คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 9 (50%)
เป็นไปตามที่เฟิงชิงถิงได้คาดการณ์ไว้
แม้จะใช้เวลามากหน่อยเพราะขบวนรถสินค้ามักหยุดกลางทางหากมีคนสนใจซื้อของ
แต่พวกนางก็ข้ามเข้าแดนต้าหลวนมาได้อย่างราบรื่น
หลังจากเข้าต้าหลวนได้แล้วเฟิงชิงถิงก็สังเกตเห็นว่าด่านชายแดนต้าหลวนในยามนี้มีคนที่แต่งกายเป็นชาวยุทธ์มากกว่าตอนที่นางเดินทางข้ามแดนไปแคว้นเจิ้ง
อีกทั้งพวกเขายังมองชายร่างใหญ่ทุกคนที่เดินผ่าน
เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังตามหาสือซานเหลียงอยู่
เฟิงชิงถิงแยกกับขบวนสินค้าที่หน้าตลาดแห่งหนึ่งในยามบ่ายคล้อยที่คนยังพลุกพล่าน
ก่อนแยกนางยังซื้อหมวกสานสองใบให้สือซานเหลียงและตัวนางใส่ปิดบังใบหน้า ก่อนจะเดินหาโรงเตี๊ยมเพื่อค้างแรม
ที่เฟิงชิงถิงตั้งใจแยกที่หน้าตลาดและเดินไปตามทางที่มีคนจำนวนมากเพราะต้องการให้นางและสือซานเหลียงกลมกลืนไปกับเหล่าชาวบ้าน
ไม่ให้เหล่าชาวยุทธ์สังเกตเห็น แต่เพราะว่าคนพลุกพล่าน นางเกรงว่าจะพลัดหลงกับสือซานเหลียงจึงต้องคอยจับชายแขนเสื้อเอาไว้
สือซานเหลียงก้มมองมือที่จับชายเสื้อเขาด้วยคิ้วขมวดมุ่น
ก่อนจะจับมือเล็กให้มาจับมือของเขาไว้ แล้วก้มมอง
แต่เพียงแค่นางจับมือของเขาอาการแปลกๆ
ของสือซานเหลียงก็กำเริบอีกครั้ง เขามองมือเนียนบางที่จับมือใหญ่ของตนเองแล้วก็เริ่มหัวเราะออกมา
ตอนแรกเฟิงชิงถิงก็รู้สึกกระดากอายที่นางต้องจับมือบุรุษเดินต่อหน้าผู้คนมากมาย
แต่เมื่อเห็นว่าเขาหัวเราะแปลกๆ นางก็กระชับมือเขาแน่นแล้วบอกเขาอย่างจริงจัง
“ข้าสัญญาว่าจะรีบรักษาอาการสติไม่ดีของท่านให้หายสนิทให้ได้”
เฟิงชิงถิงต้องการที่พักแรมราคาประหยัดจึงเริ่มหาจากโรงเตี๊ยมที่ไม่ใหญ่นัก
แต่กลายเป็นว่าไม่ว่าจะโรงเตี๊ยมเล็กหรือใหญ่ต่างมีชาวยุทธ์เข้ามาพักจนเต็ม
ทำให้เฟิงชิงถิงต้องใช้เวลาหาที่พักนานกว่าที่คิด
ขณะเดินหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพักนางก็เห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังมุงดูเหตุการณ์บางอย่าง
เฟิงชิงถิงไม่คิดจะเป็นจุดสนใจอยู่แล้วนางจึงเดินเลี่ยง
ขณะที่กำลังจะเดินห่างออกไปจากกลุ่มคนเหล่านั้น
เสียงชายคนหนึ่งที่ตะโกนออกมาก็ทำให้เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก
“วิญญาณร้ายต้องเข้าสิงเด็กคนนี้แน่ๆ
อย่าเข้าใกล้นาง”
ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นในความเป็นหมอที่ดี
นางจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคนกลุ่มนั้น
“ดูสิเด็กคนนี้กระตุกใหญ่แล้ว
ข้าเคยเห็นคนข้างบ้านข้าก็เป็นเช่นนี้ยามถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
ดวงตาของนางเหลือกน่ากลัวเหมือนคนข้างบ้านข้าไม่ผิดเพี้ยน อย่าไปมองนาง
หากดวงตาของผีร้ายเหลือกไปมองผู้ใด
ผีร้ายตนนั้นจะไปหลอกหลอนให้คนผู้นั้นเกิดแต่ความวิบัติ” ชายอีกคนตะโกนบอก
ชาวบ้านที่มุงดูต่างถอยห่างออกมาด้วยความหวาดกลัว
เฟิงชิงถิงจึงมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ร่างป้อมเล็กนั้นเกร็งไปทั้งร่างอีกทั้งยังกระตุกไม่หยุด
ดวงตากลมโตเบิกค้าง ใบหน้ากลมแดงก่ำและเริ่มกลายเป็นสีม่วง
ตามหลักการแพทย์ที่นางได้ร่ำเรียนมา
เด็กคนนี้ไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงแต่อย่างใด นี่คือโรคอีกชนิดหนึ่ง
เด็กคนนี้เป็นโรคลมชัก แต่เพราะหมอมักจะตรวจหาสาเหตุการป่วยไม่เจอ
อีกทั้งอาการชักที่ดูน่ากลัวที่ไม่ต่างกับผีเข้ายิ่งทำให้ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์คิดไปต่างๆ
นานา แท้จริงแล้วอาการของเด็กคนนี้หากชักไม่นานก็จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่อาจจะมีอาการชักต่อไปอีกโดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอาการจะกำเริบเมื่อใด แต่จากใบหน้าที่แดงก่ำและกำลังจะเป็นสีม่วงนั้นบ่งบอกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างอุดอยู่ที่หลอดลมของเด็กน้อย
สาเหตุนั้นต่างหากที่จะทำให้เด็กน้อยเสียชีวิต
เพียงแค่ก้าวขาออกไปครึ่งก้าวในหัวของนางบอกกับว่าหากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนี้
ทหารแคว้นเจิ้งก็อาจจะแกะรอยจนเจอตัวนางได้
อีกทั้งยามนี้นางก็ไม่ได้สวมหน้ากากแปลงโฉม
นั่นยิ่งทำให้ตัวตนที่แท้จริงของนางถูกเปิดโปงได้ง่ายขึ้น
ความคิดนั้นทำให้ขาที่ก้าวออกไปชะงักค้าง
ดวงตาคู่หวานมองไปรอบด้านเห็นคนที่แต่งกายเป็นชาวเจิ้งอยู่ไม่น้อย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีทหารแคว้นเจิ้งแอบแฝงอยู่ เหตุผลเหล่านี้ทำให้นางลังเล
“ดูใบหน้านางสิ
กลายเป็นสีม่วงแล้ว นางกำลังถูกวิญญาณร้ายพาไป” คนผู้หนึ่งตะโกนออกมา
คล้ายเท้าของนางถูกตรึงเอาไว้ไม่ให้ก้าวขาออกไปยังทางอื่น
คุณธรรมในใจกับความเห็นแก่ตัวกำลังต่อสู้กันอยู่ในใจ
ขณะนั้นเองมีสตรีนางหนึ่งแหวกฝูงชนเข้ามาตระกองกอดร่างเล็ก พร้อมกับร้องเรียกให้คนอื่นช่วยเด็กหญิงคนนั้นด้วยสีหน้าร้อนใจสุดขีด
“ลี่เอ๋อร์
ลี่เอ๋อร์ของแม่ เจ้าเป็นอะไร ช่วยด้วย!
ใครก็ได้ช่วยลูกของข้าด้วย ได้โปรดช่วยชีวิตลูกข้าด้วย”
ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
เฟิงชิงถิงก็รู้สึกผิดและก่นด่าตนเองอยู่ในใจ นี่นางยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่
นางมีความรู้ความสามารถด้านการแพทย์
คนป่วยใกล้ตายนอนอยู่ตรงหน้ายังลังเลไม่ยอมรักษา
นางช่างเป็นหมอที่ไร้จิตสำนึกอย่างแท้จริง หากท่านปู่ของนางรู้ ท่านปู่ต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
เมื่อรับรู้ถึงจุดยืนของตนเองแล้วเฟิงชิงถิงก็ลากสือซานเหลียงฝ่ากลุ่มคนเข้าไปหาร่างเด็กหญิงผู้นั้นด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว
เมื่อเดินไปถึงร่างเล็กนางก็ย่อกายนั่งลงถอดหมวกวางไว้ข้างตัวก่อนจะหันไปมองร่างของเด็กน้อยที่กระตุกชัก
“แม่หนูอย่าเข้าไป
เดี๋ยววิญญาณร้ายจะเอาตัวแม่หนูไปด้วยนะ พวกเจ้าออกมาเร็วๆ” สตรีสูงอายุคนหนึ่งเตือนด้วยความหวังดี
“ลูกข้าไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง”
สตรีที่กอดร่างเล็กของเด็กหญิงเอาไว้หันไปบอกกับสตรีสูงอายุด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา
“ห้ามกอดเด็กเช่นนั้น
ให้ข้าดูเอง” เฟิงชิงถิงแย่งร่างเล็กออกมาจากอ้อมกอดของสตรีนางนั้น
วางร่างเล็กลงบนพื้นอีกครั้ง
“แม่นางระวังวิญญาณร้ายจะมาแก้แค้นเจ้าเอานะ”
เฟิงชิงถิงไม่สนใจคำเตือนของชาวบ้าน
ยามนี้ร่างเล็กที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มกระตุกลดน้อยลง
ทำให้ร่างกายที่เกร็งเครียดนั้นผ่อนคลายลงบ้าง
นางไม่แน่ใจว่าที่กระตุกน้อยลงเพราะเด็กน้อยกำลังจะขาดอากาศหายใจหรือไม่
หญิงสาวจับคางเล็กของเด็กน้อยให้อ้าปาก เมื่อมองเข้าไปในปากเล็กก็เป็นไปตามคาด
นางเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งคาอยู่ที่ลำคอจึงตัดสินใจใช้มือล้วงเข้าไป
โชคดีที่ตอนนี้อาการกระตุกของเด็กน้อยผ่อนคลายลงมากแล้วทำให้สามารถเปิดปากให้อ้ากว้างได้
เพราะหากง้างปากในขณะที่มีการเกร็งกระตุกรุนแรงอาจจะทำให้กระดูกที่ถูกง้างหักได้
“นางกำลังทำสิ่งใด”
ชาวบ้านต่างมองการกระทำของเฟิงชิงถิงด้วยความอยากรู้
มารดาของเด็กน้อยก็เช่นกัน นางสะอื้นเงียบๆ อยู่ข้างเฟิงชิงถิง
ด้วยความสงสัย เหล่าคนที่มุงดูอยู่จึงไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมา
รอบข้างที่เงียบลงทำให้อาการเกร็งของเด็กหญิงผ่อนคลายขึ้นอย่างน่าประหลาด
เฟิงชิงถิงล้วงมือเขาไปในปากของเด็กน้อยเพื่อนำเอาสิ่งที่นางมองเห็นออกจากลำคอของเด็กน้อย
แม้จะเจ็บเพราะถูกกัดนางก็ทน จนสุดท้ายนางก็นำสิ่งที่อยู่ในปากของเด็กน้อยออกมาได้สำเร็จ
สิ่งนั้นคือน้ำตาลปั้นก้อนหนึ่งนั่นเอง
เมื่อนำน้ำตาลปั้นออกจากปากเด็กน้อยได้แล้ว
นางก็จัดท่าให้เด็กน้อยนอนตะแคงซ้ายให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว
ไม่นานใบหน้าสีม่วงก็เริ่มจากกลายเป็นสีแดงก่อนจะกลับมาเป็นสีขาวอมชมพูพร้อมกับร่างเล็กที่เริ่มชักน้อยลงและหยุดชักในที่สุด
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างมองเฟิงชิงถิงเป็นตาเดียว
เด็กหญิงที่ร่างเกร็งกระตุกดวงตาเหลือกค้างยามนี้หยุดกระตุกแล้ว นางกะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะถามเฟิงชิงถิงที่นั่งประคองร่างเล็กให้นอนตะแคงด้วยแววตาสงสัย
หวาดกลัวและเหนื่อยหอบ
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
คำถามนั้นทำให้เหล่าคนที่มุงดูต่างสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“วิญญาณปีศาจร้ายออกจากร่างเด็กคนนี้แล้ว”
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แม่นางเจ้าทำได้อย่างไร”
ทุกสายตาที่จับจ้องเด็กน้อยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเฟิงชิงถิงทันที
“ลี่เอ๋อร์ ลูกแม่” แม่ของเด็กน้อยผวาเข้าหาร่างเล็กที่เฟิงชิงถิงประคองอยู่
แต่ไม่รู้ว่าจะจับที่ใดดี จึงได้แต่ละล้าละลัง
“นางไม่เป็นไรแล้ว”
เฟิงชิงถิงบอก ประคองร่างเล็กให้ผู้เป็นแม่ประคองต่อ
“ลี่เอ๋อร์” สตรีนางนั้นกอดลูกสาวพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“ท่านแม่เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
เด็กน้อยในอ้อมกอดของมารดาเอ่ยถามด้วยความงงงวย
แต่ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจสองแม่ลูกอีกต่อไปแล้ว
ทุกคนต่างมองเฟิงชิงถิงเป็นตาเดียว คำถามก็ยังมีเพียงคำถามเดียวที่พุ่งเป้ามา
“แม่นางเจ้าทำได้อย่างไร”
เมื่อครู่เพราะหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่ช่วยคนก็ถือว่าผิดต่อหลักการ
แต่ยามนี้เล่า นางจะตอบคนเหล่านี้ว่าอย่างไร นางมองไปรอบๆ
ก็เห็นว่ามีชาวเจิ้งรวมอยู่ในกลุ่มที่มามุงดูไม่น้อย
พวกเขาเป็นทหารแคว้นเจิ้งปลอมตัวมาหรือไม่นางก็ไม่อาจคาดเดาได้
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะบอกคนเหล่านั้นด้วยเสียงอันดังแต่ก็ยังอึกอักเล็กน้อย
“ข้าเป็นหมอ...เป็นหมอผี”
คำตอบของนางทำเอาเหล่าคนมุงดูยิ่งขยับออกห่างไปอีกหนึ่งก้าว
คล้ายกับกลัวสิ่งใดสักอย่าง เฟิงชิงถิงไม่ได้คิดจะสนใจท่าทีเหล่านั้นอยู่แล้ว
แต่แล้วก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจปนเลื่อมใส
“เมื่อครู่อย่างไรเล่า
พวกเจ้าเห็นหรือไม่ นางร่ายคาถาใดสักอย่างก่อนจะล้วงมือเข้าไปในปากของเด็กคนนี้
แล้วของบางอย่างก็หลุดออกมา วิญญาณร้ายนั่นเอง นางขับไล่วิญญาณร้ายให้เด็กคนนี้”
“จริงด้วย ข้าก็เห็น มันเป็นก้อนสีน้ำตาลน่ากลัว
ต้องเป็นวิญญาณร้ายแน่ๆ แม่นาง อาคมของเจ้าแก่กล้ายิ่งนัก” ชาวบ้านอีกคนเอ่ยเสริม
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยแล้วมองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาเลื่อมใสไปตามๆ
กัน
“เจี่ยลุ่ย
เจ้าโชคดีเหลือเกินที่มีหมอผีเดินทางผ่านมาพอดี
ไม่เช่นนั้นลูกสาวของเจ้าต้องถูกวิญญาณร้ายพาตัวไปแน่ๆ” ชายคนที่รู้จักมารดาของเด็กน้อยเอ่ยขึ้น
ซย่าเจี่ยลุ่ย แม่ของเด็กหญิงมองเฟิงชิงถิงอย่างสำนึกในบุญคุณ
“ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยเหลือลี่เอ๋อร์ของข้า”
“นางเคยมีอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่”
เพราะยังเป็นห่วงอาการของเด็กน้อย
เฟิงชิงถิงจึงอดที่จะถามประวัติการป่วยไม่ได้
ซย่าเจี่ยลุ่ยมองเฟิงชิงถิงด้วยแววตาตกตะลึงก่อนจะตอบเสียงเบา
“เคยเป็นครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ
ตอนที่เป็นไข้”
“ไม่ได้การณ์แล้ว
นั่นแสดงว่าลูกสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายตามรังควานนะสิ” ชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ย
“ลูกสาวข้าไม่ได้มีวิญญาณร้ายตามรังควาน!”
ซย่าเจี่ยลุ่ยหันไปตวาดคนผู้นั้นทันควัน
“เด็กคนนี้
มีอาการไข้สูงและต้องการพักผ่อน
ข้าหมายถึงต้องดูให้แน่ใจก่อนไอชั่วร้ายหมดไปจากร่างเด็กหรือยัง” เฟิงชิงถิงขัดขึ้น นางไม่ต้องการเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมาก
อีกทั้งยามนี้ก็มีเหล่าชาวยุทธ์มุงดูอยู่ไม่น้อย
ดีที่สือซานเหลียงยังคงยืนนิ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเขาจึงไม่เป็นจุดเด่นมากนัก
นางคิดว่าช่วยเด็กคนนี้เสร็จแล้วค่อยหาทางแยกตัวออกไปเงียบๆ คงดีกว่า
“บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้ว
เช่นนั้นข้าจะพาท่านไป” ซยาเจี่ยลุ่ยบอก
ร่างของนางดูบอบบางอ้อนแอ้นแต่สามารถอุ้มร่างเล็กของเด็กหญิงอายุประมาณสี่ขวบขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
ความคิดเห็น