นายบำเรอ (รีไรท์) - นิยาย นายบำเรอ (รีไรท์) : Dek-D.com - Writer
×

    นายบำเรอ (รีไรท์)

    สำหรับคนที่ยอมพลีร่างกายเพื่อเงิน มีสิทธิ์ที่จะฝันถึงความรักที่สวยงามและสมบูรณ์แบบได้ด้วยเหรอ ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก คุณอย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลย วางเงินของคุณเอาไว้แล้วก็ไปซะ!...(เรต18+)

    ผู้เข้าชมรวม

    952

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    952

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  20 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  23 พ.ย. 66 / 20:55 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    2ปีที่แล้ว 

    เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตอนช่วง ม.ปลาย ช่วงที่ฤดูกาลเริ่มผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน ประมาณปลายๆกุมภาฯ ใช่แล้ว สำหรับนักเรียนชั้น ม.6 มันคือช่วงของการผันเปลี่ยนครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะเราจะได้บอกลาทรงผมหัวเกรียนและกฎระเบียบที่เคร่งครัด ก้าวไปสู่อีกสังคมหนึ่ง นั่นคือสังคมนักศึกษา หรือบางคนจะออกไปใช้ชีวิตเป็นอิสระ เข้าสู่ตลาดแรงงานเลยก็มี แต่ก็นั่นแหละ ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องของผมคนอื่น ๆ ต่างพากันกระตือรือร้นหาที่เรียน ซื้อใบสมัครสอบ หรือไม่ก็หาที่เรียนสำหรับเรียนต่อ หรือบางคนจะกำลังเฝ้ามองหาที่ ๆเปิดรับเด็กอายุ18เข้าทำงาน แต่นั่นมันก็ยังแสดงได้ชัดแจ้งว่าพวกเขามีเป้าหมาย และความชัดเจนในชีวิต ตรงกันข้ามกับผม ที่ตอนนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ผมกำลังอยู่ในช่วงที่เคว้งที่สุดในชีวิต ใจลึกๆน่ะมันก็อยากจะเรียน อยากจะไปในที่ ๆดี ๆไม่ได้ต่างจากคนอื่น เพียงแต่ ในตอนนี้ผมกับรู้สึกว่าหลายๆอย่างมันกำลังรุมเร้า จนทำให้ตัวผมต้องรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ไร้ปลายทาง ....

    พ่อจากผมไปด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ตอนผมอายุ9ขวบ แม่แต่งงานมีสามีใหม่เมื่อ4ปีให้หลัง แล้วพี่ชายก็มาจากผมไปอีกคน เมื่อสามปีที่แล้ว ก่อนที่เราจะถูกไล่ที่ไม่ถึงปี ในขณะที่พี่สาวต้องออกไปทำงานส่งบ้านตั้งแต่จบ ม.6

    ตอนนี้ผมอยู่บ้านเช่าหลังเล็กๆ แม่ไปๆมาๆระหว่างบ้านเช่ากับบ้านสามีใหม่ของแม่ที่ชื่อลุงเพิ่ม อันที่จริงเขาอายุมากกว่าแม่แค่ปีเดียว แต่จะให้เรียกพ่อมันก็ดูจะฝืนๆกับความรู้สึก ผมเลยเรียกแกว่าลุงเพิ่ม เพราะมันน่าจะทำใจได้ง่ายหน่อย ใช่....

    ไม่มีลูกคนไหนอยากจะมีพ่อหรือแม่คนที่สอง แต่เมื่อมันจำเป็นมันก็ต้องยอมรับ ผมเข้าใจเหตุผลของทุกฝ่ายโดยไม่หวังให้ใครมาเข้าใจในเหตุผลของผม เพราะหวังไปมันก็เท่านั้น 

    ผมจึงเลือกที่จะเงียบและไม่แสดงความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น การตัดสินใจของแม่คือที่สุด แต่ก็ยังดี ที่แม่ยังพยายามที่จะหาเหตุผลมาอธิบายให้ผมฟัง และเหตุผลที่ผมได้รับจากแม่นั้นก็ คือ แม่ต้องไปช่วยลุงเพิ่มดูแลสวนและช่วยเขาทำนาเลี้ยงสัตว์ แม่ทำลงไปทั้งหมดเพื่อลูกเพื่อครอบครัว ใช่แล้ว นั่นมันคือสัญญาณ บอกชัดว่าผมไม่ควรที่จะโต้แย้งใดๆ อย่าทำให้แม่ต้องลำบากใจ ผมต้องยอมรับสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้และต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด แต่ก็นั่นแหละ

    ผมทำให้แม่เชื่อว่าผมเป็นแบบนั้นจนได้จริงๆ ถึงแม้ว่าใจจิตส่วนลึกๆของผมมันจะทั้งโคตรที่จะเหงาและอยากจะได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวแบบเดิมของเรากลับมา แม้ว่ามันจะไม่มีวันนั้นอีกแล้วก็ตาม 

    นั่นคือเหตุผลทั้งหมด ที่ทำให้ผมไม่อาจที่จะกล้าแม้แต่จะคิดไปเรียนที่อื่น เมื่อเงินทุกบาททุกสตางค์ที่แม่เอามาจุนเจือครอบครัว ล้วนแต่ได้มาจากลุงเพิ่ม แล้วเขาก็มีลูกติดกับเมียเก่าของเขาอีกตั้ง8คน แค่ที่มีที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แค่ที่ลุงเพิ่มแกเจียดมาให้แม่นิดๆหน่อยๆ บรรดาลูก ๆ ของแกพวกเขายังไม่พอใจ มีเหรอที่พวกนั้นจะยอมให้พ่อมันมาหาเงินส่งผมเรียนเพียงแค่คนเดียว ในขณะที่พวกมันไม่มีใครได้เรียนสูงๆเลยสักคน อย่าฝันซะให้ยาก..

     ถึงผมจะยังมีพี่สาวอีกคน แต่แกก็ลำบาก ทำงานโรงงานได้แค่เพียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่จะว่าไปเงินทุกบาทที่พี่สาวหามาได้ ก็แล้วแต่มาใช้จุนเจือครอบครัวทั้งนั้น ตั้งแต่พ่อจากไปแกก็รับบทหัวหน้าครอบครัวมาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่พี่แกเริ่มมีแฟน ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป 

    ก็อย่างว่าแหละ ใครๆก็อยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น ไม่ผิดหรอกที่พี่จะทุ่มเทเพื่อสร้างครอบครัวกับคนที่พี่รัก ผมพยายามที่จะเข้าใจทุกคน และพยายามที่จะยอมรับสภาพ พยายามที่จะก้มหน้ายอมรับกับโชคชะตา ถ้าหลังจากจบ ม.6 แล้ว อนาคตของผมอาจจะไปจบอยู่ที่พนักงานโรงงานที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็พนักงานร้านสะดวกซื้อเท่าที่วุฒิการศึกษาที่มีมันจะเอื้ออำนวย แต่ให้ตายเถอะ ลึกๆผมก็อดที่จะเสียใจและอดที่จะเสียดายโอกาสที่จะได้เรียนสูงๆและมีงานดีๆเงินเดือนเยอะๆอย่างที่เคยวาดฝันอาไว้ไม่ได้ เพราะนั่น...มันไม่ใช่แค่เพียงแค่ผมที่จะสบาย แต่มันยังหมายรวมไปถึงแม่และพี่สาวก็จะได้ไม่ต้องเหนื่อยและครอบครัวเราจะได้มีฐานะเท่าเทียมกับชาวบ้านคนอื่นๆเขาอีกด้วย 

    ผมเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ในใจคนเดียวตลอดมา จนกระทั่งวันที่ครูฝ่ายแนะแนวเรียกพวกเราไปประชุม และมันก็ไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ คงจะมีตัวแทนจากสถาบันต่าง ๆ มาให้ข้อมูลเพื่อหานักเรียนไปศึกษาต่อที่สถาบันของตัวเอง แล้วผมจะเสียเวลาไปนั่งฟังให้เมื่อยก้นทำไม

    “ไปเถอะตง ไปฟังเป็นเพื่อนกูหน่อย” คำขอร้องของไอ้เฟย ทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อย เฟย มาสนิทกับผมช่วงม.4ตอนมันย้ายมาช่วงกลางเทอม มันชื่อเฟยเพราะพ่อมันชอบดูหนังเรื่อง หวง เฟย หง ชื่อเฟยทั้งที่หน้าแม่งจะโคตรไทย แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากจะคิด ว่าไอ้คนที่มันไม่สนใจโลกอย่างมัน อยู่ ๆมันจะอยากไปหาที่เรียนต่อที่อื่นขึ้นมาทำไม ก็จะไม่ให้ผมคาใจได้อย่างไง ในเมื่อมันเป็นคนชวนผมเอง ว่าถ้าพวกเราเรียนจบ มันจะพาผมออกไปหางานทำ และไปเช่าห้องอยู่ด้วยกัน จะทำงานไปเรียนที่รามคำแหงไปก็ยังได้ 

    เพราะมันเอง ก็เบื่อแรงกดดันจากครอบครัวมันเหมือนกัน แม่ต้องการให้มันเป็นแบบหนึ่งพ่อต้องการให้มันเป็นอีกแบบหนึ่ง การหย่าร้าง ทำให้พวกเขาต้องการเอาชนะกันและกันมากกว่าที่จะแคร์ความรู้สึกของลูก จะว่าไป เฟย มันก็เป็นแค่เครื่องมือของพ่อกับแม่มันเท่านั้น ใครดูแลลูกได้ดีมากกว่า ก็จะสามารถเหยียบย่ำทับถมอีกฝ่ายได้อย่างสะใจ นั่นแหละ ถ้า เฟย เรียนต่อ มันก็ต้องยื่นมือขอเงินจากพ่อและแม่ของมันต่อไป แต่ถ้ามันออกไปหางานทำเอง อย่างน้อยๆมันก็ยังมีอิสระมากกว่าอยู่ในการดูแลของพ่อและแม่ของมัน เห็นมันบอกผมว่าแบบนั้นนะ ซึ่งผมก็เชื่อ เพราะที่ผ่านมาก็มีบ่อยครั้ง ที่มันขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าความมืดมาเคาะที่บ้านผมตอนดึกๆด้วยเหตุผลเพราะมีปัญหากับแม่ หรือไม่ก็โดนพ่อโทรมาต่อว่า หรือบางครั้งวันหยุดวันว่างมันก็จะมานอนขลุกอยู่ที่บ้านผมทั้งวันเลยก็มี 

    สำหรับผมก็อย่างที่บอก ผมแทบจะอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวไปซะแล้ว แม่มาแค่ช่วงเช้ามืดและตอนค่ำเพื่อเอากับข้าวมาให้ ส่วนพี่สาวก็ทำงานอยู่กับแฟนที่กรุงเทพฯ บ้านหลังนี้มันจึงกลายเป็นจุดพักพิงของเด็กมีปัญหาสองคนระหว่างผมกับเฟยไปโดยปริยาย เอาเถอะถ้ามันลองได้มาอ้อนขนาดนี้ ผมจะลองไปนั่งฟังเป็นเพื่อนมันซักหน่อยก็ได้ อีกใจก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเหตุผลอะไรกัน ที่ทำให้ความตั้งใจของมันถูกทลายลงง่ายๆได้แบบนี้

    “เออๆ ไปก็ไป” ผมพูด “อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนใจ แค่ที่เคยคุยกันไว้ กูยังไม่แน่ใจเลยว่ากูจะได้ไปหรือเปล่า ” 

    “เอาน่า....ไปฟังดูก่อน บางทีมันอาจจะดีกว่าแผนเดิมก็ได้ กูก็แค่อยากให้เรามีทางเลือกอื่นๆบ้างก็เท่านั้นเอง บอกตามตรงว่ากูไม่อยากให้มึงไปลำบาก ถ้ากูเลือกได้กูก็จะให้เราเจ็บตัวน้อยที่สุด อีกอย่างกูเห็นพวกเขาตั้งแต่ตอนเช้านี้แล้ว ทุกคนแต่งตัวดีขับรถก็ดี กูว่ามหาลัยมันคงจะไม่บ้านนอกเท่าไหร่ อย่างน้อยๆก็ขึ้นชื่อว่าเอกชน” เฟย ตอบกลับมาอย่างมั่นใจ ตาใสวาวเป็นประกาย หัวใจของมันคงจะตัดสินใจไปแล้วล่ะครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่ง มันก็แค่ต้องการจะพาผมไปล้างสมอง เพื่อให้ผมคล้อยตามที่มันตัดสินใจก็เท่านั้น

     มันดึงแขนผมเข้าไปนั่งในห้องอย่างไม่ลังเล ในขณะที่ผมนั้นได้แต่เอะใจพร้อมกับลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง ไม่รู้สิมันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไง มันเหมือนเรากำลังถูกทรยศหักหลังและกำลังถูกมัดมือชกอย่างไงอย่างนั้น เพราะถ้าไม่ทำตามแผนแรก มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผม ที่จะไปหาที่เรียนแบบเต็มเวลาในที่อื่น และยิ่งเป็นเอกชนด้วยแล้ว อย่าหวังว่าผมจะไปรอด ถึงแม้ว่ามันจะมีกองทุนให้กู้ยืมก็เถอะ 

    แต่ก็นั่นแหละ ยังไงก็ไม่อยากจะขัดเพื่อน สุดท้ายผมก็ต้องได้ตามมันไป พร้อมกับความหวังเล็กๆในใจว่า หลังจากที่ฟังบรรยายจบ มันจะเลิกให้ความสนใจกับสถาบันนี้ซะที แต่ผิดคาด ...

    เฟยเริ่มมาหว่านล้อมให้ผมไปเรียนที่นั่นในทันที ซึ่งเท่าที่ผมฟังมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เขามีทุนให้กู้ยืมมีที่พักให้ฟรี พูดง่ายๆแค่มีเงินสำหรับค่ากับข้าวและค่าทำงานส่งอาจารณ์แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้....ด้วยเพราะความกระสันอยากจะไปเรียนที่นั่น เฟยมันยังรับปากว่าจะคอยช่วยเหลือผมอีกแรงอีกด้วย ตอนแรกผมก็แปลกใจ ตอนหลังผมถึงมารู้ว่าเพราะมหาลัยนั้นมันอยู่ใกล้บ้านของพ่อมัน ใช่แล้ว! สุดท้ายไอ้เฟยมันก็กลัวความลำบาก มันทิ้งกองเงินกองทองของพ่อมันไม่ได้ แต่ผมสิ จะไปพูดอย่างไงให้แม่ยอมใจอ่อน ให้แม่อณุญาติยอมให้ผมได้ไปเรียน อันที่จริงผมแทบไม่มีทางเลือกอะไรเลย บอกตามตรงว่าขอแค่ให้ได้ไปเรียนกับเขาก่อน ส่วนอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกที หรือจะเรียกว่าไปตายเอาดาบหน้าก็คงไม่ผิด

     ผมพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่หลายวันแม่ก็ยังไม่ใจอ่อน จนไอ้เฟย ต้องมาช่วยพูดอีกแรง และที่สำคัญ ผมเองได้ตัดสินใจยื่นคำขาด บอกกับแม่ว่าจะขอเงินแม่ครั้งนี้ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย จากนี้ไปผมจะไม่มายุ่งมาวุ่นวายเรื่องเงินกับแม่อีก แม่ถึงได้ยอมตกลง

    มันช่างเป็นความคิดที่โง่และบ้าฉิบหาย แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายผมกับเฟยก็ได้ไปเรียนต่อที่มหาลัยแห่งใหม่ ครั้งแรกที่เรามาถึงโดยรถทัวร์รับส่งของมหาลัย ตอนเช้าที่กรุงเทพฯไม่สิที่นี่คือเขตของปทุมธานี ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจเหมือนไอ้เฟยมันแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมกลับคิดถึงที่บ้านและคิดถึงแม่จนแทบใจจะขาด 

    อาจจะเป็นเพราะ นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวผมได้จากบ้านมาไกลขนาดนี้ แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะได้กลับไปบ้านอีกครั้ง ก็ยังไม่รู้ อย่างน้อยๆก็คงไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้ คงต้องรอปิดเทอม

    “เอาน่ะ อย่างไงก็ต้องสู้” ผมบอกกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปรวมแถวรายงายตัว พร้อมกับรับเอากุญแจห้องพัก มองไปรอบๆเพื่อนร่วมรุ่น ก็เห็นจะมีแต่คนใต้ มีคนอีสานอยู่สองคนถ้าจำไม่ผิด ซึ่งผมก็แอบแปลกใจ ตอนหลังถึงได้รู้ว่าเจ้าของมหาลัยแห่งนี้เป็นคนใต้ ส่วนเพื่อนคนอีสานสองคนที่ว่า มันชื่อไอ้บอล กับไอ้ตุ๊ อาจจะเพราะเราเป็นคนอีสานเหมือนกัน เลยทำให้พวกเราทำความรู้จักกันได้ง่าย โดยเฉพาะไอ้เฟย หลังๆมันแทบจะไปขลุกอยู่แต่ห้องของไอ้สองตัวนั่นแทบจะทุกวัน ปล่อยให้ผมนอนแหง่วอยู่คนเดียวอยู่ซ้ำๆ แถมมิหนำซ้ำมันยังเลือกที่จะลงเรียนคณะรัฐศาสตร์ คณะเดียวกันกับพวกนั้นแทนที่จะเป็นคณะเดียวกันกับผมอย่างที่เคยพูดเอาไว้ก่อนที่จะมาที่นี่อีกต่างหาก 

    นานวันเข้าทุกอย่างมันก็เริ่มไม่เป็นอย่างที่คิด บ่อยครั้งที่มันปล่อยให้ผมกลับห้องคนเดียวกินข้าวคนเดียว จากที่เคยกลับด้วยกันกินข้าวด้วยกัน จากที่เคยตัวติดกันอย่างกับปลาท่องโก๋ แต่ตอนนี้มันกลับไปสนิทกับเพื่อใหม่มากกว่าผมไปซะแล้ว 

    “ช่างเถอะ มันก็ถูกแล้วนี่ ผู้ชายเขาก็ต้องคุยกับผู้ชายแท้ๆเหมือนกัน ใครจะอยากมาสนิทกับผู้ชายอย่างเรา” ผมบอกกับตัวเองอย่างน้อยใจ ในทุกๆครั้งที่ต้องนอนคนเดียว กินข้าวคนเดียว และทุกครั้งที่ได้เห็นมันออกไปกับเพื่อนคนใหม่ จนบางครั้งผมก็แอบที่จะอดสงสัยในความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ว่าที่ผมกำลังเป็นอยู่ มันยังเป็นความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนอยู่หรือเปล่า “แกอย่าคิดบ้าๆ นะม่อน” ผมคิด “อย่าพยายามคิดฝันกับอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ อย่าเอาความรู้สึกอ่อนไหวไปทำให้ใครต้องอึดอัด ตราบที่เรายังไม่มั่นใจในตัวเขา และอย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร เรามาเรียนหนังสือ เรามาเพื่อหาความรู้ไป ทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว” 

    เมื่อพูดถึงเรื่องเรียน ตอนนี้มันก็เริ่มไม่ง่ายแล้ว แค่ไม่กี่เดือนที่เปิดเรียน อาจารย์ก็พากันสั่งงานเต็มไปหมด เงินที่แม่ให้ติดตัวมา ตอนนี้มันก็เริ่มจะร่อยหลอจนถึงขั้นวิกฤติ ค่าใช้จ่ายของที่นี่มันไม่ได้น้อยอย่างที่คิด ผมเคยตัดสินใจโทรไปหาพี่สาวเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ อยากจะปรึกษาไอ้เฟย แม่งก็ไม่เคยอยู่ห้องซักที ผมได้แต่เก็บงำปัญหานั้นไว้คนเดียว จนกระทั่งวันหนึ่ง 

    วันที่ผมไม่มีแม้เงินจะกินข้าว และไอ้เฟยก็หายหัวไม่ยอมกลับห้องนานตั้งสามสี่วัน แถมตอนที่ผมโทรไปหา ก็ไม่บอกว่าอยู่ที่ไหน และแม่งก็บอกแต่ว่า “กำลังยุ่ง เดี๋ยวกูโทรกลับ”และสุดท้ายมันก็ไม่โทร 

    “แล้วไอ้ที่เคยสัญญาว่าจะให้พึ่งพา จะไม่ทอดทิ้งกันนั้นมันคืออะไร มันคือลมปากชุ่ย ๆของคนมักง่ายอย่างนั้นเหรอ ถ้าไม่ลำบากจริงๆก็คงไม่ถามหา และก็คงจะอยู่เงียบๆคนเดียวต่อไปแบบนี้” ผมพูดขึ้นกับตัวเองด้วยความรู้สึกที่ทั้งอัดอั้นและทั้งโมโห เมื่อมันทนไม่ไหว ผมจึงตัดสินใจเดินไปเคาะที่ห้องของไอ้บอล เพื่อจะถามหาไอ้เฟย

    ก๊อกๆ!

    กึ๊ก!

    ประตูเปิดออกพร้อมกับสายตานับสิบจดจ้องมาที่ผม หนึ่งในนั้นมีสายตาของไอ้เฟยเพื่อนตัวแสบของผมอยู่ในห้องนั้นด้วย ทุกคนมองมาที่ผมเป็นตาเดียว หลังม่านควันคละคลุ้ง พร้อมกับกลิ่นเหม็นฉุนๆอบอวน

    “เฟย มึงดูดบุหรี่เหรอ? แล้วทำไมมึงต้องโกหกกู มึงอยากแยกห้องมึงก็บอกกูมาดีๆดิวะ ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย” ผมพูดพร้อมกับเดินเข้าไปประชิดตัวมันเค้นเอาความจริง ในขณะที่มันยืนนิ่งคอตก กรอกสายตาเลิกลักไม่ยอมตอบ จากนั้นก็มีเสียงแหบห้าวของหนึ่งในพวกนั้นดังสวนขึ้นมา

    “เฮ้ย! มึงมาเสือกอะไรด้วยวะ อีตุ๊ด!” มันตะคอกเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย้ยหยัน พอๆกับเสียงหัวเราะเยาะที่ดังแทรกอย่างสะใจ ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะกำปั้นซัดหน้ามันให้หายแค้น แต่แค่เพียงกำหมัดยังไม่ทันจะได้ประชิดตัว

    “มึง!”

    “เฮ้ย! ไอ้เฟยจับมันไว้”

    “ม...มึงจะทำอะไร” เฟยพูดน้ำเสียงสั่น พอๆกับที่ผมที่ตัวชาจนไม่รู้จะทำอย่างไร มันจุกแน่นเหมือนมีก้อนแข็งๆอัดแน่นอยู่ในลำคอ “นี่มึงทำขนาดนี้เลยเหรอ กูขอโทษที่ทำให้มึงลำบากใจที่อยู่ร่วมห้องกับกู กูไม่น่าตามมึงมาเลย” ผมได้แต่คิดทั้งน้ำตาที่ไหลผ่าหน่วย มันอัดแน่นและร้อนรุ่มที่กลางอกจนพูดไม่ออก ให้ตายเหอะใครก็ได้ ช่วยพาร่างพังๆของผมออกไปจากที่ตรงนี้ที ครั้นจะหนีหลบออกมา ตอนนี้ทั้งแขนขาก็โดนไอ้บอลกับไอ้ตุ๊มันจับล็อคจนดิ้นไม่หลุด 

    ผมพยายามคิดหาวิธี แต่ตอนนี้มันกลับมืดไปหมด ไม่รู้ว่าไอ้ผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นมันจะล็อคตัวผมไว้ทำไม“หรือว่า..” ผมเดาจากสายตาที่มันมอง มาที่ร่างกายของผมด้วยท่าทีที่แปลกๆและมีเลศนัย หรือว่า มันจะทำเหมือนที่มันเคยทำกับคน อื่นๆ ผมใจหล่นวูบ “อย่านะมึงมึงจะทำแบบนี้กับกูไม่ได้นะ” ผมหลุดพูดแทบไม่ต้องลังเล ตอนนั้นแหละที่ผมเริ่มรู้สึกกลัวและรู้สึกตัวเองไร้ค่าไร้ราคาและไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี ความรู้สึกของความไร้ที่พึ่งมันช่างหดหู่และน่าเวทนา 

    ผมพยายามวาดสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือไปที่ไอ้เฟย หวังให้มันช่วยพูดอะไรซักหน่อย แต่แล้วผมกลับได้กลับมาแค่เพียงสายตาที่เย็นชาและขลาดเขลา “กูมองมึงผิดมาตลอด” ผมคิด พร้อมกับจดจ้องไปที่หน้าของมันด้วยดวงตาที่เจ็บปวดและสิ้นศรัทธา ในขณะที่มันยังคงยืนหงอเป็นหมาพลัดถิ่น เพียงเพราะคำ ๆเดียว คำ ๆเดียวที่ไอ้พวกนั้นมันหยามเหยียด “มึงจะเข้ามาช่วยเมียมึงก็ได้นะ ถ้ามึงไม่พอใจ” คำพูดนั้นทำให้ผมถึงกับสะอึกและเจ็บร้าวไปทั่วทั้งหัวใจ แต่ที่มันเลวร้ายมากไปกว่านั้น มันกลับเป็นคำพูดของไอ้เฟยเพื่อนรักที่เคยสัญญาว่าจะดูแลกันตลอดไป ที่พูดออกมา  “กูกับไอ้ม่อนเป็นแค่เพื่อนกัน มึงอยากทำอะไรมึงก็ทำไปสิ ไม่ได้เกี่ยวเหี้ยอะไรกับกูซักหน่อย รีบๆหน่อยแล้วกันเดี๋ยวใครมาเห็น”

    “ดี! มันต้องอย่างนี้สิวะ ใจเด็ดดี งั้นมึงไปถอดกางเองมันออก กูจะถ่ายรูปไว้ประจานแม่งให้หายซ่า จะได้เลิกมาวุ่นวายกับพวกเราซะที”

    “อย่านะเฟย...มึงอย่าทำตามที่มันพูดนะ” ผมพยายามขอร้องทั้งน้ำตา แต่แล้วมันก็ไม่เป็นผล มันยอมทำกับผม ทั้ง ๆที่ผมเป็นเพื่อนมัน วันนั้นเป็นวันที่ผมทั้งเจ็บและทั้งอายจนไม่กล้าจะสู้หน้าใคร หมดสิ้นเกียรติ หมดสิ้นศักดิ์ศรี มิตรภาพ ความรัก และความศรัทธา ผมพยายามร้องขอและขัดขืนเท่าที่เสียงของคนๆหนึ่งจะร้องได้ดังที่สุด และเท่าที่เรี่ยวแรงทั้งหมดที่ผมจะมี แต่สุดท้ายมันก็ดังและแรงไม่พอที่จะหยุดมัน จนกระทั่งพวกมันย่ำยีเหยียดหยามผมจนพอใจพวกมันถึงได้ปล่อยร่างพังๆของผมออกมา

    ตั้งแต่วันนั้น ผมก็โดนไอ้พวกสัตว์นรกพวกนั้นล้อและข่มขู่อยู่อย่างนั้นทุกครั้งที่พวกมันมีโอกาส และแน่นอนว่า...หนึ่งในนั้นก็มีไอ้เฟยรวมอยู่ด้วยทุกครั้ง 

    ถึงมันจะไม่ได้เอ่ยปากล้อ แต่มันก็ไม่ได้ห้ามอะไรเพื่อนมัน แถมมันยังไม่เลิกคบไอ้พวกสารเลวนั่นอีกต่างหาก ตั้งแต่นั้น....ผมก็ไม่พูดกับมันอีกเลย 

    ถึงมันจะพยายามอยากจะมาขอโทษ อยากจะมาอธิบายมากแค่ไหนก็เถอะ แต่มันก็สายไปแล้ว คำพูดของคนอย่างมัน ไม่มีค่าอะไรสำหรับผมอีกแล้ว ผมนอนคิดอยู่เกือบอาทิตย์ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจ

    คืนนั้น ผมได้จัดเตรียมเก็บกระเป๋าข้าวของทุกอย่าง หลังจากที่โทรหาเพื่อนที่อุบลฯ ผมตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่ แต่ทว่า.... มันกลับไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย ผมนอนพลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพระจันทร์ขึ้นตรงหัว 

              “นี่เหรอวะเพื่อนที่บอกว่าจะไม่ทิ้งกัน เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่กูมี มึงเข้ามาในชีวิตกูทำไมวะเฟย มึงมาทำให้กูเป็นแบบนี้ทำไม...” ผมนอนคิดแค้นพร้อมกับร่ำไห้ให้กับความโง่เขลาของตัวเอง และความรู้สึกดีๆที่เคยมอบให้กับมัน ลึกๆแล้วผมก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ เพราะถ้าผมไปจริงๆ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้น มันช่างหนักหนาเกินกว่าที่ผมจะคาดถึง แต่ทว่าจะอยู่ต่อ มันก็หนักอึ้งซะเหลือเกิน เกินกว่าที่คนอย่างผมจะรับได้ไหว ไม่เกิดขึ้นกับใครก็คงจะไม่มีทางรู้ 

    ไม่มีใครช่วยเหลืออะไรเราได้เลย ตรงกันข้ามเรากลับได้รับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเยาะหยันจากคนที่เราพยายามจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีกต่างหาก ผู้หญิงโดนละเมิดว่าเลวร้ายแล้ว แต่ผู้ชายโดนละเมิดมันกลับเลวร้ายยิ่งกว่า น่าแปลกที่คนบ้านนี้เมืองนี้มองเรื่องผู้ชายถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องปกติ ขบขัน ไร้สาระ และไม่น่าเอามาใส่ใจ แม้กระทั่งตำรวจผู้รักษากฎหมาย และเป็นที่พึ่งของประชาชน 

    มันทำให้ผมได้คิด ...

    เมื่อสังคมมันเสื่อมโทรม ก็อย่าไปหวังที่จะเชื่อใจใครมากกว่าตัวเอง ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด อ่อนแอก็แพ้ไป คำนี้มันไม่เคยเกินจริง ที่ผ่านมามันก็แค่อุบัติเหตุทางความคิดและอารมณ์ ประสบกาณ์ทั้งดีและร้ายมันไม่เคยทรยศใคร มันยังคงเฝ้าฟูมฟักและหล่อหลอมให้คนได้เติบโต เพียงแต่ว่า...มันจะเติบโตขึ้นมาในรูปแบบไหนก็แค่นั้น เทวดา นางฟ้า หรือปีศาจ เหยื่อหรือนักล่า หรืออาจจะเป็นแค่ สิ่งมีชีวิตที่ไร้หัวใจเพียงแค่นั้น....

    “ครั้งหน้าถ้าเราได้เจอกัน แล้วมึงจะรู้ว่า เวลาที่ความรักความเชื่อใจมันถูกทำลาย มันน่ากลัวมากขนาดไหน”

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น