คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 5 (100%)
ขณะที่หญิงสาวครุ่นคิดอย่างวุ่นวายใจร่างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าก็หันไปหยิบของบางอย่าง ยัดใส่มือนางแล้วกลับไปนั่งลงบนเตียงเช่นเดิม
เฟิงชิงถิงก้มมองสิ่งของในมือด้วยความประหลาดใจ “หวี” นางเงยหน้าขึ้นมามองสือซานเหลียงที่นั่งนิ่งแต่ดวงตาเขายังมองนางไม่คลาย
เห็นหญิงสาวไม่ขยับ มือหนาจึงยีศีรษะตนเองจนยุ่งเหยิงอีกครั้ง แล้วจ้องมาที่ของในมือนาง
เฟิงชิงถิงมองศีรษะที่ยามนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุ่ยร่ายกับหวีที่เขายัดใส่มือ แล้วนางก็หัวเราะออกมา ความหวาดกลัวเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น
“ท่านต้องการให้ข้าสางผมให้?” นางเดินไปหาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาจึงลองเริ่มหวีผมให้ เห็นร่างใหญ่นั่งนิ่งไม่ปฏิเสธนางจึงคิดว่าตนเองเดาไม่ผิด “อยากให้ข้าหวีผมให้ก็บอกสิ”
ยามนี้คนถูกหวีผมให้เริ่มหลับตาลงอีกครั้ง ยื่นจมูกเข้าใกล้ร่างบาง สูดหายใจดมกลิ่นหอมจากตัวยาที่นางทาเอาไว้พร้อมกับกลิ่นตัวจางๆ ที่เป็นกลิ่นเฉพาะของนาง โดยที่ตัวนางไม่ได้รู้ว่า ยามนี้ได้ถูกคนสติไม่สมประดีล่วงเกินเข้าให้เสียแล้ว
ขณะที่สางผมให้อยู่นั้นเฟิงชิงถิงก็คิดหาวิธีฝังเข็มให้เขาไปด้วย และนางก็คิดว่าหากแสร้งทำหวีผมไปและฝังเข็มไปด้วยอีกฝ่ายอาจจะไม่รู้ มือหนึ่งจึงสางผมไปเรื่อยๆ ส่วนอีกมือหนึ่งก็เริ่มง่วนอยู่กับเข็มเล่มใหม่เพื่อปักลงบนศีรษะของเป้าหมาย
ไม่นานเข็มก็ถูกฝังลงไปบนศีรษะของสือซานเหลียงได้สำเร็จ และเพื่อไม่ให้เขาจับได้ นางจึงตั้งใจสางผมให้นานเป็นพิเศษ จนครบเวลาที่ฝังเข็มนางจึงรวบผมเขาเอาไว้ดังเดิม ดูท่าทางสือซานเหลียงเองก็คงพอใจไม่น้อย เพราะหลังจากที่นางรวบผมให้เสร็จเขาก็นั่งนิ่งไม่บ่นสิ่งใดอีกเลย
ยามนี้สิ่งที่ทำคือรอยาจากเล่ยกัว แต่หมี่เจาบอกว่าประมาณชั่วยามกว่าสามีนางจึงจะกลับ หากเขากลับมาแล้วจะมาเคาะประตูเรียก เฟิงชิงถิงจึงนั่งอ่านตำราแพทย์ที่ปลายเตียง เหลือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเตียงให้สือซานเหลียงเพราะนางไม่รู้ว่าเขาจะนอนเมื่อใด
แต่ด้วยความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมานาน บวกกับแสงเทียนที่สลัวทำให้ตาของนางแทบจะปิด สุดท้ายเฟิงชิงถิงก็ทนต่อความงุนง่วงไม่ไหว หญิงสาววางตำราลงและเป่าเทียนที่ตั้งเอาไว้ที่ปลายเตียงให้ดับ ถอดหน้ากากแปลงโฉมของตนเองออกเพื่อให้ใบหน้าได้สัมผัสกับอากาศบ้าง นางพิงผนังที่ปลายเตียงแล้วผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เสียงหายใจอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คนที่นั่งนิ่งอยู่นานหันกลับไปมองเจ้าของลมหายใจนั้น เขาขยับเข้าไปใกล้ร่างบางที่ยามนี้มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง มองใบหน้านั้นนิ่งนาน ก่อนจะจิ้มนิ้วไปที่พวงแก้มของใบหน้าผุดผาด จิ้มไปสองทีก็ถูกมือเล็กปัดออก ถึงแม้นิ้วและมือนั้นจะใหญ่แต่กลับว่องไวนัก สามารถหลบมือเล็กที่ปัดข้างแก้มคล้ายกับปัดยุงได้อย่างว่องไว ก่อนจะจิ้มลงไปซ้ำๆ คล้ายกับเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งยวด
แต่เมื่อเห็นว่าคนที่หลับอยู่นิ่วหน้าคล้ายจะตื่น มือหนาก็ชักกลับนั่งนิ่งอยู่อีกพัก จนร่างเล็กขยับกายหาท่าถนัดๆ เปลี่ยนจากนั่งเป็นขดตัวนอนลงบนเตียง ร่างใหญ่ที่นั่งมองจึงขยับลงนอนตาม มองใบหน้างดงามที่ถูกแสงนวลของดวงจันทร์อาบไล้ด้วยแววตาที่คาดเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร
เฟิงชิงถิงตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงที่ดังอยู่หน้าห้องนอน นางได้ยินเสียงเล่ยกัวที่กำลังสนทนากับหมี่เจา ดวงตาที่หลับพริ้มปรือขึ้นมาช้าๆ ในความสลัวนางเห็นใบหน้าบุรุษที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของคนผู้หนึ่งอยู่ใกล้ใบหน้านางไม่ถึงคืบ แม้เขาจะหลับตาอยู่แต่ภาพตรงหน้าก็ทำเอานางแทบจะตกเตียง
หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่ง ยังไม่ทันได้ต่อว่าคนที่หลับอยู่ หมี่เจาก็มาเคาะประตูห้องพอดี
“ยัยหนู ยามาแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เฟิงชิงถิงรีบหยิบหน้ากากมาแปลงโฉมอีกครั้งแล้วเดินออกไป
เมื่อร่างบางเปิดประตูออกจากห้องไปแล้ว ดวงตาที่ปิดสนิทของคนที่หลับอยู่บนเตียงก็ลืมขึ้นอีกครั้ง เปลี่ยนเป็นหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างแทน
หลังจากให้ผู้เฒ่าฮุ้ยกินยาครบสองวันอาการของชายชราก็ดีขึ้น แม้จะยังไออยู่แต่ก็ไม่ได้มาก เฟิงชิงถิงจึงคิดว่ายานี้สามารถกำจัดโรคร้ายของชายชราได้ แต่เพราะนางรู้ว่าอย่างไรเสียก็รั้งอยู่รักษาชายชราจนหายไม่ได้ วันนี้ หลังจากโบกมือส่งสองสามีภรรยาออกไปเก็บใบชาแล้ว นางก็เรียกอาซิงมาสอนวิธีการต้มยา อีกทั้งยังบอกตัวยาต่างๆ และวิธีการดูแลคนไข้ให้แก่อาซิงรู้เอาไว้เพื่อสามารถดูแลชายชราจนหายดี
ต้มยาเสร็จอาซิงก็ยกยาไปให้แก่ผู้เฒ่าฮุ่ย เฟิงชิงถิงก็นำยาไปให้สือซานเหลียงที่วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อเช่นกัน การให้สือซานเหลียงดื่มยานั้นไม่ได้ยากเท่าการฝังเข็ม เพราะเพียงแค่นางบอกว่าหลังจากดื่มยาจะมีของกินให้ ยาอันแสนขมก็ถูกเขาดื่มจนหมดชาม
เฟิงชิงถิงอาศัยอยู่บ้านของหมี่เจาและสามีเป็นวันที่สามแล้ว นางรู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านทั้งสอง เมื่อเห็นว่าฟืนที่ใช้ต้มยานั้นใกล้จะหมดแล้วจึงคิดผ่าฟืนเพิ่มให้
เสียงผ่าฟืนเรียกความสนใจของสือซานเหลียงที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ให้ลุกขึ้นมาดู เป็นเพราะช่วงนี้เขากินอิ่มนอนหลับทุกวัน แม้จะไปนั่งอยู่ด้านนอกบ้านแต่ก็เพียงนั่งเหม่อเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายผู้ได้ อีกทั้งยังอยู่ในรัศมีสายตาของเฟิงชิงถิงตลอดเวลา
ร่างสูงใหญ่คำรามอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเห็นว่าในมือของเฟิงชิงถิงมีขวานด้ามใหญ่ หญิงสาวปาดเหงื่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกเขาอย่างปลอบประโลม “ข้าแค่ผ่าฟืน อย่างนี้อย่างไรเล่า” นางตั้งท่าจามขวานลงไปที่ท่อนไม้ ฟืนถูกผ่าออกเป็นสองซีก แล้วนางก็ปาดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาอีกครั้ง
เจ้าของร่างใหญ่มองการกระทำของนางนิ่งคล้ายกับทุกครั้ง เฟิงชิงถิงจึงไม่ได้สนใจผ่าฟืนต่ออีกสองสามท่อนก็วางขวานลง บีบนวดแขนที่ล้าอย่างอ่อนใจ
นางไม่ใช่ไม่เคยผ่าฟืน แต่ขวานเล่มนี้ใหญ่กว่าขวานที่นางเคยใช้มาก ทำให้ไม่ถนัดมือ จามท่อนไม้ไม่กี่ครั้งก็ล้าเสียแล้ว
สือซานเหลียงเห็นว่าขวานนั้นนอนแอ้งแม้งอยู่บนตอไม้ใหญ่ ก็ขยับมาหยิบขวานด้ามนั้นขึ้น ดวงตาที่มองของสิ่งนั้นดูน่ากลัวจนเฟิงชิงถิงที่หันมาเห็นอดรู้สึกกลัวไม่ได้ เกรงว่าเขาจะเอาขวานเที่ยวไปจามคนอื่นเข้า แต่นางคิดผิด เพราะหลังจากนั้นเขาก็หยิบไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมาตั้งบนตอไม้ก่อนจะจามลงไปอย่างแรง ท่อนไม้ที่ถูกจามแยกออกมาเป็นสามส่วน
สือซานเหลียงเห็นท่อนไม้ที่ถูกผ่าแยกออกเป็นสามส่วนในขนาดที่เท่ากัน เขาก็เงยหน้าหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะหยิบท่อนไม้อีกท่อนมาวางแล้วเริ่มจามลงไปอีกครั้ง
“ฮ่าๆ ๆ” เขาหัวเราะดังกว่าเดิม หลังจากจามขวานผ่าท่อนไม้อีกท่อน แล้วก็เขาก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่งไปพร้อมกับผ่าฟืนไปเรื่อยๆ
ดูท่าทางเขาจะชอบผ่าฟืนนะ แต่ถึงอย่างนั้นเฟิงชิงถิงก็อดที่จะก้าวถอยหลังออกห่างมาหนึ่งก้าวอย่างรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
แล้วความชอบของสือซานเหลียงก็เริ่มพาปัญหามาให้นาง คนผู้นี้ผ่าฟืนท่อนแล้วท่อนเล่าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อฟืนที่นางหอบออกมาหมด สือซานเหลียงก็มองซ้ายมองขวาหาท่อนไม้เพื่อจะผ่าอีก เมื่อหาไม่ได้เขาก็เริ่มจะไปจามบ้านแทน ดีที่นางห้ามได้ทัน และรีบนำฟืนในห้องเก็บฟืนมาให้เขาผ่าอีก
“ผ่าฟืน” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยพลางมองซ้ายมองขวาหาฟืนที่จะผ่าท่อนต่อไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าฟืนบ้านของหมี่เจาหมดแล้วนะสิ
โชคดีที่หมี่เจากลับมาจากเก็บใบชาพอดี เป็นปัญหาให้หมี่เจาต้องประกาศกับคนในหมู่บ้านว่าผู้ใดมีฟืนต้องการให้ผ่าก็ขนมาที่บ้านนางได้เลย
ดังนั้นนอกจากเวลากินอาหารเที่ยงที่สือซานเหลียงต้องกินแล้ว เขาก็เอาเวลาไปผ่าฟืนไปพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งตลอดเวลา
“อาเหลียง พอเถิด ไม่เหนื่อยหรือไร” เฟิงชิงถิงเห็นว่าเขาฝ่าฟืนมาเป็นเวลาหลายชั่วยามแล้ว จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
เวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางจะเรียกเขาว่าอาเหลียง แต่สือซานเหลียงเพียงแค่หยุดมองเฟิงชิงถิงครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มผ่าฟืนต่อไปอย่างเพลิดเพลิน เฟิงชิงถิงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ขณะที่นางกำลังกลับไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แทนที่สือซานเหลียงที่เคยนั่ง หมี่เจาก็เดินมาด้วยสีหน้าร้อนใจ ชายผู้หนึ่งที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบดินโคลนเต็มตัวเดินตามหมี่เจามา
“แม่หนู ๆ ช่วยบอกสามีเจ้าให้ไปช่วยชาวบ้านดึงเม่ยเม่ยขึ้นมาจากบ่อโคลนหน่อยได้หรือไม่ ตอนนี้ช่วยกันอยู่หลายคนแล้วแต่เม่ยเม่ยตัวใหญ่มาก นี่ก็เป็นชั่วยามแล้วยังดึงขึ้นมาไม่ได้เลย” หมี่เจาบอก
“เม่ยเม่ย?” เฟิงชิงถิงไม่รู้ว่าเม่ยเม่ยคือผู้ใด
“เม่ยเม่ยคือแม่หมูตัวหนึ่ง มันตัวหนักมาก ตอนที่พวกเราไปเก็บชามันหนีออกจากคอกไปวิ่งเล่นจนตกบ่อโคลนขึ้นมาไม่ได้ ข้าเห็นว่าสามีเจ้าแรงดี หากไปช่วยกันอีกแรงคงจะดึงเม่ยเม่ยขึ้นมาได้”
“ข้าจะลองบอกเขาดูนะ แต่ไม่มั่นใจว่าเขาจะไปช่วยพวกท่านหรือไม่” นางตอบอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าเข้าใจ” หมี่เจาเองก็รู้ว่าอาเหลียงสามีของแม่หนูนั้นคุยกันรู้เรื่องอยู่ไม่กี่อย่าง แต่เพราะชาวบ้านต่างคิดว่ารูปร่างของสือซานเหลียงตัวใหญ่อีกทั้งยังผ่าฟืนได้เป็นชั่วยามๆ จึงคิดว่าหากได้คนผู้นี้มาช่วยคงจะดึงเม่ยเม่ยขึ้นมาง่ายขึ้น
เฟิงชิงถิงเดินไปสะกิดสือซานเหลียงที่ตั้งหน้าตั้งตาผ่าฟืนอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนสือซานเหลียงเมื่อถูกสะกิดก็เอ่ยถาม “หมั่นโถว”
เฟิงชิงถิงกลอกตา เขาคิดว่าถึงเวลาอาหารอีกแล้วละสิ “ไม่ใช่ แต่พวกเขาอยากให้เจ้าไปช่วยดึงหมูตัวใหญ่ออกจากบ่อโคลน ท่านไปช่วยพวกเขาหน่อยได้หรือไม่”
คำพูดของเฟิงชิงถิงถ่ายทอดออกไปสือซานเหลียงก็คล้ายกับว่าไม่ได้ยิน เขาหันกลับไปผ่าฟืนอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง
เฟิงชิงถิงส่ายหน้าจนใจก่อนจะหันไปทางหมี่เจาและชายผู้ที่มาตาม “ขอโทษนะเจ้าค่ะ”
“ช่างเถิด ข้าก็คิดไว้อยู่แล้ว แต่เห็นกำลังวังชาเขาใช่ย่อยก็เลยลองมาตามดูเท่านั้น เช่นนั้นข้าต้องรีบไปช่วยคนอื่นก่อน ป่านนี้คงตกบ่อโคลนกันหมดแล้ว วันนี้หากดึงเม่ยเม่ยขึ้นมาได้คงต้องอาบน้ำกันอีกนาน” ชายคนนั้นบอกก่อนจะเดินกลับไปตามทางที่เขามา
“ขอโทษด้วยนะเจ้าคะ” เฟิงชิงถิงบอกกับหมี่เจา
“ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้าเสียหน่อย” หมี่เจาบอก
ทุกคนต่างถอดใจแต่หารู้ไม่ว่าคนที่กำลังง่วนในการผ่าฟืนเมื่อได้ยินคำว่า'อาบน้ำ'ก็หยุดชะงัก เงยหน้าจากท่อนฟืนเหลือบมองร่างของชายที่เดินกลับไปตามทาง ดวงตาดุดันมองโคลนที่ติดอยู่ตามตัวของคนผู้นั้นอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายโยนขวานทิ้งแล้วเดินตามคนผู้นั้นไป
“อาเหลียง” เฟิงชิงถิงตกใจที่อยู่ดีๆ เขาก็เดินตามชายคนนั้นไป นางกลัวว่าเขาจะไปก่อเรื่องจึงเดินตาม
“เขาจะไปไหน” หมี่เจาแปลกใจจึงเดินตามมาเช่นกัน
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
สุดท้ายพวกนางก็มายืนอยู่ตรงหน้าบ่อโคลนที่มีชายจำนวนแปดเก้าคนกำลังพยายามปลุกปล้ำอยู่กับแม่หมูตัวใหญ่ให้ขึ้นมาจากบ่อโคลน แม้จะมัดเชือกใช้ลาดึงขึ้น แต่เจ้าหมูอ้วนก็ดิ้นจนหลุดออกจากเชือกอยู่หลายครั้ง
“นั่นหรือเจ้าคะเม่ยเม่ย” เฟิงชิงถิงถามหมี่เจามองดูหมูตัวเมียขนาดใหญ่ พร้อมกับเสียงของเหล่าชาวบ้านที่เอ็ดตะโรช่วยกันดึงมันขึ้นมา
สือซานเหลียงที่เดินมาถึงมองดูกลุ่มคนที่ส่วนหนึ่งอยู่บนปากบ่อโคลนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในบ่อโคลน ก็ตรงเข้าไปทันที
“อาเหลียง” เฟิงชิงถิงรีบเดินตามไป
เขาผลักคนที่ขวางทางออกก่อนจะกระโดดลงไปในบ่อโคลน
“อ้าว เจ้านั่นเอง” ชายที่เป็นคนเดินไปตามสือซานเหลียงเอ่ยอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าสือซานเหลียงกระโดดลงไปในบ่อโคลน กำลังจะอธิบายวิธีช่วยกันดึงแม่หมูออกจากบ่อแต่สือซานเหลียงก็ไม่ได้สนใจ
เขาผลักคนในบ่อโคลนให้พ้นทาง เดินตรงเข้าไปหาแม่หมูด้วยสายตาดุดัน
“อี๊ด” แม่หมูเห็นแววตานั้นก็ร้องครางออกมาด้วยความตกใจกลัวกำลังคิดจะวิ่งหนี แต่ร่างสูงใหญ่นั้นว่องไวยิ่งนัก ขยับเพียงครั้งเดียวก็ไปถึงตัวแม่หมู วงแขนกำยำโอบร่างอ้วนใหญ่ของแม่หมูที่เต็มไปด้วยโคลน แม่หมูก็พยายามดิ้นสุดกำลังด้วยความกลัวตายจนโคลนกระเด็นไปทั่วใบหน้าและร่างของเขา แต่ถึงอย่างนั้นแม่หมูก็ไม่สามารถทานแรงลำแข็งแกร่งได้ เขารัดหมูตัวอ้วนยกขึ้นพาดบ่าก่อนจะกระโดดขึ้นจากบ่อโคลนอย่างคล่องแคล่ว
เหล่าชาวบ้านต่างมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขาเกือบสิบคนยังทำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่นี่เป็นบุรุษเพียงคนเดียวยกร่างใหญ่โตของแม่หมูที่ขนาดใหญ่กว่าหมูปกติถึงสี่เท่าขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“เก่งมาก ยอดมาก!” เมื่อเห็นว่าเม่ยเม่ยถูกวางลงบนพื้น ชาวบ้านที่ยังตกตะลึงไม่หายต่างก็ปรบมือรัวอย่างชื่นชม
หมี่เจาหุบปากที่อ้าค้างก่อนจะเอ่ย “สามีของเจ้าแข็งแรงจริงๆ”
เฟิงชิงถิงที่อ้าปากค้างก็หุบปากเช่นกัน “ข้าก็เพิ่งรู้”
คนที่อยู่ในบ่อโคลนต่างปีนขึ้นมาจากบ่อ หัวเราะออกมาด้วยความยินดีที่ช่วยเหลือแม่หมูตัวใหญ่ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังเอ่ยขอบคุณสือซานเหลียงกันยกใหญ่ แต่สือซานเหลียงนั้นหาได้สนใจชาวบ้านเหล่านั้นไม่ หลังจากปล่อยแม่หมูลงเขาก็มองตนเองที่ยามนี้มีคราบโคลนเต็มไปหมดไม่เว้นแม้แต่เส้นผม
ร่างสูงใหญ่กำยำเดินผ่านชาวบ้านที่เข้ามาขอบใจเขาอย่างไม่แยแส มาหยุดตรงหน้าเฟิงชิงถิง
เฟิงชิงถิงเองก็แปลกใจที่อยู่ดีๆ เขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง หรือเขาหิวอีกแล้ว แล้วนางก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มห้าวเอ่ยขึ้น
“อาบน้ำ”
“อาบน้ำ...” คงไม่ได้หมายความว่าจะให้นางอาบน้ำให้นะ
“ไปอาบน้ำกับพวกข้าหรือไม่” ชาวบ้านได้ยินสือซานเหลียงเอ่ยกับเฟิงชิงถิงจึงถามอย่างเป็นมิตร
“อาบน้ำ” เขาไม่สนใจชายที่มาชวน เอาแต่มองหน้าเฟิงชิงถิงอย่างเดียว
ท่าทีดึงดันและการเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นมันทำให้ใบหน้าของเฟิงชิงถิงอดที่จะร้อนผ่าวไม่ได้
“พวกเจ้าอย่าไปสนใจเขาเลย เขาน่ะติดแต่ฮูหยินของเขาเท่านั้น พวกเจ้าไปอาบน้ำเถิด” หมี่เจาบอกกับชาวบ้าน หนึ่งในนั้นมีเล่ยกัวสามีของนางด้วย
“ใช่ๆ พวกเราไปอาบน้ำกันเถิด ส่วนเขาให้ฮูหยินของเขาดูแลเอง” เล่ยกัวบอก
เพราะชาวบ้านต่างรู้ว่าสือซานเหลียงสติไม่ดีนักจึงไม่มีผู้ใดถือสา แต่ก็มีชายบางคนอดไม่ได้ที่จะล้อเลียน “เจ้านี้โชคดีไม่น้อยสติไม่ดีแต่ยังมีฮูหยินคอยเอาใจ ยัยแก่ที่บ้านข้านอกจากหาข้าวให้กินก็ไม่ทำอย่างอื่นเลย”
“ก็นางมีลูกที่ต้องดูแลนี่นา เจ้ายังดี ข้านี่โดดเดี่ยวมานานยังไม่มีผู้ใดดูแลเลย” ชายอีกคนเอ่ยก่อนจะมองไปทางสือซานเหลียงและเฟิงชิงถิงตาละห้อย “เฮ้อ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
ความคิดเห็น