Cycle ทฤษฏีแห่งชีวิต
ร่วมค้นหาความลับอันยิ่งใหญ่ไปกับ ทฤษฏี Cycle ติดตามด้านใน
ผู้เข้าชมรวม
2,034
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ภายใต้แสงนภาที่สกาวส่องแวววาววับระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ดูเหมือนว่าจะสาดส่องประกายแสงดาวให้กับโลกใบนี้สดใสยิ่งขึ้น ที่โขดหินก้อนหนึ่งริมชายหาดหัวหินนั่งไว้ด้วยชายผู้หนึ่งกำลังนั่งเหม่อมอง ไปยังท้องฟ้าเบื้องบน เหมือนกับว่าเขาพยายามที่จะค้นหาอะไรบางอย่างจากฟากฟ้าที่ส่องสกาวไปด้วยแสง ดาวที่ระยิบระยับ แต่บนใบหน้าของเขากลับประดับไปด้วยคราบน้ำตาที่คล้ายกับเพิ่งจะเหือดแห้งไป ไม่นานนัก ใบหน้าอันโศกซึ้งของเขานั้นกลับตัดกลับแสงสว่างที่สาดส่องลงมายังพื้นโลก อย่างสิ้นเชิง
ชายผู้นี้ชื่อว่า “นเรศ” เขาเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีดีกรีด๊อกเตอร์การันตีความเฉลียวฉลาดของเขา ปีนี้เขามีอายุยี่สิบแปดปีบริบูรณ์ เขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมืองไทยใน สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะไม่ได้รับเกียรตินิยมอันดับใดก็ตาม แต่เพื่อนๆในรุ่นก็ยกให้เขาเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของแนวความคิดทางวิทยา ศาสตร์ซึ่งเขาได้คิดค้นขึ้น ทฤษฎีที่เขาได้พยายามศึกษาและค้นคว้าอย่างหนักก็คือ ทฤษฎี Cycle
ทฤษฎี Cycle เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของการเป็นไปของธรรมชาติตามกฎของ Cycle ใจความหลักที่ทำการค้นคว้าอยู่นั้นมีพื้นฐานว่า สิ่งมีชีวิตหรือทุกๆสิ่งในโลกล้วนแล้วแต่ต้องเคลื่อนไหวตามแกนกลางของสิ่ง ดึงดูดใดสิ่งหนึ่ง เช่น โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์โคจรรอบโลก เลือดไหลเวียนเป็น Cycle โดยมีหัวใจเป็นแกนกลาง เป็นต้น
แม้ว่าเขาจะทำการศึกษาค้นคว้าอย่างหนักแต่เขาก็มิได้ย่อท้อแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะเขามีเพื่อนคู่คิดและเป็นทั้งเพื่อนคู่ใจในเวลาเดียวกันคอยช่วย เหลือให้กำลังใจเขาตลอดมา เธอชื่อว่า “ทิพย์” เธอเรียนปริญญาเอกคณะเดียวกับนเรศและยังเป็นผู้หญิงคนเดียวในรุ่นที่ได้รับ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทิพย์และนเรศ คบหาดูใจกันตั้งแต่เริ่มเรียนระดับปริญญาโท ทั้งสองคนนี้ต่างมีแนวความคิดที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร เพียงแต่ว่าแนวความคิดของทิพย์นั้นเป็นที่ยอมรับมากกว่าของนเรศเท่านั้น เพราะทฤษฎีวงกลมของนเรศนั้นล้ำหน้าเกินจินตนาการของคนธรรมดาเกินไป
ทิพย์และนเรศต่างสำเร็จปริญญาเอกพร้อมกันและเข้าทำงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์ พร้อมกันแต่ทิพย์นั้นกลับได้รับตำแหน่งที่สูงกว่านเรศครึ่งขั้น ทั้งคู่ได้ทำการวิจัยร่วมกันในหลายๆเรื่องมีทั้งความขัดแย้งและไม่พอใจในแนว ความคิดซึ่งกันและกัน แต่หลังจากเวลางานแล้ว ทั้งคู่ก็ยังคงรักใคร่กันเช่นเดิมทำให้เพื่อนๆหลายๆคนมองว่าความรักของทั้ง คู่เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่ยิ่งนัก นับว่าเป็นคู่รักที่มีทั้งความรักและความชังไปในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบก็ได้
นั่นเป็นเรื่องของนเรศและทิพย์เมื่อสัปดาห์ก่อน ทุกๆอย่างที่เคยสวยงามและกำลังดำเนินไปด้วยดีนั้นกลับจบลงด้วยโศกนาฎกรรมที่ เขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เมื่อวันศุกร์ที่แล้วเขาและทิพย์นัดกันว่าจะมาเที่ยวหัวหินด้วยกัน ทั้งนี้เพราะทิพย์เป็นคนที่ชอบทะเลและกลิ่นอายของทรายนัก นเรศเห็นว่าเป็นช่วงหยุดปลายสัปดาห์จึงชักชวนทิพย์มาเที่ยวหัวหินด้วยกัน ทิพย์ก็ตกปากรับคำ แต่มีข้อแม้ว่านเรศจะต้องเดินทางไปหัวหินก่อนเพื่อไปจองโรงแรมระดับห้าดาว ที่ทั้งคู่เคยมาพักหลายครั้งและยังคงติดใจในบริการอยู่ ทั้งนี้เพราะทิพย์จะต้องทำการเคลียร์งานที่คั่งค้างให้เสร็จก่อน แว่วเสียงของทิพย์ในวันนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของนเรศตลอดเวลา
“เรศ นายล่วงหน้าไปก่อนนะ เดี๋ยวทิพย์เคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบขับรถตามไปเลย รับรองว่าไม่ให้เรศรอนานหรอก ทิพย์จะเหยียบร้อยห้าสิบเลย เอาให้ไมล์พังไปเลยนะ อิอิ นี่กลัวว่าเรศจะรอนะเนี่ย”
นั่นเป็นคำพูดติดตลกของทิพย์ที่พูดเสมอๆ แต่นเรศไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาจะได้ยินจากปากของทิพย์ ในค่ำคืนนั้นเขาเฝ้ารอทิพย์จนกระสับกระส่าย โทรศัพท์ติดต่อไปกี่ครั้งทิพย์ก็ปิดเครื่องตลอดเวลา เขาเชื่อใจทิพย์เสมอมาว่าทิพย์จะไม่นอกใจเขาเด็ดขาด ทำให้เขามั่นใจว่าต้องเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างกับทิพย์อย่างแน่นอน ประมาณสี่ทุ่มเสียงโทรศัพท์ของนเรศก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ ขอเรียนสายด็อกเตอร์นเรศครับ” เสียงผู้ชายขึงขังเสียงหนึ่งพูดขึ้นมา
“ครับ ผมนเรศพูดอยู่ครับ”
“ครับผมโทรจากสถานีตำรวจท่ายาง จ.เพชรบุรีนะครับ”
“ครับ” น้ำเสียงของนเรศเริ่มเปลี่ยนไป ในเวลานี้เขาแทบจะแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับทิพย์
“ไม่ทราบด็อกเตอร์รู้จักกับ คุณทิพย์วรรณ แสงอับสรไม๊ครับ”
“ครับ เธอเป็นแฟนผมเองครับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นครับ” แม้ว่านเรศพยายามควบคุมอารมณ์ตนเองแค่ไหน แต่เวลานี้น้ำเสียงของเขากลับสั่นเครือ พร้อมกับมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ที่สองตา
“ขอโทษนะครับ คือว่าทางเราต้องการให้ด็อกเตอร์มาพบกับคุณทิพย์วรรณที่สถานีตำรวจท่ายางโดย ด่วน ไม่ทราบว่าด๊อกเตอร์พอจะสะดวกไม๊ครับ”
“เกิดอะไรขึ้นครับ” นเรศถามย้ำอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่อยากรับฟังคำตอบนั้นเลยก็ตาม
“ทางเราเกรงว่าจะไม่สะดวกในการบอกกล่าวนะครับ เอาเป็นว่าด็อกเตอร์รีบมาหน่อยก็ดีนะครับผม”
เสียงโทรศัพท์วางสายไปแล้ว แต่นเรศกลับยังยื่นนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในใจเขายังคงเข้าข้างตัวเองพยายามบอกว่าไม่มีอะไร แค่ทิพย์อาจจะประสบเหตุการณ์อะไรเล็กน้อยแล้วตำรวจเชิญตัวไว้ที่โรงพัก แต่เขาก็รู้ว่าความคิดเช่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทิพย์ประสบอุบัติเหตุ !!! ความรู้สึกกระตุ้นเตือนเขาอีกครั้ง นเรศฟื้นคืนสติอีกครั้งจากนั้นรีบขับรถไปยังสถานีตำรวจท่ายาง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหัวหินสักเท่าใดนัก แต่เขากลับมีความรู้สึกว่าช่างใช้เวลานานเสียเหลือเกินกว่าจะไปถึงสถานี ตำรวจท่ายาง
เมื่อห่างจากสถานีตำรวจท่ายางประมาณสามกิโลเมตร นเรศเห็นถนนฝั่งตรงกันข้ามมีรถประสบอุบัติเหตุชนโคนต้นไม้ใหญ่พังยับเยิน ทันทีที่เขาเห็นภาพนั้นรถของเขาเองก็แทบจะเสียหลักลงข้างทาง ทั้งนี้เพราะรถที่ประสบอุบัติเหตุคันนั้นเป็นรถของทิพย์ รถของทิพย์แน่นอน ในใจเขาบอกเช่นนั้น รถยนต์ซีวิคไฟตาเหยี่ยวรุ่นใหม่ล่าสุดสีดำ สภาพของรถยนต์แทบจะจำไม่ได้ รถยนต์อัดก๊อบปี้กับต้นไม้ใหญ่รถย่นมาเกือบครึ่งคัน แม้จะผ่านตาเพียงแว่บเดียว แต่นเรศก็รู้แล้วว่าทิพย์ประสบอุบัติเหตุรุนแรงแน่นอน ในใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ แว่วเสียงของทิพย์ดังก้องขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง
รับรองว่าไม่ให้เรศรอนานหรอก ทิพย์จะเหยียบร้อยห้าสิบเลย เอาให้ไมล์พังไปเลยนะ อิอิ นี่กลัวว่าเรศจะรอนะเนี่ย
เขานึกหน้าที่ขี้เล่นของทิพย์เวลาพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างชัดเจน ประกายน้ำตาหลั่งไหลออกมาโดยที่เขาไม่สามารถกลั้นอารมณ์ความรู้สึกได้อีกต่อ ไป เขารู้แล้วว่าเขากำลังจะพบกับอะไรที่สถานีตำรวจท่ายาง........
......................................................................................
เสียงคลื่นซัดสาดดังก้องอยู่ในหูของนเรศ แต่ไม่ว่าเสียงคลื่นจะดังเพียงใดก็ตาม แต่นเรศก็หาได้รับรู้ถึงเสียงแห่งความสุขที่ครั้งหนึ่งทิพย์เคยบอกต่อเขาว่า ชอบมากที่สุดนี้ได้ เวลานี้นเรศกำลังคิดอะไรบางอย่าง
นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ เราร่ำเรียนมาเพื่ออะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วเราจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ทิพย์จากไปแล้ว ไม่มีสัญญาณใดๆทั้งสิ้น จากไปโดยไม่ได้ร่ำลา จากไปแล้วไม่หวนกลับ แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร.........หรือว่าชีวิตก็เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
“เรศ กลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกนะเพื่อน” แว่วเสียงชายอีกคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของนเรศ
นเรศหันกลับไปเห็นก้าวไกล เพื่อนสนิทรุ่นเดียวกันที่เรียนปริญญาเอกมาด้วยกัน แต่เมื่อเรียนจบก้าวไกลกลับหันไปเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยไล่ตามความฝันที่ อยากเป็นศาสตราจารย์ของเขาต่อไป ก้าวไกลเดินมานั่งข้างกายนเรศ โอบไหล่ของนเรศไว้กล่าวว่า
“เรศ ชั้นเข้าใจนะว่าแกเสียใจมาก แต่ทิพย์คงไม่อยากให้แกเป็นอย่างนี้ไปตลอดหรอกนะ แกอย่าลืมว่าแกต้องมีชีวิตต่อไป ทิพย์ก็แค่ล่วงหน้าพวกเราไปก่อนเท่านั้น”
นเรศคล้ายกับไม่ได้ยินเสียงของก้าวไกล กล่าวอย่างเลื่อนลอยว่า
“แกคิดว่าทิพย์เค้าไปที่ไหนวะ”
ก้าวไกลได้ยินคำถามนี้ถึงกับแทบอยากร้องไห้ออกมาแทนเพื่อนคนนี้จริงๆ ที่นเรศถามเช่นนี้คล้ายกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างออก หรือที่แท้เขาถามออกมาเพราะเขาอยากรู้จริงๆกันแน่ แต่ก้าวไกลก็ปลอบโยนว่า
“ไม่รู้ซิ ไม่แน่บางทีทิพย์อาจจะยังคงอยู่ข้างๆกายของพวกเรา คอยฟังที่เราสองคนคุยกันก็ได้ นายก็รู้นี่ว่า พลังงานไม่มีทางหายไปจากโลก เพียงแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเท่านั้น”
นเรศหันกลับมามองหน้าก้าวไกล ประกายตาเริ่มเกิดความหวังขึ้นทีละน้อยๆ อาการเช่นนี้แสดงว่าเขากำลังคิดอะไรออก นเรศกล่าวว่า
“จริงด้วย นายพูดถูก ถ้าหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เราร่ำเรียนกันมามันถูกจริงๆ แสดงว่าทิพย์ก็ยังคงอยู่ แค่เปลี่ยนจากรูปลักษณ์ร่างกาย เป็นพลังงานกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ถ้าเราสามารถที่จะจับสัญญาณกับพลังงานนั้นได้ ชั้นก็คงจะสามารถสื่อสารกับทิพย์ได้อีกครั้ง โอ้พระเจ้าขอบใจนายมากก้าวไกล”
ก้าวไกลมองหน้าของนเรศ ในใจไม่ได้คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้นเรศจริงจังขนาดนี้ ถึงกับต้องกล่าวว่า
“เฮ้ย เรศ นี่แกกำลังคิดอะไรอยู่วะ อย่าบอกนะว่าคิดอะไรแผลงๆอีก ชั้นแค่พูดออกมาลอยๆ”
“ก็ไอ้คำพูดลอยๆนี่แหละ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนเค้าคิดค้นทฤษฎีต่างๆนาๆได้ ขอบใจนายจริงๆว่ะก้าวไกล” นเรศยังคงพร่ำขอบคุณก้าวไกล สีหน้าในตอนนี้นั้นมีแต่รอยยิ้ม ต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังมือจากเมื่อสองสามนาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง
“แกคิดอะไรได้วะ พอจะบอกกันได้ไม๊ เพื่อชั้นจะช่วยอะไรแกได้บ้าง” ก้าวไกลถาม
นเรศยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะเงยหน้าไปบนท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า
“แกยังจำทฤษฎี Cycle ของชั้นได้รึเปล่าวะ ที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดำเนินไปตามวัฏจักร คำพูดของแกทำให้ชั้นนึกขึ้นได้ว่า เรื่องของชีวิตก็ไม่มีข้อยกเว้น ตัวอย่างเช่นวัฎสงสาร เกิด แก่ เจ็บ ตายไงวะ เห็นไม๊ว่ามันยังคงเป็นCycle เลย โอ้..นี่ต้องเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแน่นอน ทิพย์เอ๋ย เรศจะต้องพาทิพย์กลับมาจากโลกนู๊นให้ได้ ทิพย์จะต้องย้อนคืน Cycle กลับมาสู่ตำแหน่งเดิม เรศจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ทิพย์รอก่อนนะ” ขาดคำของนเรศ ก็มีลมเย็นยะเยือกสายหนึ่งพัดผ่านคนทั้งคู่ไปคล้ายกับจะตอบรับคำวิงวอนของ นเรศก็ไม่ปาน
..........................................................................................................
ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วิทยาเขตหัวหิน ในห้องพักครูชั้นสองของตึก NB ก้าวไกลยังคงนั่งตรวจงานของนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการ ที่เขาเป็นอาจารย์ผู้รับผิดชอบสอน วันนี้เป็นวันเสาร์แต่เขาก็ยังคงนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้น เขาพยายามอย่างมากที่จะดันตนเองให้กลายเป็นศาสตราจารย์ที่อายุน้อยที่สุด แต่เรื่องนี้ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา
ก้าวไกลแต่งงานเมื่อสองปีที่แล้วในช่วงที่เรียนปริญญาเอก กับสาวหัวหินคนหนึ่ง เขาจึงตกลงใจมาสมัครเป็นอาจารย์ผู้สอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต วิทยาเขตหัวหิน เขามีลูกแล้วหนึ่งคนอายุสามขวบ เขาเป็นคนรักครอบครัวและพยายามทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ก้าวไกลเป็นคนที่อยู่อย่างพอมีพอกินดำเนินชีวิตตามพระราชดำรัสของในหลวง ดังนั้นเขาจึงมิใช่คนที่ฟุ้งเฟ้อแสวงสิ่งแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่นี่มิได้ทำให้เขาละทิ้งความฝันที่จะก้าวสู่การเป็นศาสตราจารย์แต่อย่างใด
แว่วเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะของเขาดังขึ้น
“สวัสดีครับ ก้าวไกลรับสายครับ”
“อาจารย์คะ มีสายนอกมาจากด็อคเตอร์นเรศค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับไม๊คะ”
“โอนสายเข้ามาได้เลยครับ”
ตู๊ด.....ตู๊ด......
“สวัสดีเรศ”
“เออ กว่าจะรับได้นะ แหมเข้าถึงตัวยากจริงๆนะอาจารย์” เสียงนเรศดังก้องอยู่ในหูโทรศัพท์
“น้ำเสียงดีขึ้นแล้วนี่หว่า เป็นยังไงบ้าง สบายดีรึเปล่าวะเรศ” ก้าวไกลถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“โอย ไม่ต้องเป็นห่วง สบายมาก นี่ก็เพราะคำพูดของแกนะเนี่ย เลยทำให้ชั้นมีความหวังขึ้น นี่แกรู้รึเปล่าว่าชั้นไปค้นคว้าอะไรมา”
“อะไรของแกวะ”
“งานนี้งานช้างเลยนะเว้ย แกก็รู้อยู่แล้วว่าคนอย่างชั้นทำอะไรเล็กๆ ไม่เป็น” นเรศคุยทับ
ก้าวไกลตอบด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า
“เฮ้ยเรศ แกอย่าคาดหวังอะไรให้มากเกินไปนะเว้ย เวลาผิดหวังแล้วมันจะไม่มีอะไรให้รองรับอีก แล้วจะหาว่าชั้นไม่เตือน”
“เออๆ ขอบใจที่เป็นห่วง คืนนี้ว่างไม๊วะ เดี๋ยวชั้นไปหาแกที่หัวหิน มีอะไรจะคุยแล้วก็ขอความช่วยเหลือหน่อย” นเรศชวนก้าวไกล
“อืม... ก็ได้ เดี๋ยวขออนุญาตภรรยาสุดที่รักก่อน ไม่ค่อยได้ท่องราตรีนานหละ เจอกันที่ไหนดี?”
“ที่ ดีเซมผับ ก็ได้ เสียงไม่ดังดี จะได้คุยกันสะดวกหน่อย” นเรศบอกอย่างรวดเร็ว
“เออๆ เวลามาก็ไม่ต้องขับเร็วละ จะมาสักกี่โมง” ก้าวไกลถาม
“เจอกันตอนสามทุ่ม กว่าชั้นจะออกจากกระทรวงก็เย็นละ” นเรศบอก
“โอเค แล้วเจอกันพวก” ก้าวไกลทิ้งท้าย
หลังจากวางโทรศัพท์ก้าวไกลก็นั่งครุ่นคิดว่า อะไรที่ทำให้นเรศเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ทิพย์เคยทำให้นเรศตกหลุมรักอย่างโงหัวไม่ขึ้น นี่ไม่ใช่ความรักที่มีความต้องการทางเพศเป็นสำคัญ แต่เป็นความรักที่มีการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เป็นเดิมพัน ทั้งทิพย์และนเรศต่างเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่หาตัวจับได้ยาก ดังนั้นทั้งคู่ต่างเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ความรักจึงค่อยๆงอกเงยขึ้นจนก่อเป็นความรักที่แข็งแกร่งเกินกว่าจะให้สิ่งใด มาทำลายได้ และด้วยอำนาจความรักขนาดนี้นี่เองทำให้นเรศต้องการที่จะช่วยให้ทิพย์ฟื้นคืน กลับมาจากความตาย ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเลย แต่นเรศกลับคิดว่ามันจะต้องเป็นไปได้ แม้ว่าจะมีโอกาสแค่ในทางทฤษฎีก็ตาม....
........................................................................................
ทั้งนเรศและก้าวไกลนั่งดื่มกันมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแล้ว แต่ทั้งคู่หาได้พูดคุยถึงเรื่องทิพย์ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว นเรศเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าทุกข์ใจออกมาแม้แต่น้อย ทำให้ก้าวไกลแน่ใจว่านเรศต้องค้นหาทางออกได้แล้วเป็นแน่แท้
“โทษนะเรศ ถามจริงๆเถอะว่ะ แกทำใจเรื่องของทิพย์ได้แล้วใช่ไม๊วะ”
นเรศมองหน้าก้าวไกลก่อนที่ยิ้มออกมาแล้วดื่มเบียร์ก่อนอึกหนึ่งค่อยกล่าวว่า
“ก้าว แกคิดว่านรกสวรรค์มีจริงไม๊วะ”
ก้าวไกลมองหน้านเรศอย่างจริงจัง ขบคิดแล้วกล่าวว่า
“เรศ นี่แกถามชั้นในฐานะนักวิทยาศาสตร์หรือว่าถามในฐานะที่เป็นชาวพุทธวะ”
“แกมีอารมณ์ไปเที่ยวทะเลตอนนี้มั๊ยวะ ชั้นอยากสร้างบรรยากาศหน่อยวะ เรื่องที่จะคุยกันมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่แกคาดคิดไว้ แล้วชั้นเองก็ไม่กล้าเอาข้อมูลที่ค้นหามาได้เผยแพร่สู่สาธารณชนหรอกว่ะ มันเสี่ยงเกินไป” นเรศกล่าวอธิบายจากนั้นยกมือเรียกพนักงานมาเก็บเงิน
“ไปตอนนี้เลยเหรอวะ” ก้าวไกลถาม
“แล้วจะรออะไรวะ เวลามันไม่คอยใครนะเว้ย ไปกันเถอะ” นเรศจ่ายเงินแล้วลุกขึ้นนำก้าวไกลออกจากร้านอาหารไป
......................................................................................
ริมชายหาดหัวหิน ก้อนหินก้อนเดิมเมื่อคราวที่นเรศหลบหนีความจริงที่ว่าทิพย์ได้จากเขาไปแล้ว มาสงบสติอารมณ์อยู่ที่นี่ ค่ำคืนนี้ทั้งนเรศและก้าวไกลกลับมายังก้อนหินก้อนนี้อีกครั้ง ทั้งคู่นอนหงายหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า คืนนี้มีเพียงสายลมอ่อนๆที่พัดโชยกับเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้าหาฝั่ง ทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มสงบลงโดยที่เราไม่รู้ตัว
“ก้าว ถามแกอีกครั้งแล้วกันนะ แกว่านรกสวรรค์มีจริงมั๊ยวะ ในฐานะที่แกเป็นชาวพุทธนะ” นเรศเริ่มต้นการสนทนา
“อืมม ในฐานะที่เป็นชาวพุทธนะ แกก็รู้ว่าพวกเราชาวพุทธสืบทอดความเชื่อต่อๆกันมาว่าหากตายแล้วจะต้องไป สวรรค์ไม่ก็ไปนรก ทั้งนี้เพื่อชดใช้กรรมที่เราได้ก่อเอาไว้ในชาตินี้” ก้าวไกลตอบคำถาม
“ถ้างั้นในเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรละ แกจะว่าไงวะ ไหนบอกว่าไปชดใช้กรรมในนรกแล้ว ทำไมจะต้องมีเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาเกี่ยวข้องวะ” นเรศชี้ชัดคำถามลงไป
ก้าวไกลเกาศีรษะ งุนงงกับคำถามอันยอกย้อนของนเรศ กล่าวว่า
“แกเป็นนักวิทยาศาสตร์หัวสมัยใหม่นี่หว่า นี่อะไรดลใจให้แกมาค้นคว้าเรื่องนี้วะ แล้วนี่มันเกี่ยวกับทิพย์ยังไงวะ”
“ฮ่า ฮ่า เอาน่า นี่มันเป็นเพียงแค่หัวข้อชี้นำ ตอบมาว่าแกจะอธิบายยังไงเกี่ยวกับเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร” นเรศเร่งรัดให้ก้าวไกลตอบ
ก้าวไกลมองหน้านเรศแล้วแย้มยิ้มออกมา พฤติการณ์ของนเรศในตอนนี้เหมือนกับเมื่อครั้งยังเรียนปริญญาเอกอยู่ เวลาที่นเรศคิดค้นอะไรใหม่ๆได้ เขาจะพยายามเรียกให้เพื่อนๆตอบคำถามต่างๆนาๆ เพื่อชักนำไปสู่ข้อสรุปที่เขาได้ค้นคว้ามา นับว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของนเรศ
“เอาเป็นว่าชั้นตอบตามแนวคิดของตัวเองแล้วกัน ที่ว่าชดใช้กรรมในนรกนั้นคือชดใช้กรรมที่ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรเป็นคู่กรณี เช่นการผิดลูกผิดเมียผู้อื่น หรือการลักเล็กขโมยน้อย การพูดปดเป็นต้น ส่วนในกรณีที่มีเจ้ากรรมนายเวรจะต้องมาชดใช้กรรมต่อในโลกมนุษย์ขึ้นอยู่กับ ว่าจะชดใช้กรรมในชาติไหน แกพอใจในคำตอบไม๊วะ”
นเรศมองหน้าก้าวไกลอย่างยิ้มเยาะ ค่อยกล่าวว่า
“ถูกต้อง นั่นเป็นแนวความคิดที่สืบต่อกันมาของชาวพุทธเราหละ ทีนี้ แกตอบคำถามชั้นทีว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์”
“นี่แกถามเป็นจริงเป็นจังมากไปเปล่าวะ เอางี้ หากตอบในฐานะนักวิทยาศาสตร์นะ สวรรค์หรือนรกเนี่ยไม่มีหรอก แกก็รู้อยู่แล้วว่านอกจากโลกเราและจักรวาลแล้ว ยังไม่มีโลกอื่นอยู่อีก” ก้าวไกลตอบคำถามตามสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา
“ฮ่า ฮ่า ไอ้ก้าว ถ้าแกว่านอกจากโลกและจักรวาลแล้ว ไม่มีภพอื่นอีก แล้วแนวความคิดของโลกคู่ขนานของเวลา แนวความคิดของโลกกระจกที่เสมือนโลกจริงคืออะไรวะ ไหนว่ามีแค่โลกเดียวไง” นเรศตอกย้ำลงไปในคำตอบของก้าวไกล
“วะ ไอ้นี่ ถามมาก็ตอบให้ยังมากวน จะอธิบายอะไรก็ว่ามาซิวะ” ก้าวไกลเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย
“ใจเย็นๆ เพื่อน รู้หละว่าแกอารมณ์ร้อน แกฟังคำถามนี้ให้ดีๆนะ แล้วค่อยๆคิดแล้วตอบชั้นมา แกคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เรื่องอะไรวะ”
ก้าวไกลตะลึงในคำถามของนเรศ และพอจะนึกออกว่านเรศกำลังเล่นอยู่กับอะไร ถึงกับกล่าวเสียงแข็งว่า
“ไอ้เรศ ไม่สนุกแล้วนะเว้ย นี่แกคิดจะเอาพุทธศาสนามาวิจัยหรือไงวะ งานนี้มันเสี่ยงมากนะเว้ย ชาวพุทธทั่วโลกไม่ได้มีแค่คนสองคนนาคิดให้ดี”
“ชั้นถึงได้ว่าไง แนวความคิดนี้มีความเสี่ยงสูงมาก ชั้นถึงอยากคุยกับแกแค่สองคน” นเรศตอบอย่างใจเย็น
ก้าวไกลอดใจไม่ไหวถามไปว่า
“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องของทิพย์วะ แกถึงได้กล้าวิจัยในเรื่องที่คนอื่นเค้าไม่ทำกัน”
นเรศได้ยินชื่อของทิพย์ถึงกับหน้าเศร้าหมองลง ไม่กล่าววาจา ก้าวไกลเห็นว่าตนเองกล่าวรุนแรงเกินไปจึงกล่าวว่า
“เออ ขอโทษทีว่ะ เอาเป็นว่านึกไงถึงมาศึกษาเรื่องนี้วะ”
นเรศค่อยๆกล่าวช้าๆว่า
“แกเชื่อไม๊ว่า ตอนแรกที่แกพูดถึงเรื่องพลังงาน ตอนนั้นทำให้ชั้นมีความหวังว่าเราสามารถที่จะชักนำพลังงานกลับสู่กระบวน การCycle เพื่อฟื้นคืนชีวิต ตามวัฏสงสาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ในที่สุดชั้นก็คิดได้ว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้ ทั้งนี้เนื่องจาก ไม่มีร่างใดให้พลังงานสิงสู่นั่นเอง ดังนั้นหากต้องการให้กลับฟื้นคืนชีพได้ จะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขสองประการ นั่นคือ สามารถติดต่อกับพลังงานชีวิตที่ตายไปได้และยังต้องสื่อสารกันรู้เรื่องด้วย ส่วนประการที่สองคือ จะต้องหาร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีพลังงานใดสิ่งสู่ จึงจะสามารถชักนำพลังงานที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ได้ ทางเดียวที่จะทำได้คือ จับจองร่างไร้วิญญาณที่ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้นมา”
“นายกำลังหมายความว่า จับจองทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาใช่ไม๊” ก้าวไกลคั่นถาม
“ถูกต้อง แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ย่อมเท่ากับเป็นการเข้าสู่กระบวนการCycle ใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น หรือ เข้าสู่ขั้นตอนของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกทีนั่นเอง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เราก็ไม่สามารถที่จะฝืนธรรมชาติและความเป็นไปได้ หากสามารถฝืนได้ พระพุทธเจ้าท่านคงกลับมาเกิดใหม่เพื่อเผยแพร่คำสอนให้ขจรขจายกว่านี้ไปนาน แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่สามารถฝืนสังขารที่ถูกกำหนดมาแต่แรกได้” นเรศอธิบาย
“แต่เค้าบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่กลับมาเกิดอีกทั้งนี้เพราะท่านตรัสรู้แล้วไม่ใช่หรือวะ” ก้าวไกลย้ำเตือนนเรศ
“การกลับมาเกิดกับการคืนสู่ร่างเดิมเป็นคนละเรื่องกันนะเว้ย คิดดูดีๆ”
“แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ละทิ้งได้ทุกๆอย่างบนโลกแล้วนะ ทำไมท่านจึงต้องกลับมาสู่ร่างเดิมด้วยละ” ก้าวไกลยังคงตั้งคำถามต่อไป
“แล้วอะไรละที่ท่านตรัสรู้ แกคิดว่าเป็นอะไรวะ ทำให้ท่านละสังขารในโลกใบนี้ได้”
“นเรศ นี่แกกำลังต้องการจะบอกอะไรกับชั้นวะ?”
นเรศแย้มยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่จะทำหน้าผ่อนคลายแล้วกล่าวว่า
“แกคงเคยได้ยินคำว่า ‘คนตายไปดีแล้ว’ ครั้งแรกที่ได้ยินพวกเรายังเล่นมุขกันอยู่เลยว่า สงสัยคนตายจะไปดีแล้วจริงๆ ดูสิ ไม่เคยเห็นใครกลับมาสักคน”
“แกหมายความว่า” ก้าวไกลงุนงง
“ก็ไม่ต้องหมายความว่าอะไร ไอ้คำพูดนั้นมันถูกต้องแล้ว” นเรศตอบคำ
“แกกำลังจะบอกว่า คนตายแล้วมีที่ไปต่ออย่างนั้นเหรอ แกบ้าไปแล้วเรศ” ก้าวไกลกล่าวงงๆ
นเรศปั้นหน้าจริงจัง มองหน้าก้าวไกล ก่อนที่จะกล่าวว่า
“ตอนนี้แกยังไม่ต้องเชื่อชั้นก็ได้ แต่ช่วยรับฟังชั้นหน่อยเถอะ อย่างน้อยๆ ให้ชั้นได้ระบายแนวความคิดที่ศึกษามาให้แกฟังบ้าง”
ก้าวไกลผงกศีรษะรับอย่างเลื่อนลอย นเรศเห็นเช่นนั้นค่อยกล่าวคำที่สร้างความประหลาดใจให้ก้าวไกลได้ยินประโยคหนึ่ง
“ก้าว แกจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าวันใดที่นักวิทยาศาสตร์เราสามารถที่จะศึกษาจนรู้ว่าจักรวาลคืออะไร มีรูปร่างอย่างไร เมื่อนั้นเราจะสามารถรู้ถึงกลไกลของจักรวาล รวมทั้งกลไกของชีวิตและความจริงของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งนั่นจะเชื่อมโยงกับ ทฤษฎี Cycle ของชั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ชั้นไม่เข้าใจว่ะเรศ” ก้าวไกลสงสัย
นเรศถอนหายใจออกมา แววตาส่อให้เห็นถึงความอ่อนล้าอย่างชัดเจน แต่ก็เป็นใบหน้าของคนที่มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม นเรศพยายามอธิบายว่า
“ก้าว แกจำทฤษฎี Cycle ของชั้นได้ใช่ไม๊ ตามทฤษฎีบอกว่า ทุกๆอย่างจะมี Cycle ของมันเอง เช่น เข็มนาฬิกาหมุนรอบหน้าปัดนาฬิกา ธุรกิจมีวงจรธุรกิจ เลือดหมุนเวียนไปตามร่างกายโดยมีหัวใจเป็นแกนกลาง โลกหมุนรอบตัวเอง ดวงจันทร์หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วแกคิดรึเปล่าว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบอะไรบางอย่างอยู่?”
“แกกำลังจะบอกว่า ดวงอาทิตย์ก็มีวงโคจรของมันเหรอ แต่วิทยาศาสตร์ก็บอกศึกษาหาข้อสรุปได้แล้วว่าดวงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ และเป็นแกนกลางของระบบสุริยจักรวาล”
นเรศทอแววอ่อนล้าอีกครา กล่าวว่า
“แกเชื่อเหรอ แกรู้เหรอว่าดวงอาทิตย์มีการเคลื่อนที่หรือไม่ ที่ว่าเราบอกว่าไม่เคลื่อนที่ นั่นเป็นเพราะเรามองดวงอาทิตย์จากมุมมองของชาวโลก หรือพูดง่ายๆก็คือ เรามองดวงอาทิตย์โดยที่เราเอาตัวเองเป็นแกนกลาง แต่หากว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกละ ถ้าเรายืนอยู่นอกเหนือขอบเขตของสุริยจักวาล ไม่แน่บางทีเราอาจจะมีมุมมองของระบบสุริยจักวาลเปลี่ยนไป”
ก้าวไกลตกใจและตื่นเต้นไปกับแนวความคิดของนเรศ ความคิดนี้นับว่าสร้างความแปลกใหม่กับคนที่ได้ฟังยิ่งนัก จนก้าวไกลอดถามไม่ได้
“แล้วถ้าชั้นบอกว่าไม่เชื่อละ เพราะทฤษฎีนี้มันเกินกว่าจินตนาการเกินไป ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนเราจะมีมุมมองที่อยู่นอกเหนือจากระบบสุริยจักวาล”
นเรศถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครา ทำให้ก้าวไกลสังเกตพฤติกรรมอันอ่อนล้าของนเรศออก
“นั่นเป็นเพราะนายคิดในกรอบ หากนายคิดได้แค่นี้ก็เป็นเพียงแค่เม็ดเลือดเล็กๆในร่างกายเท่านั้น”
“นายหมายความว่าอะไรวะ ชั้นชักจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว นี่มันเกี่ยวอะไรกับเม็ดเลือด” ก้าวไกลถามอย่างงุนงง
นเรศแย้มยิ้มเล็กน้อย ค่อยพยายามอธิบายว่า
“โอ้ ขอโทษที อาจเป็นเพราะชั้นอยากให้นายเข้าใจเร็วๆ เลยเผลอข้ามขั้นตอนในการอธิบายไป”
ก้าวไกลยกมือบอกเป็นความหมายว่าไม่เป็นไร นเรศจึงอธิบายต่อว่า
“นายคงเคยได้ยินเรื่องของสวรรค์ มีคนเคยบอกว่าห้าร้อยปีบนสวรรค์ เท่ากับ สามสิบหกล้านปีในโลกมนุษย์ นั่นหมายความว่าคนสวรรค์มีอายุยืนมากกว่ามนุษย์โลกถึงห้าแสนเท่า นั่นหมายความว่าใครๆก็อยากขึ้นสวรรค์กันทั้งนั้น”
ก้าวไกลจึงกล่าวว่า “แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องที่เล่าต่อกันมาเท่านั้น ไม่มีใครทราบหรอกว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่”
นเรศถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง อธิบายช้าๆว่า
“มีจริงหรือไม่จริงไม่มีใครทราบได้ แต่หากไม่มีเค้ามูลความจริงคงไม่มีการบอกต่อ แล้วแกว่าใครเป็นคนกล่าวถึงนรกสวรรค์ละ ถ้าไม่ใช่ศาสนาพุทธของเรา”
“เรศ นี่แกกำลังจะบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เคยไปสวรรค์มาแล้วรึ” ก้าวไกลถามอย่างตระหนก
“ถูกต้อง ถึงแม้ว่าไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็มีส่วนถูกต้องอยู่มาก ไม่เช่นนั้นนรกสวรรค์คงไม่เป็นความเชื่อของพุทธศาสนิกชนเราแล้ว ดังนั้นตามที่ชั้นคาดเดาเอาไว้ พระพุทธเจ้าจะต้องรู้แน่ๆว่าชีวิตหลังความตายจะต้องมีโลกสวรรค์รออยู่”
“แล้วไงวะ ยังไงก็ไม่เห็นเกี่ยวกับทฤษฎี Cycle ของแกเลย”
“ใจเย็นๆ แล้วฟังดีๆ นะ เมื่อกี้ชั้นพูดถึงเม็ดเลือด นายคงจะพอจำได้ ถ้าสมมุติว่า เม็ดเลือดมีอายุขัยแค่ ๑ วัน และก็จะมีการสลายไปและเกิดใหม่ของเม็ดเลือดดำเนินไปเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน ถามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ คำตอบก็คือไม่มีแน่นอน เม็ดเลือดก็ยังคงทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆตามแต่สิ่งที่มันต้องทำ มันเคยรู้ไม๊ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในส่วนใดของร่างกาย เม็ดเลือดไม่เคยรู้มาก่อน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเม็ดเลือดที่หมดอายุขัยไปแล้ว เกิดเหลือเป็นพลังงานหลุดรอดออกมาจากร่างกายคนเรา อะไรจะเกิดขึ้น?”
ก้าวไกลรับฟังแล้วถึงกับตระหนก เพราะแนวความคิดนี้นับว่าไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ถึงกับกล่าวออกมาว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เม็ดเลือดก็ต้องรู้สิว่ามันอาศัยอยู่ในอะไร มันต้องรู้ว่าที่แท้มันอยู่ในร่างกายคน คนที่มีอายุถึง ๗๐ ปี มากกว่าอายุของเม็ดเลือดถึงสองหมื่นห้าพันเท่า”
นเรศยิ้มออกมาก่อนค่อยกล่าวว่า
“ถูกต้องเพื่อน ถ้านายเป็นเม็ดเลือดแล้วรู้ว่าจริงๆแล้วตัวมันเองอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่ มีอายุมากกว่ามันถึงสองหมื่นห้าพันเท่า นายอยากจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเม็ดเลือด?”
“นายกำลังจะบอกว่าชาวสวรรค์มีอยู่จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านเลยสามารถละสังขารในโลกนี้ได้เช่นนั้นเหรอวะ” ก้าวไกลกล่าวด้วยความตระหนก
นเรศยังคงเหม่อมองท้องฟ้าและถอนหายใจก่อนที่จะตอบว่า
“มันไม่ใช่แค่นั้นซิวะ ชั้นคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มิใช่เพียงหนทางการดับทุกข์เท่านั้น แต่ท่านนับเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลกที่ค้นพบว่าจักรวาลคืออะไร”
“นี่แกหมายความว่าไงวะ” ก้าวไกลคาดเค้นหาคำตอบ
“ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าท่านอาจจะศึกษาจนทราบว่าจักรวาลแท้จริงแล้วคืออะไร มีกลไกดำเนินความเป็นไปของตัวมันเองอย่างไร ก้าว แกลองเปรียบเทียบดูระหว่างชีวิตคนเรากับเม็ดเลือดซิวะ หากโลกเป็นเพียงเม็ดเลือดเล็กๆในจักรวาล จักรวาลอาจเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งก็ได้ที่โลกเราอาศัยอยู่ภายในร่างกายของ มัน และจักรวาลอาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุมากกว่าคนบนโลกหลายๆล้านเท่า เหมือนกับที่คนเรามีอายุขัยมากกว่าเม็ดเลือดตั้งสองหมื่นห้าพันเท่าไง แกเข้าใจรึยัง?” นเรศอธิบายช้าๆให้ก้าวไกลทำความเข้าใจไปด้วย
“แกถึงได้บอกว่าหากนักวิทยาศาสตร์สามารถรู้ว่าจักรวาลคืออะไร จะทำให้เรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรใช่ไม๊ แล้วนี่เกี่ยวข้องอะไรกับทิพย์วะ” ก้าวไกลย้อนถามเมื่อฟังนเรศอธิบายจนจบ
นเรศลุกขึ้นยืนช้าๆมองไปบนท้องฟ้ากล่าวว่า
“ก้าว ชั้นเข้าใจแล้ว ตอนนี้ทิพย์อาจจะไม่ได้เป็นพลังงานที่อยู่ในโลกนี้ แต่ทิพย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนกว่ามนุษย์เป็นหลายๆล้านเท่า ทิพย์ไม่กลับมาแล้ว เราจะไม่ได้เจอทิพย์ที่โลกนี้อีก”
ก้าวไกลลุกขึ้นยืนตามนเรศ พร้อมกับโอบไหล่แล้วกล่าวว่า
“เห็นนายคิดได้ชั้นก็ดีใจด้วย เอาหละ ทฤษฎีของนายแม้ว่าฟังเข้าใจลำบาก แต่ชั้นก็เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่นั่นต้องเป็นเวลาอีกหลายร้อยปีข้างหน้า นับว่าเป็นเรื่องน่าตระหนกมาก ที่พระพุทธเจ้าท่านทราบเรื่องเหล่านี้มามากกว่าสองพันกว่าปี วิทยาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆนับแต่นั้น แต่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดสามารถค้นพบคำตอบอันนี้ได้ยกเว้นพระพุทธเจ้า องค์เดียว นับว่าน่าเหลือเชื่อมาก”
นเรศเห็นว่าก้าวไกลเชื่อในเรื่องทฤษฎีของตนจึงยิ้มแย้มให้ กล่าวว่า
“ก้าว หวังว่าแกจะจดจำทฤษฎีนี้ได้หมด ยังไงๆก็ช่วยบอกๆต่อไปด้วยนะเว้ย เอาหละ นี่ก็มืดค่ำมากแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานต่ออีก แกกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ก้าวไกลได้ยินดังนั้นจึงยกนาฬิกาข้อมือมาดู กล่าวว่า
“อืมม เกือบตีสองแล้ว งั้นชั้นกลับก่อนแล้วกันนะ แล้วนายละ”
“แกกลับไปก่อนเถอะ ชั้นอยากนั่งอยู่ที่นี่สักพัก แล้วชั้นก็จะไปแล้ว หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะก้าว” นเรศยิ้มเนือยๆ
ก้าวไกลค่อยเดินจากไปอย่างช้าๆ ค่อยบอกไล่หลังว่า
“เออ แล้วเจอกันเรศ”
นเรศใช้สายตาส่งก้าวไกลเดินจากไป ในความมืด เขายิ้มออกมา
“ทิพย์ ในที่สุดเรศก็เข้าใจแล้ว ทิพย์ไม่มีวันกลับมาหาเรศในโลกนี้ได้อีกต่อไป แต่ไม่เป็นไรเรศไม่เหงาแล้ว”
..........................................................................
ก้าวไกลเดินห่างจากชายหาดมาเกือบสองร้อยเมตร ในใจครุ่นคิดถึงทฤษฎีที่นเรศอธิบายอย่างยืดยาวให้ฟัง ในใจทั้งยอมรับและปฏิเสธ แต่เป็นที่แน่ใจว่าเพื่อนของเขาคนนี้มีแนวความคิดที่แปลกแหวกแนวเกินกว่าที่ เขาจะเข้าใจได้ แว่วเสียงของนเรศยังคงก้องอยู่ในหู
ก้าว ชั้นเข้าใจแล้ว ตอนนี้ทิพย์อาจจะไม่ได้เป็นพลังงานที่อยู่ในโลกนี้ แต่ทิพย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนกว่ามนุษย์เป็นหลายๆล้านเท่า ทิพย์ไม่กลับมาแล้ว เราจะไม่ได้เจอทิพย์ที่โลกนี้อีก
คำพูดนี้ยังคงก้องอยู่ในหูของก้าวไกล นเรศหมายความว่าอะไร เขาพยายามจะค้นหาความหมายในคำพูดของนเรศ คำพูดอีกประโยคของนเรศก็ดังก้องขึ้นมาในหูของเขา
"ชั้นอยากนั่งอยู่ที่นี่สักพัก แล้วชั้นก็จะไปแล้ว"
ก้าวไกลพยายามจะเชื่อมโยงคำพูดสองประโยคนี้เข้าด้วยกัน เขาเดินไปพร้อมกับนึกทบทวนทฤษฎีทั้งหมดของนเรศ ในที่สุดก้าวไกลก็นึกขึ้นได้ เพราะเหตุใดนเรศจึงถอนหายใจหลายครั้งครา เพราะเหตุใดสีหน้าของนเรศจึงดูอ่อนล้าเช่นนั้น นเรศเพียงต้องการหาคนมารับฟังแนวความคิดของเขาเพื่อขอเสียงสนับสนุนเห็นด้วย หน้าของเขาซีดลงในทันที เขารู้แล้วว่านเรศกำลังจะทำอะไร เขาไม่น่าเห็นด้วยกับทฤษฎีของนเรศ เขาไม่น่ารีบเดินจากมาเลย ขณะที่จะย้อนกลับไปหานเรศนั้น แว่วเสียงสะท้านวิญญาณก็ดังขึ้น
..............ปัง!!!!.............
ก้าวไกลยืนตะลึงอยู่กับที่ เสียงปืนที่ดังขึ้นนั้นดังมาจากบริเวณที่นเรศยืนอยู่ เขารู้ทันทีว่านเรศทำอะไรลงไป นเรศยึดติดกับทฤษฎีของเขามากไปแล้ว ทฤษฎีที่ว่าตายแล้วจะต้องมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่รอให้เราไปสิ่งสู่อยู่ ก้าวไกลไม่ปฏิเสธว่าทฤษฎีนี้จริงหรือไม่ แต่เขาอยากจะวิ่งกลับไปบอกนเรศ บอกว่าทฤษฎีของนายถูกต้อง เพียงแต่ว่า
คนเราหลังจากตายแล้วใช่สามารถเลือกเกิดเป็นอย่างที่ใจต้องการได้หรือไม่
นเรศยังไม่เข้าใจถึงกลไกที่แท้จริงในหลายๆสิ่ง........
เขาจากไปโดยที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตที่รอเขาอยู่นั้นคืออะไร...........
สิ่งที่นเรศล่วงรู้ เป็นเพียงกลไกขั้นต้นของวงจรชีวิตในทุกสรรพสิ่งของจักรวาลเท่านั้น
......แต่เพราะความรัก ความห่วงหา ทำให้เขาขาดวิจารณญาณที่จะครุ่นคิดให้ครบถ้วน......
นเรศจะพบกับทิพย์หรือไม่ หรือจะมีเพียงความว่างเปล่ารออยู่หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป...
........มีเพียงนเรศเท่านั้นที่ให้คำตอบได้.....ถ้าเขาสามารถกลับมาที่นี่ได้อีกครั้งหนึ่ง...........
ผลงานอื่นๆ ของ ก้าวไกล ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ก้าวไกล
ความคิดเห็น