ตอนที่ 2 : Shelter
Chapter 2
Shelter
เด็กชายร่างผอมบางพลิกของเล่นสำหรับเด็กปฐมวัยไปมาแบบไม่ค่อยใส่ใจนัก สายตากวาดมองเพื่อนๆ กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ส่วนตัวเองก็ได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่มุมเดียว ด้วยความที่เข้าสังคมไม่เป็น และจิตใจกำลังหดหู่ถึงขั้นขีดสุดกับการที่เพิ่งจะเสียบุคคลสำคัญในครอบครัวไปเป็นครั้งที่สอง แม้จะยังเด็กมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับไม่เข้าใจอะไรเลย
“วอนอู เล่นนี่กัน”
พอเด็กชายร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์เอ่ยทักเด็กชายตัวเล็กที่ยังนั่งซึมอยู่ ด้านคนถูกเรียกก็ละจากของเล่นตัวเองแล้วหันไปสนใจทันที เด็กร่างท้วมพอเห็นเพื่อนหันมาแล้วก็สาดทรายใส่หน้าเพื่อนตัวเล็กอย่างสนุกสนาน
“อ๊ะ! เล่นแบบนี้ใช่มั้ย ได้เลย”
“คิกคิก”
เด็กประถมสองคนกำลังโยนทรายใส่กันอย่างสนุกสนาน ฝ่ายนึงวิ่งไล่ อีกฝ่ายวิ่งตาม แล้วก็สลับตำแหน่งกันไปมา จนกระทั่งเด็กคนอื่นๆ หันมาสนใจ
“เล่นด้วยสิ นี่แหนะ!”
เด็กหลายคนเริ่มเข้ามาร่วมวงปาทรายใส่กันอย่างสนุกสนาน แน่นอน เด็กชายวอนอูผู้มีน้องสาวฝาแฝดคอยช่วยเหลือในการเล็งเป้า ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เก่งฉกาจที่สุดในสนามเด็กเล่น เด็กหลายๆ คนเห็นดังนั้น ก็เริ่มหันมารุมปาใส่วอนอู
“อ๊ะ! อย่านะ!”
ด้วยความที่เป็นเด็กปราดเปรียวว่องไวอยู่แล้ว วอนอูลุกขึ้นวิ่งหนีกลุ่มเด็กรุ่นเดียวกัน พอคนอื่นๆ เห็นดังนั้น ทั้งกลุ่มก็หันมารุมแกล้งเด็กชายตัวเล็กคนเดียว
“นี่ ต้องแบบนี้”
เด็กชายอีกคนที่ดูตัวใหญ่กว่าวอนอูนิดหน่อย กระโดดเข้ามาตะครุบตัววอนอูไว้ แล้วกดให้เด็กชายตัวเล็กหัวมุดอยู่กับพื้นทรายของสนามเด็กเล่น หน้าใสทั้งหน้าถูกกดแนบกับพื้นจนร่างเล็กเริ่มทุรนทุราย เพราะหายใจไม่สะดวก ด้านคนกดกับเด็กรอบๆ ข้างก็หัวเราะกันคิกคักด้วยความไร้เดียงสา
ผิดกับใครบางคน...
จู่ๆ พื้นทรายที่เด็กหลายคนยืนอยู่โดยรอบก็กระจายออก นั่นทำให้เด็กประถมรอบๆ กระเด็นกันคนละทิศละทาง ส่วนเด็กชายที่กดหัววอนอูอยู่นั้นก็เริ่มหน้าขึ้นสีเลือดเข้มขึ้นมาราวกับว่ากำลังจะหายใจไม่ออก จนท้ายที่สุดก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมากระชากเด็กชายคนนั้นออก ร่างตุ้ยนุ้ยกระเด็นไปไกลพอสมควร สร้างความตื่นตกใจให้กับเด็กๆ คนอื่น
“วอนอูเป็นปีศาจนี่!”
“วอนอูเป็นปีศาจ!”
“ออกไปนะเจ้าปีศาจ!”
เด็กชายยันตัวลุกขึ้นจากพื้นทราย เพื่อนทุกคนในชั้นเรียนถอยห่างจากเจ้าตัว แล้วตะโกนว่าเด็กชายกันเซ็งแซ่ วอนอูมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว เด็กน้อยปัดทรายที่ติดตามร่างกายออกให้เรียบร้อย แล้ววิ่งฝ่ากลุ่มเพื่อนออกไป
เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหรือครั้งสุดท้าย พอโดนเพื่อนๆ ตราหน้าว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจไปแล้ว ทุกคนก็มักจะเข้ามาแกล้งวอนอู เป็นเหตุให้ใครบางคนต้องออกโรงปกป้องอยู่ทุกครั้งไป
...โดยที่วอนอูไม่เคยต้องการเลยสักนิด
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเด็กน้อยวัยกำลังซนกลับกลายเป็นเด็กซึมเศร้าและเริ่มไม่มีเพื่อน ด้วยทั้งปมที่สูญเสียทั้งแม่และฝาแฝดผู้น้องแต่แรกเกิด มิหนำซ้ำในวันเกิดปีที่ 7 ของตัวเองยังต้องมาเสียพ่อไปอีก
แต่ถึงจะไม่มีใครที่พอจะพึ่งได้เลย เด็กชายก็ยังมีอีกคนที่ทั้งรักทั้งเทิดทูน และเป็นคนเดียวที่รักเด็กชายอย่างเต็มหัวใจโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ คนๆ นั้นก็คือคุณย่า ไม่ว่าจะเสียใจจากใครมา เพียงแค่ให้คุณย่าได้รู้ ถึงในบางครั้งจะช่วยอะไรไม่ได้ ก็ยังได้ทำให้เด็กน้อยอุ่นใจว่ายังมีคนที่รักและเป็นห่วงตัวเองอยู่อีกหนึ่งคน นั่นก็ช่วยให้วอนอูได้อบอุ่นใจไปได้อีกหลายปีอยู่เหมือนกัน
“นี่นาย นายนั่นล่ะ เหม่ออะไร ออกมาเล่นกันเถอะ”
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่ารำคาญในชีวิตวอนอู
เมื่อเริ่มจะเคยชินกับการไม่มีเพื่อนแล้ว เด็กชายก็เริ่มเก็บตัวมากขึ้นกว่าเดิม มากไปกว่านั้นคือรู้สึกดีมากกว่าที่จะต้องอยู่คนเดียว ดีกว่าจะต้องให้คนอื่นมาคอยหวาดกลัวตัวเองหรือโยนความผิดให้อยู่เรื่อยๆ เวลามีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น
แล้วก็จะมีไอ้เด็กเปี๊ยกรุ่นราวคราวเดียวกันสองคนแวะมาชวนไปเล่นด้วยเสมอๆ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่สนใจก็ตาม จริงๆ ถ้าคนที่ดูโตกว่า ที่ชื่อซึงชอลหรืออะไรสักอย่าง มาชวนคนเดียวเขาอาจจะออกไปเล่นด้วยก็ได้ เพราะดูจริงใจกว่าอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นน้องชาย ชอบทำหน้าตาเหมือนมีคนบังคับมา ก็เล่นหน้าบึ้งตลอดทุกครั้งที่เจอ ไม่รู้จะเครียดอะไรหนักหนา เจอหน้าแล้วรู้สึกหดหู่กว่าเดิม เลยพาลไม่อยากจะคบค้าสมาคมกับพี่ชายหมอนั่นไปด้วย
“ไม่เหงารึไง ออกมาเล่นกันเถอะน่า”
เด็กชายที่ดูจะโตกว่าวอนอูอยู่พอสมควรตะโกนถามเข้ามาในบ้านเป็นครั้งที่สอง จนเจ้าตัวชักจะรำคาญ และในที่สุดก็ต้องลุกออกจากจุดที่นั่งอยู่แล้วไปนั่งเล่นที่สวนหลังบ้านแทน
เด็กบ้านนี้นี่ก็มาทุกวัน ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนเขาไม่อยากเล่นด้วย...
“อึนอู! อย่ากวนได้ปะ!”
พอนั่งลงกับชิงช้า ตั้งท่าจะเอาหนังสือขึ้นมาอ่านแก้เบื่อ หนังสือในมือก็ลอยหวือออกจากมือไปตกอยู่บนพื้น เจ้าของหนังสือได้แต่ถอนหายใจพรืดอย่างเหนื่อยหน่าย ชีวิตวอนอูน่าเบื่อก็ตรงนี้ นอกจากจะต้องรำคาญคนแล้วก็ยังต้องมารำคาญอะไรที่ไม่ใช่คนอีก ไม่เคยมีวันไหนสักวันเลยจริงๆ ที่รู้สึกว่าชีวิตสงบสุข
“ฉันไม่เล่นกับเธอหรอก ทีเธอยังไม่ยอมให้ฉันเล่นกับเพื่อนเลย”
ตุ้บ!
“อึนอู!” แฝดผู้พี่คงจะพูดอะไรผิดหูคนเป็นน้องสาวไปบ้าง หนังสือเล่มเดิมถึงได้ลอยหวือข้ามกำแพงไปบ้านข้างๆ วอนอูกำหมัดอย่างเหลืออด ถ้าเกิดว่าอึนอูเป็นน้องตัวเปี๊ยกแบบบ้านอื่นเขาก็คงจะได้จับยัยเด็กคนนี้ตีก้นไปร่วมร้อยทีแล้ว แต่นี่นอกจากจะตีไม่ได้แล้วก็ยังไม่ใช่คนอีก เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากตบหน้าผากตัวเองแรงๆ
แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ ก็ในเมื่อพ้นรั้วบ้านเขาไปก็เป็นบ้านของเด็กสองคนที่เขาไล่อยู่ทุกวัน จะให้บากหน้าไปขอคืนเหรอ... จะบ้าหรือไง
“ไปเก็บมาเลยนะอึนอู!”
ลมอ่อนๆ พัดวนไปมาอย่างยียวนจนวอนอูนึกโมโหที่ว่างตรงหน้า อึนอูไม่ได้ปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลาหรอก ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่พี่ชายกำลังโมโหอยู่ แต่วอนอูก็รับรู้เสมอว่าน้องสาวตัวเองอยู่ใกล้ๆ หรือกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ต้องถามหาที่มาของเรื่องบ้าๆ นี่หรอก ตัววอนอูเองก็หาเหตุผลไม่ได้มาตั้งแต่เกิดแล้ว
“ฮึ่ย...”
เด็กชายตัวผอมลุกขึ้นยืนชะเง้อข้ามกำแพงไป มองหาช่องทางในการจะเอาหนังสือคืน เมื่อพบว่ากำแพงไม่ได้สูงมากนัก จึงตัดสินใจจะปีนข้ามไปหยิบหนังสือกลับมา
วอนอูค่อยๆ ไต่กำแพงจนขึ้นมาอยู่ด้านบน มองลงไปในสนามของบ้านข้างๆ ก็เห็นน้องสาวฝาแฝดนอนพลิกหนังสือตัวเองไปมาอยู่บนพื้นหญ้า เอียงคอส่งยิ้มหวานให้ชนิดกวนประสาทที่สุดในโลกแล้วก็หายตัวไป
เด็กผี!
“ทำไรอะ”
“เฮ้ย!”
ตุ้บ!
“จะขโมยของเหรอ”
“เปล่านะ!”
ทันทีที่เด็กชายหน้าตายในรั้วบ้านข้างๆ เอ่ยทักออกมา ร่างบางก็เสียหลักร่วงลงจากกำแพงทันที ถ้าวอนอูจำไม่ผิดนี่ก็คือคิมมินกยู น้องชายของคนที่ชื่อซึงชอลนั่นเอง...
“เปล่าอะไร ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าปีนเข้าบ้านคนอื่นเขา”
“เราแค่จะมาเอาหนังส— อ้าว!”
พอมองตามนิ้วไปที่หนังสือเล่มเดิมของตัวเอง ก็พบว่าหนังสือหายไปแล้ว เด็กชายแอบลอบมองกลับเข้าไปในรั้วบ้านของตัวเองก็พบว่าน้องสาวฝาแฝดกำลังนั่งอ่านหนังสือตัวเองด้วยท่าทียียวน
“ยัยเด็กนี่...”
“ว่าไง จะเข้ามาเอาอะไร”
เด็กชายที่ตัวสูงกว่าตัวเองเล็กน้อยเอ่ยถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก วอนอูได้แต่ขบริมฝีปากตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยความหงุดหงิด
“แล้วนั่น... เป็นแผลนี่” เรียวขาชะงักถอยหลังเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า สีหน้าเรียบนิ่งกับน้ำเสียงแข็งกระด้างของคนที่ดูจะโตกว่าตัวเองอยู่เล็กน้อยช่างขัดกับท่าทางอ่อนโยนแบบแปลกๆ มือขาวของวอนอูถูกระตุกด้วยฝ่ามือของเจ้าของบ้าน เขากึ่งจูงกึ่งลากให้เด็กชายตัวบางมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะก้มลงมาดูแผลสดที่หัวเข่าของคนตัวเล็กอีกครั้ง
“ทีหลังอย่าปีนแบบนั้น มันอันตราย แล้วจะเอาอะไรก็บอก”
“...”
“รอนี่นะ เดี๋ยวทำแผลให้”
วอนอูพยักหน้าให้อีกคนเบาๆ อย่างว่าง่าย อันที่จริงเขาน่ะขี้กลัวจะตายไป หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้มาหลายต่อหลายครั้ง วอนอูก็เริ่มกลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้คน หมกตัวอยู่กับหนังสือเป็นกองพะเนิน เกลียดการสนทนากับคนแปลกหน้า
แต่ทำไมกันนะ? ทำไมถึงยอมให้เด็กผู้ชายน่ากลัวคนนี้ทำอะไรต่อมิอะไรทั้งๆ ที่เพิ่งจะเคยคุยกันเป็นครั้งแรก
มินกยูคงไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่เห็นหรอก เขารู้สึกได้
“แสบหน่อยนะ”
วอนอูสะดุ้งนั่งตัวตรงหลังจากที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดขึ้น ก่อนจะเริ่มลงมือราดน้ำเกลือลงไปแบบไม่ให้เด็กชายตัวเล็กได้ตั้งตัว
“เราชื่อวอนอูนะ... เรา... เราอยู่ป.1”
“...อืม”
“น...นายชื่ออะไรเหรอ”
“มินกยู ป.2 เรียกชื่อเฉยๆ ก็พอ”
หลังจากทดลองเริ่มบทสนทนาง่ายๆ อย่างแนะนำตัวหรือถามชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายที่ตัวเองก็รู้อยู่แล้ว และได้ผลตอบรับกลับมาเป็นการถามคำตอบคำ วอนอูก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ให้เขาทำแผลให้โดยไม่ซักไซ้อะไรอีก แม้ว่ามินกยูจะไม่ได้เบามือเลยสักนิด
“ขอบคุณนะพี่—”
“บอกว่าให้เรียกชื่อเฉยๆ ไง”
“อ่า.. ขอบคุณนะมินกยู”
น้ำเสียงเรียบๆ กับสายตาดุๆ นั่นทำเอาวอนอูต้องรีบเปลี่ยนลำดับความอาวุโสของอีกฝ่ายแม้ว่ามุมปากตัวเองจะแอบยกยิ้มขำกับท่าทางของคนเป็นรุ่นพี่ จะเก๊กไปถึงไหนก็ไม่รู้ ทำเป็นใจร้ายแล้วมาทำแผลให้นี่นะ ไม่ได้ดูเข้ากันเลย
“ไป กลับบ้าน ไม่ต้องปีน เดี๋ยวไปส่งหน้าบ้าน”
มินกยูลุกขึ้นเดินนำออกไปโดยไม่ช่วยพยุงคนบาดเจ็บหรือแม้แต่จะรอให้คนเจ็บขาลุกขึ้นยืนก่อน จนเจ้าตัวต้องรีบจ้ำอ้าวตามไป แผลแค่นี้วอนอูทนได้อยู่แล้ว สบายมาก
“วอนอู!” ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้ารั้วบ้านตัวเอง พอมินกยูพามาหยุดตรงหน้าประตู น้ำเสียงคุ้นเคยของคนที่วอนอูกลัวหนักหนาก็ดังขึ้น จนต้องเผลอตัวถอยหลังไปยืนซ้อนคนตัวสูงกว่า
“แกไปไหนมา!” หญิงวัยกลางคนกระชากแขนเล็กออกมาจากเด็กชายอีกคนพร้อมกับตวาดใส่เสียงดังลั่น
“เอ่อ... พอดีน้องเขาปีนมาเอาของบ้านผมน่ะครับ แต่ตกกำแพง ผมเลยทำแผลให้ก่อน”
“นี่แกปีนเข้าบ้านคนอื่นเหรอ!”
วอนอูมองอีกฝ่ายอย่างทึ่งๆ ที่โกหกออกมาเพื่อช่วยเขา เขาไม่ได้เก็บของอะไรมาทั้งนั้น ถึงในตอนแรกจะปีนเพื่อไปเก็บของจริงๆ ก็ตาม แต่ไม่ทันไรก็ต้องเปลี่ยนเป็นตกใจกลัวแทน เมื่อหญิงสาวคนเดิมตวาดใส่หน้าตัวเองแล้วฉุดกระชากเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เด็กชายข้างบ้านต้องกังวลว่าควรจะเข้าไปช่วยหรือปล่อยให้เป็นเรื่องในครอบครัว ซึ่งตามหลักแล้วถ้ายังอยากจะรักษาไมตรีฉันท์เพื่อนบ้านก็ควรจะเลือกอย่างหลัง
“ทำไมแกถึงชอบสร้างปัญหาอยู่เรื่อย อยู่เงียบๆ ไม่ได้หรือไงกัน! ตั้งแต่มีแกมานี่ไม่เคยมีอะไรดีเลย ไม่น่าเกิดมาเลยจริงๆ”
หญิงสาวผู้เป็นป้าตวาดลั่นไม่หยุดหลังจากทั้งคู่เข้ามาในบริเวณบ้าน เด็กชายกลั้นก้อนสะอื้นที่เคลื่อนตัวมาจุกอยู่ที่ลำคอ ใจนึกกลัวไปหมด กวาดสายตามองหาคนเข้ามาช่วยก็พบว่าแม่บ้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้แต่ส่งสายตาให้กำลังใจด้วยความเป็นห่วง
อึนอู... ช่วยด้วย
“แกมันไอ้พวกเด็กผี ฆ่าทั้งพ่อทั้งแม่ ไปโรงเรียนก็ทำตัวมีปัญหา นี่พ่อแกก็เพิ่งตายไปเมื่อเดือนที่แล้ว ยังจะไปปีนบ้านคนอื่นเขาอีกเหรอ แกจะสร้างปัญหาให้ฉันถึงไหน ตอบสิ! เป็นใบ้หรือไง!”
พลั่ก!
“โอ๊ย!” หญิงสาวล้มลงกับพื้นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากอีกฝั่งหนึ่ง ฝ่ายวอนอูเมื่อหลุดจากการฉุดกระชากก็รีบวิ่งขึ้นบันไดบ้านไป
“อะไรอึนอู... ไม่ต้องมายุ่งเลย”
เด็กชายตัวเล็กเอ่ยเบาๆ กับที่ว่างข้างตัว วอนอูเดินหนีน้องสาวฝาแฝดอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก็ที่ต้องโดนดุแบบนี้ก็เพราะอึนอูทั้งนั้น วอนอูอยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปเหมือนกันนะ คนปกติทีไม่ต้องมีใครบางคนมาตามติดตลอดเวลาน่ะ
“ไม่ต้องมาปลอบ... ร...เรา...ฮึก ไม่ได้ร้องไห้...”
มือเล็กปัดป่ายที่ว่างตรงหน้า ขาเรียวก้าวฉับๆ ไปยังประตูบานใหญ่สุดทางเดินชั้นสอง เอื้อมมือผลักประตูให้เปิดออกแล้วจึงวิ่งเข้าไปหาหญิงชราบนเตียงใหญ่กลางห้อง โดยไม่ลืมที่จะปิดประตู
“อ้าว ตาหนู... งอแงใหญ่เลย ใครแกล้งอะไรมา ไหนบอกย่าซิ”
หญิงชราท่าทางใจดีค่อยๆ ลุกขึ้นมาพิงหลังกับหัวเตียง โดยมีเด็กชายตัวเล็กคอยประคองให้ วอนอูใช้สองมือเล็กเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆ ก่อนจะขยับเข้าไปซุกกอดหญิงผู้เป็นย่าอย่างออดอ้อน
“เปล่าฮะ... ฮึก...ว...วอนอูคิดถึงคุณย่า”
“โถ หลานย่างอแงใหญ่เลย ย่าอยู่ตรงนี้นะ ไหน... อึนอูแกล้งอะไรมารึเปล่า”
“ม...ไม่ใช่ฮะ...”
ถ้าโลกภายนอกคือสิ่งที่โหดร้ายสำหรับวอนอู ห้องนอนของคุณย่าก็คงเป็นหลุมหลบภัย เด็กชายไม่ได้มีนิสัยเหมือนเด็กๆ ที่เจออะไรไม่ถูกใจก็ต้องวิ่งมาฟ้อง วอนอูนำอะไรที่เลวร้ายมาให้ทั้งตัวเองและคนอื่นมาทั้งชีวิตถึงได้เข้าใจว่าการเพิ่มความทุกข์ให้กับคุณย่าที่ป่วยซมมาตั้งแต่แม่และฝาแฝดของตัวเองจากไปคงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเท่าไร
พี่สาวของพ่อวอนอูน่ะเกลียดเขาเข้าไส้ทั้งที่เขาก็เป็นหลานชายแท้ๆ เรื่องนี้ใครๆ ในบ้านก็รู้ จะมีก็แต่คุณผู้หญิงคังจูฮยอนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านนี่ล่ะที่ไม่รู้ วอนอูถูกโทษว่าเป็นเหตุผลของการสูญเสียทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในครอบครัว ทั้งที่จริงอาจจะเป็นเพราะความบังเอิญก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังคิดว่าเป็นเพราะเขาอยู่ดี
อย่างแรกก็คือวันที่เขาลืมตาดูโลกขึ้นมาเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างที่ทำให้แม่และน้องสาวฝาแฝดที่ยังไม่คลานตามกันออกมาเสียชีวิตทันทีในห้องผ่าตัด การได้ลูกชายมาสืบสกุลในคืนนั้นจึงถือเป็นเรื่องน่าเศร้าไป อย่างที่สองก็คือวันเกิดในปีที่เจ็ดของวอนอู หรือก็คือเมื่อเดือนก่อน ขณะที่คุณจอนแทอูผู้เป็นพ่อ รีบกลับบ้านมาฉลองวันเกิดกับลูกชายหลังกลับจากการเคารพศพในวันครบรอบวันเสียชีวิตของภรรยาและลูกสาวคนเล็กก็เกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปเป็นรายที่สาม
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญขนาดไหนทั้งสามคนถึงได้จากโลกนี้ไปในวันเกิดของจอนวอนอู อย่างที่สามก็คือน้องสาวฝาแฝดผู้ล่วงลับยังคงอยู่กับเขาเสมอ แถมยังมีนิสัยเหมือนเด็กอยู่ตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งซุกซน มากไปกว่านั้นคือมักจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทำให้คนในครอบครัวพลอยลำบากกันอยู่บ่อยๆ
ส่วนเรื่องของจอนอึนอู อันที่จริงพูดไปก็คงจะเชื่อยาก ถ้าไม่ใช่ว่าคนในบ้านเจอเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้บ่อยเสียจนต้องทำความเข้าใจว่ามีใครอีกคนอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันจริงๆ แต่ใครจะรู้ อึนอูไม่เคยอยากจะมีชีวิตอยู่แบบนี้เลยสักนิด ถ้าให้เลือกได้ วันนั้นที่วอนอูรอดออกมา ถ้าตัวอึนอูเป็นคนที่ออกมาก่อนก็คงไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานแบบทุกวันนี้ เป็นเพียงคนที่ไม่มีใครมองเห็น เป็นคนที่สื่อสารกับใครไม่ได้นอกจากพี่ชาย เป็นสิ่งที่ใครก็หวาดกลัว แถมยังต้องมาเป็นภาระของวอนอูอีก
อึนอูไม่เคยอยากเป็นแบบนี้...
สมมติว่าเลือกได้น่ะ...
“วอนอูครับ... วอนอู...”
เฮือก!
“...พี่ซอกมิน”
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอเรา เหงื่อแตกเลยนะ”
มือหนาเอื้อมมาเช็ดเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนใบหน้าใส จนแก้มขาวขึ้นสีขึ้นมาหน่อยๆ วอนอูกวาดสายตาไปรอบๆ ผนังห้องสีขาวสะอาดตากับกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ ยิ่งทำให้แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงฝันไป
ฝันถึงรุ่นพี่มินกยูด้วยนี่นา...
“พี่ซอกมินผ่าตัดเสร็จแล้วเหรอ... อา... หลับไปนานแค่ไหนเนี่ย”
มือบางยกขึ้นมาขยี้เปลือกตาอ่อนเบาๆ แพทย์หนุ่มเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีหัวด้วยความเอ็นดู จนเส้นผมสีดำขลับกระเซิงไปหมด
“พี่อย่าดิ หัวยุ่งหมดแล้ว”
“ก็เราขี้เซาอะ หลับไปตั้งแต่บ่ายจนนี่จะค่ำอยู่แล้ว หิวไหมครับ ไปหาอะไรกินกัน”
“ไป!!”
“ฮ่าๆ แฟนใครไม่รู้ น่ารักจริงๆ เลย”
พอซอกมินยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจ คนตัวเล็กก็รีบผุดลุกผุดนั่งขึ้นมาจากโซฟาตัวยาวในห้องพักแพทย์ที่นั่งหลับมาตลอดช่วงบ่าย ท่าทีกระตือรือร้นแบบนั้นยิ่งทำให้คนตัวสูงเอ็นดูมากขึ้นไปอีก ต้องก้มลงไปฟัดแก้มขาวๆ ของคนตัวเล็กจนคนถูกกระทำต้องส่งเสียงร้องประท้วงออกมา
“โอ๊ะ... ไม่เอาแล้ว ไปกินข้าวกัน”
วงแขนบางโอบรอบเอวหนาอย่างออดอ้อน ซอกมินจึงยกแขนขึ้นกอดคออีกคนแล้วจึงพาแฟนตัวเล็กเดินออกไปจากห้องพักแพทย์
ตอนนี้วอนอูกำลังจะอายุ 23 ปีเต็ม ชีวิตนายทหารหนุ่มตอนนี้มีความสุขมากเหลือเกิน ทั้งมีแฟนหนุ่มคนแรกในชีวิตที่เพียบพร้อมทั้งนิสัยใจคอ หน้าตา ฐานะ ตำแหน่งหน้าที่ทางการงาน ถึงแม้ตอนแรกจะไม่ได้ถูกชะตากับซอกมินนัก แต่พอจิตใจอีกครึ่งหนึ่งที่น้องสาวฝาแฝดควบคุมไว้เกิดชอบพอกับเขาขึ้นมา ตัววอนอูเองก็เริ่มจะคล้อยตามไปเหมือนกัน แถมตำแหน่งหน้าที่การงานของวอนอูตอนนี้ก็เป็นที่น่าพอใจอยู่มากๆ ได้เลื่อนขั้นมาเป็นยศร้อยโทตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วยังได้อยู่ในหน่วยงานที่คิดๆ ไว้ตั้งแต่แรก ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าถึงจะมากความสามารถขนาดไหนแต่ที่ได้งานดีขนาดนี้ก็เป็นเพราะอำนาจของนายพลชเวช่วยไว้ทั้งนั้น
วอนอูไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวตัวเองเลยตั้งแต่ย้ายออกมาจากที่นั่น หลังจากจบจากโรงเรียนทหารก็ย้ายมาอยู่ที่ห้องพักสวัสดิการทหาร พอเริ่มจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ก็ซื้ออพาร์ตเมนต์สักห้องไว้อยู่เอง ซึงชอลก็ยังคงไปมาหาสู่ดูแลเขาอยู่เสมอเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่ง บางครั้งที่มาดูแลด้วยตัวเองไม่ได้ก็จะส่งน้องชายบุญธรรมอย่างมินกยูมาดูแลแทน แม้ว่ารายนั้นจะดูไม่อยากเสวนากับวอนอูเท่าไรก็ตาม ให้พูดตามตรง มินกยูดูจะเกลียดเขาด้วยซ้ำ นอกจากการทำความเคารพกันตามชั้นปีสมัยยังร่วมโรงเรียนเดียวกัน ครั้งเดียวที่มินกยูยอมคุยดีๆ กับเขาก็คือตอนที่ทำแผลให้สมัยเด็กๆ อันที่จริงมันก็นานมาแล้วนะ... แต่วอนอูก็ยังคงฝันถึงเหตุการณ์นั้น และดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วยสิ...
“พี่อยากให้เราหยุดยาวแบบนี้บ่อยๆ จัง”
“ตลกละ เดี๋ยวอาทิตย์หน้านายเรียกไปคุยเนี่ย โคตรเบื่อเลย”
“จุ๊ๆ อย่าพูดดังไป เดี๋ยวใครคาบไปฟ้องแล้วไม่ได้เลื่อนยศพี่จะขำให้”
วอนอูเบ้หน้าอย่างเหนื่อยหน่าย ถึงที่ผ่านมาจะได้เลื่อนยศด้วยคะแนนพิศวาสเป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเกลียดระบบอุปถัมภ์แค่ไหน
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็จะเกาะหมอกินไง”
“ตลกละครับคุณ ช่วยกันทำมาหากินสิ”
“ฮ่าๆ ไปอยู่ชายแดนเลยดีไหมล่ะ”
“ทำพูดไป นายส่งไปจริงแล้วจะร้อง”
ต่อหน้าคนอื่น ทั้งคู่ก็เดินคุยกันเหมือนเพื่อนกันปกติ ซอกมินไม่ได้อยากเปิดเผยเรื่องของทั้งคู่เท่าไหร่นัก เพราะอาชีพการงานของทั้งคู่ก็ไม่ใช่อาชีพที่จะสามารถเปิดเผยเรื่องการรักเพศเดียวกันกันได้ง่ายๆ ไหนจะพ่อของตัวเองที่เป็นนายทหารยศใหญ่อีก เกิดรู้เรื่องขึ้นมาวอนอูอาจจะต้องลำบากก็ได้
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว”
“...หืม?”
“คืนนี้มานอนห้องพี่นะครับ”
--------------------
Talk:
นี่พระเอกปลอมป่ะคะ สองตอนโผล่มาอยู่จึ๋งนึง
รักเด้อ
ฝาก #ฟิคอนธฮ ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาอยู่ใันแบบนี้บ่อยๆๆๆ คนนี้อหละตัวจริงงง
ฮืออออ หนูต้องทรมานมากเลยใช่มั้ยยย