แม่ของผม - แม่ของผม นิยาย แม่ของผม : Dek-D.com - Writer

    แม่ของผม

    เรื่อง แม่ของผม เป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับแม่ที่ดูแลมีแต่ให้ แตใครหลายๆคนอาจมองข้ามแม่เหล่านี้ไป

    ผู้เข้าชมรวม

    87

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    87

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ส.ค. 57 / 19:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    แม่ของผม

                สวัสดีขอรับ ผมชื่อ มานพ ผมเป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของเทพีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามองค์ คือ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา และ พระแม่โพสพ และเทพผู้ยิ่งใหญ่อีกสององค์ คือ พระพายและพระอัคนี อันที่จริงแล้วผมเป็นเด็กกำพร้าอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง แต่โชคร้ายที่ที่นั่นถูกปิดลงเมื่อไม่มีเงินบริจาคเพียงพอ ผมกับน้องๆอีกหลายคนต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกเพียงลำพัง เมื่อพวกเราไม่มีอะไรจะกินเพราะเป็นช่วงเกิดอุทกภัย ผู้คนแทบไม่ช่วงบริจาคอาหาร ผมจึงพยายามขโมยอาหารตามบ้านเรือนต่างๆมาประทังชีวิตผมและน้องๆ แต่โชคร้ายซ้ำอีกผมดันไปขโมยอาหารที่โรงงานร้างแต่กลับไปพบการส่งยาเสพติดพอดี พวกนั้นจึงปิดปากผมด้วยการมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงแม่น้ำที่เชี่ยวกรากหวังให้ผมจมน้ำตาย แต่ชีวิตผมมันก็ตลกสิ้นดีเพราะร่างผมจมน้ำไปตรงปล่องบาดาลหล่นลงไปที่พิภพนาคา พวกนาคที่พบร่างของผมตัดสินใจนำร่างที่ไร้สติของผมไปส่งที่พญานาคผู้ปกครอง ท่านคงสงสารผมที่ต้องตายทั้งที่ยังอายุน้องจึงอัญเชิญพระแม่คงคามาช่วยผม พระแม่คงคาจึงนำร่างของผมไปสวรรค์นำพลังจากพระธรณี พระอัคนี และพระพายมารวมกันแล้วช่วยชุบชีวิตผมขึ้น ท่านเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนพ่อแม่ผู้ให้ชีวิตแก่ผม จากนั้นพระแม่โพสพจึงรับเลี้ยงดูผมต่อมาและนำผมไปฝากเรียนกับพระฤๅษีและพระอินทร์ จนตอนนี้ผมกลายเป็นวิทยาธรผู้มีอิทธิฤทธิ์ในระดับหนึ่ง เวลานี้เป็นเวลาที่ผมรู้สึกกังวลใจที่สุดเมื่ออยู่ๆเหล่าเทพและเทพีต่างเริ่มล้มป่วยลงรวมทั้งผู้มีพระคุณทั้งหมดของผมด้วย แม้พระพรหม พระนารายณ์หรือแม้แต่พระอิศวรก็ไม่สามารถช่วยเหลือโรคนี้แก่เหล่าเทพต่างๆได้ เสียงลมพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเป็นสัญญาณว่าพระอาจารย์กลับมาจากการประชุมเทวสภาแล้ว

                “ผลการประชุมว่าอย่างไรบ้างขอรับท่านอาจารย์” ผมเอ่ยถามพระอาจารย์ขึ้นหลังท่านนั่งลง พระอาจารย์ส่ายหน้า พร้อมตอบว่า

                “อาการของเหล่าเทพและเทพีต่างทรุดลงเรื่อยๆ ตอนนี้ต่างประทับอยู่ที่ห้องทิพย์ ณ วิมานของพระอินทร์เพื่อดูอาการ ข้าได้ข่าวมาว่าถ้าเกิดเหล่าเทพและเทพีอาการหนักจริงๆ พระผู้เป็นเจ้าอาจจะต้องทำสิ่งที่เป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งข้าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย” ทางเลือกสุดท้าย ทางเลือกสุดท้ายอย่าบอกนะว่ามันคือสิ่งที่ผมกลัวว่ามันจะเกิดเหมือนกัน

                “หมายความว่าพระอิศวรอาจจะเปิดพระเนตรที่สามให้เกิดเพลิงกาฬล้างพิภพแล้วสร้างโลกขึ้นใหม่หรือขอรับ” พระอาจารย์พยักหน้ารับ

                “ว่าแต่จะมียาอะไรที่สามรถรักษาอาการของเหล่าเทพและเทพีได้บ้างไหมขอรับ” พระอาจารย์นิ่งคิดและตอบว่า

                “ไอ้ว่ามีไหมมันก็มีอยู่หรอก แต่ส่วนผสมมันไปเอายากนักแถมอาจจะรักษาเหล่าเทพและเทพีได้ไม่ครบทุกองค์บนสวรรค์ด้วย” หืม ยาอะไรนะที่จะสามารถรักษาได้

                “ส่วนผสมอะไรหรือขอรับ” พระอาจารย์ยิ้มอย่างเศร้าๆพลางตอบ “ก็น้ำอมฤตอย่างไรล่ะ  แต่ผู้ที่รักษาน้ำนั่นไว้คือพระอินทร์ นอกจากนี้ยังต้องใช้เลือดจากผู้ที่เต็มใจในปริมาณมากผู้ที่ให้เลือดอาจเสียชีวิต ตัวยาหายากอื่นๆ อย่าง พวกสมุนไพรหอม ความจริงตัวยาอื่นก็มีอยู่ที่กุฏิข้าแต่ข้าไม่มีเลือดกับน้ำอมฤตเท่านั้นแหละ” น้ำอมฤตกับเลือดงั้นเหรอ นับว่าเป็นโชคดีเพราะถึงเขาจะเป็นแค่วิทยาธรมนุษย์ที่กลายร่างเป็นเทวดาชั้นต่ำแต่เขารู้กลไกห้องเก็บน้ำอมฤตและรู้นิสัยของผู้ที่เก็บรักษาน้ำนี้ไว้เป็นอย่างดี

                พระอาทิตย์คล้อยต่ำลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ความมืดเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่บนผืนป่าที่เงียบสงบแห่งนี้ ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้า ลมหนาวพัดผ่านแผ่วๆผ่านผิวบางๆของผม น้ำค้างยามดึกเริ่มโปรดปรายลงมาจากยอดไม้สู่พื้นป่า วันนี้คืนเดือนดับทำให้เขามองเห็นทางลำบากกว่าปกติ เมื่อพระอาจารย์หลับไปแล้วผมจึงรีบไปทำภารกิจของผมโดยทันที

                เมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นจับขอบฟ้า เหล่านกกาไก่ป่ากูคอขัน เป็นสัญญาณแห่งอรุณรุ่งที่สดใส พระอาจารย์ที่นั่งคอยศิษย์รักอยู่ที่นอกชานเหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวลใจ แต่เมื่อเห็นศิษย์รักเหาะกลับมายังอาศรมพร้อมบางสิ่งบางอย่างด้วยท่าทางแปลกๆจึงรีบออกมาหาศิษย์รัก

                “มานพเจ้าไปทำอะไรมา” มานพยิ้มพร้อมกับวางผอบที่บรรจุน้ำไว้ข้างในให้พร้อมพูดว่า

                “ท่านอาจารย์ช่วยปรุงยาวิเศษให้ผมที นี่คือน้ำอมฤตผมไปขโมยมาเมื่อคืน ส่วนเลือดเอาเลือดผมไปปรุงได้เลย ผมตายไปไม่เป็นไรหรอกขอเพียงเหล่าเทพและเทพีที่ดูแลผมมาปลอดภัยก็พอ”

                “ หา . . นี่เจ้าเข้าไปเอามันมาได้อย่างไร” พระอาจารย์อุทานด้วยความตกใจ

                “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ท่านช่วยปรุงมันที” พระอาจารย์พยักหน้ารับเมื่อเห็นดวงตาที่มุ่งมั่นของศิษย์รัก

    ...

                “รู้สึกอย่างไรบ้างท่านธรณี ท่านโพสพ ท่านคงคา” เสียงองค์อินทร์ดังขึ้นอาการเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับหายไปหมดสิ้น เทพีทั้งสามลุกขึ้นมานั่งบนแท่นรักษา

                “ท่านหายป่วยแล้วรึ องค์อินทร์ แล้วเทพองค์อื่นๆล่ะ” พระแม่ธรณีถามพระอินทร์เมื่อเห็นพระอินทร์ดูผิวพรรณสดใสเหมือนเดิม

                “เทพและเทพีอื่นๆหายจากอาการป่วยแล้ว แผนการสำเร็จไปด้วยดี” พระแม่คงคาสงสัยจึงถามต่อ

                “แผนการอะไรรึท่าน” พระอินทร์หัวเราะแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี

                “ก็ยาที่สามารถรักษาเรา เลือดที่ต้องใช้น่ะมาจากเจ้าวิทยาธรโง่ๆตนหนึ่งที่มันสละมาปรุงยาให้ ข้าพยายามหาคนที่จะยอมสละเลือดปรุงยาไม่ได้ เลยวางแผนบอกเรื่องยาให้อาจารย์มันรู้ มันคงคิดว่ามันฉลาดนักที่มาขโมยน้ำอมฤตของข้าได้โดยหารู้ไม่ว่าข้าเปิดทางไว้ให้มัน เพื่อเอาไปปรุงยารักษา ตอนนี้มันก็แค่ต้องไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่อาศรมไม่ต้องห่วงหรอกเจ้านี่แข็งแรงดีไม่ตายง่ายๆหรอก” พระแม่ทั้งสามถึงกับลุกขึ้นพร้อมกัน พระแม่โพสพพูดเสียงเครือว่า

                “อย่าบอกนะว่าวิทยาธรตนนั้นคือ มานพ” พระอินทร์ยิ้ม พยักหน้ารับ

                “ใช่แล้ว ท่านอย่าห่วงเลยไปฉลองกันดีกว่า” พระแม่ทั้งสามไม่สนใจพระอินทร์แต่รีบเหาะไปด้วยกันเพื่อนไปหาคนที่รักพวกเธอมากกว่าชีวิต

    ...

                ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน ความเจ็บปวดจากการกรีดเลือดตัวเองลงไปผสมยาให้ได้ตามปริมาณที่ต้องการเขาถึงกับเป็นลมหลังการสูญเสียเลือด แม้ท่านอาจารย์จะให้ทานยาทิพย์ช่วยรักษาไปแล้วแต่มันก็ส่งผลแค่ระดับปริมาณเลือดไม่ให้เขาตายเพราะเสียเลือดมาก แต่ความเจ็บปวดจากการถูกกรีดเลือดและโดนรีดเลือดตรงข้อมือทำให้ผมสลบไป แต่ความรู้สึกอบอุ่นนี้มันคืออะไรกันนะ ผมรู้สึกว่ามีใครคอยดูแลผมอยู่ เมื่อผมลืมตาขึ้นมา พระแม่ธรณีช่วยพยุงผมขึ้นนั่ง

                “ตื่นแล้วหรือลูกรัก ทานข้าวก่อนเถอะนะ” พระแม่โพสพช่วยป้อนข้าวต้มให้ผมเหมือนเด็ก ข้าวนี่มันอร่อยสุดๆไปเลย ผมนึกถึงวัยเด็กที่พระแม่โพสพคอยดูแลป้อนข้าวป้อมน้ำให้ผม เมื่อผมทานข้าวหมดผมรู้สึกเหมือนได้รับพลังงานบางอย่างเข้ามามันทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนได้เกิดใหม่ พระแม่คงคายืนขันน้ำให้ผมดื่น น้ำนี่มันหวานหอมชื่นใจดีจริงๆ

                “ท่านแม่หายดีแล้วหรือขอรับ” พรแม่ธรณีลูบหัวผมแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า

                “ยังหรอกจ้ะ แท้จริงแล้วที่แม่เจ็บปวดมาจากธรรมชาติที่เป็นชีวิตของแม่ถูกทำลายในโลกมนุษย์ แม่จึงป่วย  ยาที่ลูกให้แม่เป็นเพียงบรรเทาอาการเจ็บปวดเท่านั้น ถ้าจะหายต้องแก้ที่โลกมนุษย์ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะพลังแม่ใกล้จะหมดแล้ว อีกไม่เกินสองเพลายาก็หมดฤทธิ์ทุกอย่างก็จะพังทลายอยู่ดี พลังที่ลูกให้แม่แม่เอาคืนให้ลูกหมดแล้วแม้แม่จะไม่อยู่แต่ลูกเป็นเด็กดีลูกต้องได้ไปอยู่ชั้นพรหมแน่ ที่นั่นลูกจะรอดชีวิตจากไฟล้างโลก ส่วนแม่ลูกไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ” เหมือนฟ้าผ่ากลางหัวผม อย่าบอกนะว่าพลังชีวิตที่ผมเอาให้แม่แม่กลับเอาคืนให้ผม ผมเป็นเพียงวิทยาธรตนหนึ่งที่พึ่งพิงการเลี้ยงดูจากพระแม่ พระแม่ทั้งสามเป็นถึงหลักชัยในการค้ำจุนโลก มีความสำคัญต่อมวลสรรพสัตว์แต่กลับมาสละชีวิตเพื่อชีวิตอันต้อยต่ำของผมเนี่ยนะ น้ำตาของผมไหลลงอาบแก้มทันที

                “เจ้าเป็นอะไรไปมานพ” พระแม่คงคาถามเมื่อเห็นผมร้องไห้

                “ผมเป็นแค่วิทยาธรฐานะต่ำต้อย นาค ครุฑ เทวดาเฝ้าประตู หรือแม้แต่เทวดาล้างเท้ายังมีฐานะสูงกว่าผมเลย แล้วความจริงผมก็เป็นแค่เด็กกำพร้าแต่แม่ผู้เป็นเทพีผู้มีพระคุณต่อทุกชีวิตกลับยอมสละพลังสุดท้ายเพื่อ . . ช่วยคนอย่างผม . . เนี่ยนะ” เสียงของผมเริ่มขาดเป็นห้วงๆจากแรงสะอื้น

                “เพราะว่าเจ้าเป็นลูกของข้ายังไงล่ะ” พระแม่ทั้งสามพูดพร้อมกัน

                “เหตุผลแค่นี้เองหรือครับ” ผมมองแม่ทั้งสามอย่างสงสัย พระแม่ธรณียกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มของผมอย่างอ่อนโยน

                “แม่อย่างข้าต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ที่จะรักเจ้าด้วยหรือ” พระแม่คงคาพูด ผมรู้สึกอบอุ่นราวกับมีผ้าห่มหนาอันอ่อนนุ่มมาห่มดวงใจที่ปวดร้าวจากการที่จะถึงวาระการจากลากับแม่ที่รักและยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อผม แต่คำพูดที่แม่พูดออกมาผมรู้สึกเหมือนผมไม่ได้เป็นลูกบุญธรรม ในความรู้สึกของผมมันเป็นคำพูดที่แม่ที่ใช้พูดกับลูก ใช่แล้วมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เด็กกำพร้าน้อยคนนักจะได้มีโอกาสรู้สึกแบบนี้ แล้วผมล่ะจะปล่อยมันไปง่ายๆอย่างนี้เลยหรือผมฟังเสียงหัวใจตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากที่นอนออกไปทางประตู

                “นั่นลูกจะไปไหนน่ะนพ” พระแม่โพสพเรียก แม่ทั้งสามเดินตามออกมา ผมหันมายิ้มก่อนพูดว่า

                “ผมจะไปเอายาให้แม่ครับ”

    ...

                ตอนนี้ผมอยู่ที่โลกมนุษย์ที่นี่ดูย่ำแย่กว่าที่ตอนผมยังอยู่เสียอีก แผ่นดินบางที่แตกระแหง บางที่ก็ถูกทำลาย ป่าไม้ที่เคยเขียวชอุ่มแทบจะหายไปจากผิวโลก แม่น้ำที่เคยใสสะอาดหล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิตกลับสกปรกเต็มไปด้วยสารพิษ อากาศเป็นพิษที่นี่ ทั่วโลกต่างเริ่มเกิดภัยพิบัติ ที่แย่กว่าสภาพแวดล้อมของโลกมนุษย์คือจิตใจของมนุษย์ บางคนเอารัดเอาเปรียบ รีดนาทาเร้น ฉ้อโกง เพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งๆที่เกิดภัยพิบัติกลับถือโอกาสเอาเปรียบ ซ้ำเติมกัน ผมไม่อยากดูความเลวร้ายไปมากกว่านี้จึงรีบเหาะไปหาคนที่ผมคิดว่าจะให้สิ่งที่ผมต้องการได้

    ...

                “วันนี้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราอายุประมาณ 30 ปีหันมาถามน้องชายที่อายุไม่ห่างจากเขาเท่าไร

                “ วันนี้ทั่วโลกยังเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ทางสภาปฏิเสธโครงการของเรา จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหมนะ ว่าแต่วันนี้พี่เมฆจะไปไหนอีกรึเปล่าครับผมจะได้ให้บอดี้การ์ดไปเตรียมตัว” เมฆหันไปมองหน้าต่างก่อนหันกลับมาตอบน้องชาย

                “ไม่หรอก วันนี้นายช่วยเรียกไหม หมาก ไม้ มาด้วยนะหมอก” หมอกออกไปตามน้องๆ ให้มารวมกันในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของพวกเขา ซึ่งเป็นวันที่พี่ชายใหญ่ที่เคยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆหายตัวไปและเป็นวันเดียวกับวันที่มีคนมารับอุปการะพวกเขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวใหม่พร้อมกัน เนื่องจากพวกเขาจำวันเกิดตัวเองไม่ได้จึงนับเอาวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของทุกคน แต่ก็เป็นเหมือนวันให้ระลึกถึงพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อน้องๆเข้ามาครบทุกคนเมฆจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่เขาต้องการปรึกษาทุกคน

                “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพวกเรา พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน พี่จึงถือโอกาสนี่ปรึกษาเรื่องโครงการที่เราเสนอต่อสภาโลกไป โครงการดูแลโลก เราจะทำอย่างไรต่อดีเพราะเมื่อผู้มีอิทธิพลทั่วโลกไม่เห็นด้วยโครงการที่เราทำคงต้องล้มเลิก” ไหม หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มพูดขึ้นอย่างท้อแท้ว่า

                “โครงการที่พวกเราทำเป็นโครงการเพื่อรักษาและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่มีอะไรให้พวกนักการเมืองโกงกินเท่าที่ควรจึงไม่สนใจโครงการของพวกเรา พวกเราต้องล้มเลิกเพราะสาเหตุเรื่องนี้เองหรือ มันไม่ค่อยยุติธรรมเลย” ไหม ถอนหายใจอย่างท้อแท้แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะจากใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าต่างพร้อมพูดประโยคที่ทุกคนคุ้นหูเป็นอย่างดี

                “ฮ่า ฮ่า อย่าเพิ่งท้อสิ เดี๋ยวพี่ช่วย” ทุกคนถึงกับตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ที่หน้าต่างเป็นใคร

                “พี่ชาย” ทุกคนอุทานเสียงหลง เมื่อเห็นชายหนุ่มอายุประมาณ 16 ปีที่หน้าเหมือนพี่ชายที่หายไปตั้งแต่เด็ก แถมยังพูดเหมือนที่พี่ชายเคยพูดปลอบใจพวกเขาตอนเด็กๆด้วย ทุกคนต่างเข้ามารุมกอดพี่ชายรวมทั้งไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของพี่ชายที่หายตัวไปนาน หลังตอบคำถามทุกคนแล้วจึงหันมาหาเมฆ

                “พี่ดีใจนะที่พวกเธอไม่ลืมพี่ ส่วนแผนงานของพวกเธอล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” มานพเดินมาหยิบเอกสารที่โต๊ะไปดูด้วยความพึงพอใจ

                “เอาล่ะ พี่มีวิธีที่จะทำให้โครงการของพวกเธอสำเร็จลุล่วงแต่พวกเธอต้องช่วยพี่นะ ก่อนอื่นไปเอารายชื่อ ที่อยู่ปัจจุบัน ข้อมูลส่วนตัวบุคคลที่มีอำนาจเกี่ยวข้องมาให้พี่หน่อยซิ” ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่พี่ชายขอให้ช่วย แต่ก็ยอมไปเอาข้อมูลบุคคลผู้มีอำนาจมาให้พี่ชายแต่โดยดี มานพยิ้มรับเอกสารจากน้องๆมาก่อนเดินไปที่หน้าต่าง

                “พรุ่งนี้ตอนเช้าพี่ขอสัญญาว่าผู้นำทุกคนจะติดต่อกลับมาหาโครงการของพวกเธอแน่นอน พี่ไปก่อนนะ รักษาตัวด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นๆพี่จะมาหานะ” พูดจบมานพก็เหาะหายลับตาพวกเขาไป

    ...

                “พี่เมฆ พี่เมฆ ทางสภาติดต่อขอทบทวนโครงการของพวกเรา มีหมายเชิญเราไปที่สภาตอน 9 โมงเช้า” หมากวิ่งเข้ามาบอกข่าวแก่ทุกๆคน ที่ห้องอาหารตอนเช้า ไม้ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ

                “พี่ชายช่วยพวกเราได้จริงๆด้วย” ไหมดูนาฬิกาแล้วพูดว่า

                “อีกไม่นานก็ 8 โมงแล้วไหมว่าเราไปเตรียมตัวกันเถอะค่ะ” เมฆพยักหน้าเป็นสัญญาณให้น้องทุกๆคนไปเตรียมตัว ก่อนเดินออกจากห้องเมฆหันไปมองหน้าต่างและพูดเบาๆว่า

                “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือนะครับพี่ชาย”

    ...

                การประชุมเป็นไปด้วยดีทางสภาตัดสินใจนำแนวทางของโครงการไปใช้น่าแปลกทุกคนในสภาแม้แต่นักการเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการโกงกินยังสนับสนุนโครงการนี้ แถมบางคนเสนอการสนับสนุนโครงงานนี้ต่อด้วย

                “น่าแปลกนะครับที่อยู่คนพวกนั้นยอมรับข้อเสนอของเรา” หมากเปรยขึ้นขณะนั่งรอพี่ชาย

                “นั่นสินะ พี่ชายใช้วิธีไหนกันนะที่ทำให้พวกนั้นร่วมมือกับเรา” หมอกพูดต่อ ทันใดนั้นมีมือใครคนหนึ่งแตะลงที่บ่าของหมอก

                “เป็นไงคิดถึงพี่กันไหม” พี่ชายเดินเข้ามาจากทางไหนไม่รู้ แต่ทุกคนก็ไม่สนใจ ไหมที่เป็นคนช่างสงสัยจึงเข้ามาถามพี่ชายว่า

                “พี่คะ พี่ทำอย่างไรพวกนั้นถึงยอมตกลงโครงการหรือคะ” พี่ชายหัวเราะเสียงดังก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

                “ฮ่าฮ่า พี่ก็แค่ไปเข้าฝันพวกนักการเมืองให้เห็นสภาพแวดล้อมตอนนี้ นิมิตจุดจบของโลกจากการตัดสินใจของมันเท่านั้นเอง” ทุกคนต่างตะลึงในวิธีการของพี่ชายแต่ก็รู้สึกตลกไปกับวิธีของพี่ด้วย พี่ชายเล่าเรื่องของเหล่าเทพและเทพีให้น้องๆฟังเพื่อแก้ไขปัญหาให้ พี่ชายก็ตัดสินใจรอดูผลลัพธ์ของ “ยา” ที่เขาทำต่อไปอีกสักระยะกับน้องๆของเขา

    ...

                “ท่านธรณีท่านรู้สึกดีขึ้นเหมือนข้าไหม” พระแม่คงคาถามพระแม่ธรณี

                “ข้ารู้สึกดีขึ้นนะ แล้วท่านโพสพล่ะ”

                “ข้าก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน” ความเจ็บปวดจากการที่ร่างใกล้แตกสลายเริ่มบรรเทาลง ผิวพรรณของทั้งสามเริ่มสดใสขึ้น

                “ข้าว่าเราไปดูที่โลกมนุษย์กันหน่อยดีไหม” พระแม่ธรณีเอ่ยปากชวน ทั้งสองพยักหน้าก่อนใช้อิทธิฤทธิ์หายร่างไปปรากฏที่โลกมนุษย์ ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ภูเขาที่เคยถูกตัดต้นไม้ออกไปก็มีการปลูกทดแทน แม่น้ำที่เคยปนเปื้อนสารต่างๆเริ่มกลับมาสะอาด อากาศเริ่มดีขึ้นการผลิตที่ก่อให้เกิดสิ่งมลภาวะต่างๆเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกอย่างต่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าเทพและเทพีบนสวรรค์หายจากอาการร่างสลายทุกสรรพชีวิตกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

    ...

                ตอนนี้ผมอยู่ที่โลกมนุษย์กับน้องของผมเพื่อช่วยในเรื่องปัญหาจากที่ต่างๆที่ผมเคยเจอ เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงจนดีขึ้นมาก ผมได้รับเทวโองการจากพระอิศวรให้อยู่ดูแลธรรมชาติของโลกนี้ต่อไป ส่วนแม่ของผมถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่กับท่าน แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าแม่จะอยู่ทุกๆที่ไม่ว่าผมอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ถึงแม่จะไม่ได้ให้ตั้งครรภ์ผมมาแต่แม่จะคอยดูแลผมเหมือนลูกของท่าน ท่านให้ชีวิตแก่ผม น้องๆ รวมถึงทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้ สุดท้ายนี้ผมอยากบอกให้ทุกคนหันมาดูแลแม่ของเราบ้างเพราะท่านสามารถสละทุกอย่างเพื่อพวกเรา และหนึ่งข้อความที่ผมอยากบอกแม่ตอนนี้คือ “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่แม่ให้ ผมรักแม่นะครับ”    

                

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      แม่ของผม

                  สวัสดีขอรับ ผมชื่อ มานพ ผมเป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของเทพีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามองค์ คือ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา และ พระแม่โพสพ และเทพผู้ยิ่งใหญ่อีกสององค์ คือ พระพายและพระอัคนี อันที่จริงแล้วผมเป็นเด็กกำพร้าอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง แต่โชคร้ายที่ที่นั่นถูกปิดลงเมื่อไม่มีเงินบริจาคเพียงพอ ผมกับน้องๆอีกหลายคนต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกเพียงลำพัง เมื่อพวกเราไม่มีอะไรจะกินเพราะเป็นช่วงเกิดอุทกภัย ผู้คนแทบไม่ช่วงบริจาคอาหาร ผมจึงพยายามขโมยอาหารตามบ้านเรือนต่างๆมาประทังชีวิตผมและน้องๆ แต่โชคร้ายซ้ำอีกผมดันไปขโมยอาหารที่โรงงานร้างแต่กลับไปพบการส่งยาเสพติดพอดี พวกนั้นจึงปิดปากผมด้วยการมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงแม่น้ำที่เชี่ยวกรากหวังให้ผมจมน้ำตาย แต่ชีวิตผมมันก็ตลกสิ้นดีเพราะร่างผมจมน้ำไปตรงปล่องบาดาลหล่นลงไปที่พิภพนาคา พวกนาคที่พบร่างของผมตัดสินใจนำร่างที่ไร้สติของผมไปส่งที่พญานาคผู้ปกครอง ท่านคงสงสารผมที่ต้องตายทั้งที่ยังอายุน้องจึงอัญเชิญพระแม่คงคามาช่วยผม พระแม่คงคาจึงนำร่างของผมไปสวรรค์นำพลังจากพระธรณี พระอัคนี และพระพายมารวมกันแล้วช่วยชุบชีวิตผมขึ้น ท่านเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนพ่อแม่ผู้ให้ชีวิตแก่ผม จากนั้นพระแม่โพสพจึงรับเลี้ยงดูผมต่อมาและนำผมไปฝากเรียนกับพระฤๅษีและพระอินทร์ จนตอนนี้ผมกลายเป็นวิทยาธรผู้มีอิทธิฤทธิ์ในระดับหนึ่ง เวลานี้เป็นเวลาที่ผมรู้สึกกังวลใจที่สุดเมื่ออยู่ๆเหล่าเทพและเทพีต่างเริ่มล้มป่วยลงรวมทั้งผู้มีพระคุณทั้งหมดของผมด้วย แม้พระพรหม พระนารายณ์หรือแม้แต่พระอิศวรก็ไม่สามารถช่วยเหลือโรคนี้แก่เหล่าเทพต่างๆได้ เสียงลมพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเป็นสัญญาณว่าพระอาจารย์กลับมาจากการประชุมเทวสภาแล้ว

                  “ผลการประชุมว่าอย่างไรบ้างขอรับท่านอาจารย์” ผมเอ่ยถามพระอาจารย์ขึ้นหลังท่านนั่งลง พระอาจารย์ส่ายหน้า พร้อมตอบว่า

                  “อาการของเหล่าเทพและเทพีต่างทรุดลงเรื่อยๆ ตอนนี้ต่างประทับอยู่ที่ห้องทิพย์ ณ วิมานของพระอินทร์เพื่อดูอาการ ข้าได้ข่าวมาว่าถ้าเกิดเหล่าเทพและเทพีอาการหนักจริงๆ พระผู้เป็นเจ้าอาจจะต้องทำสิ่งที่เป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งข้าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย” ทางเลือกสุดท้าย ทางเลือกสุดท้ายอย่าบอกนะว่ามันคือสิ่งที่ผมกลัวว่ามันจะเกิดเหมือนกัน

                  “หมายความว่าพระอิศวรอาจจะเปิดพระเนตรที่สามให้เกิดเพลิงกาฬล้างพิภพแล้วสร้างโลกขึ้นใหม่หรือขอรับ” พระอาจารย์พยักหน้ารับ

                  “ว่าแต่จะมียาอะไรที่สามรถรักษาอาการของเหล่าเทพและเทพีได้บ้างไหมขอรับ” พระอาจารย์นิ่งคิดและตอบว่า

                  “ไอ้ว่ามีไหมมันก็มีอยู่หรอก แต่ส่วนผสมมันไปเอายากนักแถมอาจจะรักษาเหล่าเทพและเทพีได้ไม่ครบทุกองค์บนสวรรค์ด้วย” หืม ยาอะไรนะที่จะสามารถรักษาได้

                  “ส่วนผสมอะไรหรือขอรับ” พระอาจารย์ยิ้มอย่างเศร้าๆพลางตอบ “ก็น้ำอมฤตอย่างไรล่ะ  แต่ผู้ที่รักษาน้ำนั่นไว้คือพระอินทร์ นอกจากนี้ยังต้องใช้เลือดจากผู้ที่เต็มใจในปริมาณมากผู้ที่ให้เลือดอาจเสียชีวิต ตัวยาหายากอื่นๆ อย่าง พวกสมุนไพรหอม ความจริงตัวยาอื่นก็มีอยู่ที่กุฏิข้าแต่ข้าไม่มีเลือดกับน้ำอมฤตเท่านั้นแหละ” น้ำอมฤตกับเลือดงั้นเหรอ นับว่าเป็นโชคดีเพราะถึงเขาจะเป็นแค่วิทยาธรมนุษย์ที่กลายร่างเป็นเทวดาชั้นต่ำแต่เขารู้กลไกห้องเก็บน้ำอมฤตและรู้นิสัยของผู้ที่เก็บรักษาน้ำนี้ไว้เป็นอย่างดี

                  พระอาทิตย์คล้อยต่ำลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ความมืดเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่บนผืนป่าที่เงียบสงบแห่งนี้ ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้า ลมหนาวพัดผ่านแผ่วๆผ่านผิวบางๆของผม น้ำค้างยามดึกเริ่มโปรดปรายลงมาจากยอดไม้สู่พื้นป่า วันนี้คืนเดือนดับทำให้เขามองเห็นทางลำบากกว่าปกติ เมื่อพระอาจารย์หลับไปแล้วผมจึงรีบไปทำภารกิจของผมโดยทันที

                  เมื่อแสงอาทิตย์ขึ้นจับขอบฟ้า เหล่านกกาไก่ป่ากูคอขัน เป็นสัญญาณแห่งอรุณรุ่งที่สดใส พระอาจารย์ที่นั่งคอยศิษย์รักอยู่ที่นอกชานเหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวลใจ แต่เมื่อเห็นศิษย์รักเหาะกลับมายังอาศรมพร้อมบางสิ่งบางอย่างด้วยท่าทางแปลกๆจึงรีบออกมาหาศิษย์รัก

                  “มานพเจ้าไปทำอะไรมา” มานพยิ้มพร้อมกับวางผอบที่บรรจุน้ำไว้ข้างในให้พร้อมพูดว่า

                  “ท่านอาจารย์ช่วยปรุงยาวิเศษให้ผมที นี่คือน้ำอมฤตผมไปขโมยมาเมื่อคืน ส่วนเลือดเอาเลือดผมไปปรุงได้เลย ผมตายไปไม่เป็นไรหรอกขอเพียงเหล่าเทพและเทพีที่ดูแลผมมาปลอดภัยก็พอ”

                  “ หา . . นี่เจ้าเข้าไปเอามันมาได้อย่างไร” พระอาจารย์อุทานด้วยความตกใจ

                  “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ท่านช่วยปรุงมันที” พระอาจารย์พยักหน้ารับเมื่อเห็นดวงตาที่มุ่งมั่นของศิษย์รัก

      ...

                  “รู้สึกอย่างไรบ้างท่านธรณี ท่านโพสพ ท่านคงคา” เสียงองค์อินทร์ดังขึ้นอาการเจ็บปวดที่เคยได้รับกลับหายไปหมดสิ้น เทพีทั้งสามลุกขึ้นมานั่งบนแท่นรักษา

                  “ท่านหายป่วยแล้วรึ องค์อินทร์ แล้วเทพองค์อื่นๆล่ะ” พระแม่ธรณีถามพระอินทร์เมื่อเห็นพระอินทร์ดูผิวพรรณสดใสเหมือนเดิม

                  “เทพและเทพีอื่นๆหายจากอาการป่วยแล้ว แผนการสำเร็จไปด้วยดี” พระแม่คงคาสงสัยจึงถามต่อ

                  “แผนการอะไรรึท่าน” พระอินทร์หัวเราะแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี

                  “ก็ยาที่สามารถรักษาเรา เลือดที่ต้องใช้น่ะมาจากเจ้าวิทยาธรโง่ๆตนหนึ่งที่มันสละมาปรุงยาให้ ข้าพยายามหาคนที่จะยอมสละเลือดปรุงยาไม่ได้ เลยวางแผนบอกเรื่องยาให้อาจารย์มันรู้ มันคงคิดว่ามันฉลาดนักที่มาขโมยน้ำอมฤตของข้าได้โดยหารู้ไม่ว่าข้าเปิดทางไว้ให้มัน เพื่อเอาไปปรุงยารักษา ตอนนี้มันก็แค่ต้องไปนอนหยอดน้ำเกลืออยู่ที่อาศรมไม่ต้องห่วงหรอกเจ้านี่แข็งแรงดีไม่ตายง่ายๆหรอก” พระแม่ทั้งสามถึงกับลุกขึ้นพร้อมกัน พระแม่โพสพพูดเสียงเครือว่า

                  “อย่าบอกนะว่าวิทยาธรตนนั้นคือ มานพ” พระอินทร์ยิ้ม พยักหน้ารับ

                  “ใช่แล้ว ท่านอย่าห่วงเลยไปฉลองกันดีกว่า” พระแม่ทั้งสามไม่สนใจพระอินทร์แต่รีบเหาะไปด้วยกันเพื่อนไปหาคนที่รักพวกเธอมากกว่าชีวิต

      ...

                  ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน ความเจ็บปวดจากการกรีดเลือดตัวเองลงไปผสมยาให้ได้ตามปริมาณที่ต้องการเขาถึงกับเป็นลมหลังการสูญเสียเลือด แม้ท่านอาจารย์จะให้ทานยาทิพย์ช่วยรักษาไปแล้วแต่มันก็ส่งผลแค่ระดับปริมาณเลือดไม่ให้เขาตายเพราะเสียเลือดมาก แต่ความเจ็บปวดจากการถูกกรีดเลือดและโดนรีดเลือดตรงข้อมือทำให้ผมสลบไป แต่ความรู้สึกอบอุ่นนี้มันคืออะไรกันนะ ผมรู้สึกว่ามีใครคอยดูแลผมอยู่ เมื่อผมลืมตาขึ้นมา พระแม่ธรณีช่วยพยุงผมขึ้นนั่ง

                  “ตื่นแล้วหรือลูกรัก ทานข้าวก่อนเถอะนะ” พระแม่โพสพช่วยป้อนข้าวต้มให้ผมเหมือนเด็ก ข้าวนี่มันอร่อยสุดๆไปเลย ผมนึกถึงวัยเด็กที่พระแม่โพสพคอยดูแลป้อนข้าวป้อมน้ำให้ผม เมื่อผมทานข้าวหมดผมรู้สึกเหมือนได้รับพลังงานบางอย่างเข้ามามันทำให้ผมรู้สึกดีเหมือนได้เกิดใหม่ พระแม่คงคายืนขันน้ำให้ผมดื่น น้ำนี่มันหวานหอมชื่นใจดีจริงๆ

                  “ท่านแม่หายดีแล้วหรือขอรับ” พรแม่ธรณีลูบหัวผมแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า

                  “ยังหรอกจ้ะ แท้จริงแล้วที่แม่เจ็บปวดมาจากธรรมชาติที่เป็นชีวิตของแม่ถูกทำลายในโลกมนุษย์ แม่จึงป่วย  ยาที่ลูกให้แม่เป็นเพียงบรรเทาอาการเจ็บปวดเท่านั้น ถ้าจะหายต้องแก้ที่โลกมนุษย์ แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะพลังแม่ใกล้จะหมดแล้ว อีกไม่เกินสองเพลายาก็หมดฤทธิ์ทุกอย่างก็จะพังทลายอยู่ดี พลังที่ลูกให้แม่แม่เอาคืนให้ลูกหมดแล้วแม้แม่จะไม่อยู่แต่ลูกเป็นเด็กดีลูกต้องได้ไปอยู่ชั้นพรหมแน่ ที่นั่นลูกจะรอดชีวิตจากไฟล้างโลก ส่วนแม่ลูกไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ” เหมือนฟ้าผ่ากลางหัวผม อย่าบอกนะว่าพลังชีวิตที่ผมเอาให้แม่แม่กลับเอาคืนให้ผม ผมเป็นเพียงวิทยาธรตนหนึ่งที่พึ่งพิงการเลี้ยงดูจากพระแม่ พระแม่ทั้งสามเป็นถึงหลักชัยในการค้ำจุนโลก มีความสำคัญต่อมวลสรรพสัตว์แต่กลับมาสละชีวิตเพื่อชีวิตอันต้อยต่ำของผมเนี่ยนะ น้ำตาของผมไหลลงอาบแก้มทันที

                  “เจ้าเป็นอะไรไปมานพ” พระแม่คงคาถามเมื่อเห็นผมร้องไห้

                  “ผมเป็นแค่วิทยาธรฐานะต่ำต้อย นาค ครุฑ เทวดาเฝ้าประตู หรือแม้แต่เทวดาล้างเท้ายังมีฐานะสูงกว่าผมเลย แล้วความจริงผมก็เป็นแค่เด็กกำพร้าแต่แม่ผู้เป็นเทพีผู้มีพระคุณต่อทุกชีวิตกลับยอมสละพลังสุดท้ายเพื่อ . . ช่วยคนอย่างผม . . เนี่ยนะ” เสียงของผมเริ่มขาดเป็นห้วงๆจากแรงสะอื้น

                  “เพราะว่าเจ้าเป็นลูกของข้ายังไงล่ะ” พระแม่ทั้งสามพูดพร้อมกัน

                  “เหตุผลแค่นี้เองหรือครับ” ผมมองแม่ทั้งสามอย่างสงสัย พระแม่ธรณียกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มของผมอย่างอ่อนโยน

                  “แม่อย่างข้าต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ที่จะรักเจ้าด้วยหรือ” พระแม่คงคาพูด ผมรู้สึกอบอุ่นราวกับมีผ้าห่มหนาอันอ่อนนุ่มมาห่มดวงใจที่ปวดร้าวจากการที่จะถึงวาระการจากลากับแม่ที่รักและยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อผม แต่คำพูดที่แม่พูดออกมาผมรู้สึกเหมือนผมไม่ได้เป็นลูกบุญธรรม ในความรู้สึกของผมมันเป็นคำพูดที่แม่ที่ใช้พูดกับลูก ใช่แล้วมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เด็กกำพร้าน้อยคนนักจะได้มีโอกาสรู้สึกแบบนี้ แล้วผมล่ะจะปล่อยมันไปง่ายๆอย่างนี้เลยหรือผมฟังเสียงหัวใจตัวเอง แล้วลุกขึ้นจากที่นอนออกไปทางประตู

                  “นั่นลูกจะไปไหนน่ะนพ” พระแม่โพสพเรียก แม่ทั้งสามเดินตามออกมา ผมหันมายิ้มก่อนพูดว่า

                  “ผมจะไปเอายาให้แม่ครับ”

      ...

                  ตอนนี้ผมอยู่ที่โลกมนุษย์ที่นี่ดูย่ำแย่กว่าที่ตอนผมยังอยู่เสียอีก แผ่นดินบางที่แตกระแหง บางที่ก็ถูกทำลาย ป่าไม้ที่เคยเขียวชอุ่มแทบจะหายไปจากผิวโลก แม่น้ำที่เคยใสสะอาดหล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิตกลับสกปรกเต็มไปด้วยสารพิษ อากาศเป็นพิษที่นี่ ทั่วโลกต่างเริ่มเกิดภัยพิบัติ ที่แย่กว่าสภาพแวดล้อมของโลกมนุษย์คือจิตใจของมนุษย์ บางคนเอารัดเอาเปรียบ รีดนาทาเร้น ฉ้อโกง เพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งๆที่เกิดภัยพิบัติกลับถือโอกาสเอาเปรียบ ซ้ำเติมกัน ผมไม่อยากดูความเลวร้ายไปมากกว่านี้จึงรีบเหาะไปหาคนที่ผมคิดว่าจะให้สิ่งที่ผมต้องการได้

      ...

                  “วันนี้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราอายุประมาณ 30 ปีหันมาถามน้องชายที่อายุไม่ห่างจากเขาเท่าไร

                  “ วันนี้ทั่วโลกยังเกิดภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ทางสภาปฏิเสธโครงการของเรา จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหมนะ ว่าแต่วันนี้พี่เมฆจะไปไหนอีกรึเปล่าครับผมจะได้ให้บอดี้การ์ดไปเตรียมตัว” เมฆหันไปมองหน้าต่างก่อนหันกลับมาตอบน้องชาย

                  “ไม่หรอก วันนี้นายช่วยเรียกไหม หมาก ไม้ มาด้วยนะหมอก” หมอกออกไปตามน้องๆ ให้มารวมกันในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของพวกเขา ซึ่งเป็นวันที่พี่ชายใหญ่ที่เคยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆหายตัวไปและเป็นวันเดียวกับวันที่มีคนมารับอุปการะพวกเขาเข้ามาอยู่ในครอบครัวใหม่พร้อมกัน เนื่องจากพวกเขาจำวันเกิดตัวเองไม่ได้จึงนับเอาวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของทุกคน แต่ก็เป็นเหมือนวันให้ระลึกถึงพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อน้องๆเข้ามาครบทุกคนเมฆจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่เขาต้องการปรึกษาทุกคน

                  “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพวกเรา พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน พี่จึงถือโอกาสนี่ปรึกษาเรื่องโครงการที่เราเสนอต่อสภาโลกไป โครงการดูแลโลก เราจะทำอย่างไรต่อดีเพราะเมื่อผู้มีอิทธิพลทั่วโลกไม่เห็นด้วยโครงการที่เราทำคงต้องล้มเลิก” ไหม หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มพูดขึ้นอย่างท้อแท้ว่า

                  “โครงการที่พวกเราทำเป็นโครงการเพื่อรักษาและอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่มีอะไรให้พวกนักการเมืองโกงกินเท่าที่ควรจึงไม่สนใจโครงการของพวกเรา พวกเราต้องล้มเลิกเพราะสาเหตุเรื่องนี้เองหรือ มันไม่ค่อยยุติธรรมเลย” ไหม ถอนหายใจอย่างท้อแท้แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะจากใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าต่างพร้อมพูดประโยคที่ทุกคนคุ้นหูเป็นอย่างดี

                  “ฮ่า ฮ่า อย่าเพิ่งท้อสิ เดี๋ยวพี่ช่วย” ทุกคนถึงกับตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ที่หน้าต่างเป็นใคร

                  “พี่ชาย” ทุกคนอุทานเสียงหลง เมื่อเห็นชายหนุ่มอายุประมาณ 16 ปีที่หน้าเหมือนพี่ชายที่หายไปตั้งแต่เด็ก แถมยังพูดเหมือนที่พี่ชายเคยพูดปลอบใจพวกเขาตอนเด็กๆด้วย ทุกคนต่างเข้ามารุมกอดพี่ชายรวมทั้งไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของพี่ชายที่หายตัวไปนาน หลังตอบคำถามทุกคนแล้วจึงหันมาหาเมฆ

                  “พี่ดีใจนะที่พวกเธอไม่ลืมพี่ ส่วนแผนงานของพวกเธอล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” มานพเดินมาหยิบเอกสารที่โต๊ะไปดูด้วยความพึงพอใจ

                  “เอาล่ะ พี่มีวิธีที่จะทำให้โครงการของพวกเธอสำเร็จลุล่วงแต่พวกเธอต้องช่วยพี่นะ ก่อนอื่นไปเอารายชื่อ ที่อยู่ปัจจุบัน ข้อมูลส่วนตัวบุคคลที่มีอำนาจเกี่ยวข้องมาให้พี่หน่อยซิ” ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่พี่ชายขอให้ช่วย แต่ก็ยอมไปเอาข้อมูลบุคคลผู้มีอำนาจมาให้พี่ชายแต่โดยดี มานพยิ้มรับเอกสารจากน้องๆมาก่อนเดินไปที่หน้าต่าง

                  “พรุ่งนี้ตอนเช้าพี่ขอสัญญาว่าผู้นำทุกคนจะติดต่อกลับมาหาโครงการของพวกเธอแน่นอน พี่ไปก่อนนะ รักษาตัวด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นๆพี่จะมาหานะ” พูดจบมานพก็เหาะหายลับตาพวกเขาไป

      ...

                  “พี่เมฆ พี่เมฆ ทางสภาติดต่อขอทบทวนโครงการของพวกเรา มีหมายเชิญเราไปที่สภาตอน 9 โมงเช้า” หมากวิ่งเข้ามาบอกข่าวแก่ทุกๆคน ที่ห้องอาหารตอนเช้า ไม้ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ

                  “พี่ชายช่วยพวกเราได้จริงๆด้วย” ไหมดูนาฬิกาแล้วพูดว่า

                  “อีกไม่นานก็ 8 โมงแล้วไหมว่าเราไปเตรียมตัวกันเถอะค่ะ” เมฆพยักหน้าเป็นสัญญาณให้น้องทุกๆคนไปเตรียมตัว ก่อนเดินออกจากห้องเมฆหันไปมองหน้าต่างและพูดเบาๆว่า

                  “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือนะครับพี่ชาย”

      ...

                  การประชุมเป็นไปด้วยดีทางสภาตัดสินใจนำแนวทางของโครงการไปใช้น่าแปลกทุกคนในสภาแม้แต่นักการเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการโกงกินยังสนับสนุนโครงการนี้ แถมบางคนเสนอการสนับสนุนโครงงานนี้ต่อด้วย

                  “น่าแปลกนะครับที่อยู่คนพวกนั้นยอมรับข้อเสนอของเรา” หมากเปรยขึ้นขณะนั่งรอพี่ชาย

                  “นั่นสินะ พี่ชายใช้วิธีไหนกันนะที่ทำให้พวกนั้นร่วมมือกับเรา” หมอกพูดต่อ ทันใดนั้นมีมือใครคนหนึ่งแตะลงที่บ่าของหมอก

                  “เป็นไงคิดถึงพี่กันไหม” พี่ชายเดินเข้ามาจากทางไหนไม่รู้ แต่ทุกคนก็ไม่สนใจ ไหมที่เป็นคนช่างสงสัยจึงเข้ามาถามพี่ชายว่า

                  “พี่คะ พี่ทำอย่างไรพวกนั้นถึงยอมตกลงโครงการหรือคะ” พี่ชายหัวเราะเสียงดังก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

                  “ฮ่าฮ่า พี่ก็แค่ไปเข้าฝันพวกนักการเมืองให้เห็นสภาพแวดล้อมตอนนี้ นิมิตจุดจบของโลกจากการตัดสินใจของมันเท่านั้นเอง” ทุกคนต่างตะลึงในวิธีการของพี่ชายแต่ก็รู้สึกตลกไปกับวิธีของพี่ด้วย พี่ชายเล่าเรื่องของเหล่าเทพและเทพีให้น้องๆฟังเพื่อแก้ไขปัญหาให้ พี่ชายก็ตัดสินใจรอดูผลลัพธ์ของ “ยา” ที่เขาทำต่อไปอีกสักระยะกับน้องๆของเขา

      ...

                  “ท่านธรณีท่านรู้สึกดีขึ้นเหมือนข้าไหม” พระแม่คงคาถามพระแม่ธรณี

                  “ข้ารู้สึกดีขึ้นนะ แล้วท่านโพสพล่ะ”

                  “ข้าก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน” ความเจ็บปวดจากการที่ร่างใกล้แตกสลายเริ่มบรรเทาลง ผิวพรรณของทั้งสามเริ่มสดใสขึ้น

                  “ข้าว่าเราไปดูที่โลกมนุษย์กันหน่อยดีไหม” พระแม่ธรณีเอ่ยปากชวน ทั้งสองพยักหน้าก่อนใช้อิทธิฤทธิ์หายร่างไปปรากฏที่โลกมนุษย์ ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ภูเขาที่เคยถูกตัดต้นไม้ออกไปก็มีการปลูกทดแทน แม่น้ำที่เคยปนเปื้อนสารต่างๆเริ่มกลับมาสะอาด อากาศเริ่มดีขึ้นการผลิตที่ก่อให้เกิดสิ่งมลภาวะต่างๆเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทุกอย่างต่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าเทพและเทพีบนสวรรค์หายจากอาการร่างสลายทุกสรรพชีวิตกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

      ...

                  ตอนนี้ผมอยู่ที่โลกมนุษย์กับน้องของผมเพื่อช่วยในเรื่องปัญหาจากที่ต่างๆที่ผมเคยเจอ เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงจนดีขึ้นมาก ผมได้รับเทวโองการจากพระอิศวรให้อยู่ดูแลธรรมชาติของโลกนี้ต่อไป ส่วนแม่ของผมถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่กับท่าน แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าแม่จะอยู่ทุกๆที่ไม่ว่าผมอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ถึงแม่จะไม่ได้ให้ตั้งครรภ์ผมมาแต่แม่จะคอยดูแลผมเหมือนลูกของท่าน ท่านให้ชีวิตแก่ผม น้องๆ รวมถึงทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้ สุดท้ายนี้ผมอยากบอกให้ทุกคนหันมาดูแลแม่ของเราบ้างเพราะท่านสามารถสละทุกอย่างเพื่อพวกเรา และหนึ่งข้อความที่ผมอยากบอกแม่ตอนนี้คือ “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่แม่ให้ ผมรักแม่นะครับ”    

                  

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×