คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 (50%)
สิ่งแรกที่เฟิงชิงถิงทำหลังจากที่ถูกร่างใหญ่ทับเอาไว้คือ พยายามแกะมือนั้นออกจากหน้าอกของนาง แต่เพราะร่างใหญ่ที่ทับเอาไว้ พยายามเท่าใดก็ไม่สามารถแกะออกได้
“ทำอย่างไรดี” นางหายใจหอบ ลองพยายามผลักดันร่างใหญ่ให้พลิกออกจากร่างของตนก็ทำไม่ได้
ยาที่นางใช้ล้มม้าได้หกตัวส่วนใหญ่จะทำให้สลบไปชั่วยามกว่า หากนางต้องถูกคนผู้นี้ทับเป็นชั่วยาม คาดว่าร่างของนางคงต้องแบนแน่ๆ
“หมั่นโถว” ร่างใหญ่พึมพำ ขยำหมั่นโถวของนางพลางทำเสียงปากแจ๊บๆ อีกต่างหาก
เฟิงชิงถิงกัดริมฝีปากแน่น หากครั้งนี้นางพ้นจากเขาไปได้ คิดว่าคงต้องหาวิธีบางอย่างจัดการกับเขาเสียแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องหาวิธีเอาร่างหนาและหนักนี้ออกไปจากตัวของนางก่อน
ขณะที่นางกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไร เสียงร้องเพลงพื้นบ้านประสานเสียงก็ดังมาตามทาง ต้องเป็นชาวบ้านละแวกนี้แน่ๆ
“ช่วยด้วย!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียงพยายามชะเง้อมองทั้งที่ยังนอนหงายอยู่ เห็นขบวนลาที่กำลังลากเกวียนมาทางนางพอดี “ช่วยข้าด้วย”
เสียงร้องเพลงประสานเสียงหยุดลง คนที่อยู่บนเกวียนเล่มแรกบอกกับคนบังคับลา
“ตาแก่ หยุดก่อน ตรงหน้ามีคนอยู่” เสียงนั้นเป็นสตรีวัยกลางคน
“ไหนกัน ข้าเห็นแต่มีก้อนหินก้อนเบ้อเร่อขวางทางเราอยู่” เสียงทุ้มแต่คาดว่าคงอายุมากกว่าคู่สนทนาไม่เท่าใดตอบ
“เจ้านี่ตาฝ้าฟางแล้วใช่หรือไม่ นั่นแหละคน”
“ช่วยข้าด้วย” เฟิงชิงถิงพยายามเรียกอีกครั้ง
“เดี๋ยวข้าลงไปดูก่อน”
“ระวังนะยายแก่”
“รู้แล้ว”
สตรีวัยกลางคนในชุดผ้าป่านสีเข้มลงมาจากเกวียน เดินมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากร่างที่นอนทับกันอยู่ก็อุทานออกมา “อั๊ยหยา! แม่นางน้อยเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมานอนอยู่ตรงนี้อีกทั้ง...”
ตาของนางยังไม่ได้ฝ้าฟาง ดังนั้นจึงเห็นว่าเสื้อของหญิงสาวเปิดออกจนเห็นหัวไหล่กลมมน แถมมือสกปรกของคนที่ล้มทับก็ยังจับอยู่ที่ก้อนเนื้อเนียนบนร่างบางนั้น
“หรือว่าเจ้ากำลังถูกโจรราคะปล้นสวาท”
“ไม่ใช่ ท่านป้า”
“ไม่ใช่หรือ” สตรีวัยกลางคนมองอย่างใคร่รู้ก่อนจะเอากำปั้นทุบมืออีกข้าง “อ้อ พวกเจ้าเป็นคู่สามีภรรยากันใช่หรือไม่”
จะบอกว่าไม่ใช่แต่สภาพเช่นนี้ จะตอบอย่างไรดี
“ยัยแก่ เกิดอะไรขึ้น” ชายวัยกลางคนลงมาจากเกวียน คนที่อยู่ในเวียนด้านหลังก็ลงมาตาม
“อย่าเพิ่งเข้ามา” หญิงชาวบ้านที่ถูกเรียกว่ายัยแก่หันมาบอกกับสามีและผู้อื่น ก่อนจะตะโกนเรียกคน “เจ้หลิว ซ้อฟาง มาช่วยข้าที”
หญิงชาวบ้านเจ้าของชื่อลงจากเกวียนเล่มด้านหลังแล้วเดินมาหาหญิงวัยกลางคนคนแรก “มีอะไรอาเจา”
“นี่อย่างไร” หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าอาเจาชี้ไปที่ร่างสองร่างที่ยังนอนนิ่ง
เฟิงชิงถิงหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นว่า หญิงชาวบ้านสองคนก็ร้องตกใจไม่ต่างกับหญิงนามอาเจา
“อั๊ยหยา เกิดอะไรขึ้น สมัยนี้โจรราคะมันลงมือกลางวันแสกๆ เลยหรือ”
เฟิงชิงถิงยังไม่ทันตอบ อาเจาหรือหมี่เจาก็ตอบให้ “ใช่ที่ใดกันเล่า พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยากัน”
“แล้วเหตุจึงเป็นเช่นนี้เล่าแม่หนู”
ครั้งนี้หญิงชาวบ้านอีกคนถามเฟิงชิงถิง
นางไม่กล้าบอกว่านางใช้ยาสลบกับเขา เพราะหากบอกไป คนอื่นอาจจะเข้าใจผิดว่าสือซานเหลียงเป็นคนร้าย “เราสองกำลังเดินทางไปต้าหลวน แต่เพราะเสบียงที่เตรียมมาไม่พอ คนผู้นี้จึงหิวจนหมดสติไปเจ้าคะ”
“จุ๊ๆ ๆ ๆ เวลาหิวๆ ผู้ใดให้ทำเรื่องเช่นนี้กันเล่า ดูสิคงหน้ามืดจนเป็นลมไป” เอ่ยจบหญิงชาวบ้านผู้นั้นก็หัวเราะอย่างมีเลศนัย
“แหม...ซ้อฟาง เอ่ยเช่นนั้นก็ไม่ถูกนะ ยามสมัยสาวๆ แล้วตาแก่พวกนั้นยังหนุ่มๆ พวกเขาดูเวลาที่ใดกัน” เจ้หลิวยิ้มๆ
“นั่นสินะ เมื่อก่อนข้าก็เคยถูกลากเข้าป่าเพราะคนผู้นั้น ทำเอาตกใจแทบตายแต่ก็ตื่นเต้นดี” ซ้อฟางบอกอย่างไม่อาย ทำเอาอีกสองคนหัวเราะชอบใจตามไปด้วย
“ไม่ใช่เวลามาหัวเราะนะเจ้หลิว ซ้อฟาง มาช่วยพลิกร่างใหญ่ของคนผู้นี้ออกจากยัยหนูคนนี้ก่อนเถิด” หมี่เจาเตือน
“นั่นสินะ”
แล้วหญิงชาวบ้านทั้งสามก็พลิกร่างใหญ่ของสือซานเหลียงออกจากร่างเฟิงชิงถิงจนได้ เมื่อลุกขึ้นมาได้ นางรีบจัดการเสื้อผ้าให้เข้าที่จ้องมองคนที่นอนแผ่ด้วยความคับแค้นใจ
“กลิ่นคนผู้นี้เหม็นมาก ยัยหนู สามีเจ้าไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วเนี่ย” ซ้อฟางถาม
“เรื่องนั้น...” เฟิงชิงถิงตอบไม่ได้อีกครั้ง
“ตกลงมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่” เสียงทุ้มจากคนที่อยู่บนเกวียนถาม
“ไม่มีอะไร แค่คนสลบกลางทาง” หมี่เจาตอบก่อนจะหันมาหาเฟิงชิงถิง “ในเมื่อยามนี้สามีของเจ้าก็ยังไม่ฟื้น ฟื้นขึ้นมาก็คงไม่มีแรงเดินทาง เช่นนี้ก็มาพักที่หมู่บ้านของพวกเราก่อนดีหรือไม่ กินข้าวอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”
“เช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนพวกท่านแล้ว” เฟิงชิงถิงตัดสินใจ หากรอให้สือซานเหลียงตื่นก็คงอีกนาน
“ไปเถิดแม่หนู ดูสิ คนผู้นี้แรงเยอะเกินไปแล้ว ผิวขาวแดงไปหมด ช่างไม่ถนอมบุปผาเอาเสียเลย แต่จะว่าไปคนหนุ่มคนแน่นก็เช่นนี้” หมี่เจาอดเอ่ยไม่ได้เมื่อเห็นผิวขาวตรงกลางสาบเสื้อของหญิงสาวเป็นรอยแดงจากมือใหญ่ ผลงานของสือซานเหลียง
เฟิงชิงถิงรีบปิดสาบเสื้อให้มิดกว่าเดิม ใบหน้าที่แดงก่ำก็ร้อนผ่าวแทบจะไหม้
“ดูสิเจ้าหน้าแดงเชียว ยังเป็นหนุ่มสาวก็ดีเช่นนี้แหละ” ซ้อฟางเย้า
หลังจากนั้นร่างของสือซานเหลียงก็ได้เหล่าผู้ชายจากขบวนเกวียนช่วยกันหามขึ้นเกวียนและพากลับหมู่บ้าน
หมู่บ้านที่นางถูกพาไปชื่อหมู่บ้านใบชา เหล่าขบวนเกวียนห้าเล่มที่ผ่านมาช่วยนางนั้นคือกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งเก็บใบชาเสร็จและกำลังเดินทางกลับหมู่บ้านเพื่อนำใบชาไปทำชาขั้นต่อไป
“พวกเจ้าคงหิว เดี๋ยวข้าจะไปทำกับข้าวให้” หมี่เจาที่อายุประมาณสี่สิบเอ่ยหลังจากกลับมาถึงหมู่บ้าน
เฟิงชิงถิงทิ้งให้ร่างของสือซานเหลียงนอนอยู่เกวียนไปก่อน หากให้ไปนอนบนเตียงของผู้อื่นก็คงมีแต่กลิ่นเหม็นติดไปทั่ว อีกทั้งเพราะนางไม่พอใจเขาด้วย จึงปล่อยให้ร่างใหญ่นอนตากแดดอยู่เช่นนั้น ส่วนชาวบ้านคนอื่นต่างแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตนเอง
“หากท่านไม่ว่าอะไรข้าขอซื้อข้าวสารกับวัตถุดิบทำอาหารจะดีกว่า ไม่กล้ารบกวนพวกท่าน” ที่นางต้องทำเช่นนั้นเพราะยามนี้พอจะรู้ว่าสือซานเหลียงกินจุเพียงใด
“ไม่ต้องเกรงใจเช่นนั้นก็ได้”
“เขาเป็นคนกินจุมากเจ้าค่ะ ดังนั้นแค่พวกท่านพาเราสองคนมาพักที่นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า ครัวอยู่ทางนั้น ข้าวของในห้องครัว เจ้าจัดการไปได้เลย ข้าขอเอาใบชาไปเก็บก่อน”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างอย่างยินดี
เมื่อหมี่เจานำยอดชาที่เพิ่งเก็บออกไป เฟิงชิงถิงก็เข้าห้องครัวเริ่มหุงข้าวเตรียมอาหารจำนวนมาก
แม้ตอนทำอาหารนางจะยังเจ็บหน้าอกที่ถูกมือหนาของคนผู้นั้นทรมาน แต่นางรู้ว่าเพียงแค่ช้ำเท่านั้นจึงทำเพียงแค่ไม่ใส่ใจ คิดว่าทำอาหารเสร็จแล้วค่อยทายา ในที่สุดอาหารก็ถูกจัดเตรียมจนเสร็จ ขณะที่เฟิงชิงถิงกำลังถอดผ้ากันเปื้อนออก นางได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังลั่นอยู่นอกครัว จึงเดินออกมาดู
“ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”
เฟิงชิงถิงแทบจะหยุดหายใจเมื่อเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดคนผู้นี้จึงฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาควรจะหมดสตินานกว่านี้นี่
ภาพตรงหน้าคือเด็กชายอายุประมาณหกปี มือข้างหนึ่งกำสิ่งของบางอย่างปาดน้ำตาที่ไหลอาบ มืออีกด้านหนึ่งก็ถือท่อนไม้ขนาดพอดีมือเด็กน้อย ปลายไม้ชี้ไปทางร่างที่ใหญ่โตกว่าหลายเท่าด้วยความตกใจกลัว ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านั้นกำลังเคลื่อนกายเข้าไปใกล้เด็กน้อย เด็กน้อยที่หวาดกลัวจึงหลับหูหลับตาฟาดท่อนไม้ใส่ร่างใหญ่นั้นสุดแรง แต่เจ้าของร่างใหญ่ก็หาได้สะดุ้งสะเทือนไม่ อีกทั้งคนผู้นั้นยังคล้ายกับยิ่งโมโหมากกว่าเก่า ง้างมือขึ้นคิดจะซัดเด็กชายตรงหน้า
เฟิงชิงถิงรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรก็รีบวิ่งไปกอดร่างหนาจากด้านหลังเอาไว้พร้อมกับเรียกสติของคนผู้นั้น “สือซานเหลียงท่านจะทำร้ายเด็กไม่ได้นะ”
“ฮือ” เด็กน้อยถูกใบหน้าดุดัน ท่าทางดุร้ายขู่จนเสียขวัญเข่าอ่อนไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืน
“หนีไป!” เฟิงชิงถิงสั่งเด็กชาย ส่วนตนเองนั้นก็ใช้แรงสุดกำลังกอดร่างใหญ่ไม่ให้เขาทำร้ายผู้อื่น
“ฮือ” เด็กน้อยได้ยินคำสั่งก็พยายามลุกขึ้นปาดน้ำตาแล้ววิ่งหนีไปพร้อมกับร้องหาแม่ “ช่วยด้วย ท่านแม่”
สือซานเหลียงเห็นเด็กน้อยวิ่งหนีไปก็ยิ่งไม่พอใจ ปัดร่างบางที่กอดรัดตนเองเพียงครั้งเดียวร่างนั้นก็กระเด็นออกไปไกล มองไปทางเด็กน้อยผู้นั้นเพื่อคิดจะตามไป
เฟิงชิงถิงถูกแขนแข็งแรงนั้นปัดออกล้มไปกองกับพื้น เห็นร่างหนากำลังเดินตามเด็กน้อยผู้นั้นไป นางก็ขบฟันแน่น หยิบกระบอกใบเล็กที่เหน็บเอวเอาไว้เปิดออกแล้วหยิบเข็มเล่มหนึ่งออกมา
“ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องเช่นนั้นก็คงต้องใช้วิธีนี้” นางพุ่งร่างไปหาสือซานเหลียงอีกครั้ง โดยครั้งนี้มองไปยังจุดจุดหนึ่งบนร่างของเขา มืออีกข้างที่จับเข็มไว้แน่น และเมื่อไปถึงร่างหนานางก็ตัดใจทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำกับผู้ใดลงไป “ขออภัยที่ต้องทำเช่นนี้”
นางฝังเข็มลงไปบนแผ่นหลังร่างหนาตามจุดที่นางหมายเอาไว้อย่างแม่นยำ และเมื่อฝังลงไปลึกตามที่นางต้องการ ร่างสูงใหญ่ก็ทรุดฮวบลงพื้นคล้ายดั่งคนหมดแรง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้หมดแรง แต่เป็นเพราะเขาเจ็บปวดจนไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ต่างหาก
“อ๊าก!” เสียงทุ้มห้าวร้องโหยหวนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
ความคิดเห็น