ตอนที่ 5 : ตอนที่ 4 (120%)
หลังจากเดินมาถึงลำธาร เฟิงชิงถิงก็วางเสื้อผ้าสะอาดลงบนหินก้อนใหญ่ ถอดหน้ากากที่ใช้แปลงโฉมออก นางหันไปบอกสือซานเหลียงที่เดินตามมาเงียบ ๆ “ท่านตัวเหม็นมาก สมควรอาบน้ำ”
“...” สือซานเหลียงมองไยบวบที่เฟิงชิงถิงยื่นมาให้
“รับไปเสีย”
เขารับไปดมๆ เมื่อเห็นว่ากินไม่ได้ก็โยนทิ้งลงลำธาร เฟิงชิงถิงต้องรีบตามไปเก็บ และเมื่อเห็นว่าตัวเองเปียกไปกว่าครึ่งตัวจึงกวักมือเรียกสือซานเหลียงที่มองอยู่ริมลำธาร
“ท่านมานี่สิ”
“...” ร่างสูงที่ยืนอยู่ขยับลงนั่งก่อนจะเริ่มเหม่อลอย
ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อครู่เขายังเดินตามนางอยู่เลย เหตุใดยามนี้กลับไม่ทำตามอีกแล้ว นางยืนอยู่ในลำธารอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลองเปลี่ยนวิธี “หากยอมเดินลงน้ำมา เย็นนี้ข้าจะทำอาหารให้ท่านกินอีกดีหรือไม่”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับ แต่ร่างใหญ่กลับลุกขึ้นเดินลงน้ำมาอย่างว่าง่าย
นางยิ้มกริ่ม ต้องเอาอาหารมาล่อนี่เอง เมื่อเห็นเขามาหยุดอยู่ตรงหน้านางก็ยื่นไยบวบให้เขาอีกครั้ง “อาบน้ำเถิด”
เขารับไยบวบไปแล้วโยนทิ้งอีกครั้ง เฟิงชิงถิงเริ่มอดทนไม่ไหว นางลุยน้ำไปเก็บไยบวบอีกครั้ง เดินกลับมาหยุดตรงหน้าร่างสูงใหญ่บอกกับเขาอย่างใจเย็นที่สุด “ได้ ท่านไม่ต้องทำสิ่งใด ข้าทำให้เอง” แล้วนางก็เริ่มอาบน้ำให้เขา
ครั้งแรกที่นางจับแขนของเขา สือซานเหลียงก็สะบัดออกพร้อมกับแววตาไม่ไว้ใจ แต่นางไม่สนใจ “ท่านตัวเหม็นเกินไปแล้ว ไม่เหม็นตัวเองหรืออย่างไร ท่านทนได้แต่ข้าทนไม่ได้ คนอื่นก็เช่นกัน”
ผลปรากฏว่านางโดนเขาผลักกระเด็นจนนางล้มไปในลำธารก่อนจะตะกายขึ้นมายืนอย่างทุลักทุเล
เฟิงชิงถิงลูบน้ำออกจากหน้ามองเขาอย่างไม่พอใจ มืออีกข้างล้วงกระบอกเข็มออกมา สีหน้าดุขึ้น “หากท่านไม่อยู่นิ่ง ข้าจะใช้เข็มพวกนี้จิ้มร่างท่านให้ท่านทรมานเป็นร้อยเท่า ตอนเย็นก็จะไม่หาอาหารมมาให้”
ดวงตาสีดำขลับเห็นเข็มที่นางหยิบขึ้นมาขู่ก็คำรามอย่างไม่พอใจ ถอยหนีออกมาก้าวหนึ่ง
“อยู่ตรงนั้นอย่าไปไหน” นางสั่งพลางเก็บเข็มกลับไปไว้ที่เดิม ขยับเข้าไปใกล้เขาช้าๆ จับแขนของเขาแล้วเริ่มทำความสะอาดร่างให้
นางไม่รู้ว่าเขากลัวเข็มของนางหรือกลัวไม่ได้กินอาหาร แต่ในเมื่อเขายอมอยู่นิ่งๆ นางก็จัดการขัดแขนที่เต็มไปด้วยคราบไคลออก จัดการแขนข้างหนึ่งเสร็จก็เริ่มแขนอีกข้าง แต่ที่อื่นเล่า...
นางยื่นไยบวบให้เขาอีกครั้ง “ทำความสะอาดร่างกายท่านด้วยสิ่งนี้”
ครั้งนี้เขามองมันก่อนจะเมินไปทางอื่น ดูท่าทางแล้วเขาคงไม่ยอมอาบน้ำเองแน่
ก่อนที่จะมาเป็นหมอ นางตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่แต่งออกให้ผู้ใด เพื่อไม่ต้องฟังคำครหาหรือสร้างความเสื่อมเสียให้กับสามีในอนาคตเพราะการเป็นหมอนั้นเลือกคนไข้ไม่ได้
ท่านปู่เคยบอกนางเอาไว้ การเป็นหมอต้องไม่ยึดติด แม้จะเป็นสตรีแต่อย่างไรก็ไม่พ้นต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้าม หากคิดจะเป็นหมอต้องก้าวข้ามเรื่องพวกนี้ไปให้ได้
แต่นอกจากสัมผัสกายผู้ป่วยที่เป็นบุรุษเล็กน้อยเพื่อตรวจอาการ นางก็แทบจะไม่ได้แตะต้องตัวพวกเขา คิดว่าวันนี้นางจะต้องอาบน้ำให้บุรุษทั้งตัว แม้จะไม่ได้สัมผัสแต่ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่ได้
นางสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนจะผ่อนออกมาช้าๆ คิดเสียว่าเป็นการฝึกฝนตนเองไปในตัวคงไม่เป็นไร เพราะยามนี้สือซานเหลียงก็เป็นคนป่วยคนหนึ่ง
คิดได้ดังนั้นนางก็เริ่มถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้ำและสกปรกออกจากร่างหนาจนหมดเหลือเพียงกางเกงตัวในเพียงตัวเดียวเท่านั้น นางอาบน้ำให้เขาด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวและเงอะงะเป็นที่สุด
ตอนแรกสือซานเหลียงก็เหมือนไม่พอใจเพราะเขาคำรามเสียงฮื่มตลอดเวลา แต่เมื่อนางสั่งให้เขานั่งลงในลำธารและเริ่มขัดแผ่นหลังให้เขาแล้ว เสียงคำรามก็เริ่มหายไป ร่างกายที่ต่อต้านก็เริ่มผ่อนคลายลง
เพราะลำธารนั้นไม่ลึกมาก เมื่อสือซานเหลียงนั่งลงลำธารก็สูงแค่แผงอกของเขาเท่านั้น เขาหลับตาลงยอมให้ร่างกายตนเองถูกขัดถูไปมาและครางออกมาด้วยเสียงอันผ่อนคลาย
“ต่อไปท่านต้องทำเองรู้หรือไม่” นางบอกเขาพร้อมกับขัดหลังเขาอย่างแรง
“อื้ม” เฟิงชิงถิงได้ยินเสียงห้าวตอบมานางก็ยินดี แต่สำหรับสือซานเหลียงนั้นมันคือเสียงครางหาใช่เสียงตอบรับอย่างที่เฟิงชิงถิงคิดไม่
เฟิงชิงถิงนั้นแม้จะพยายามไม่สัมผัสเรือนกายเขามากเกินจำเป็น แต่อย่างไรนางก็ต้องมองดูเรือนกายนั้น ดูว่ามีที่ใดที่นางยังขัดคราบไคลไม่สะอาดบ้าง ท่ามกลางสายน้ำที่เย็นสบายแต่นางกลับรู้สึกร้อนไปทั้งตัว อยากอาบน้ำให้เขาเสร็จโดยไวแต่ก็ทำได้ยากเพราะเขานั้นสกปรกไปทั้งตัว ขัดร่างกายช่วงบนจนสะอาดนางก็จัดการกับช่วงล่างที่นั่งอยู่ในน้ำอย่างลวกๆ ไม่ได้สะอาดเท่าด้านบน
ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรียังไม่เคยออกเรือน เรื่องพวกนี้ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ในครั้งแรก นางยอมแพ้กับผิวกายภายใต้กางเกงตัวในที่เขาใส่อยู่ เพราะตอนนี้นางคล้ายจะเป็นลมด้วยความร้อนที่ใบหน้ามากเกินไป แล้วเฟิงชิงถิงก็เริ่มรู้สึกว่าคนผู้นี้เกิดมาเพื่อทำลายความเยือกเย็นที่นางสั่งสมมาคล้ายกับเขาเป็นดาวอริกับนางก็ไม่ปาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไรได้เล่า ให้นางทิ้งเขาไปนางก็ทำไม่ลงจริงๆ
เมื่อจัดการกับส่วนขาของเขาอย่างลวกๆ เสร็จนางก็เริ่มสระผมให้เขา แม้จะถูกน้ำเย็นราดรดแต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืน มือบางสางผมที่สังกะตังทีละน้อยพร้อมกับนวดศีรษะเขาไปในตัว แม้จะใช้เวลานานแต่เขาก็ยังคงนั่งนิ่งยอมให้นางจัดการกับผมอันสกปรกโดยไม่ปริปากใดๆ
เฟิงชิงถิงผ่อนลมหายใจออกมาหลังจากผมที่พันกันยามนี้สะอาดและถูกคลายออกจนไม่ผมส่วนใดที่พันกันอีก ขั้นตอนสุดท้ายคือการล้างหน้าของเขาจนสะอาด นอกจากหนวดเคราที่ดูเกะกะรกตาไม่เป็นระเบียบยามนี้เขาก็ไม่เหมือนเจ้าบ้าที่ดูไม่ได้อีกแล้ว
นางลากเขาขึ้นลำธาร บอกให้เขาสวมเสื้อผ้าใหม่เขาก็ไม่ยอมทำ ขมับของนางเต้นตุบๆ อย่างเดือดดาลแต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ เพราะยามนี้เขาคือคนป่วย สุดท้ายนางก็ต้องทำเอง แม้แต่กางเกงตัวในที่เปียกน้ำนางก็เป็นคนถอดออกและสวมกางเกงตัวใหม่ให้เขาด้วยใบหน้าที่แดงจัดดั่งจะสามารถกลั่นเลือดออกมาได้
“ข้าจะรีบทำให้ท่านหายโดยไวที่สุด กลับไปถึงที่พักข้าจะรีบตรวจอาการให้ท่าน” นางบอกกับเขาไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ แต่ที่นางพูดนั้นเพราะพยายามเบี่ยงเบนสมาธิจากเรื่องที่ทำอยู่
เมื่อใส่เสื้อผ้าให้สือซานเหลียงเสร็จ นางก็เช็ดผมให้เขาจนหมาด ก่อนจะสั่งให้เขาหันหลังให้และนั่งรอนาง ส่วนนางนั้นก็เดินกลับเข้าลำธารเพื่ออาบน้ำ หลังจากจัดการกับธุระของตนเองเสร็จนางก็เดินกลับมาหาเขา ก่อนจะเดินกลับเข้าหมู่บ้านใบชาพร้อมกัน
ไม่คิดว่าพอเดินมาจะถึงบ้านของหมี่เจานางกลับเห็นทหารสี่นายเดินตรงเข้ามา ด้วยความตกใจนางจึงรีบคว้าแขนของสือซานเหลียงและจูงเขาไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ รอจนพวกเขาเดินผ่านไปนางจึงรีบจูงสือซานเหลียงกลับไปที่บ้านของหมี่เจาอีกครั้ง
เพราะด้วยความรีบร้อนนางจึงไม่สังเกตว่ายามนี้แม้นางจะจับตัวเขา สือซานเหลียงก็หาได้ปฏิเสธสัมผัสนางสักนิด เขาเพียงมองมือเล็กนั้นครู่หนึ่งก่อนจะยอมให้นางลากไปมา
“กลับมากันแล้วหรือ” หมี่เจาต้อนรับอย่างแข็งขัน “ข้าจัดห้องไว้ให้พวกเจ้าแล้วไปพักผ่อนเถิด ส่วนเรื่องอาหารค่ำไม่ต้องห่วงข้าจัดการเอง”
“ท่านป้า รบกวนท่านเกินไปแล้ว” เฟิงชิงถิงบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร หัวอกสตรีเช่นกัน”
“หัวอกสตรี?” เฟิงชิงถิงทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“เอาเถิด ข้าก็เป็นเช่นนี้นิสัยชอบแส่เรื่องชาวบ้าน ไปๆ ไปพักผ่อน พวกเจ้าคงเดินทางมาเหนื่อย” นางดันร่างของเฟิงชิงถิงให้เข้าไปในบ้าน ชี้ไปยังห้องที่นางเตรียมเอาไว้ “ห้องนั้นเล็กไปหน่อยแต่ก็สะอาด”
“ขอบคุณท่านมาก”
“เกรงใจไปแล้ว ไปๆ” นางบอกอย่างแข็งขัน เมื่อเห็นสือซานเหลียงเดินตามเฟิงชิงถิงไปก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับเขา “นี่พ่อหนุม ฮูหยินของเจ้ารักเจ้ามากรู้หรือไม่ อย่ารังแกนางมากนัก” พูดจบก็รีบถอยออกห่างเพราะเห็นว่าสายตาที่จ้องมองมานั้นไม่เป็นมิตรนัก
“...” สือซานเหลียงมองสตรีแปลกหน้าครู่หนึ่งก็เลิกสนใจ มองตรงไปด้านหน้าแล้วเดินตามเฟิงชิงถิงต่อไป
หมี่เจาถอนหายใจอย่างโล่งอก ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เฮ้อ คิดว่าจะตายเสียแล้ว ช่างมีแววตาที่น่ากลัวนัก”
“ท่านมานั่งนี่” เมื่อเข้ามาในห้อง เฟิงชิงถิงก็เรียกสือซานเหลียงไปนั่งบนเตียงที่มีอยู่หลังเดียว อีกทั้งยังเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวในห้องนี้อีกต่างหาก เมื่อเขามานั่งตามที่นางบอก นางก็หยิบมีดในห่อผ้าของตนเองขึ้นมาหวังจะโกนหนวดโกนเคราให้ แต่เมื่อสือซานเหลียงเห็นมีดในมือนางเขาก็คำรามออกมาอย่างดุดัน
“ข้าแค่จะโกนหนวดเคราให้” นางพยายามจับเคราที่รุงรังของเขาแต่ก็โดนมือหนาปัดออก พยายามเท่าใดก็ไม่สำเร็จสุดท้ายนางจึงถอดใจ “ไม่โกนก็ได้”
นางเปลี่ยนมาหยิบหวีแล้วเริ่มสางผมที่แห้งของเขาเพื่อเกล้าผมให้ แต่ขณะที่สางผมให้เขานางก็ได้ยินเสียงด้านนอกดังเข้ามา
“ใต้เท้ามีเรื่องใดเกิดขึ้นหรือ” เสียงของหมี่เจาฟังดูยำเกรงอีกทั้งยังเอ่ยคำว่าใต้เท้า เฟิงชิงถิงจึงปล่อยผมของสือซานเหลียงแอบเปิดประตูออกไปดู
ที่หน้าบ้านของหมี่เจา มีนายทหารสามนายยืนอยู่ เมื่อนายทหารคนหนึ่งมองเข้ามานางก็หลบอยู่ด้านหลังประตูและปิดอย่างรวดเร็ว
ทหารพวกนั้นตามหาตัวนาง
“ท่านป้า ท่านเห็นสตรีที่เดินทางมาแถวนี้คนเดียวบ้างหรือไม่” นายทหารคนหนึ่งถามขึ้น
“ข้าเพิ่งเจอคนที่เดินทางผ่านมา” หมี่เจาตอบกลับไปตามปกติ
“นางไปทางใด” นายทหารถามต่อ
“นางพักอยู่ในบ้านของข้าเนี่ยแหละ”
เฟิงชิงถิงได้ยินก็มองซ้ายมองขวาอย่างร้อนใจ ยามนี้นางใส่หน้ากากแปลงโฉมอยู่ ดังนั้นพวกทหารจะไม่รู้จักนาง แต่หากเขาค้นของในสัมภาระของนางก็อาจจะมีปัญหา ทำได้ยามนี้คือต้องซ่อนห่อสัมภาระเสียก่อน แต่นางจะซ่อนที่ใดเล่า ในห้องนี้มีเพียงเตียงหลังไม่ใหญ่อยู่แค่หลังเดียว
“ข้าขอเข้าไปตรวจหน่อย” เสียงนายทหารดังขึ้น
เฟิงชิงถิงยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม
“ได้เจ้าค่ะ แต่ท่านต้องระวังนะเจ้าคะ สามีของนางสติไม่ค่อยดี พวกนางเดินทางผ่านมาที่นี่เพราะต้องการหาหมอรักษาสามีของนาง”
“นางมีสามี สามีนางป่วย?”
“เจ้าค่ะ ยามนี้นางอยู่ในห้องนั่นแหละเจ้าค่ะ”
เฟิงชิงถิงแง้มประตูแอบดูอีกครั้ง เห็นนายทหารกำลังปรึกษากันอยู่ “นางไม่น่าจะใช่คนที่เราตามหา เพราะนางไม่ใช่หมอเทวดา”
“พวกท่านตามหมอเทวดาหรือเจ้าคะ บอกได้หรือไม่ว่าจะตามหาเจอได้อย่างไร ข้าสงสารคู่สามีภรรยาคู่นี้มาก หากข้ารู้ ข้าจะได้บอกนางให้พาสามีไปรักษาอาการสติไม่ดี”
“หากข้ารู้จะตามหาอยู่เช่นนี้หรือ” นายทหารผู้หนึ่งเอ่ยอย่างดุดันก่อนจะหันไปทางเพื่อนนายทหาร "ไปกันเถิด"
“แล้วไม่เข้าไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“ไม่ เสียเวลา เราต้องรีบไปหาที่อื่นอีก” แล้วนายทหารทั้งสามก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เฟิงชิงถิงปิดประตูลงถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีเหลือเกินที่ท่านป้าผู้นั้นคิดว่านางสตรีคือที่พาสามีเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อหาหมอมารักษาอาการเสียสติของเขา ด้วยเหตุผลว่านางก็กำลังตามหาหมอเช่นกัน พวกทหารเหล่านั้นจึงคิดว่านางไม่ใช่หมอเทวดา ก็จริง หมอเทวดาที่ไหนจะตามหาหมอเทวดาเล่า อีกทั้งทุกคนต่างรู้ว่าหมอเทวดานั้นไม่มีสามี ดังนั้นการที่ถูกเข้าใจว่านางเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วก็ยิ่งทำให้นางกลายเป็นผู้ต้องสงสัยน้อยลง
นางมองไปทางสือซานเหลียงที่นั่งมองนางคล้ายจะเหม่อลอย นางคลี่ยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี
“ดูท่าแล้ว ท่านสติไม่ดีก็มีข้อดีเหมือนกัน”
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ปกติแล้ว เฟิงชิงถิงก็กลับมาสางผมให้สือซานเหลียงต่อ เขานั่งนิ่งไม่ขยับ ยอมให้นางเกล้าผมอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นนางจึงเริ่มตรวจอาการให้
จากการตรวจอาการทำให้นางรู้ว่า ชีพจรของเขาสับสน ลมปราณตีกลับ ช่วงที่นางสางผมให้เขาก็เห็นว่ามีรอยแผลอยู่ที่หนังศีรษะเพิ่งจะตกสะเก็ดไปไม่นานและมียังมีรอยบวมที่ยังไม่ยุบ ตรวจกะโหลกก็พบว่ามันยังอยู่ในสภาพเดิม
สรุปอาการของสือซานเหลียงคือ ศีรษะมีรอยบวมน่าจะมีเลือดคั่งอยู่ภายใน แต่กะโหลกไม่มีปัญหา ที่รอยบวมมีแผลที่เพิ่งจะตกสะเก็ด ส่วนข้างรอยแผลนั้นมีรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว นั่นแปลว่าศีรษะของเขาเคยถูกกระทบกระเทือนและเมื่อไม่นานมานี้ก็ถูกกระทบกระเทือนอีกครั้ง บวกกับชีพจรที่สับสนคาดลมปราณตีกลับที่เป็นสาเหตุให้เขามีอาการเช่นนี้
นางสามารถช่วยกำจัดเลือดที่ค้างอยู่ที่ศีรษะเขาได้ หากเลือดเสียพวกนั้นถูกกำจัดออกจนหมดอาการความจำเสื่อมของเขาก็อาจจะหายดี แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องลมปราณที่ไม่ปกติ เพราะนางสามารถช่วยแก้ไขเรื่องลมปราณที่ตีกลับให้เขาได้ แต่ขั้นสุดท้ายต้องให้สือซานเหลียงเดินลมปราณ หรือไม่ก็ต้องให้คนที่มีวรวุทธ์ล้ำเลิศช่วยเขาเพื่อทะลวงลมปราณให้กลับมาเป็นปกติ ไม่เช่นนั้นแม้นางจะกำจัดเลือดเสียออกไปได้แต่ลมปราณของเขายังคงตีกลับเช่นนี้ แม้ความจำจะกลับมาดีแต่ก็ยังคงเป็นเจ้าบ้าอยู่ดี
เฟิงชิงถิงถอนหายใจออกมามองร่างคนตรงหน้าที่กำลังมองนางอยู่เช่นกัน ต่างคนต่างมองหน้ากันโดยที่เฟิงชิงถิงครุ่นคิดถึงแผนการรักษาให้เขา หากนางจำไม่ผิดพรรคโลหิตอัคคีมีสาขาอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่งใกล้ชายแดนต้าหลวน ใช้เวลาไม่นานก็คงจะเดินไปถึง แต่เพราะยามนี้นางเองก็ถูกตามตัว ส่วนสือซานเหลียงผู้นี้ก็ถูกตามล่า ดังนั้นการเดินทางคงจะกินเวลานานกว่าเดิมพอสมควร แต่ข้อดีก็คือสือซานเหลียงต้องกินยาและฝังเข็มอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้นเดินทางช้าหน่อยก็เป็นผลดีต่อการรักษาให้สือซานเหลียง
แต่เพราะขั้นตอนสุดท้ายต้องให้ตัวเขาเองโคจรพลังลมปราณ แต่เพราะเขามีอาการคล้ายคนสติไม่ดี คงจะบอกให้เขาโคจรลมปราณเองได้ยาก วิธีสุดท้ายคือต้องให้ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งทะลวงลมปราณให้เขาแทน แต่นางไม่มีวิทยายุทธ์ ไม่มีพลังลมปราณ วิธีที่ดีที่สุดคือพาสือซานเหลียงไปส่งให้คนพรรคโลหิตอัคคีช่วยทะลวงลมปราณให้เขา อีกทั้งยังปลอดภัยจากการถูกคนในยุทธภพตามล่าอีกด้วย ถึงตอนนั้นนางก็สามารถจากเขาไปได้อย่างวางใจ
ดูท่าว่าคนผู้นี้คงจะว่างมากเพราะหลังจากนางนั่งคิดเรื่องการเดินทางและการรักษาอาการของเขาอยู่นาน สือซานเหลียงก็ยังมองนางไม่วางตา แต่นางไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แววตาที่เขามองนางนั้นไม่ได้บ่งบอกสิ่งใดแม้แต่น้อย
“สือซานเหลียง ท่านได้รับบาดเจ็บและลมปราณตีกลับ ต่อไปนี้ข้าจะรักษาท่านเอง” นางเอ่ยออกมาในที่สุด
แต่สือซานเหลียงนั้นไม่ได้ตอบสิ่งใด เขาขยับกายอย่างเกียจคร้านและพลิกตัวลงนอนบนเตียงคล้ายดังคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตอนแรกนางคิดจะเริ่มรักษาอาการให้เขาในทันที แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะยาก จึงคิดว่ารอให้กินอาหารเย็นเสร็จเขาอารมณ์ดีแล้วค่อยเริ่มฝังเข็ม ส่วนเรื่องยาคงต้องไปหาซื้อเพิ่มเพราะมีตัวยาบางตัวที่จำเป็นต้องใช้
เฟิงชิงถิงใช้เวลาอีกครู่เปิดตำราการฝังเข็มที่นางติดตัวมาด้วย ดูจุดฝังเข็มต่างๆ เพื่อแน่ใจว่านางจะไม่ฝังเข็มผิดจุด เพราะจุดฝังเข็มเพื่อรักษาอาการของสือซานเหลียงนั้นเป็นจุดที่นางไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก
ในห้องนอนอันเล็กกะทัดรัด ร่างใหญ่นอนหลับอยู่บนเตียง ส่วนร่างบางอีกร่างก็นั่งอยู่บนเตียงหนาก้มหน้าศึกษาตำราอยู่เงียบ ๆ เพราะเตียงเล็ก ร่างของคนทั้งสองจึงอยู่ไม่ห่างกันนัก
แสงแดดยามเย็นย่ำทอดทอเข้ามาทางหน้าต่าง ส่งให้บรรยากาศอันไม่มีความหมายดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด คนทั้งสองนั้นหาได้รู้ไม่ว่าความผูกพันที่ไร้รูปร่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
หลังจากอ่านตำราจนจบเฟิงชิงถิงก็รู้สึกล้าที่ดวงตา นางขยับตัวพิงผนังที่ติดอยู่กับเตียงหลับตาลงเพื่อพักสายตา แต่ไม่คิดว่าเพราะความเหน็ดเหนื่อยที่ทับถมกันมาหลายวันทำให้นางผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
คนผู้หนึ่งหลับใหล แต่อีกคนหนึ่งกลับตื่นขึ้นมา เจ้าของร่างใหญ่พลิกตัวลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีเหม่อลอยเช่นทุกครั้ง ดวงตาที่ว่างเปล่ามองไปรอบด้านก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างบางที่นั่งหลับอยู่ ดวงตาคู่เลื่อนลอยจับจ้องไปที่ดวงหน้าของสตรีนางนั้นแต่ก็ไม่นานนักสายตานั้นก็เปลี่ยนเป็นมองต้นคอที่มีรอยแดงเป็นปื้น ก่อนจะเลื่อนมองที่หน้าอกที่ขยับขึ้นลงตามลมหายใจของนาง
“หมั่นโถว” เสียงทุ้มเอ่ยคล้ายจำได้ว่ามันคือสิ่งใด เพราะไม่หิวมากจึงไม่ได้แตะต้อง เปลี่ยนเป้าหมายเลื่อนสายตาไปที่มือเรียวของนาง มองอยู่พักใหญ่จึงขยับมานั่งใกล้สูดจมูดฟุดฟิดสำรวจกลิ่นนางแล้วเริ่มมองมือเรียวอย่างจริงจัง มือหนาเลื่อนไปจับมือบางข้างหนึ่งขึ้นมา
“อื้อ” เฟิงชิงถิงที่หลับอยู่ถูกการรบกวนจากมือใหญ่ก็ส่งเสียงครางอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา
สายตาคู่คมมองมือเล็กนั้นพร้อมกับใช้มือหยาบของตนเองสัมผัสมือนั้นไปมาก่อนจะจับให้มือเล็กนั้นทาบไปที่ข้างแก้มของตนเอง ดวงตาที่กระด้างไร้ความรู้สึกส่องประกายบางอย่างก่อนจะปิดเปลือกตาลงเอียงหน้าใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนวดเคราแนบกับฝ่ามือเล็ก แต่ทำได้ไม่นานคิ้วรูปกระบี่ก็ขมวดมุ่น ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ คล้ายกับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ก่อนจะปล่อยมือนั้นลงอย่างไม่ไยดี ยีศีรษะตนเองจนผมที่ถูกรวบไว้หลุดลุ่ยไม่เป็นทรง
เพราะมือของตนเองถูกปล่อยอย่างรุนแรงลงบนตัก เฟิงชิงถิงจึงสะดุ้งตื่น เห็นว่าร่างใหญ่นั่งอยู่ใกล้จนเกือบชิดก็ตกใจแทบจะตกเตียง
“ท่านมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
ดวงตาคู่กระด้างมองนางครู่หนึ่งแล้วก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้วยท่าทีเหม่อลอยเช่นเดิม
“เฮ้อ ข้าไม่น่าถามท่านเลย” นอกจากเกี่ยวกับเรื่องกินแล้ว คนผู้นี้แทบจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับนาง
เมื่อนางบิดกายเพื่อคลายความปวดเมื่อยก็ต้องนิ่วหน้าเพราะหน้าอกที่ถูกสือซานเหลียงทำร้ายนั้นปวดแปลบขึ้นมา คิดในใจว่าลืมไปได้อย่างไร เมื่อครู่เขาหลับอยู่นางน่าจะเอายามาทา ตอนไปอาบน้ำก็ลืมนำยาไป
นางกัดริมฝีปากครุ่นคิดเห็นเขามองเหม่ออยู่ด้านนอกไม่สนใจสิ่งใด นางจึงตัดสินใจหยิบยาทาในห่อสัมภาระและหันหลังให้เขา เหลียวมองกลับมาดูเขาอีกครั้งก็เห็นเขายังมองออกไปข้างนอกไม่ไหวติงนางจึงหันกลับมา ปลดสายคาดเอวให้หลวมขึ้นให้สาบเสื้อนั้นสามารถคลายออก ก่อนจะสอดมือป้ายยาทาลงไปบนหน้าอกของตนเอง
เฟิงชิงถิงหันหลังให้ร่างใหญ่ นางพยายามรีบทำให้ไวที่สุดแต่เพราะนางถูกมือของคนผู้นั้นทรมานทั้งสองข้างจึงต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่เพราะคิดว่าคนที่อยู่ร่วมห้องของนางไม่สนใจ นางจึงทายาให้ตนเองได้อย่างวางใจ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าก็ยังร้อนผ่าวอย่างไร้สาเหตุอยู่ดี
ที่เฟิงชิงถิงไม่รู้คือ หลังจากที่นางหันหลังให้ร่างใหญ่ เพียงแค่นางเปิดตลับยาออก กลิ่นยาที่หอมจางๆ ก็ทำให้คนที่เหม่อมองอยู่ด้านนอกหันกลับมามองตามกลิ่น และเปลี่ยนจากมองเหม่อด้านนอกเป็นมองแผ่นหลังร่างเล็กที่ขยับตัวยุกยิกแทน
เมื่อจัดการทายาให้ตนเองเสร็จ นางก็หันกลับมาใบหน้าที่ยังไม่หายแดงกลับแดงก่ำหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าสือซานเหลียงที่นางคิดว่าเขาไม่ได้มองกำลังจับตามองดูนางอยู่
“ม...มองสิ่งใดกัน” น้ำเสียงของนางกุกกักเก็บตลับยาเข้าไปในสัมภาระ แม้จะรู้ว่าเขาคงไม่ตอบนางแต่นางก็เผลอถามไปแล้ว แต่ครั้งนี้แปลก เพราะเขาตอบกลับมา
“หอม” เสียงห้าวตอบพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ สูดกลิ่นตัวยาจากเรือนกายหอมจนนางถอยกรูดไปติดกำแพงด้วยความตกใจ
“ท่านจะทำสิ่งใด”
“หมั่นโถว” ดวงตาคู่เดิมจับจ้องส่วนที่นางเพิ่งจะทายาเสร็จ
เฟิงชิงถิงเบิกตากว้าง ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะปู้ยี่ปู้ยำหมั่นโถวของนางอีกนะ นางกอดอกแน่นพร้อมกับตวาดออกมา “ไม่ได้!”
คนตรงหน้านางหาได้สนใจไม่ เขาคลานเข้าหานางคล้ายดั่งเสือหิวที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ
“สือซานเหลียงหากท่านรังแกข้า ข้าจะใช้เข็มฝังให้ท่านเจ็บปวดเจียนตาย” นางใช้ไม้ตายไม้สุดท้าย
ขณะที่กำลังล้วงมือเข้าไปในสายคาดเอวเพื่อนำกระบอกเข็มออกมา ข้อมือของนางก็ถูกคว้าหมับไปอย่างรวดเร็ว
“หอม” เขาก้มลงมาดมมือข้างที่นางใช้ทายาที่บริเวณนั้น แนบหน้าเกลือกกลิ้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครากับฝ่ามือเล็ก “หมั่นโถวหอม”
ความร้อนผ่าวในร่างกายวิ่งไปกระจุกรวมอยู่ที่ใบหน้าของนางทันทีที่ได้ยินคำสุดท้ายของเขา พยายามดึงมือกลับแต่ก็ไม่สามารถขัดขืนเรี่ยวแรงของเขาได้
“ปล่อยนะสือซานเหลียง” นางอายจนไม่รู้จะอายอย่างไรแล้ว มือข้างนี้ของนางเพิ่งจะสัมผัสหน้าอกของตัวเองมา ยามนี้ถูกใบหน้าสากของเขาเกลือกกลิ้ง แม้ตอนแรกนางไม่ได้คิดสิ่งใด แต่เมื่อเขาพูดถึงหมั่นโถว นางก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาพูดถึงสิ่งนั้นของนาง
เลือดลมของนางฉีดพล่านไปทั่วร่างอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างหนักหน่วง นางรู้ว่ามันเป็นเพราะความอาย แต่จะให้นางทำอย่างไรเล่า นางเชื่อว่าหากเขาปกติดีเขาจะไม่ทำเช่นนี้แน่นอน แต่นี่เพราะเขาไม่ปกติ!
“ยัยหนูได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว” หมี่เจาเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ เห็นร่างเล็กของสาวน้อยนั่งอยู่บนเตียงตัวชิดฝาผนัง ส่วนสามีของนางอยู่ในท่าคลานเข่ามือข้างหนึ่งจับมือเรียวเอาไว้แนบใบหน้าเกลือกกลิ้งกับมือเรียวนั้น หมี่เจาก็คิดว่าคงมาขัดจังหวะช่วงเวลาดีๆ ของสองสามีภรรยาเข้าให้เสียแล้ว “ขออภัย ข้าลืมเคาะประตู”
“ท่านป้า อย่าเข้าใจผิด” นางรีบหันไปตอบทั้งที่ในใจแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้ตายด้วยความอับอาย
“หมั่นโถวหอม” เสียงทุ้มเอ่ยไม่สนใจสิ่งใด
“หมั่นโถวหอม? ” หมี่เจาทวนคำอย่างแปลกใจ ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “สามีเจ้าเรียกเจ้าว่าหมั่นโถวหอมหรือ ช่างน่ารักจริง ไปเถิดกินข้าวกันก่อนแล้วค่อยมาทำเรื่องพวกนี้กันต่อก็ได้” เอ่ยจบหมี่เจาก็หัวเราะเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี ไม่สนใจเฟิงชิงถิงที่ตะโกนปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรพร้อมกับพยายามชักมือกลับออกมาจากมือหนา
ดูท่าทางคำว่า ไปกินข้าวจะสามารถดึงดูดความสนใจของสือซานเหลียงได้ เพราะในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือนาง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมาจ้องนางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “กินข้าว”
“กินข้าว” นางทวนคำของเขาด้วยเสียงที่พยายามปรับให้ราบเรียบที่สุดทั้งที่ในใจนั้นอยากจะร่ำไห้
ขณะที่ลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปก็เห็นผมของเขาไม่เป็นทรงอีกแล้ว นางจึงอดไม่ไหว “สือซานเหลียง ท่านมานี่ก่อน” นางรู้ว่าเขาไม่ฟังนางแต่นางก็ติดที่จะพูดก่อนทำ นางดึงแขนเขามานั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง หยิบหวีขึ้นมาสางผมรวบผมให้เขาอีกครั้ง นางไม่รู้ว่าการสางผมให้เขาครั้งนี้ทำให้ดวงตาที่กระด้างไร้แววนั้นมีประกายวาบคล้ายกับเด็กที่เพิ่งค้นพบสมบัติแวบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไปกลายเป็นเลื่อนลอยอีกครั้ง
เมื่อเฟิงชิงถิงพาสือซานเหลียงออกไปจากห้อง ยังไม่ทันเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยซ้ำ นางก็ได้ยินเสียงสตรีอีกนางหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นพร้อมกับอ้อนวอนบางอย่างกับผู้เป็นเจ้าของบ้าน
“พี่เล่ยอาซ้อ ท่านต้องช่วยข้านะ ท่านพ่อจะไปแล้ว ข้าห้ามเท่าใดก็ไม่ฟัง พี่เล่ยท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านหากท่านไปห้ามเขาต้องฟังท่านแน่ๆ”
“เขาจะไปทีใด อาซิงเจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้เล่ามาก่อน” หมี่เจาถาม
“เล่าตอนนี้ไม่ทันแล้ว พวกท่านไปห้ามเขาก่อน ตอนนี้ท่านพ่อขนของขึ้นเกวียนแล้ว บอกว่าหากข้าไม่ยอมออกจากบ้านท่านพ่อก็จะไปเอง”
“เช่นนั้นไปถามตาเฒ่าฮุ่ยให้รู้เรื่องกันไปว่ามีเรื่องใดกัน” เล่ยกัวสามีของหมี่เจาสีหน้าคร่ำเคร่งขึ้น เขาลุกจากโต๊ะอาหารเดินออกจากบ้านตรงไปยังบ้านของตาเฒ่าฮุ่ยที่เป็นพ่อสามีของอาซิง
ทั้งหมี่เจาและอาซิงเห็นเช่นนั้นก็รีบตามไปทันที
ในห้องกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง เฟิงชิงถิงยังไม่ทันคิดจะทำสิ่งใด เสียงหนึ่งก็เตือนขึ้นมาก่อน
“ข้าว”
นางรีบตักข้าวใส่ชามข้าวและกับข้าวส่วนหนึ่งใส่ชามเดียวกันก่อนจะสั่ง “กินแค่นี้ก่อน” นางกลัวเขาจะกินส่วนของเจ้าของบ้านจนหมดจึงยัดชามข้าวใส่มือเขาก่อนจะลากเขาเดินตามหมี่เจาไป
“อาซิงไม่ดีตรงที่ใด ท่านก็บอกนางไปสิ นางจะปรับปรุงตัว ไม่ใช่ไร้เหตุผลไล่นางไปเช่นนี้” เฟิงชิงถิงเดินตามหมี่เจามาถึงบ้านของตาเฒ่าฮุ่ยก็ได้ยินเล่ยกัวเอ่ยพอดี
ชายชราที่เพิ่งจะขนของตนเองขึ้นเกวียนเสร็จก็หันไปขึงตาใส่ลูกสะใภ้ ไอแคกๆ สองสามครั้งก่อนจะหันไปตอบเล่ยกัว “นี่มันบ้านของข้า ข้าไม่พอใจก็ไล่นางออกไปได้ แต่นี่ไล่ไปแล้วนางก็ไม่ไป เช่นนั้นข้าจะไปเอง”
“ตาเฒ่าฮุ่ยเจ้าอย่าไร้เหตุผลได้หรือไม่ ใครๆ ก็รู้ว่าอาชิงเป็นสะใภ้ที่ดีเพียงไร ตั้งแต่อาจีถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสองปีกว่าก็ยังไม่กลับ ข้าก็เห็นอาซิงดูแลใส่ใจเจ้าไม่ขาดแล้วเจ้ายังจะบอกว่านางไม่ดีอีกหรือ” หมี่เจาตวาดผู้อาวุโสด้วยความโมโห
“นั่นมันเรื่องของข้า แค่ก ๆ” เฒ่าฮุ่ยหายใจหอบ ซับเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะยันร่างอยู่กับเกวียนแล้วไอออกมาอีกชุดใหญ่
“ท่านพ่อ ท่านอย่าไล่ข้าไปเลย” อาชิงวิ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฒ่าฮุ่ย”
“แค่ก ๆ ออกไป” เฒ่าจางปิดปากไอ ผลักลูกสะใภ้ออกไปที่พ้นทาง “ต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งกับข้า หมู่บ้านใบชาข้าก็ไม่อยากอยู่แล้วเช่นกัน หากอาจีลูกข้าโชคดีมีชีวิตรอดกลับมา เจ้าก็บอกว่าข้าหายสาบสูญไปก็ได้ หากเขาไม่กลับมาเจ้าจะมีสามีใหม่ก็แล้วแต่ บ้านหลังนี้ข้ายกให้”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าทำเช่นนี้ หากท่านทิ้งข้าไป ข้าก็ไม่เหลือญาติที่ใดแล้ว ข้าไม่มีสามีใหม่ข้าจะรออาจีเพียงคนเดียวท่านเชื่อข้าเถิด” นางคลานไปกอดขาพ่อสามี ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
“อย่ามาใกล้ข้า” ตาเฒ่าฮุ่ยสะบัดร่างที่กอดขาออกอย่างไม่ไยดี รีบเดินออกห่างไปปิดปากไออีกครั้ง
“ท่านพ่อ” อาซิงที่ถูกสะบัดร่างจนกระเด็นร้องไห้สะอึกสะอื้นดั่งคนหัวใจสลาย
“ตาเฒ่าฮุ่ยเจ้าไร้เหตุผลเกินไปแล้วนะ”
เฟิงชิงถิงที่ดูอยู่นานเดินเข้าไปใกล้ตาเฒ่าฮุ่ย มองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา “ขออภัยที่ต้องถาม แต่ที่จริงแล้วท่านก็ไม่อยากไปใช่หรือไม่ ที่ท่านต้องทำเช่นนี้มีเหตุจำเป็นใช่หรือไม่”
ตาเฒ่าฮุ่ยมองเด็กสาวแปลกหน้าด้วยใบหน้าตกตะลึงก่อนจะรีบเก็บสีหน้า เขาไอออกมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “เจ้าก็คือหญิงสาวหน้าโง่ที่พาสามีตนเองเดินทางไปทั่วหล้าเพื่อหาหมอมารักษาสามีที่สติไม่ดีล่ะสิ” เขาปิดปากไออีกครั้งจนหน้าแดงก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่มีหรอกหมอเช่นนั้น หาให้ตายก็ไม่มี ออกไปห่างๆ ข้าด้วย” ตาเฒ่าจางซับเหงื่อตนเองอีกครั้ง
“เรื่องที่ท่านบอกว่าไม่มีหมอที่จะรักษาเขาให้หายได้นั้นข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าแน่ใจว่าข้ารักษาโรคที่ท่านเป็นอยู่ให้หายได้”
ตาเฒ่าฮุ่ยตาโตมองนางนิ่งงันก่อนจะรีบปฏิเสธ “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ถอยไปข้าจะรีบเดินทาง” ตาเฒ่าฮุ่ยจับหน้าอกพยุงกายขึ้นเกวียนอย่างยากลำบาก
“เฒ่าฮุ่ย ถ้าเช่นนั้นท่านก็บอกเหตุผลมาก่อนว่าจะไปด้วยเหตุผลอะไร แล้วจะไปที่ใด” เล่ยกัวถาม
“มันเรื่องของข้า”
“ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านไม่ต้องไป ข้าไปเอง” อาซิงปาดน้ำตาตัดใจเอ่ย
“ไม่ต้อง ตอนแรกข้าให้เจ้าไป เจ้าไปไม่เอง แค่กๆ” ตาเฒ่าฮุ่ยบอก
เฟิงชิงถิงเดินมาขวางเกวียนเอาไว้ มองสำรวจตาเฒ่าฮุ่ยอีกครั้งก่อนจะเอ่ย “หากท่านไม่บอก เช่นนั้นข้าตอบให้ท่านเอง ที่ท่านต้องการไปจากหมู่บ้านนี้เพราะท่านกลัวจะนำโรคที่ท่านเป็นไปติดกับผู้อื่นใช่หรือไม่ ท่านไม่ได้คิดไล่ลูกสะใภ้ไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ท่านทำเพราะต้องการหาข้ออ้างจากไปเท่านั้น”
“เจ้าเอ่ยเรื่องเหลวไหลใดกัน”
“เหลวไหลหรือไม่ อาการของท่านเป็นตัวบ่งชี้เอง ท่านไอไม่หยุด พูดนิดเดียวก็เหนื่อยหอบ เหงื่อออกทั้งที่อากาศเย็นสบาย ดูท่าแล้วยามนี้ท่านคงจะมีไข้อ่อน และมักจะเป็นเฉพาะเวลาตกค่ำเช่นนี้ใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อท่านเป็นโรคใด” อาซิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นหยุดร้องในทันที นางพอจะรู้ว่าช่วงนี้ท่านพ่อมักมีไข้อ่อนๆ แต่เพราะเขาไม่อยากให้นางเข้าใกล้ นางจึงไม่กล้าถามมาก อีกทั้งเขายังไม่ให้นางปรนนิบัติเขาเช่นเดิมด้วย
“ข้า...” ตาเฒ่าฮุ่ยอึกอัก แต่ไม่นานก็ไอออกมาอีก
--------------------------------------------
บางทีเราก็ไม่เข้าใจคนบ้าว่าคิดอะไร
เรื่องนี้ก็เหมือนกัน คนเขียนบ้าไปแล้ว 555+
วันนี้เอาเรื่องนี้ไปก่อนนะคะ
---------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความเวิ่นเว้อของเราค่ะ
....Welcome to my WorlD...
https://web.facebook.com/Writer.SummerNight/
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ่านแล้วก็อยากกินหมั่นโถวเลย แค่ก ๆ
อยาดฝกให้บ้าหายเป็นพักๆ ไปก่อนค่ะ พออะไรดีขึ้น
ค่อยหายสนิทแต่แกล้งบ้า โดยที่หมอหมันโถก็ตรวจไม่ได้
และเราก็ตะได้อ่านเทศกาลหลอกกินเต้าหู้ค่ะ 5555
แต่ละคนก็มีโลกส่วนตัวเป็นของตัวเอง ปล่อยให้พี่เหลียงแกฝันถึงหมั่นโถวหอม ๆ ไปก่อนเถอะ ตราบใดท่ีเขายังไม่คิดจะกินหมั่นโถวของน้องก็ยังปลอดภัย เอาละสิถ้าน้องถิงรักษาโรคให้เดี๋ยวก็ได้พูดกันไปทั่วหมู่บ้านแล้วทหราก็จะกลับมาอีกหรอก ขอบคุณค่ะ Happy Weekend ค่ะ
อาบน้ำให้พระหนึ่งเด็กน้อย
ท่าทางแม่ทัพจะชอบให้น้องถิงปรนิบัติ เขาไม่อายแต่น้องอายนะเจ้าคะ