คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 4 (100%)
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว เฟิงชิงถิงก็กลับมาสางผมให้สือซานเหลียงต่อ เขานั่งนิ่งไม่ขยับ ยอมให้นางเกล้าผมอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นนางจึงเริ่มตรวจอาการให้
จากการตรวจอาการทำให้รู้ว่า ชีพจรของสือซานเหลียงสับสน ลมปราณตีกลับ ช่วงที่นางสางผมให้เขาก็เห็นว่ามีรอยแผลอยู่ที่หนังศีรษะเพิ่งจะตกสะเก็ดไปไม่นานและมียังมีรอยบวมที่ยังไม่ยุบ ตรวจกะโหลกก็พบว่ามันยังอยู่ในสภาพเดิม
สรุปอาการของชายหนุ่มคือ ศีรษะมีรอยบวมน่าจะมีเลือดคั่งอยู่ภายใน แต่กะโหลกไม่มีปัญหา ที่รอยบวมมีแผลที่เพิ่งจะตกสะเก็ด ส่วนข้างรอยแผลนั้นมีรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว นั่นแปลว่าศีรษะของเขาเคยถูกกระทบกระเทือนและเมื่อไม่นานมานี้ก็ถูกกระทบกระเทือนอีกครั้ง บวกกับชีพจรที่สับสนและลมปราณตีกลับจึงเป็นสาเหตุให้เขามีอาการเช่นนี้
เฟิงชิงถิงสามารถช่วยกำจัดเลือดที่ค้างอยู่ที่ศีรษะสือซานเหลียงได้ หากเลือดเสียพวกนั้นถูกกำจัดออกจนหมดอาการความจำเสื่อมของเขาก็อาจจะหายดี แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องลมปราณที่ไม่ปกติ เพราะนางสามารถช่วยแก้ไขเรื่องลมปราณที่ตีกลับให้เขาได้ แต่ขั้นสุดท้ายต้องให้สือซานเหลียงเดินลมปราณ หรือไม่ก็ต้องให้คนที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศช่วยเขาเพื่อทะลวงลมปราณให้กลับมาเป็นปกติ ไม่เช่นนั้นแม้นางจะกำจัดเลือดเสียออกไปได้แต่หากลมปราณยังคงตีกลับเช่นนี้ แม้ความจำจะกลับมาดีแต่ก็ยังคงเป็นเจ้าบ้าอยู่ดี
หญิงสาวถอนหายใจออกมา มองร่างคนตรงหน้าที่กำลังมองนางอยู่เช่นกัน ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยที่เฟิงชิงถิงครุ่นคิดถึงแผนการรักษาให้เขา หากนางจำไม่ผิดพรรคโลหิตอัคคีที่สือซานเป็นประมุขพรรคมีสาขาอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่งใกล้ชายแดนต้าหลวน ใช้เวลาไม่นานก็คงจะเดินไปถึง แต่เพราะยามนี้นางเองก็ถูกตามตัว ส่วนสือซานเหลียงผู้นี้ก็ถูกตามล่า ดังนั้นการเดินทางคงจะกินเวลานานกว่าเดิมพอสมควร แต่ข้อดีก็คือสือซานเหลียงต้องกินยาและฝังเข็มอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้นเดินทางช้าหน่อยก็เป็นผลดีต่อการรักษา
ส่วนขั้นตอนสุดท้ายในการรักษานั้นคือต้องให้ตัวสือซานเหลียงเองโคจรพลังลมปราณ แต่ด้วยอาการสติไม่ดีของเขา คงจะบอกให้เจ้าตัวโคจรลมปราณเองได้ยาก ดังนั้นอีกวิธีหนึ่งคือให้ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งทะลวงลมปราณให้เขาแทน แต่นางไม่มีวรยุทธ์ ไม่มีพลังลมปราณ จึงคิดพาสือซานเหลียงไปส่งให้คนพรรคโลหิตอัคคีช่วยทะลวงลมปราณให้ อีกทั้งยังปลอดภัยจากการถูกคนในยุทธภพตามล่าอีกด้วย ถึงตอนนั้นนางก็สามารถจากเขาไปได้อย่างวางใจ
ดูท่าว่าคนผู้นี้คงจะว่างมากเพราะหลังจากนางนั่งคิดเรื่องการเดินทางและการรักษาอาการของเขาอยู่นาน สือซานเหลียงก็ยังมองนางไม่วางตา แต่นางไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แววตาที่มองมานั้นไม่ได้บ่งบอกสิ่งใดแม้แต่น้อย
“สือซานเหลียง ท่านได้รับบาดเจ็บและลมปราณตีกลับ ต่อไปนี้ข้าจะรักษาท่านเอง” นางเอ่ยออกมาในที่สุด
แต่สือซานเหลียงนั้นไม่ได้ตอบสิ่งใด เขาขยับกายอย่างเกียจคร้านและพลิกตัวลงนอนบนเตียงคล้ายดังคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตอนแรกนางคิดจะเริ่มรักษาอาการให้เขาในทันที แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะยาก จึงคิดว่ารอให้กินอาหารเย็นเสร็จเขาอารมณ์ดีแล้วค่อยเริ่มฝังเข็ม ส่วนเรื่องยาคงต้องไปหาซื้อเพิ่มเพราะมีตัวยาบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้
เฟิงชิงถิงใช้เวลาอีกครู่เปิดตำราการฝังเข็มที่นางติดตัวมาด้วย ดูจุดฝังเข็มต่างๆ เพื่อแน่ใจว่าจะไม่ฝังเข็มผิดจุด เพราะจุดฝังเข็มเพื่อรักษาอาการของสือซานเหลียงนั้นเป็นจุดที่นางไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก
ในห้องนอนอันเล็กกะทัดรัด ร่างใหญ่นอนหลับอยู่บนเตียง ส่วนร่างบางอีกร่างก็นั่งอยู่บนเตียงหนาก้มหน้าศึกษาตำราอยู่เงียบ ๆ เพราะเตียงเล็ก ร่างของคนทั้งสองจึงอยู่ไม่ห่างกันนัก แสงแดดยามเย็นย่ำทอดทอเข้ามาทางหน้าต่าง ส่งให้บรรยากาศอันไม่มีความหมายดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด คนทั้งสองนั้นหาได้รู้ไม่ว่าความผูกพันที่ไร้รูปร่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
หลังจากอ่านตำราจนจบเฟิงชิงถิงก็รู้สึกล้าที่ดวงตา นางขยับตัวพิงผนังที่ติดอยู่กับเตียงหลับตาลงเพื่อพักสายตา แต่ไม่คิดว่าเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่ทับถมกันมาหลายวันทำให้นางผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
คนผู้หนึ่งหลับใหล แต่อีกคนหนึ่งกลับตื่นขึ้นมา เจ้าของร่างใหญ่พลิกตัวลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีเหม่อลอยเช่นทุกครั้ง ดวงตาที่ว่างเปล่ามองไปรอบด้านก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างบางที่นั่งหลับอยู่ แววตาอันเลื่อนลอยจับจ้องไปที่ดวงหน้าของสตรีนางนั้นแต่ก็ไม่นานนักสายตานั้นก็เปลี่ยนเป็นมองต้นคอที่มีรอยแดงเป็นปื้น ก่อนจะเลื่อนมองที่หน้าอกที่ขยับขึ้นลงตามลมหายใจของนาง
“หมั่นโถว” เสียงทุ้มเอ่ยคล้ายจำได้ว่ามันคือสิ่งใด เพราะไม่หิวมากจึงไม่ได้แตะต้อง เปลี่ยนเป้าหมายเลื่อนสายตาไปที่มือเรียวของนาง มองอยู่พักใหญ่จึงขยับมานั่งใกล้สูดจมูดฟุดฟิดสำรวจกลิ่นนางแล้วเริ่มมองมือเรียวอย่างจริงจัง มือหนาเลื่อนไปจับมือบางข้างหนึ่งขึ้นมา
“อื้อ” เฟิงชิงถิงที่หลับอยู่ถูกการรบกวนจากมือใหญ่ก็ส่งเสียงครางอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา
สายตาคู่คมมองมือเล็กนั้นพร้อมกับใช้มือหยาบของตนเองสัมผัสมือนั้นไปมาก่อนจะจับให้มือเล็กนั้นทาบไปที่ข้างแก้มของตนเอง ดวงตาที่กระด้างไร้ความรู้สึกส่องประกายบางอย่างก่อนจะปิดเปลือกตาลงเอียงหน้าใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนวดเคราแนบกับฝ่ามือเล็ก แต่ทำได้ไม่นานคิ้วรูปกระบี่ก็ขมวดมุ่น ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ คล้ายกับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ก่อนจะปล่อยมือนั้นลงอย่างไม่ไยดีแล้วยีศีรษะตนเองจนผมที่ถูกรวบไว้หลุดลุ่ยไม่เป็นทรง
เพราะมือของตนเองถูกปล่อยอย่างรุนแรงลงบนตัก เฟิงชิงถิงจึงสะดุ้งตื่น เห็นว่าร่างใหญ่นั่งอยู่ใกล้จนเกือบชิดก็ตกใจแทบจะตกเตียง
“ท่านมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
ดวงตาคู่กระด้างมองนางครู่หนึ่งแล้วก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้วยท่าทีเหม่อลอยเช่นเดิม
“เฮ้อ ข้าไม่น่าถามท่านเลย” นอกจากเรื่องกินแล้ว คนผู้นี้แทบจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับนาง
เมื่อหญิงสาวบิดกายเพื่อคลายความปวดเมื่อยก็ต้องนิ่วหน้าเพราะหน้าอกที่ถูกสือซานเหลียงทำร้ายนั้นปวดแปลบขึ้นมา คิดในใจว่าลืมไปได้อย่างไร เมื่อครู่เขาหลับอยู่นางน่าจะเอายามาทา ตอนไปอาบน้ำก็ลืมนำยาไป
นางกัดริมฝีปากครุ่นคิดเห็นเขามองเหม่ออยู่ด้านนอกไม่สนใจสิ่งใด นางจึงตัดสินใจหยิบยาในห่อสัมภาระและหันหลังให้เขา เหลียวมองกลับมาดูเขาอีกครั้งก็เห็นเขายังมองออกไปข้างนอกไม่ไหวติงนางจึงหันกลับมา ปลดสายคาดเอวให้หลวมขึ้นให้สาบเสื้อนั้นสามารถคลายออก ก่อนจะสอดมือป้ายยาทาลงไปบนหน้าอกของตนเอง
เฟิงชิงถิงหันหลังให้ร่างใหญ่ นางพยายามรีบทำให้ไวที่สุดแต่เพราะนางถูกมือของคนผู้นั้นทรมานทั้งสองข้างจึงต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่เพราะคิดว่าคนที่อยู่ร่วมห้องของนางไม่สนใจ นางจึงทายาให้ตนเองได้อย่างวางใจ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าก็ยังร้อนผ่าวอย่างไร้สาเหตุอยู่ดี
ที่เฟิงชิงถิงไม่รู้คือ หลังจากที่นางหันหลังให้ร่างใหญ่ เพียงแค่นางเปิดตลับยาออก กลิ่นยาที่หอมจางๆ ก็ทำให้คนที่เหม่อมองอยู่ด้านนอกหันกลับมามองตามกลิ่น และเปลี่ยนจากมองเหม่อด้านนอกเป็นมองแผ่นหลังร่างเล็กที่ขยับตัวยุกยิกแทน
เมื่อจัดการทายาให้ตนเองเสร็จ นางก็หันกลับมาใบหน้าที่ยังไม่หายแดงกลับแดงก่ำหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าสือซานเหลียงที่นางคิดว่าเขาไม่ได้มองกำลังจับตาดูนางอยู่
“มะ...มองสิ่งใดกัน” หญิวสาวเอ่ยตะกุกตะกักไปพร้อมกับเก็บตลับยาเข้าไปในสัมภาระ แม้จะรู้ว่าเขาคงไม่ตอบแต่นางก็เผลอถามไปแล้ว แต่ครั้งนี้แปลก เพราะเขาตอบกลับมา
“หอม” เสียงห้าวเอ่ยพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ สูดกลิ่นตัวยาจากเรือนกายหอมจนนางถอยกรูดไปติดกำแพงด้วยความตกใจ
“ท่านจะทำสิ่งใด”
“หมั่นโถว” ดวงตาคู่เดิมจับจ้องส่วนที่หญิงสาวเพิ่งจะทายาเสร็จ
เฟิงชิงถิงเบิกตากว้าง ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะปู้ยี่ปู้ยำหมั่นโถวของนางอีกนะ นางกอดอกแน่นพร้อมกับตวาดออกมา “ไม่ได้!”
คนตรงหน้านางหาได้สนใจไม่ เขาคลานเข้าหาหญิงสาวคล้ายดั่งเสือหิวที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ
“สือซานเหลียงหากท่านรังแกข้า ข้าจะใช้เข็มฝังให้ท่านเจ็บปวดเจียนตาย” นางใช้ไม้ตายสุดท้าย
ขณะที่กำลังล้วงมือเข้าไปในสายคาดเอวเพื่อนำกระบอกเข็มออกมา ข้อมือของนางก็ถูกคว้าหมับไปอย่างรวดเร็ว
“หอม” เขาก้มลงมาดมมือข้างที่นางใช้ทายาที่บริเวณนั้น แนบหน้าเกลือกกลิ้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครากับฝ่ามือเล็ก “หมั่นโถวหอม”
ความร้อนผ่าวในร่างกายวิ่งไปกระจุกรวมอยู่ที่ใบหน้าของนางทันทีที่ได้ยินคำสุดท้ายของเขา หญิงสาวพยายามดึงมือกลับแต่ก็ไม่สามารถขัดขืนเรี่ยวแรงของเขาได้
“ปล่อยนะสือซานเหลียง” นางอายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว มือข้างนี้ของนางเพิ่งจะสัมผัสหน้าอกของตัวเองมา ยามนี้ถูกใบหน้าสากของเขาเกลือกกลิ้ง แม้ตอนแรกนางไม่ได้คิดสิ่งใด แต่เมื่อเขาพูดถึงหมั่นโถว นางก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาพูดถึงสิ่งนั้นของนาง
เลือดลมของหญิงสาวฉีดพล่านไปทั่วร่างอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างหนักหน่วง นางรู้ว่ามันเป็นเพราะความอาย แต่จะให้นางทำอย่างไรเล่า นางเชื่อว่าหากเขาปกติดีเขาจะไม่ทำเช่นนี้แน่นอน แต่นี่เพราะเขาไม่ปกติ!
“ยัยหนูได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว” หมี่เจาเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ เห็นร่างเล็กของสาวน้อยนั่งอยู่บนเตียงตัวชิดฝาผนัง ส่วนสามีของนางอยู่ในท่าคลานเข่ามือข้างหนึ่งจับมือเรียวเอาไว้แนบใบหน้าเกลือกกลิ้งกับมือเรียวนั้น หมี่เจาก็คิดว่าคงมาขัดจังหวะช่วงเวลาดีๆ ของสองสามีภรรยาเข้าให้เสียแล้ว “ขออภัย ข้าลืมเคาะประตู”
“ท่านป้า อย่าเข้าใจผิด” นางรีบหันไปตอบทั้งที่ในใจแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้ตายด้วยความอับอาย
“หมั่นโถวหอม” เสียงทุ้มเอ่ยไม่สนใจสิ่งใด
“หมั่นโถวหอม?” หมี่เจาทวนคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “สามีเจ้าเรียกเจ้าว่าหมั่นโถวหอมหรือ ช่างน่ารักจริง ไปเถิดกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยมาทำเรื่องพวกนี้กันต่อก็ได้” เอ่ยจบหมี่เจาก็หัวเราะเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ไม่สนใจเฟิงชิงถิงที่ตะโกนปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรพร้อมกับพยายามชักมือกลับออกมาจากมือหนา
ดูท่าทางคำว่า ‘ไปกินข้าว’ จะสามารถดึงดูดความสนใจของสือซานเหลียงได้ เพราะในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือนาง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมาจ้องนางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “กินข้าว”
“กินข้าว” นางทวนคำของเขาด้วยเสียงที่พยายามปรับให้ราบเรียบที่สุดทั้งที่ในใจนั้นอยากจะร่ำไห้
ขณะที่ลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปก็เห็นผมของเขาไม่เป็นทรงอีกแล้ว นางจึงอดไม่ไหว “สือซานเหลียง ท่านมานี่ก่อน” นางรู้ว่าเขาไม่ฟังนางแต่นางก็ติดที่จะพูดก่อนทำ หญิงสาวดึงแขนเขามานั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง หยิบหวีขึ้นมาสางผมและรวบให้เขาอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าการสางผมให้เขาครั้งนี้ทำให้ดวงตาที่กระด้างไร้แววนั้นมีประกายวาบคล้ายกับเด็กที่เพิ่งค้นพบสมบัติแวบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไปกลายเป็นเลื่อนลอยอีกครั้ง
เมื่อเฟิงชิงถิงพาสือซานเหลียงออกไปจากห้อง ยังไม่ทันเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยซ้ำ นางก็ได้ยินเสียงสตรีอีกนางหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับอ้อนวอนบางอย่างกับผู้เป็นเจ้าของบ้าน
“พี่เล่ย อาซ้อ ท่านต้องช่วยข้านะ ท่านพ่อจะไปแล้ว ข้าห้ามเท่าใดก็ไม่ฟัง พี่เล่ยท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหากท่านไปห้ามเขาต้องฟังท่านแน่ๆ”
“เขาจะไปที่ใด อาซิงเจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้เล่ามาก่อน” หมี่เจาถาม
“เล่าตอนนี้ไม่ทันแล้ว พวกท่านไปห้ามเขาก่อน ตอนนี้ท่านพ่อขนของขึ้นเกวียนแล้ว บอกว่าหากข้าไม่ยอมออกจากบ้านท่านพ่อก็จะไปเอง”
“เช่นนั้นไปถามตาเฒ่าฮุ่ยให้รู้เรื่องว่ามีเรื่องใดกัน” เล่ยกัวสามีของหมี่เจาสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้น เขาลุกจากโต๊ะอาหารเดินออกจากบ้านตรงไปยังบ้านของตาเฒ่าฮุ่ยซึ่งเป็นพ่อสามีของอาซิง
ทั้งหมี่เจาและอาซิงเห็นเช่นนั้นก็รีบตามไป
ในห้องกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง เฟิงชิงถิงยังไม่ทันคิดจะทำสิ่งใด เสียงหนึ่งก็เตือนขึ้นมาก่อน
“ข้าว”
หญิงสาวรีบตักข้าวและกับข้าวส่วนหนึ่งใส่ชามเดียวกันก่อนจะสั่ง “กินแค่นี้ก่อน” นางกลัวเขาจะกินส่วนของเจ้าของบ้านจนหมดจึงยัดชามข้าวใส่มือเขาก่อนจะลากอีกฝ่ายเดินตามหมี่เจาไป
“อาซิงไม่ดีตรงที่ใด ท่านก็บอกนางไปสิ นางจะได้ปรับปรุงตัว ไม่ใช่ไร้เหตุผลไล่นางไปเช่นนี้” เฟิงชิงถิงเดินตามหมี่เจามาถึงบ้านของตาเฒ่าฮุ่ยก็ได้ยินเล่ยกัวเอ่ยพอดี
ชายชราที่เพิ่งจะขนของตนเองขึ้นเกวียนเสร็จก็หันไปขึงตาใส่ลูกสะใภ้ ไอแค่กๆ สองสามครั้งก่อนจะหันไปตอบเล่ยกัว “นี่มันบ้านของข้า ข้าไม่พอใจก็ไล่นางออกไปได้ แต่นี่ไล่ไปแล้วนางก็ไม่ไป เช่นนั้นข้าจะไปเอง”
“ตาเฒ่าฮุ่ยเจ้าอย่าไร้เหตุผลได้หรือไม่ ใครๆ ก็รู้ว่าอาชิงเป็นสะใภ้ที่ดีเพียงไร ตั้งแต่อาจีถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร สองปีกว่าก็ยังไม่กลับ ข้าก็เห็นอาซิงดูแลใส่ใจเจ้าไม่ขาดแล้วเจ้ายังจะบอกว่านางไม่ดีอีกหรือ” หมี่เจาตวาดผู้อาวุโสด้วยความโมโห
“นั่นมันเรื่องของข้า แค่กๆ” เฒ่าฮุ่ยหายใจหอบ ซับเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะยันร่างกับเกวียนแล้วไอออกมาอีกชุดใหญ่
“ท่านพ่อ ท่านอย่าไล่ข้าไปเลย” อาชิงวิ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฒ่าฮุ่ย”
“แค่กๆ ออกไป” เฒ่าจางปิดปากไอ ผลักลูกสะใภ้ออกไปที่พ้นทาง “ต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งกับข้า หมู่บ้านใบชาข้าก็ไม่อยากอยู่แล้วเช่นกัน หากอาจีลูกข้าโชคดีมีชีวิตรอดกลับมา เจ้าก็บอกว่าข้าหายสาบสูญไปก็ได้ หากเขาไม่กลับมาเจ้าจะมีสามีใหม่ก็แล้วแต่ บ้านหลังนี้ข้ายกให้”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าทำเช่นนี้ หากท่านทิ้งข้าไป ข้าก็ไม่เหลือญาติที่ใดแล้ว ข้าไม่มีสามีใหม่ข้าจะรออาจีเพียงคนเดียวท่านเชื่อข้าเถิด” นางคลานไปกอดขาพ่อสามี ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
“อย่ามาใกล้ข้า” ตาเฒ่าฮุ่ยสะบัดร่างที่กอดขาออกอย่างไม่ไยดี รีบเดินออกห่างไปปิดปากไออีกครั้ง
“ท่านพ่อ” อาซิงที่ถูกสะบัดร่างจนกระเด็นร้องไห้สะอึกสะอื้นดั่งคนหัวใจสลาย
“ตาเฒ่าฮุ่ย เจ้าไร้เหตุผลเกินไปแล้วนะ!”
เฟิงชิงถิงที่ดูอยู่นานเดินเข้าไปใกล้ตาเฒ่าฮุ่ย มองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา “ขออภัยที่ต้องถาม แต่ที่จริงแล้วท่านก็ไม่อยากไปใช่หรือไม่ ที่ท่านต้องทำเช่นนี้มีเหตุจำเป็นใช่หรือไม่”
ตาเฒ่าฮุ่ยมองเด็กสาวแปลกหน้าด้วยใบหน้าตกตะลึงก่อนจะรีบเก็บสีหน้า เขาไอออกมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “เจ้าก็คือหญิงสาวหน้าโง่ที่พาสามีตนเองเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อหาหมอมารักษาสามีที่สติไม่ดีล่ะสิ” เขาปิดปากไออีกครั้งจนหน้าแดงก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่มีหรอกหมอเช่นนั้น หาให้ตายก็ไม่มี ออกไปห่างๆ ข้าด้วย” ตาเฒ่าฮุ่ยซับเหงื่อตนเองอีกครั้ง
“เรื่องที่ท่านบอกว่าไม่มีหมอที่จะรักษาเขาให้หายได้นั้นข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าแน่ใจว่าข้ารักษาโรคที่ท่านเป็นอยู่ให้หายได้”
ตาเฒ่าฮุ่ยตาโตมองเด็กสาวนิ่งงันก่อนจะรีบปฏิเสธ “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ถอยไป ข้าจะรีบเดินทาง” ชายชราจับหน้าอกพยุงกายขึ้นเกวียนอย่างยากลำบาก
“เฒ่าฮุ่ย ถ้าเช่นนั้นท่านก็บอกเหตุผลมาก่อนว่าจะไปด้วยเหตุผลอะไร แล้วจะไปที่ใด” เล่ยกัวถาม
“มันเรื่องของข้า”
“ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านไม่ต้องไป ข้าไปเอง” อาซิงปาดน้ำตาตัดใจเอ่ย
“ไม่ต้อง ตอนแรกข้าให้เจ้าไป เจ้าไปไม่เอง แค่กๆ” ตาเฒ่าฮุ่ยบอก
เฟิงชิงถิงเดินมาขวางเกวียนเอาไว้ มองสำรวจตาเฒ่าฮุ่ยอีกครั้งก่อนจะเอ่ย “หากท่านไม่บอก เช่นนั้นข้าตอบให้ท่านเอง ที่ท่านต้องการไปจากหมู่บ้านนี้เพราะท่านกลัวจะนำโรคที่ท่านเป็นไปติดกับผู้อื่นใช่หรือไม่ ท่านไม่ได้คิดไล่ลูกสะใภ้ไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ท่านทำเพราะต้องการหาข้ออ้างจากไปเท่านั้น”
“เจ้าเอ่ยเรื่องเหลวไหลใดกัน”
“เหลวไหลหรือไม่ อาการของท่านเป็นตัวบ่งชี้เอง ท่านไอไม่หยุด พูดนิดเดียวก็เหนื่อยหอบ เหงื่อออกทั้งที่อากาศเย็นสบาย ดูท่าแล้วยามนี้ท่านคงจะมีไข้อ่อน และมักจะเป็นเฉพาะเวลาตกค่ำเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อท่านเป็นโรคใด” อาซิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นหยุดร้องในทันที นางพอจะรู้ว่าช่วงนี้ท่านพ่อมักมีไข้อ่อนๆ แต่เพราะเขาไม่อยากให้นางเข้าใกล้ นางจึงไม่กล้าถามมาก อีกทั้งเขายังไม่ให้นางปรนนิบัติดูแลเขาเช่นเดิมด้วย
“ข้า...” ตาเฒ่าฮุ่ยอึกอัก แต่ไม่นานก็ไอออกมาอีก
ความคิดเห็น