ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BASILISK RASCAL [YAOI]

    ลำดับตอนที่ #2 : BASILISK - RASCAL :: ผมเกลียดคนแปลกหน้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.38K
      11
      23 ต.ค. 57








     

    [Loading…100%]

      

    - EPS 01 -

    ผมเกลียดคนแปลกหน้า

     

      

    “นายเป็นใคร! รีบไสหัวออกไปจากร่างฉันเดี๋ยวนี้!

     

    ผมสบถขึ้นด้วยความตกใจหลังจากเปลือกตาหนักอึ้งลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางแสงไฟสลัวบนหัวเตียงในห้องมืดๆ

     

    ที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือดันมีไอ้บ้าร่างยักษ์แข็งแกร่งกำยำกำลังเอาหน้าท้องเป็นลอนๆ เบียดชิดเสียดสีกับร่างกายเปล่าเปลือยของผมอย่างนึกสนุก

     

    นอกเหนือจากนั้นมือหนาของมันยังลูบไล้หยอกเอินผิวเนื้อขาวซีดของผมอย่างหยาบโลนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

     

    และที่เกือบจะทำให้ผมเป็นบ้าคือเสียงหัวเราะที่โต้ตอบกลับมาของอีกฝ่าย

     

    คำตอบที่ได้จากการตะโกนถามจนคอแทบแตกกลับกลายเป็นเพียงเสียงหัวเราะทุ้มๆ ที่ดังผ่านลอดลำคอแกมขบขันเท่านั้น

     

    การกระทำต่ำช้าเลวทรามแบบนี้โคตรทำให้ผมรู้สึกโมโห

     

    บ้าเอ้ย! ไอ้เวรนี่เป็นใครวะ??

     

    แล้วผมอยู่ที่ไหน!?

     

    เพราะหลังจากสะบัดหัวไล่ความมึนงงและกวาดตามองฝ่าความมืด ผมก็เห็นได้เลือนรางว่าสถานที่แห่งนี้เป็นห้องที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรากว้างขวาง

     

    ให้ตายสิวะ มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับผมวะเนี่ย!!

     

    ทำไมผมถึงได้ตกมาอยู่ในสภาพล่อแหลมแบบนี้ไปได้

     

    ผมพยายามใช้มือผลักร่างกายแกร่งหนาอันหนักอึ้งของคนไม่รู้จักที่แนบลำตัวกดทับจากด้านบนลงมาให้ออกไปเสียพ้นๆ พร้อมทั้งสะบัดหัวไล่ความมึนงงอีกครั้งขณะทบทวนเหตุการณ์ล่าสุดที่เจอมา

     

    แม่-เอ้ย!

     

    ผมว่าผมพอจะเริ่มจำขึ้นมาได้บ้างลางๆ แล้วล่ะว่าทำไมตัวเองถึงตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้ไปได้

     

    จำได้ว่าย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ผมได้แต่ยืนส่งเสียงสบถเสียงด่าทออย่างหัวเสียหลังจากที่รู้ว่าโดนเพื่อนสนิทอย่างไอ้คอร์นปล่อยทิ้งไว้ที่สนามแข่งรถของมหาลัย  A หลังงานจบ

     

    หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทหนึ่งในไม่กี่คนที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กและเป็นคนที่ผมเชื่อใจได้มากที่สุด แต่วันนี้มันกลับทิ้งผมไว้ที่สนามแข่งรถเวรๆ นี้เสียได้

     

    หลังจากเจ้าของรถคันอื่นพากันทยอยขับกลับกันออกไปเกือบหมด ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่

     

    ไอ้เห้-คอร์นมันคงคิดว่าผมมีความสามารถพิเศษด้านการหายตัวได้ ถึงได้ไม่นึกดูดำดูดีหรือย้อนกลับมาหา

     

    แล้วไอ้สนามแข่งเวรนี่ก็ตั้งอยู่โคตรไกลจากถนนสายหลัก ถ้าจะหวังให้รถประจำทางหรือแท็กซี่ผ่านมาสักคัน

     

    ก็เลิกฝันไปได้เลย!

     

    ที่แย่กว่านั้นคือผมดันหงุดหงิดเรื่องเสียรถเพราะดันแพ้พนันท้าแข่งไปหยกๆ เท่านั้นยังไม่พอ ยังไปเจอคู่ควงคนล่าสุดที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานกำลังจูบดูดดื่มอยู่กับคนอื่นแบบจะๆ คาตาติดขอบสนาม

     

    เวรเอ้ย! แล้วชีวิตผมจะเจอเรื่องดีอะไรกับเขาบ้างมั้ยเนี่ย!

     

    หลังจากวิ่งฝ่าฝนมาได้พักหนึ่ง

     

    ผมก็หันรีหันขวามองหาคนรู้จักเพื่อขอติดรถออกไปยังถนนเส้นหลัก แต่เพราะฝนเริ่มตกหนักจนวิ่งฝ่าต่อไปไม่ไหว ผมเลยตัดสินใจหยุดหลบตรงมุมใต้ชายคาตึกอาคารสีขาวชั้นสูงที่ค่อนข้างหรูและดูดีตรงแถบที่ไม่มีคนอยู่เป็นการชั่วคราว

     

    ขณะที่กำลังขยับตัวสะบัดชายเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปียกชุ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นสายตาของผมก็พลันสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ดึงดูดจนไม่อาจละสายตาให้วอกแวกไปมองอย่างอื่นได้ชั่วขณะ โดยเฉพาะนัยน์ตาสีเทาอมม่วงอันมีมนต์ขลังราวกับปีศาจร้าย

     

    หัวใจผมกระตุกแรงๆ ทีหนึ่ง เมื่อสบตากับสิ่งมีชีวิตที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอได้

     

    แม้ว่าจุดที่ผมยืนหลบฝนอยู่ตรงนี้จะมืดไปหน่อยและมีเพียงแค่แสงสลัวที่ห่างออกไปไกลๆ สะท้อนมาถึงได้เพียงเล็กน้อยก็เถอะ

     

    แต่ภาพในหัวของผมกลับฉายภาพใบหน้าของอีกฝ่ายที่ฉายชัดลางๆ ได้อย่างชัดเจน

     

    เขาเป็นผู้ชายผมสีดำสนิทยาวประบ่า ร่างสูงชะลูดไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบ สีหน้าเย็นชาและดูหยิ่งยโสเกินกว่าจะมีใครเหมือน เจ้าของนัยน์ตาตาคมกริบเรียวรีเหมือนนัยน์ตาเหยี่ยวที่คล้ายจะมองได้ทะลุปรุโปร่งไปถึงก้นบึ้งหัวใจ อีกทั้งจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากบางเฉียบรับกับรูปหน้าที่โดดเด่นอย่างน่าหลงใหลราวกับถอดแบบมาจากปีศาจร้ายอย่างลูซิเฟอร์จนผมอดที่จะตกตะลึงไม่ได้

     

    แม้จะไม่อาจแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครหรือมีชื่อเสียงเรียงนามอะไรก็เถอะ

     

    แต่เชื่อเถอะว่า

     

    ไม่ว่าต่อให้หมอนี่เป็นใคร แต่สายตาที่แสนดึงดูดยั่วยวนใจของเขาก็มากพอที่จะปลุกปั่นหัวใจผู้คนให้เต้นไปบนฝ่ามือได้อย่างง่ายดาย และมันดูพิเศษพอๆ กับงูพิษชั่วร้ายอย่างบาซิลิสก์ ที่ไม่ต้องเปลืองแรงปล่อยพิษให้แทรกซึมเข้าสู่หัวใจ

     

    เพราะแค่มองสบตา... ก็ถึงตาย!

     

    ชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหน้าผมนั้นดูดึงดูดและร้อนแรงราวมีเปลวไฟแผดเผา ผมว่าเขาสามามารถเกาะกุมหัวใจผู้คนและสร้างความเจ็บปวดทุรนทุรายตายทั้งเป็นให้คนอื่นได้โดยง่าย

     

    ทั้งดูอันตรายและร้ายกาจเกินกว่าใครจะถอนตัวเมื่อพลัดตกลงไปในเกมของเขา

     

    เฮอะ แต่ช่างแม่-เถอะ!

     

    ต่อให้คนเบื้องหน้าผมในตอนนี้จะเต็มไปด้วยรัศมีกดดันและดูร้ายกาจอันตรายจนน่าหลงใหลสักแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นก็ล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับผมทั้งสิ้น

     

    ที่สำคัญเด็กหนุ่มวัยสิบเก้า ผิวขาวจัด รูปร่างสูงโปร่งราวหนึ่งร้อยแปดสิบ หน้าตาดีมีชาติตระกูลสูงส่งและดูหยิ่งจัดที่มีความแมนเต็มร้อยอย่างผมนะเหรอ จะสิ้นคิดถึงขนาดหันไปหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายอย่างไอ้หมอนี่

     

    แม้ว่ามันจะหล่อเหลาราวกับถูกซานตาจงใจปลุกปั้นขึ้นมาด้วยความชั่วร้ายเพื่อวางกับดักหลอกหล่อมนุษย์ให้หลงใหลก็เถอะ

     

    แต่ต่อให้ผมตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบรอบก็ไม่มีทางที่ผมจะทุ่มเทความสนใจให้อีกฝ่ายได้มากกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ

     

    ผมละสายตาออกจากใบหน้าอันเฉยชาที่แสนดูหยิ่งยโสโอหังซึ่งตอบรับกับเรือนผมสีดำสนิทอย่างลงตัวของอีกฝ่ายด้วยแววตาเฉยเมย ขณะที่อีกฝ่ายยืนสูบบุหรี่ด้วยท่าทางไม่หยี่ระสนใจสิ่งใดๆ หลังพิงผนังกำแพงหลบฝนอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน และกำลังหรี่ตามองมาทางผมด้วยสายตาจับผิด

     

    ถ้าผมไม่ได้เข้าใจผิด?

     

     ผมว่าไอ้เวรนี่กำลังจ้องหาเรื่องผมล่ะ

     

    ผมตวัดสายตาเรียวรีและกลมโตอันเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดให้อีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยหน่าย

     

    ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่านี่ผมไม่พ้นโดนคนอื่นหาเรื่องเพราะหน้าตาที่ดูหยิ่งยโสเกินพอดีจนน่าหมั่นไส้ของตัวเองเข้าอีกแล้ว

     

    ว่ากันตามจริงแล้ว

     

    ผมก็ไม่ค่อยชอบที่หน้าตาตัวเองเป็นแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะดันเป็นเหตุให้โดนหาเรื่องตลอด

     

    ดังนั้น ผมได้หวังว่าอีกฝ่ายคงพอจะเข้าใจความรู้สึกผมบ้าง เพราะความหยิ่งยโสนั้นปรากฏอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายๆ กัน

     

    แต่บ้าจริง! ไปมาๆ ฝนที่ตกหนักไม่หยุดทำให้เวลาหาทางกลับบ้านของผมยืดออกไป

     

    ยิ่งฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกผมก็ยิ่งอารมณ์เสีย

    ดังนั้น ผมจึงได้แต่เผลอแสดงท่าฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า

     

    แม่- แล้วไอ้ผู้ชายที่เต็มไปใบหน้าหยิ่งยโสที่ยืนออกไปไม่ห่างนี่มันคิดจะมองสำรวจผมไปถึงไหน?

     

    ผมว่าไอ้เวรนี่มองมากไปจนผมแทบจะเสียสิทธิ์ส่วนตัวแล้วนะ

     

    มิหนำซ้ำยังก้าวขยับเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว จนนัยน์ตาคมกริบของมันจะจิกหัวผมอยู่แล้วเนี่ย

     

    นี่ผมควรหันไปด่าให้มันขยับไปยืนที่เดิมดีหรือเปล่าวะ?

     

    ให้ตายสิ!

     

    คิดไปคิดมาสถานการณ์ยิ่งแย่ๆ เพราะถูกทิ้งไว้คนเดียวอยู่ด้วย ผมคงไม่โง่พอที่คิดจะกล้าวอนหาเรื่องกับใครแบบโดดเดี่ยวอย่างไร้ที่พึ่งหรอกเฟ้ย

     

    ยิ่งสนามแข่งรถแถบนี้ขึ้นชื่อเรื่องโฉดชั่วติดอันดับต้นๆ ของคนบางกลุ่มซะอย่างนั้น แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมต้องหาเรื่องเดือนร้อนใส่ตัวด้วย

     

    คุณคิดว่าผมจะกล้าพอที่จะหันไปไฝว้กับไอ้คนข้างๆ ที่โคตรจะแผ่รังสีกดดันนี่มั้ยล่ะ?

     

    โธ่ ถ้ากล้าก็แม่-โคตรโง่นะเซ่!

     

    “หืมส์ อะไรกัน...มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น กำลังนึกด่าฉันอยู่ในใจหรือไง?”

     

    โอ้ย ด่าในใจบ้านพ่อเมิงเหรอ!!!

     

    แม่- ไอ้ห่านี้จะพูดออกมาทั้งทีก็ดันหาเรื่องซะอย่างนั้น

     

    ผมคันปากยิกๆ จนแทบอยากนึกตะโกนด่ามันแรงๆ แบบยาวๆ สักหลายประโยค แต่เมื่อไอ้เจ้าของร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงยืดๆ ปนเสียงหัวเราะขบขันในลำคอและแสดงท่าทางขี้เกียจขัดกับนัยน์ตาที่ทอประกายระยับอย่างนึกสนุกจนทำให้ผมรู้สึกขนลุกชั่ววูบหนึ่ง

     

    ผมเผลอชะงักด้วยความตกใจขึ้นมาชั่วครู่ แต่ก็ต้องสะบัดหน้าปัดความสับสนนั้นทิ้ง เพราะความรู้สึกอันตรายที่สัมผัสได้จางๆ แค่วูบเดียวเมื่อครู่นั้นอาจจะเป็นผมที่คิดไปเองก็ได้

     

    อีกทั้งข่าวที่ได้ยินมาอย่างหนาหู สำหรับกลุ่มคนในแถบนี้ถ้าไม่คิดล้ำเส้นก่อน อีกฝ่ายก็ไม่เสียเวลามาระรานยุ่งด้วย

     

    แต่แม่-! พอได้เห็นไอ้ท่าทางเนือยๆ แบบเอื่อยเฉื่อยไม่หยี่ระสนใจสิ่งรอบข้างของไอ้หมอนี่แล้ว โคตรทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที!

     

    ไอ้เวรนี่มันคิดว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของมันหรือยังไง? ถึงได้เที่ยวมองอยู่ได้!

     

    ผมตวัดสายตากลมโตเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจแล้วกรอกตาขึ้นฟ้าทีหนึ่งอย่างรู้สึกเอือมเพราะคนที่แทบจะอดไม่ได้

     

    อดทนไว้เฟ้ยผักขม!

     

    ตอนนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า...

     

    ผมแม่-โคตรรู้สึกเซ็งแบบสุดๆ

     

    ไม่ใช่เพราะเจอแต่เรื่องซวยๆ มาทั้งวันหรอกครับ แต่เป็นเพราะไอ้ร่างสูงที่ยืนปักหลั่นพิงผนังอยู่ไม่ไกล และเป็นบุคคลไม่ทราบชื่อรวมถึงไม่ทราบประวัติ ยังคอยแสดงทีท่าจดจ้องมองผมแบบไม่เลิกต่างหาก

     

    เฉพาะเรื่องบังเอิญติดฝนอยู่กับคนแปลกหน้าสองคนท่ามกลางบรรยากาศเปลี่ยวๆ ในสถานที่ร้างผู้คนก็ทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์มากพอแล้ว ไหนจะแววตาคมกริบของอีกฝ่ายที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ อีก

     

    ผมว่าบรรยากาศมันจะชักยังไงๆ แล้วนะเนี่ย

     

    แต่งช่างแม่-เถอะ ใครจะไปสน เพราะยังไงอีกเดี๋ยวผ่านไปสักพักฝนก็น่าจะหยุดตกแล้ว

     

    ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายขณะบ่นกระปอดกระแปดพึมพำอยู่คนเดียว

     

    แต่ยังไม่ทันขาดคำ ท้องฟ้าก็เหมือนประชดประชันตั้งใจหักหน้าผมซะอย่างนั้น

     

    แค่ไม่ถึงห้าสิบวิฝนก็โหมกระหน่ำขึ้นมาอีกรอบ ท้องฟ้าส่งเสียงครืนๆ จนผมแทบสะดุ้งตัวโหยง สายฟ้าสีเงินแลบแปลบปลาบเป็นแถบยาวจนท้องฟ้าดูแยกออกเป็นสองทาง

     

    บ้าเอ้ย!

     

    ไม่ทราบว่าผมเคยไปขัดใจเทวดาตนไหนเข้าไม่ทราบครับ ผมถึงได้แต่เจอเรื่องซวยๆ ไม่ได้ดังใจทั้งวัน แม้แต่ฟ้าฝนก็พาลไม่เห็นใจ

     

    ผ่านไปสักพักผมเริ่มขยับตัวแอบชิดผนังถัดเข้ามาฝั่งด้านในมากขึ้น เพราะลมที่พัดแรงและเสียงท้องฟ้าส่งเสียงครืนๆ อื้ออึงอย่างหนัก

     

    ร่างสูงใหญ่ของคนแปลกหน้าเองก็เหมือนจะเริ่มแสดงอาการรำคาญขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน

     

    อีกฝ่ายโยนบุหรี่ทิ้งลงพื้นด้วยท่าทีไม่แยแสแล้วใช้ปลายเท้าบดขยี้ก่อนจะยืดกายเต็มความสูงและขยับก้าวเดินเข้ามาหลบด้านในใกล้ๆ กับผม

     

    ด้วยใบหน้าโดดเด่นได้รูปและดูเคร่งขรึม บวกกับเสื้อเชิ้ตสีดำที่ไม่ได้กลัดกระดุมสองสามเม็ดบน เผยให้เห็นแผงอกและหน้าท้องกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแกร่งตัดกับแสงสะท้อนสลัวลางๆ

     

    ยิ่งเวลาลมพัดชายเสื้อและเรือนผมสีดำสนิทของมันปลิวยุ่งแทบทำให้ผมอ้าปากค้าง

     

    แม่- ไอ้เวรนี่จะดูดีไปถึงไหน!?

     

    ทั้งที่มันก็ไม่ได้สูงไปมากกว่าผมสักเท่าไหร่แท้ๆ อย่างน้อยความสูงของผมก็หนึ่งร้อยแปดสิบเป็นอย่างต่ำ ที่สำคัญทั้งผมและอีกฝ่ายก็มีรูปหน้าสวยรับกับดวงตาเรียวโตและดูเย่อหยิ่งคล้ายๆ กัน แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกถึงความต่างชั้นกับอีกฝ่ายซะเหลือเกิน

     

    แม่- ผมโคตรรู้สึกอิจฉามันขึ้นมาเลย

     

    ขณะที่ผมนึกอะไรอยู่ในใจเพลินๆ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกอีกฝ่ายยืนประชิดตัวห่างออกไปเพียงช่วงข้อศอก ผมขมวดคิ้วพลางเงยหน้ามองมันด้วยความสงสัย

     

    ไอ้บ้านี่ ยืนเงียบทำท่าทางเอื่อยเฉื่อยนิ่งๆ อยู่ได้ตั้งนาน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้เลิกแสดงท่าทีเกียจคร้านแล้วมองผมด้วยแววตาน่ากลัวซะขนาดนั้นวะ

     

    หรือมันเกิดนึกไม่พอใจอะไรในตัวผมขึ้นมา?

     

    ให้ตายสิ ผมเผลอทำหน้ากวนประสาทมันไปบ้างหรือเปล่าวะ ผมว่าผมอยู่ของผมเฉยๆ ไม่มีอารมณ์จะหาเรื่องใครแล้วแท้ๆ

     

    แววตาคมกริบของอีกฝ่ายภายใต้กรอบหน้าคมเข้มตวัดมองผมนิ่งด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย

     

    ความสงสัยของผมเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ เพราะอีกฝ่ายเอ่ยพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาเสียก่อน และถึงกับทำให้ผมอึ้งเหวอเอาเสียดื้อๆ

     

    “ไหนๆ ฉันกับนายก็ต่างอยู่ว่างๆ ด้วยกันทั้งคู่ อย่างนั้นลองหาอะไรสนุกๆ ฆ่าเวลาก่อนฝนจะหยุดดีไหม” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนประสาทและเหยียดยิ้มตรงมุมปากขึ้นเล็กน้อย มันกวาดไล่สายตาไปทั่วร่างผมด้วยแววตาจาบจ้วงขณะที่ผมเบิกตากว้างจ้องมองมันอย่างตกตะลึง

     

    แทบไม่ต้องอธิบายหรือขอคำตอบใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น ผมสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสื่อนั้นหมายถึงอะไร

     

    “ไอ้โรคจิต! แม่- ในหัวมึงเนี่ยคิดอะไรไม่ได้แล้วนอกจากเรื่องชั่วๆใช่ไหม!?”

     

    ทันทีที่ผมสบถเสียงดังลั่นอย่างเดือดดาลพร้อมตวัดตามองมันด้วยความเชือดเฉือน มุมปากของฝ่ายตรงข้ามก็พลันขยับรอยยิ้มเย็นๆ ขึ้นเล็กน้อย

     

    อีกทั้งยังแสดงท่าทางเคร่งขรึมอันบ่งบอกถึงความอันตายขณะแผ่รังสีคุกคามจนผมผวาเฮือก

     

    ภายใต้ความเงียบชั่วอึดใจหนึ่ง นัยน์ตาคมกริบเฉดสีเทาอมม่วงที่ดูแสนลึกลับน่าค้นหาของมันก็เอาแต่จ้องตรึงอยู่ที่ริมฝีปากผมนิ่งไม่ขยับ

     

    วินาทีนั้น ทันทีที่รู้สึกตัว... ดวงตาของผมก็พลันเบิกกว้างและผงะถอยหลังหนีด้วยความตื่นกลัว หัวใจเต้นระส่ำตูมตามด้วยความไม่มั่นใจในความกล้าของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบปี

     

    ชายผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทคนนี้แม่-อันตรายโคตรๆ!

     

    และจัดว่าเป็นพวกที่อันตรายแก่การจะหาวิธีใดๆ มารับมือ

     

    รังสีกดดันที่แผ่คุกคามออกมาอย่างไม่ตั้งใจของอีกฝ่ายทำให้เหงื่อเย็นๆ ของผมเริ่มไหลรดรินแผ่นหลังอันเย็นเฉียบ

     

    “บังเอิญว่าเรื่องชั่วๆ ในหัวฉันมันมากเสียด้วย แล้วนายสนใจอยากลองทำดูสักอย่างสองอย่างมั้ยล่ะ?” ริมฝีปากบางเฉียบของอีกฝ่ายแสยะรอยยิ้มร้ายกาจคล้ายจะยั่วยุให้ผมหัวหมุนไปตามเกมของมัน

     

    และนับว่าได้ผลถนัด

     

    “หึ มึงมันไอ้โรคจิต! นี่มึงบ้าไปแล้วใช่ไหมที่ใช้ถามแบบนี้กับคนไม่รู้จัก!” ผมตวาดใส่หน้ามันดังลั่นด้วยความโมโห

     

    “ฉันก็กำลังเริ่มทำความรู้จักในแบบของฉันอยู่ไง”

     

    อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเสียงทุ้มด้วยรอยยิ้มยั่วยุ คล้ายจะจุดชนวนประสาทผมให้แตกระเบิด

     

    ไอ้เวรนี่! ใช้สมองส่วนไหนคิดวะถึงได้เอ่ยแต่สิ่งที่หาสาระไม่ได้

     

    “คนที่อยากทำความรู้จักกันเขามีแต่ถามชื่อ ไม่ใช่แสดงการกระทำต่ำช้าอย่างนี้หรอกแม่-!

     

    ผมโต้สบถด่าด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน รู้สึกโมโหไปกับสายตาแทะโลมขณะที่มันกวาดมองเสื้อเชิ้ตสีขาวที่บางเพราะเปียกฝนจนแนบลู่ลำตัวของผม

     

    กระทั่งประโยคถัดมาของอีกฝ่ายทำให้ผมถึงกับรู้สึกเดือดดาลสั่นเทิ้มไปทั้งตัวจนควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

     

    “หึ ฉันถือว่านายตอบรับคำชวนฉันแล้วนะ หลักฐานคือสายตาท้าทายของนายไง”

     

    แม่- ไอ้บ้านี่มันจะหยามกันมากเกินไปแล้ว! บนหน้าผมมันเขียนประกาศว่า ง่าย ไว้หรือไงวะ?

     

    ผมโมโหจนแทบจะน็อตหลุด

     

    หลังจากอีกฝ่ายเอ่ยเสร็จมันก็ก้าวเท้าคุกคามเข้ามาใกล้  และโดยที่ไม่มีใครคาดถึง

     

    ไวกว่าความคิดที่ผมจะได้ทันตั้งตัว ริมฝีปากร้อนจัดของอีกฝ่ายก็บดเบียดขยี้รุกเร้าบนริมฝีปากของผมอย่างจาบจ้วงรุนแรงเสียแล้ว

     

    ลิ้นร้อนเบียดแทรกตวัดรัดเกี่ยวเข้ามาในริมฝีปากที่เปิดอ้าด้วยความตกใจ

     

    ลำตัวท่อนบนอันเต็มไปด้วยแกร่งกายกำยำของมันเบียดชิดสัมผัสกับตัวผมที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแนบลู่ลำตัวเปียกโชกจากหยาดฝน ร่างของมันแนบติดตัวผมจนแทบฝังเข้าไปในผนังตัวตึก มือสากหนาทั้งสองข้างตรึงตัวผมแน่นไม่ให้ดิ้นขยับ ขณะลิ้นร้อนรุกรานอย่างหนักหน่วงจนทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนและเบลอไปหมด

     

    ชั่วขณะนี้ผมแทบปฏิเสธไม่ได้ว่ารสจูบของคนแปลกหน้าสร้างความแปลกใหม่ ทั้งดุดันและปลุกเร้ากระตุ้นอารมณ์ผมจนฉีดพล่านอย่างห้ามไม่อยู่

     

    ความคิดเดิมๆ พังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี

     

    วินาทีนี้เองที่ผมรู้สึกตกตะลึงเป็นครั้งแรกถึงความท้าทายอันโหมกระหน่ำอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน พร้อมกับความจริงอันคาดไม่ถึงว่าการจูบกับผู้ชายด้วยกันจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจได้มากเกินบรรยายขนาดนี้

     

    สติสัมปชัญญะที่มีทั้งหมดเริ่มหดหาย ถูกครอบงำด้วยความปั่นป่วนที่อยากจะเอาชนะ ซึ่งถูกเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีทั้งหมดของผู้ถูกท้าทาย

     

    ผมกับเจ้าของร่างสูงกำยำที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแท้จริงของแต่ละฝ่าย ผลัดกันรุกไล่เกี่ยวรัดผลักดันเกาะเกี่ยวตวัดลิ้นกันอย่างลืมตาย กระทั่งร่างกายถูกปลุกเร้าจนก่อเกิดปฏิกิริยาตามมา ถึงขั้นที่พวกเราทั้งคู่ไม่สามารถหยุดมันต่อไปได้

     

    เมื่อถูกรุกเร้าอย่างหนักกลับกลายเป็นผมเสียเองที่ไม่อยากยอมแพ้ฝ่ายตรงข้าม ทั้งผมและอีกฝ่ายต่างผลัดกันจูบรุกรับดูดดื่มอย่างไม่มีใครยอมลดละวาศอกราวกับคนตายอดตายอยากและเหือดกระหายหิว

     

    นัยน์ตาผมในตอนนี้ทอประกายระยับชั่วร้ายผิดแผกจากก่อนหน้าลิบลับราวกับคนเป็นคนละคน

     

    หากไอ้เวรนี่แม่-คิดอยากจะเล่นเกม ผมก็จะลองเล่นดูกับมันสักตั้ง

     

    เพราะผู้ที่จะชนะในตอนนี้จะต้องไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามแต่ต้องเป็นแค่ผมเท่านั้นที่จะเหยียบย่ำมัน

     

    ผมจะสั่งสอนให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสชาติและซาบซึ้งในความพ่ายแพ้ โทษฐานที่กล้าแสดงท่าทางต่ำหยาบคายแบบเห้-ๆ ใส่หน้าผม!

     

    แต่บ้าจริง!

     

    ทำไมตอนนี้ผมถึงรู้สึกมึนหัววูบคล้ายจะคงสติไว้ไม่อยู่อย่างนี้วะ?

     

    อย่าบอกนะว่า!...

     

    ตั้งแต่เริ่มจูบกันตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ที่อีกฝ่ายยัดเยียดสอดแทรกลูกอมหวานๆ อะไรสักอย่างผ่านทางจูบเร่าร่อนจนผมเผลอกลืนลงไปอย่างลืมตัว

     

    ไอ้บ้านี่เล่นลอบกัดในตอนนั้นเอง!

     

    ผมไม่น่าประมาทเลย ทั้งที่เคยได้ยินอยู่แล้วเชียวว่าพวกชั่วๆ บางคนในเขตมหาลัย A นั้นโฉดชั่วและเล่นลอบกัดได้แทบทุกทาง

     

    “ไม่!...ไม่!

     

    ผมไม่ยอมตกม้าตายตอนนี้เด็ดขาด!

     

    ผมผลักหน้าอกอีกฝ่ายออกและเบิกตากว้างด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันทีที่เหลือบเห็นแววตาร้ายกาจชนิดที่ชวนขนลุกอย่างที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน

     

    ผมแทบถอยกรูออกห่างราวกับอีกฝ่ายเป็นงูที่กำลังจะพุ่งเข้าฉก

     

    การหลบหนีของผมคงดำเนินไปด้วยดี ถ้าไม่ติดที่ว่ามือทั้งสองข้างของผมเริ่มหมดแรงจนตกแนบข้างลำตัว และร่างเริ่มไร้เรี่ยวแรงจนโซซัดโซเซซบพิงแผ่นอกแกร่งหนาของอีกฝ่ายเข้าเต็มๆ

     

    “แม่-! ไอ้สารเลว!

     

    ผมกล่าวเสียงลอดไรฟันด้วยความอาฆาตเบาๆ ก่อนสติจะพลันดับวูบไป

     

     

    *ลงใหม่ 23/10/2557 : 01:55น.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×