คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : คุณหนูหมิงพร้อมแล้วหรือไม่
รัชศกเซียนเทียนที่สาม เดือนหนึ่ง ปีจอ วันที่สิบแปด
“หากเจ้ามิคิดตระบัดสัตย์ บุตรีที่รักของเจ้าคงมิต้องอับอายเพียงนี้”
หมิงชื่อซิ่นเอ่ยเสียงกดดันเมื่อสัมผัสถึงความอาฆาตของอดีตบุตรเขยที่ส่งมาอย่างมิอาจปกปิด หากว่าพวกมันยอมให้หลานรักทั้งสองจากไปแต่โดยดี ยังพอช่วยต่อลมหายใจของพวกมันได้บ้าง
“แต่นี่มันมิเกินไปหน่อยหรือ!” เจ้าบ้านสกุลเหวินที่ถูกบีบให้ต้องถอนชื่อบุตรชายอันมีค่าและบุตรีน่ารังเกียจออกจากสกุลตวาดผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูดั่งเมฆครึ้มอัปมงคลลอยวนรอบจวน
“เกินไปรึ พวกเจ้าต่างหากที่ทำเกินไป!” พยัคฆ์เฒ่าเพียงตวัดสายตามองข้ามไหล่กลับมายังทำให้ผู้คนหวาดผวา “ลูกรักของเจ้าวางยาหลานรักของข้า เมียรักของเจ้าวางยาบุตรีของข้า มารดาเป็นเช่นไรบุตรเป็นเช่นนั้น สารเลวทั้งแม่ทั้งลูก!”
“อย่ามาใส่ความคนของข้า!” เหวินลู่ซือตะคอกกลับมิยอมแพ้แม้ร่างจะไร้สิ้นเรี่ยวแรง
“แล้วเซียนเอ๋อร์หรูเอ๋อร์มิใช่ภรรยาและบุตรของเจ้าหรือ เจ้าจึงกล้าทำร้ายได้ลงคอ” ยามคิดถึงสภาพหลายปีที่บุตรีและหลานรักได้รับทำให้โทสะถูกกระตุ้น
“เจ้าเป็นบิดาประสาอะไร ปล่อยให้เมียกับลูกนอกสมรสพวกนั้นกดหัวฮูหยินตนเอง! อย่าริปฏิเสธว่ามิได้ทำ หรือต้องให้ข้าจับพวกนางมาสอบสวนเจ้าจึงจะยอมรับ เพียงเท่านี้ยังอับอายมิพออีกหรือ!”
เห็นคนใกล้อกแตกตายจึงกระตุกยิ้มเยาะ “เป็นเจ้าที่เลือกอสรพิษชั้นต่ำพวกนั้นเข้าจวน แต่อย่างว่า หนอนแมลงเกลือกกลั้วโคลนตมเช่นพวกเจ้าก็เหมาะสมกันดี”
คนถูกกระทบกระเทียบแทบกระอักเลือด หากมิติดว่าองค์รัชทายาทยังทรงประทับในห้องรับรอง แม้ต้องตายก็ขอเสี่ยงให้บ่าวไพร่เข้ามาจับตาแก่โอหังไปทุบตีสักครา
“จงตระหนักว่าเป็นเพราะความโง่เขลาของตน พระบรมราชโองการออกมาถึงเพียงนี้เจ้ายังกล้าเล่นแง่”
หมิงชื่อซิ่น แค่นเสียงเหอะในลำคอแล้วจึงเอ่ยสำทับคำใหญ่ “ขัดราชโองการ โทษประหาร!”
“......”
“จำเอาไว้ พวกเขาเป็นของสกุลหมิง หากพวกเจ้ายังคิดวอแวให้พวกเขาต้องขัดใจ ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าคมเขี้ยวพยัคฆ์แหลมคมเพียงใด!”
ชาวบ้านพากันมุงดูรถม้าคันใหญ่โตหรูหราดั่งเป็นของเชื้อพระวงศ์ด้วยความสนอกสนใจ ผู้คนล้วนบอกเล่าถ้อยคำที่ได้ยินมาอย่างออกรส เพียงไม่นานสามร่างก็ก้าวออกมาจากประตูหน้าที่ปิดมิคิดต้อนรับผู้ใด
เพียงเห็นผู้ที่ก้าวออกมาเป็นผู้แรก ชาวบ้านต่างพากันก้มหัวคุกเข่ามิกล้าเงยมองพระพักตร์ให้ศีรษะต้องหลุดจากบ่า เมื่อลับวรกายสูงส่งนั้นไปจึงค่อยชำเลืองมอง แม้มิเห็นอดีตแม่ทัพแห่งแคว้นทว่ายังทันได้เห็นคุณชายใหญ่สกุลเหวิน
อา...ไม่ถูก ไม่ถูกต้อง ยามนี้ต้องกล่าวว่าคุณชายใหญ่สกุลหมิง ด้วยว่าพวกเขาถูกคัดชื่ออกจากสกุลเหวินเสียแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงความเรียบเฉย กระนั้นหีบไม้ที่ดูสูงค่าในมือคุณชายย่อมบ่งบอกได้ดีว่าวันนี้คนสกุลหมิงมาเพื่อทวงคืนของที่ถูกลักขโมยคืน บ่าวไพร่ต่างพากันขนหีบไม้ใบโตหลายหีบใส่รถม้า คาดว่าคงเป็นสินเดิมของอดีตฮูหยินเอก
องค์รัชทายาทเว่ยชงหยวนที่ติดตามหมิงชื่อซิ่นที่เป็นถึงอาจารย์สอนดาบและกลศึกตามรับสั่งของพระบิดาลอบมองใบหน้าสาสมใจดูอย่างไรก็โหดเหี้ยมมิต่างจากปีศาจร้ายในสนามรบที่อาบด้วยเลือดของศัตรูแล้วลอบกระตุกรอยยิ้ม นี่อย่างไรเล่าเขาจึงยอมคุกเข่าขอเป็นศิษย์ เพราะท่านอาจารย์ไร้ปราณีถึงเพียงนี้เขาจึงเคารพนับถือ
สินเดิมยาวเหยียด รวมทั้งของที่ควรจะได้คืนกลับงอกเงย นับว่าเป็นการขูดรีดอย่างแท้จริง คาดว่าสกุลเหวินคงมิอาจเงยหน้าไปได้อีกหลายปีแน่
ข้างฝ่ายสกุลเหวิน เสียงกรีดร้องยังดังอื้ออึงออกมาจากเรือนพิสุทธิ์ที่ซึ่งเคยเป็นของฮูหยินเอกและคุณหนูรอง ทว่ายามนี้ผู้ครอบครองกลับเป็นผู้อื่น เหวินลู่หลินซุกซบใบหน้าลงกับหมอนนุ่ม กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บแค้นระคนอัดอั้นตันใจ
นางเจ็บปวดเจียนตายด้วยแผลโบยตียังระบมหนัก ใบหน้าของนางยามนี้คงมิอาจกล่าวได้ว่างามพิสุทธิ์อีกแล้ว ยิ่งนึกให้ยิ่งขุ่นเคืองอารมณ์ ผู้ใดจะทราบว่านางเจ็บปวดเพียงใดยามไม้หนาฟาดลงบนแผ่นหลัง เพียงทีเดียวนางก็แทบกระอัก แต่คนใจอำมหิตพวกนั้นกลับสั่งลงโทษนางถึงสามสิบไม้!
แค้นใจที่โดนโบยให้อับอาย มิแค้นใจเท่ากับรู้ว่าตนตกเป็นเบี้ยไร้ค่าให้ผู้อื่นจับเดิน พวกมันส่งคนมาเยาะเย้ยนางถึงในเรือน ริบสิ่งของที่ควรเป็นของนางไป ทั้งเงินทองของมีค่าที่ออดอ้อนขอบิดามาก็มิเว้น กระทั่งเบี้ยหวัดยังถูกตัดแรมปี
เสื้อผ้าที่นางมิได้เป็นผู้ซื้อ เครื่องประดับและตั๋วเงินที่นางคิดว่าเป็นของนังแพศยานั่นซุกซ่อนไว้ กลับเป็นเพียงเหยื่อล่อที่วางให้นางเป็นคนเดินไปติดกับ ทุกสิ่งอย่างบีบให้นางกลายเป็นสตรีน่ารังเกียจรังแกพี่สาว วางยามันเจียนตาย ทั้งยังผลักตกน้ำหวังให้จมน้ำตาย
นางเพียงวางยาที่ทำให้มันมิอาจมีบุตรได้ มิได้วางยาพิษ!
แค้นใจนัก!
นางควรฆ่ามันให้ตายไปเสีย!
โทษโบยสามสิบไม้จึงตกมาที่นาง เท่านี้นับว่าอับอายมากแล้ว ผู้ใดจะคิดว่ารูปลักษณ์ของเสี่ยวหยูสาวใช้คนสนิทของนางจะเหมือนกับหญิงที่นำเอาของของนังฮูหยินเอกน่ารังเกียจนั่นไปจำนำ ทั้งยังเป็นรูปลักษณ์เดียวกับผู้ที่หาซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับและยาพิษ พวกมันตั้งใจตัดแขนขานาง!
เสี่ยวหยูของนางถูกเด็ดศีรษะไปแล้ว!
ยิ่งแค้นเคืองจนสุดจะอดกลั้นเสียงร้องจึงได้แต่กรีดร้องสองมือตบตีกับพื้นจนชา
แพศยา!แพศยา!แพศยา!
หากกล่าวว่าโดนโบยหนักหนาแล้ว แต่โทษฐานวางยาพิษทั้งยังผลักมันตกน้ำทั้งที่มันกระโดดลงไปเองกลับร้ายแรงยิ่งกว่า นางต้องถูกส่งไปบวชชีขัดเกลาจิตใจที่วัดประจำตระกูลทันทีที่หายดีถึงสองปี
สองปี!
ได้!
นางยอมทนก้มหน้ารับ เมื่อก้าวพลาดย่อมมิอาจโทษผู้ใดนอกจากความโง่เขลาของตน ทว่าสิ่งที่นางต้องเผชิญหลังฟื้นขึ้นมาในวันแรกคือปีศาจร้าย! จวนของนางแทบวอดวายเพราะพวกมัน! กำไลหยกอันใด หวีทองคำอันใดนางล้วนมิรู้เรื่อง หากแต่บิดาสีหน้าซีดเผือด ก้มหัวโขกศีรษะอย่างไรศักดิ์ศรี
นางจึงได้ทราบ หวีทองคำที่พวกมันกล่าวอ้างว่านางขโมยไปขาย แท้จริงเป็นถึงของพระราชทานจากฮ่องเต้!
นางเพียงได้ยินยังแทบเป็นลม หากวันนั้นพวกมันกล่าวเช่นนั้น หัวของนางมิหลุดจากบ่าหรือ!
หากแต่การที่พวกมันปล่อยให้นางมีชีวิตรอดเช่นนี้คงเพราะอยากดูนางถูกเหยียบย่ำเป็นแน่
คอยดูเถิดว่าผู้ใดกันแน่ที่จะถูกเหยียบย่ำ หมิงเลี่ยงหรู!
เพียงเพราะบิดามิยอมหย่าร้างแต่โดยดี เพียงเพราะบิดาอยากรั้งตัวพี่ชายเฮงซวยนั่นไว้ พวกมันจึงสบโอกาสทำร้ายนางถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร ชื่อเสียงที่สั่งสมมาป่นปี้ พวกมันลบชื่อออกจากสกุลเหวิน กลับสู่สกุลเดิมของมันพร้อมเกียรติและศักดิ์ศรี ผู้คนต่างสงสารเห็นใจ
แล้วนางเล่า!
มิใช่ต้องถูกผู้อื่นประนามหยามเหยียดหรือ!
“หลินเอ๋อร์...”
“ข้าสบายดี ท่านแม่มิต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” นางยังมิอยากพบหน้ามารดาที่มิอาจออกหน้าปกป้องนางได้ในยามนี้ มารดาเองใช่ว่าจะมิถูกโบยตี ด้วยข้อหามิอบรมสั่งสอนบุตรีจึงถูกโบยไปสี่สิบไม้
น่าอับอาย! น่าอับอายยิ่ง!
“หลินเอ๋อร์ของแม่ เจ็บมากหรือไม่” น้ำเสียงที่กล่าวนั้นห่วงหาอาทรอย่างถึงที่สุด แต่ห่วงแล้วอย่างไร นางต้องการอำนาจมากพอที่จะบดขยี้พวกมัน หาใช่ความอ่อนโยนที่มารดาหยิบยื่นให้ เพียงชาติกำเนิดยังต่ำต้อยกว่าจะมิให้นางคิดแค้นได้อย่างไร
เหตุใดมารดาจึงยอมเป็นรองผู้อื่น!
“ข้าเจ็บ!” นางกัดฟันตอบกลับไป มิอยากยินเสียงเห็นอกเห็นใจจากผู้ใดทั้งนั้น ได้แต่ภาวนาให้แผลรีบหาย วัดประจำตระกูลแล้วอย่างไร บวชชีแล้วอย่างไร นางมิมีวันยอมให้มันอยู่เหนือนางเป็นแน่
“เจ้าจะต้องย่อยยับ!”
ผู้ที่จะอยู่เหนือผู้ใด มีเพียงนางเท่านั้น!
เปลือกตาหนักอึ้งกะพริบไล่ความง่วงงุน เหวินเลี่ยงหรูปรับสายตาอยู่นานจึงค่อยคุ้นว่าที่นี่คือห้องของนางเอง ทว่ากลิ่นหอมมากมายรอบตัวกลับมิใช่ ราวกับนางอยู่ในสวนดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น หอมเย็นชื่นฉ่ำยิ่ง
“ฟื้นแล้วหรือ”
“ท่าน...ตา?” นางพยายามหยัดกายลุกจากฟูกนอนที่คล้ายว่าจะนุ่มกว่าแต่ก่อนมากเพื่อทำความเคารพคนที่ตนรอคอย
“นั่งดีๆก่อนเถิด” หมิงชื่อซิ่นประคองร่างหลานรักให้พิงกับพนักเตียง เห็นท่าทางราวกับลูกแมวน้อยแล้วชวนให้ใจอบอุ่น “ตาแก่ผู้นี้มิหนีเจ้าไปไหนหรอก”
“หลานคิดถึงท่านตาเจ้าค่ะ” ส่งสำเนียงออดอ้อนไปหนึ่งคราจึงได้รับอ้อมกอดอบอุ่นกลับมา นานมากแล้วหลังจากมารดาเสียชีวิต มิมีผู้ใดสามารถมอบความอบอุ่นจนวาบร้อนไปถึงหัวใจเช่นนี้ได้ ตระหนักชัดแล้วว่าครอบครัวสำคัญเพียงใด โอกาสครั้งที่สองนี้นางจะมิมีวันแยกจากพวกเขาเด็ดขาด
“ท่านตาเจ้าขา พาหลานไปได้หรือไม่เจ้าคะ หลานอยากอยู่กับท่านตา” นางเอียงหน้าซุกซบกับอกแข็งๆ ถูไถศีรษะออดอ้อนมากหน่อย ทว่าเสียงที่สั่นเครือนั้นออกมาจากใจจริงแท้มิได้แต่งแต้ม
“มิอยากอยู่กับครอบครัวเจ้าหรือ”
ได้ยินเสียงอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งทำให้น้ำตาหยดน้อยตรงหางตาไหลหยดซับไปกับเสื้อสีเข้ม
ครอบครัว? พวกเขานับนางเป็นครอบครัวด้วยหรือ
“ครอบครัวของหลานมีเพียงท่านแม่กับท่านพี่เท่านั้นเจ้าค่ะ” นางว่าเสียงอู้อี้ ยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น “หากท่านตามิรังเกียจ หลานก็อยากเป็นครอบครัวเดียวกันกับท่าน ท่านตาเจ้าขา ให้หลานเป็นครอบครัวของท่านตาได้หรือไม่เจ้าคะ”
หมิงชื่อซิ่นอยากยกตัวหลานรักพาดบ่าพากลับไปเหยียบหน้าเจ้าพวกสกุลเหวินเสียเดี๋ยวนี้ เพียงกิริยาซุกซบออดอ้อนราวกับลูกแมวแรกเกิดก็ยากจะต้านทานแล้ว ยิ่งดวงตาฉ่ำน้ำ จมูกเชิดรั้นแดงเถือกพอกันกับสองแก้ม ริมฝีปากสั่นระริกทั้งแววตายังฉายชัดถึงการอ้อนวอน ตาแก่ที่มิมีลูกหลานมาเยี่ยมเยียนนานนมอย่างเขาจะมิยอมลงให้ได้อย่างไร
“ตาเป็นครอบครัวของเจ้าอยู่แล้ว เอ้า เลิกร้องได้แล้วตัวน้อยของตา” มิคาดว่านอกจากบุตรสาวยามร้องไห้งอแงเมื่อยังเล็ก จะต้องปลอบหลานสาวให้หายงอแงอีก ช่างชวนให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆจนน้ำตาซึม
“ตอนนี้เจ้าก็อยู่สกุลหมิงแล้ว หรือเจ้าจำมิได้?”
“เจ้าคะ?” นางมีสีหน้างงงัน กวาดตามองรอบห้องจึงทราบว่ามันมิใช่ห้องของนาง แม้จะคล้ายเพียงใดแต่กลับมิใช่เรือนของนาง
“เจ้าไข้ขึ้นสูงถึงสองวัน รู้หรือไม่ว่ามารดาห่วงเจ้าเพียงใด” ฝ่ามือหยาบและเหี่ยวย่นทาบหน้าผากหลานรัก พบว่าคลายความร้อนไปมากแล้วจึงเบาใจ
“เจ้าเป็นครอบครัวของตาแล้ว เป็นคนสกุลหมิง”
เหวินเลี่ยงหรูเลือกโอบประคองความอบอุ่นนั้นไว้ ประทับลงกลางใจมิลืมเลือน ท่านตาในภาพจำของนางยังคงอบอุ่นอ่อนโยนกับนางเสมอ แม้จากกันหลายปีมิได้ติดต่อ แต่ความอ่อนโยนราวกับประคับประคองไว้กลางฝ่ามือยังคงเหมือนเดิม ท่านตามักเอื้อเอ็นดูนางเสมอ
แต่ความเอ็นดูนั้นไม่นับรวมท่านพี่
“ได้ยินแล้วหรือไม่”
นางลอบมองไปยังหนุ่มน้อยอีกคนที่ยังนั่งเงียบในห้อง นึกขบขันในใจเล็กน้อยยามได้ยินเสียงที่กล่าวกับนางอย่างอ่อนโยน แต่กลับเอ่ยกับอีกคนอย่างดุดัน
นางรักความสองมารฐานนี้ยิ่งนัก
“ขอรับ” หมิงเลี่ยงหรงคล้ายจะชินกับท่านตาเสียแล้ว แม้จะถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะดุดัน ก็มิได้ทำให้เขาหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงแต่อยากใด
เพียงกังวลว่าท่านตาจะทำให้น้องสาวของเขาเสียคนในอนาคตหรือไม่ ฟังจากน้ำเสียงแล้วต่อให้นางร้องขอจะเอาดาวเอาเดือน ท่านตาคงหาทางไขว่คว้ามันลงมาให้เป็นแน่
“เช่นนั้นก็ดี จะได้จัดการให้จบสิ้นไปเสีย” พยัคฆ์เฒ่าเก็บความอาฆาตลงในใจ มิอาจให้หลานสาวตัวน้อยได้ยินแม้ครึ่งคำ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงดูเป็นทางการฟังประหลาดจนแม่ตัวน้อยเงยหน้ามองตาแป๋ว
น่ารักน่าชังนัก หลานผู้ใดกันหนอ
“มอมแมมเหมือนแมวคลุกฝุ่นเชียว” เขาโยกศีรษะเล็กๆอย่างรักใคร่ทะนุถนอมคราหนึ่งจึงคลายอ้อมกอด ให้สาวใช้ที่เอาแต่เฝ้าอยู่ข้างเตียงเข้ามาช่วยทำความสะอาดและพาหลานรักไปชำระกาย จึงค่อยพาหลานชายตัวดีเดินออกจากเรือน
“ได้ความว่าอย่างไร” แผ่แรงกดดันลงไปในทุกถ้อยที่เอ่ยถาม เหลือบตามองหลานชายที่คล้ายจะชินกับแรงกดดันเหล่านี้แล้วจึงกระตุกมุมปาก
ไม่จำเป็นต้องถนอม หลานชายมิใช่หลานสาวและยิ่งมิใช่หลานรัก!
หมิงเลี่ยงหรงมิได้นึกอยากได้ความอ่อนโยนเหล่านั้นจากท่านตา แต่อยากบอกนักว่าเลิกเผื่อแผ่รังสีพวกนั้นมาที่เขาเสียทีเถิด ส่วนหนึ่งที่น้องน้อยและมารดาถูกวางยาเป็นเพราะเขาอ่อนแอมิอาจปกป้องพวกนาง ทั้งที่เขาเป็นที่พึ่งพิงเดียวของพวกนาง
ลอบถอนหายใจหน่อยหนึ่งจึงล้วงเอากระดาษแผ่นเล็กที่ได้จากร้านขายข่าวยื่นให้ผู้เป็นตา พยัคฆ์เฒ่ารับมาท่าทางพออกพอใจ ทว่าเพียงอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น ใบหน้ากลับมืดครึ้มลงหลายส่วน
“วันหน้าระหว่างมารดาและน้องสาวที่มิอาจส่งเสริมเจ้าเป็นขุนนางได้กับบิดาที่พร้อมจะดันเจ้าสู่ที่สูง เจ้าจะเลือกผู้ใด”
คล้ายกับเป็นคำถามแสนหนักหน่วง คุณชายใหญ่สกุลหมิงหลับตาลงพิจารณาความปรารถนาและความฝันของตนเอง ใจหนึ่งวาดหวังไขว่คว้าตำแหน่งสูงในราชสำนัก หากอีกใจนึกห่วงหามารดา
สายลมพัดผ่านราวกับจะช่วยชำระความหนักหน่วงในใจ เปลือกตาจึงเผยอขึ้นแช่มช้าพร้อมใบหน้าไร้รอยยิ้ม มารดานั้นสำคัญยิ่ง เกิดเป็นบุตรย่อมรู้จักกตัญญูตา ทว่าความเจริญก้าวหน้าในอนาคตยิ่งมิอาจวางลง
“หลานเลือก...”
ร่างเล็กในอาภรณ์สีเขียวอ่อนม้วนปลายผมตนเองเล่น ปล่อยให้ผู้เป็นมารดาได้ระบายความเจ็บปวดออกมาจนสิ้น นางมิคิดสนทนาหรือปลอบโยน บาดแผลใหญ่นี้มีเพียงมารดาเท่านั้นที่จะรักษามันได้ บุตรีเช่นนางหรือจะสามารถถึงเพียงนั้น กระนั้นแล้วยังอยากอยู่เคียงข้าง อยากบอกกล่าวว่าท่านยังมีพวกนางพี่น้อง ยังคงมีท่านตาท่านยายที่ห่วงใย
“ลูก...เจ็บมากหรือไม่”
หมิงเลี่ยงหรูเงยหน้ามองดวงหนาซีดเซียวของมารดาแล้วลอบถอนหายใจ ความงดงามที่นางชื่นชมคล้ายถูกบดบังด้วยเมฆฝน นางอยากขจัดมันให้สิ้นในเร็ววัน ได้แต่เอนศีรษะพิงไหล่มารดาอย่างออดอ้อน
“ลูกเจ็บเจ้าค่ะ เพียงแต่ลูกรักตัวกลัวตาย มิอยากสิ้นลมในจวนนั้น จวนที่มิมีผู้ใดรักเราเลยสักคน” นางกอดแขนมารดาแนบอก “ที่นั่นไม่ใช่ที่ของเราแต่แรก ลูกประจักษ์แล้วในวันที่เกือบก้าวเท้าหาความตาย เช่นนั้นสู้เราถอยออกมามิดีกว่าหรือเจ้าคะ กลับมายังบ้านของเรา”
“ที่นี่มีทั้งท่านตา ท่านยาย ท่านพี่ มีเสี่ยวเหยา ที่สำคัญ...บ้านหลังนี้มีลูก มีท่านแม่” นางถือวิสาสะเกี่ยวนิ้วก้อยตนเองนิ้วนิ้วก้อยของมารดา “มีครอบครัวของเราเจ้าค่ะ”
“ครอบครัวของเรา” น้ำตาหยดหนึ่งไหลกระทบแก้ม เมื่อผินหน้ามองจึงเห็นมารดาเอนศีรษะซบลงบนศีรษะของนางอีกที
“นั่นสินะ ครอบครัวของเรา”
“เจ้าค่ะ สำหรับลูกนับว่าเพียงพอแล้ว” นางแย้มรอยยิ้มแต่งแต้มกลีบปากบางเบา “แล้วท่านแม่เล่าเจ้าคะ พอใจกับครอบครัวที่ลูกใฝ่หานี้หรือไม่”
หมิงหนิงเซียนมิอาจหักห้ามความเสียใจที่ถาโถมจนใจแทบแหลกสลายได้ น้ำตามากมายไหลรินทุกเมื่อเชื่อวันจนแทบจะแห้งเหือด กระนั้นเมื่อฟังถ้อยคำจากบุตรสาวกลับคล้ายว่าความอบอุ่นมากมายแผ่ขยายโอบอุ้มหัวใจดวงนี้ไว้ แม้ยังเจ็บปวดทว่ามิได้เจียนตายอีกแล้ว
ใจที่เคยหวนคิดถึงอดีตหวานชื่นกับอดีตสามีกลับวางลงง่ายดายเมื่อสำนึกได้ว่าเบื้องหลังยังมีบิดามารดา บุตรชายบุตรสาวล้วนเฝ้ารอ ต้องจมปลักกับความทุกข์ระทมปล่อยให้พวกเขาทุกข์ตรมในอกอีกเท่าใด น้ำตาที่เสียไปหลายปีนับว่าเพียงพอล้วสำหรับความรักจอมปลอมเหล่านั้น
“ลูก...ไม่เป็นอันใด...ใช่หรือไม่” สัมผัสนุ่มลื่นของเส้นผมที่ปลายนิ้วทำให้นางสะท้อนใจนัก นางทอดทิ้งบุตรสาวตัวเท่านี้ไว้เบื้องหลังตั้งแต่เมื่อใด โอบกอดความทุกข์แทนบุตรตนเองมานานเท่าใด ปล่อยให้พวกมันทำร้ายแก้วตาดวงใจได้อย่างไรกัน
“ลูกสบายดีขึ้นมากเจ้าค่ะ ท่านแม่ ลูกรักท่านนะเจ้าคะ” ศีรษะเล็กถูไถไหล่ของมารดาอย่างออดอ้อน หมิงเลี่ยงหรูรับรู้ได้ว่าก้าวแรกของมารดาได้เกิดขึ้นแล้ว ควรเริ่มนับถอยหลังการได้มารดากลับคืนอย่างเต็มภาคภูมิเสียที
“แม่ก็รักลูก...รัก...มากจริงๆ”
ภาพสตรีสองนางนั่งโอบกอดริมสระน้ำทำให้ผู้ชราที่แอบมองน้ำตาซึม บุตรีที่เฝ้าถนอมต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ ส่วนหนึ่งเพราะเขายอมตามใจให้นางออกเรือนกับบุรุษที่ไม่คู่ควร อีกส่วนหนึ่งเพราะเขาเอาแต่เฝ้ารอให้นางร้องขอความช่วยเหลือมิยอมยื่นมือให้คว้าไว้แต่แรก
เสียงร่ำไห้ที่แว่วมากับสายลมบีบรัดหัวใจ แค่นี้ยังมิเพียงพอให้คลายโทสะ หากมิได้หลานรักขอไว้ เขาคงกราบทูลฝ่าบาทเพื่อบดขยี้พวกมันให้แหลกเละ หากมิใช่หลานรักรับปากว่าจะทำให้พวกมันเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าพันทวี มีหรือตาแก่คนนี้จะยอมปล่อยกรงเล็บจากหัวของพวกมัน
“นับว่าเป็นภาพที่ชวนหวนไห้”
“ถวายพระพรองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” หมิงชื่อซิ่นค้อมศีรษะให้ตามความเคยชิน ลบเลือนกลิ่นอายเศร้าโศกจนสิ้น
“ไม่ต้องมากพิธี ท่านอาจารย์ วันนี้เราเพียงอยากพบหน้าหลานของท่านเท่านั้น” เห็นคิ้วเข้มของท่านอาจารย์กระตุกแล้วจึงคลี่พัดบดบังริมฝีปากอย่างชอบใจ
“วันนี้อากาศดีเหมาะแก่การเดินเที่ยว ลองลิ้มชิมอาหารเลิศรส ท่านอาจารย์ว่าอย่างไร”
พยัคฆ์เฒ่ายังมิคลายปมที่หว่างคิ้ว กลับยิ่งขมวดมันแน่น มิทราบว่าศิษย์ผู้นี้จะติดใจอันใดกับหลานรักของเขานักหนาจึงได้หมั่นมาเยี่ยมเยียนเสียทุกวัน กับเจ้าหลานชายยังพอว่า แต่กับหลานรักเห็นจะไม่ควรให้พาออกนอกจวนเป็นอย่างยิ่ง!
“คงต้องเสียมารยาทแล้ว หรูเอ๋อร์เพิ่งหายไข้เกรงว่าออกไปด้านนอกยามนี้จะมิเหมาะ” ด้วยพัดจีบบังอยู่จึงทำได้เพียงอ่านแววตาคู่คมที่ยังคงทอประกายระยิบระยับอย่างน่าหมั่นไส้ “หากพระองค์ประสงค์เที่ยวเล่นเช่นนั้นกระหม่อมจะให้หรงเอ๋อร์ติดตามไปแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทเว่ยชงหยวนมองแล้วคล้ายเห็นพยัคฆ์ตัวเขื่องกางแขน ขา เงื้อง่ากรงเล็บแยกเขี้ยวข่มขู่ ทว่าเพียงกะพริบตากลับคล้ายว่ามองผิดไป นี่มิใช่ท่านอาจารย์หวงแหนหลานสาวมากไปหรอกหรือ เขาเพียงอยากพานางเที่ยวชมตลาดสานสัมพันธ์ฉันท์น้องพี่เท่านั้นเอง
“จะอย่างไรมิสู้ถามความสมัครใจของนางหรือขอรับ ท่านอาจารย์” แอบกดเสียงเจ้าเล่ห์ในยามเอ่ยเรียกอีกฝ่าย จงใจยั่วยุต่อมขันติให้พังทลาย
“นางคงมิสะดวก” ยังมิทันพูดจบ ร่างในอาภรณ์เนื้อดีกลับก้าวพรวดพราดเข้าไปขัดจังหวะสองแม่ลูกผูกพันให้ผู้เป็นประมุขตระกูลคิ้วกระตุก ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ด้านหลัง
สองแม่ลูกผละออกจากกันเมื่อได้ยินสุรเสียงทุ้มนุ้มเอ่ยเรียกอย่างอ่อนน้อม ยิ่งพากันตระหนกเมื่อหันหลังไปพบบุรุษงาม ราศีสูงส่งแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ พวกนางพากันประคองร่างขึ้นยอบกายเคารพผู้มีฐานันดรเป็นถึงองค์รัชทายาทแม้จะยังงุนงงอยู่บ้างว่าผู้สูงศักดิ์มีธุระอันใดกับพวกตน
“ไม่ต้องมากพิธี เราเพียงมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัวเท่านั้น” เห็นสตรีงามมีสีหน้าอิหลักอิเหลื่อแล้วมิอาจอดทนแกล้งได้จึงเอ่ยตามจริง เห็นดวงหน้างามซีดเซียวแล้วสงสารจับใจนัก
“ท่านน้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“องค์รัชทายาท!”
หมิงหนิงเซียนถูกความตกใจพัดความเศร้าปลิวหายไกลลิบ ด้วยว่าผู้สูงศักดิ์เกินเอื้อมเอ่ยปากเรียกตนว่าน้าอย่างคล่องปาก คนต่ำต้อยผ่านการหย่าร้างเช่นนางหรือจะกล้ารับ
“เรานับถือท่านอาจารย์มิต่างจากญาติผู้ใหญ่ การเรียกท่านว่าท่านน้านั้นเป็นความเต็มใจของเรา ท่านน้าอย่าได้ปฏิเสธเลย”
“หม่อมฉันมิกล้า” นางจะกล้าเถียงอันใดได้เล่า ได้แต่ก้มศีรษะรับไว้ด้วยใจขัดขืนเพียงเท่านั้น ไว้เมื่อมีโอกาสรวบรวมขวัญกำลังใจได้เมื่อไรจะเอ่ยปากทูลขอให้ยกเลิกการเรียกอย่างสนิทสนมเช่นนี้
“ท่านน้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ถ้อยคำถามแสนสั้นแต่ยังผลให้น้ำตารื้น นางได้แต่ข่มกลั้นความเจ็บปวดลงในอก ทูลตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“หม่อมฉัน...ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
“เห็นท่านน้าดีขึ้นเราค่อยสบายใจ ทราบจากท่านอาจารย์ว่าท่านน้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจจึงอยากช่วยประคองรักษาไว้อีกแรง” อันที่จริงต้องกล่าวว่าอยากช่วยให้คลายความเจ็บปวดโดยไวเพื่อตนจะได้สมหวังสักครา
นัยน์เนตรมังกรลอบมองดรุณีน้อยที่ยังมิยอมเงยหน้ามองพระพักตร์สักเสี้ยวจึงกระตุกยิ้มหวาน หมายมาดในใจว่าอย่างไรต้องยื้อแย่งนางมาไว้ใต้ปีกให้จงได้ ยิ่งท่านอาจารย์หวงนักหนาให้ใคร่อยากได้ขึ้นไปอีก หากมารดาเอ่ยปากยอมตกลง ผู้เป็นตาย่อมมิอาจขัดขวาง!
“วันนี้นอกจากมาเยี่ยมเยียน เรายังคิดพาพวกท่านเที่ยวชมตลาดสักชั่วยาม ท่านน้าคิดเห็นประการใด”
หมิงหนิงเซียนบังอาจมองข้ามไหล่ผู้สูงศักดิ์ นางคล้ายเห็นเงามืดบนใบหน้าคล้ำเกรียมแดดของบิดา ทว่าแม้นึกอยากปฏิเสธอย่างไร นางยังมิกล้าพอจะขัดใจผู้อยู่เหนือคนนับหมื่น หากแต่นางยังมิอยากออกนอกไปพบเจอผู้คนเท่าใดนัก ข่าวนางหย่าร้างสามีย่อมถูกพูดถึงทุกหย่อมหญ้า ยามที่ยังมิอาจตัดใจรักให้ขาดสะบั้นจะกล้าเงยหน้ามองผู้คนได้อย่างไร
“หม่อมฉันรู้สึกมิค่อยดีเท่าไหร่ คงขออยู่ในจวนสักระยะเพคะ” หางตาเห็นลูกน้อยเงยหน้ามองมาอย่างเป็นห่วงจึงแย้มรอยยิ้มกลับไปให้เล็กน้อย
“หากแต่หรูเอ๋อร์อยู่แต่ในจวนมาหลายวันคงอยากออกไปเที่ยวเล่นตามประสา หม่อมฉันต้องขอรบกวนพระองค์ด้วยเพคะ”
“โอ้ ท่านน้ามิต้องเกรงใจ เรายินดีเป็นอย่างยิ่ง” เมื่อได้สดับรับฟังคำอนุญาตจึงหันไปขยิบตาให้ท่านอาจารย์ซึ่งหันหลังเดินดุ่มๆจากไปราวกับพายุ จึงค่อยผินพระพักตร์งามสง่ากลับมายังดรุณีน้อยที่ก้มหน้าก้มตาราวกับพื้นมีอันใดน่าสนใจนัก
“เช่นนั้นคุณหนูหมิงพร้อมแล้วหรือไม่”
ความคิดเห็น