงหรือน้อยใจบ้างตามประสาความเป็นผู้หญิงที่ถูกแบ่งมาจากตัวอึนอู แต่เพราะความมีเหตุผลที่ผู้ชายอย่างวอนอูมีมากกว่าก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปด้วยดีเหมือนเคย
วอนอูมีความคิดที่จะบอกเรื่องปฏิบัติการนี้กับซอกมินอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็มาคิดได้ทีหลังว่าอีกฝ่ายก็งานรัดตัวพออยู่แล้ว จะเอาเรื่องของตัวเองไปพอกพูนให้อีกก็ดูจะเห็นแก่ตัวมากไปหน่อย ถึงได้บอกว่าไปทำงานแบบทุกครั้งที่เคยบอก ซอกมินเองก็ไม่เคยซักไซ้เรื่องนี้ เพราะเข้าใจระบบความลับทางราชการดี
และแน่นอน วันนี้เป็นวันเริ่มปฏิบัติการบ้าๆ ที่ได้รับมอบหมายมาเพราะทำตัวไม่ถูกใจเจ้านาย
“พร้อมนะ”
“ครับ”
เสียงของนายทหารชั้นนายพันผู้กำกับดูแลเขามาตั้งแต่ต้นทาง ตะเบ็งแข่งกับเสียงเครื่องยนต์รถทหารคันใหญ่ เขามองวอนอูด้วยสายตาอาลัยจนเจ้าตัวรู้สึกได้ ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดว่าเขาต้องรอดกลับมา
วอนอูยืนยันว่านี่คืองานที่บ้าที่สุดตั้งแต่ทำมา ฆ่าผู้นำกลุ่มแบบเงียบที่สุด ห้ามเปิดเผยข้อมูลตัวเอง และที่สำคัญ งานนี้จะไม่มีกองกำลังหนุน หรือพูดง่ายๆ คือจะมีแค่เขาและอึนอูเท่านั้นที่ต้องทำงานนี้
แต่แล้วไงล่ะ ใครมันจะไปตายง่ายๆ
พูดกันตามตรง... ยิ่งเสี่ยงตายเท่าไร เขาก็ยิ่งชอบ
“มีเวลาหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าเราจะมารับที่นี่ กลับมาให้ทันรุ่งสาง”
ร่างโปร่งพยักหน้าเบาๆ พลางตรวจสอบปืนพกและมีดสั้นที่ติดตัวไว้ เพราะผู้ใหญ่ไม่ได้อนุมัติกระสุนมาให้ นั่นทำให้เขาต้องไปหามาเอง และแน่นอนว่าโควตาของนายทหารยศไม่ใหญ่โตก็ย่อมได้ไม่มากเท่ากับจำนวนที่กองทัพอนุมัติให้อยู่แล้ว
กลัวอะไรล่ะ เด็กผีของเขาใช่ว่าจะใสสะอาดจนฆ่าคนไม่ได้เสียหน่อยนี่นะ :)
“อย่าลืมนะ ห้ามตายเกินหนึ่ง... ถ้าเรากำจัดหมอนี่ได้ คงได้เงินคืนประเทศอีกบานเลย”
คนฟังไหวไหล่ ยิ้มเยาะให้กับคำพูดของอีกฝ่าย เรื่องโกงกินไม่ใช่ประเด็นหลักของงานนี้หรอก ใจความสำคัญคงจะเป็นการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของท่านนายพลอิมเสียมากกว่า ฆ่าคนโกงไปหนึ่ง มันก็มีคนโกงผุดมาอีกสิบนั่นล่ะ แล้วนี่ก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ห่วยแตกที่สุดที่เขาเคยได้ยิน แต่แล้วยังไงล่ะ ทำอย่างกับไม่รับงานได้
รถทหารคันใหญ่ดับเครื่องให้เขาลงริมถนน เพราะงานนี้อยู่นอกเหนือจากราชการ วอนอูจึงใส่ชุดดำมิดชิดรวมไปถึงเกราะกันกระสุน แทนที่จะเป็นชุดลายพรางเหมือนงานอื่นๆ เขาลารุ่นพี่บนรถก่อนจะโดดเข้าป่าข้างทางหายไป
“รอดกลับมาให้ได้นะ... วอนอู”
“ครับผม เจอกันพรุ่งนี้เช้าครับพี่”
“ใครส่งมึงมา”
“…”
“กูถามว่าใครส่งมึงมา!?”
แล้วนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ภารกิจวอนอูล้มเหลว...
จะเรียกว่าล้มเหลวก็คงไม่ได้ เพราะหลังจากแทรกซึมเข้ามาสังหารนายพลคังตามคำสั่งเรียบร้อย ก็ดันถูกจับตัวได้ขณะกำลังจะหนีกลับ จนสุดท้ายต้องมามีสภาพถูกมัดมือมัดเท้าไว้กับเก้าอี้เช่นนี้
“ไม่พูดอะไรแบบนี้... มึงเป็นทหารใช่ไหม”
“...”
“สังกัดใคร”
“...”
“สั่งสอนมันจนกว่าจะสารภาพ”
สิ้นเสียงกร้าวจากคนตรงหน้า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ตรงเข้ามาจะซัดเข้าที่ใบหน้าใส แต่กลับมีแรงปะทะขนาดมหาศาลเข้ากับตัวจนต้องเซถอยออกไป
อึนอู... ช่วยพี่ด้วย...
“เฮ้ย! อะไรวะ!”
กว่าแฝดผู้น้องจะรู้ตัวว่าวิธีการช่วยเหลือเมื่อสักครู่มันผิดก็ช้าไปเสียแล้ว ชายฉกรรจ์นับสิบตรงเข้ามารุมทำร้ายวอนอูจนน่วม เก้าอี้ไม้ขนาดเล็กล้มลงตามแรงกระแทก ร่างโปร่งที่มัดแน่นติดกันจึงลงไปนอนบนพื้นด้วย ท่อนแขนถูกยกขึ้นมาป้องตามตัว แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ก็ป้องกันอวัยวะสำคัญได้ดี ฝ่ายอึนอูที่พยายามจะป้องกันพี่ชายก็กลายเป็นลมผะแผ่วไปเลยเมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์นับสิบ บวกกับความเจ็บปวดตามเนื้อตัวของพี่ชายที่ถูกถ่ายถอดต่อมาที่ตัวเองทำให้หมดแรงต่อสู้ไปได้ง่ายๆ
ไม่ยอมหรอกน่า!
เพล้ง!!
แจกันดอกไม้ใบสวยกลางโต๊ะกาแฟลอยหวือมาปะทะศีรษะหนึ่งในชายฉกรรจ์อย่างแรง ตามด้วยโต๊ะไม้ตัวยาวที่ดูเหมือนจะเป็นโต๊ะประชุมก็ปลิวปะทะกลุ่มชายตัวใหญ่ทั้งหมดกระเด็นไปอีกฝั่งของห้อง วอนอูที่ถูกต่อยตีมาอยู่พักใหญ่ก็หลุดออกจากเก้าอี้ด้วยแรงเตะจากคนละทิศละทางได้อย่างง่ายดาย นายทหารหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดพยุงร่างช้ำในของตัวเองมาหลบหลังโต๊ะตัวใหญ่อีกฝั่ง วอนอูชักปืนออโต้ของตนเองขึ้นมาเล็งแล้วจัดการเป้าหมายทีละคนอย่างใจเย็น เพราะผ่านการฝึกและภารกิจมามาก เจ้าตัวถึงได้ว่องไวและมีสติได้ขนาดนี้
“วางปืนลง ไม่งั้นอีนี่ตาย!” ก่อนที่วอนอูจะหันไปจัดการเป้าหมายอีกฝั่ง ชายคนเดิมที่เคยสั่งให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหยาบจ่อกระบอกปืนไปที่ข้างขมับของหญิงวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะกำลังตั้งครรภ์ในอ้อมแขน สัมผัสเย็นเฉียบที่แนบลงมาข้างศีรษะส่งผลให้เธอต้องร้องไห้อย่างหนัก
และนั่นก็ทำให้วอนอูต้องวางปืนลงแทบจะในทันที...
“ปล่อยเธอซะ เธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...”
ฝ่ายตรงข้ามเหยียดยิ้มเย็นเหมือนกับได้รับชัยชนะ ใครจะไปรู้ ร้อยเอกประจำหน่วยรบพิเศษผู้ได้ฉายาว่าผ่านมาแล้วนับร้อยศพ กลับมีจุดอ่อนเป็นเรื่องแม่
“เปิดปากพูดได้สักทีนะ ตอบมามึงเป็นใคร มาจากหน่วยไหน ไม่งั้นกูฆ่าอีนี่แน่”
“ฮึก... ฮือ... อย่านะคะ... ฉ... ฉัน... ฉันมีลูกอีกสองคนให้ดูแล…”
เสียงปืนขึ้นไกข้างขมับทำเอาหญิงสาวต้องครวญร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสาร สมองของผู้ที่ได้ชื่อว่าที่หนึ่งของระดับชั้นมาตลอดที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนทหารกลับหยุดชะงักไปชั่วขณะ วอนอูอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ และเขาคงทนไม่ได้หากเด็กอีกสองชีวิตที่หญิงสาวอ้างถึง ต้องเสียแม่และน้องไปในคราวเดียวกัน
“...ร้อยเอกจอนวอนอู สังกัดกองพันจู่โจมที่1 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษประจำกองทัพบก”
“กองพันจู่โจมเหรอ นายพลอิมสั่งมาสินะ”
ร่างโปร่งไม่ตอบกลับ หากแต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความลับก้อนโตหลุดออกไปแล้ว อย่างไรคนที่รู้เรื่องนี้ก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้
สมองที่หยุดชะงักไปเมื่อครู่เริ่มกลับมาคิดหาทางหนีทีไล่ สายตาสอดส่องรอบๆ อย่างแนบเนียนที่สุด เพราะจุดนี้เป็นเพียงจุดกบดานเล็กๆ ที่นายพลคังใช้ประชุมวางแผน ลูกน้องส่วนหนึ่งเขากับอึนอูได้จัดการไปแล้ว และเดาว่ารอบนอกน่าจะไม่เหลือสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว วอนอูมองปืนที่ตนเองเตะออกไปเมื่อครู่ จากการคาดคะเน ในกระบอกน่าจะเหลือกระสุนประมาณสองหรือสามนัด ที่เอวก็ยังมีมีดพก และมีข้าศึกเหลืออีกประมาณสิบคน...
พอเริ่มจะวาดแผนการในหัวได้แล้ว มือสองข้างที่ชูอยู่ก็ปล่อยแบออกให้ง่ายต่อการชักมีดพกมาใช้แทนให้ง่ายที่สุด ขายาวสาวเท้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ปากก็พูดต่อรองเหมือนที่เคยร่ำเรียนมาในวิชาจิตวิทยา
“ปล่อยเธอเถอะ เป็นทหารด้วยกันใช่ไหม อย่าทำร้ายประชาชนเลย”
“หึ! แล้วคนที่แกฆ่าๆ ไปไม่ใช่ประชาชนหรือไ— อึก!”
วอนอูนับหนึ่งถึงสามในใจ ก่อนจะพุ่งตัวไปคว้ากระบอกปืน แล้วยิงเข้าที่ชายผู้เสวนาอยู่ด้วยเมื่อครู่ เขารีบคว้าตัวหญิงสาวไปหลบหลังเคาท์เตอร์ทำครัวอีกฝั่งหนึ่งของห้องสี่เหลี่ยม มีดทำครัวสองสามเล่มลอยหวือออกไปปักกลางอกชายฉกรรจ์บางส่วน วอนอูเล็งเป้าหมายแล้วยิงเข้ากลางศีรษะข้าศึกหนึ่งคน ก่อนจะกระโดดข้ามเคาท์เตอร์ไปเสียบมีดพกตัวเองเข้ากลางลำคออีกสองคนที่เหลือ
หมดแล้ว...
ตัวประกันที่เขาชิงมายังคงนั่งร้องไห้จนตัวโยนด้วยความหวาดกลัว เห็นเช่นนั้นวอนอูก็โผเข้าไปกอดหญิงสาวอย่างปลอบประโลม โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่ากำลังทำอะไรอยู่
“ปลอดภัยแล้วนะครับ…”
“ฮึก...ฮือ... ขอบคุณนะคะ... ฮึก...”
“รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป?”
คำถามเดิมๆ จากปากคนเดิมๆ ถูกส่งมาถามเขาอีกครั้ง วอนอูที่นอนพักฟื้นจากอาการช้ำในและร่องรอยกระสุนอยู่บนเตียงคนไข้ก็ได้แต่ยิ้มแห้งกลับไปให้ซึงชอล ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าภารกิจครั้งนี้ไปไกลกว่าที่คิด หากฆ่านายพลคังเงียบๆ ก็คงจะมีแค่ข่าวการตายของนายพลคนหนึ่ง แต่นี่แทบจะกลายเป็นคดีก่อการร้ายอยู่แล้ว เขาฆ่ากวาดล้างคนไปร่วมยี่สิบชีวิต เพื่อช่วยตัวประกันแค่สองชีวิต ถ้าคนตรงหน้าได้รู้ก็คงต้องด่าเขาจนหมดวันแน่ แต่สำรับวอนอูกลับภาคภูมิใจในการช่วยเหลือตัวประกันครั้งนี้เป็นอย่างมาก
เขายังจำสายตารุ่นพี่ทหารที่มารับเขากลับในรุ่งเช้าได้อย่างดี สายตาที่ไม่เชื่อว่าเขารอดกลับมาจริงๆ แม้ว่าสภาพจะช้ำเลือดช้ำหนองเต็มทีแล้วก็ตาม
“ทำอะไรไม่คิด ถ้าติดคุกจะทำยังไง”
“นายไม่ทำให้ผมติดคุกหรอกน่า ถึงเขาจะโกรธเรื่องที่ไม่ยอมไปดูตัวกับลูกสาวเขา แต่ถ้าคุณงามความดีคราวนี้ของผมมันยิ่งใหญ่มากเลยนะพี่ เผลอๆ ได้เลื่อนยศอีก”
“ฝันอยู่หรือไง ชาวบ้านเขากว่าจะได้ร้อยเอกก็เกือบสามสิบแล้วนะ นี่อะไร ยังไม่ทันเบญจเพสก็จะได้นายพันละ บ้าบอ”
“ฮ่าๆ ผมก็พูดเล่น... แต่พี่อย่าเพิ่งบอกพี่ซอกมินนะว่าผมกลับมาแล้ว ถ้ารู้ว่าไปทำงานแบบนี้ได้โดนโกรธตายเลย”
สีหน้าของซึงชอลดูเจื่อนลงไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อร่างบางพูดถึงชื่อใครอีกคน ก่อนจะรีบยกยิ้มบางๆ ไม่ให้อีกฝ่ายจับสังเกต
แต่มีหรือที่เด็กฉลาดอย่างวอนอูจะไม่รู้เหตุผล...
ซึงชอลคิดอะไรกับเขา... วอนอูรู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ให้ทำไงได้ ก็เขามองชเวซึงชอลเหมือนกับว่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองนี่นา จะให้ไปคิดเป็นอื่นได้อย่างไร
“เดี๋ยวบ่ายนี้พี่ต้องเข้าไปประชุมที่สำนักงานนะ เดี๋ยวจะให้มินกยูมาเฝ้าแทน”
ชื่อของใครบางคนทำเอาใจของคนอายุน้อยกว่าวูบไหวแปลกๆ หากแต่โต๊ะอเนกประสงค์สำหรับผู้ป่วยกลับกระแทกเข้ากำกับแพงแรงๆ เป็นสัญญาณว่ามีคนไม่ชอบใจเท่าไร
“อยู่นิ่งๆ ได้ไหมอึนอู”
“โตกันขนาดนี้ยังทะเลาะกันอยู่ได้”
ซึงชอลหัวเราะเบาๆ เหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติ แล้วลุกออกจากที่นั่งไปเลื่อนโต๊ะให้กลับมาอยู่ที่เดิม
“โตที่ไหนล่ะครับ ยัยคนนั้นน่ะ ทำตัวเป็นเด็กๆ”
ตุ้บ!
“อึนอู !!”
คนป่วยบนเตียงทำหน้ามุ่ย ร่างเล็กในชุดกระโปรงสีขาวเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ยืนอยู่ปลายเตียงก็มีท่าทางไม่ต่างกัน ฝ่ามือเล็กผลักหนังสือเล่มโปรดที่พี่ชายหยิบติดมาที่โรงพยาบาลให้ตกลงไปบนพื้นจนวอนอูโวยวายออกมา แล้วซึงชอลก็ต้องห้ามทัพแบบทุกครั้ง ก่อนที่คนกับ... เอ่อ ไม่ใช่คน จะพังโรงพยาบาลเสียก่อน
“พอแล้วอึนอู พี่เราป่วยอยู่นะ”
ซึงชอลพูดขณะเดินไปเก็บหนังสือให้คนตัวบาง พออึนอูได้ยินแบบนั้นก็สงบลงแทบจะในทันที แล้วก็มาทรุดตัวนั่งบนเตียงผู้ป่วยเหมือนกับสำนึกผิด โดยที่ซึงชอลไม่เห็น
แล้วผู้เป็นพี่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าน้องสาวตัวดีมาง้อเขาแล้ว และเขาก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะไม่ใจอ่อนให้กับนางฟ้าตัวน้อยของเขา
“เดี๋ยวมินกยูมาแล้วพี่ค่อยไปละกัน ขืนพี่ไม่อยู่เราสองคนได้ตีกันตายก่อน”
ใจดวงน้อยของคนป่วยสั่นระรัวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินชื่อรุ่นพี่คนเดิมอีกครั้ง
มินกยูอาจจะลืมเรื่องระหว่างคนทั้งคู่ไปแล้วก็ได้
แต่จนป่านนี้... รุ่นน้องร่วมโรงเรียนของเขายังไม่เคยลืมเรื่องพวกนั้นเลย...
--------------------
Talk:
รอก่อน พระเอกเขาค่าตัวแพง
ฝากเอ็นดูยัยแฝดน้องด้วยนะคะ ;___;
ฝาก #ฟิคอนธฮ ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาเดี๋ยวนี้มิงงงงงงกู!!!!!! 555555
มินกยูนี่ค่าตัวแพงจริงไรจริง พระเอกแท้ๆนะเนี่ย ฮ่าๆๆ