ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์

    ลำดับตอนที่ #3 : ข้าจะไปเยี่ยมหลาน

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 65


    รัชศกเซียนเทียนที่สาม เดือนหนึ่ง ปีจอ วันที่หนึ่ง

     

    ทั่วเมืองหลวงต่างคึกคักด้วยเป็นวันขึ้นปีใหม่ องค์เหนือหัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้วันนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต้องประดับประดาด้วยสีแดง จุดประทัดเสียงดังกึกก้องเฉลิมฉลองสามวันสามคืน ร้านรวงส่วนมากจึงยังคงคึกคักด้วยหวังชมงานเทศกาลยามค่ำคืน ผู้คนบนท้องถนนแน่นขนัดเบียดเสียดยัดเยียดหากแต่มิได้มีสีหน้าขุ่นข้องหมองใจ พวกเขาล้วนเคลื่อนไปด้านหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข กล่าวอวยพรซึ่งกันและกันดูชื่นมื่นชื่นใจ

    ร่างเล็กในอาภรณ์สีชมพูอ่อนมวยผมงดงามอ่อนหวาน สวมผ้าปิดบังใบหน้าโผล่พ้นเพียงดวงตาดำสนิทกับไฝใต้ตาเม็ดเล็กชวนค้นหา ท่วงท่าย่างก้าวประหนึ่งคุณหนูในห้องหอ ทว่ามิกล้าเงยหน้าสบตาผู้ใดมากนัก ทั้งยังมิได้มีผู้ติดตามเช่นคุณหนูผู้อื่น

    ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังโรงจำนำหลังใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าให้ราคาดี มิได้กดราคาจนผู้อื่นเงยหน้าไม่ได้ เหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจจึงค่อยๆเคลื่อนกายเข้าไปด้านในอย่างเงียบเชียบระแวดระวัง เมื่อลับตาผู้อื่นแล้วจึงสบตากับหลงจู๊ที่จับจ้องตนอยู่ก่อน มือเล็กรีบล้วงห่อผ้าอันน้อยมาวางด้านหน้า สบสายตากดดันให้รีบพิจารณาเสีย ตัวนางจะได้รีบจรลีจากสถานที่อันตรายแห่งนี้

    หลงจู๊รู้งานมิได้เอ่ยอันใดมากความ แม้ชื่อแซ่ยังมิถาม ดูแล้วคงแอบเอาสมบัติมาขายเป็นแน่ คงมิแคล้วพวกผู้ดีตกยาก มิเช่นนั้นก็บุตรีพ่อค้าต่างถิ่นซึ่งมิอาจเอากำไรจากเมืองหลวงแห่งนี้กลับสู่รังนอนตนได้ มือสากอวบอูมหยิบห่อผ้าแกะชมสินค้าด้านใน เพียงได้เห็นดวงตากลับเบิกกว้างด้วยความพึงพอใจกับสินค้าหายากชิ้นนี้

    สองพันตำลึง

    ได้ยินราคาที่พอใจจึงรีบพยักหน้า สายตาสอดส่ายอย่างนึกระแวงกึ่งระแวดระวังภัย หากแต่จะให้แบกเงินตำลึงไปคงเด่นสะดุดตาผู้อื่น อาจถูกจับหรือดักปล้นระหว่างทาง

    ข้าจะออกเป็นตั๋วเงินให้

    เห็นท่าทางหวาดระแวงของนาง เขาผู้เป็นหลงจู๊โรงจำนำมานานก็รู้ดี เงินมากมายขนาดนี้ หากให้เป็นเงินตำลึงไปคงล่อตาล่อใจพวกชั่วช้าไม่น้อย ทั้งผู้ที่หยิบยื่นสมบัติชิ้นงามยังเป็นเพียงดรุณีน้อย ดังนั้นแล้วถือตั๋วเงินย่อมเหมาะสมกว่า

    ร้านแลกเงินมีมากมายทั่วเมืองหลวง มิได้ลำบากอันใดหากต้องนำไปแลกออกมาภายหลัง เมื่อได้ข้อเสนอตรงตามความตั้งใจ นางจึงพยักหน้าอย่างยินดี เผลอยกปลายนิ้วลูบวนรอบไฝเม็ดเล็กใต้ตา รอไม่นานตั๋วเงินปึกหนึ่งจึงถูกยื่นให้ นางรีบเก็บเข้าสาบเสื้อมิดชิด สำรวจถี่ถ้วนจึงก้มศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและอำลา รีบร้อนผลุนผลันออกไป มุ่งตรงกลับจวนทันที

    ลัดเลาะผ่านผู้คนมาได้จึงแอบมุดช่องสุนัขลอด เมื่อมิเห็นผู้ใดขวางทางจึงรีบวิ่งกลับเข้าเรือนหลังเก่า ผลัดเปลี่ยนชุดแล้วนำไปเผาทิ้งตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนลากสังขารหอบฮั่ก ทั้งยังเหงื่อไหลไคลย้อยเข้าไปหา มิลืมหนีบเอาตั๋วเงินปึกนั้นไปด้วย

    ตื่นเต้นมากหรือ ดูสภาพเจ้าสิ

    เหวินเลี่ยงหรูอดขบขันมิได้ ยามสาวใช้ตัวน้อยลอบเข้าห้องนางด้วยสายตาระแวดระวังเสมือนมีผู้ใดจ้องทำร้ายตลอดเวลา ทั้งยังสภาพราวกับวิ่งมาเสียไกลลิบน่าสงสาร

    โถ่ คุณหนูเจ้าคะ เสี่ยวเหยาหัวใจจะวายแล้วเจ้าค่ะเห็นคุณหนูที่รักและเทิดทูนยิ่งหยอกล้อจึงทำสีหน้าออดอ้อนกลับไป มิรู้หรืออย่างไรว่านางหวาดกลัวเพียงใดยามก้าวเท้าออกจากเรือน

    ตั๋วเงินเจ้าค่ะคุณหนู

    มือเรียวขาวราวกับน้ำนมยื่นรับปึกกระดาษที่สาวใช้ยื่นให้ เมื่อนับดูก็พบว่าราคาสูงกว่าที่นางประเมินไว้ถึงสามเท่าจึงคลี่ยิ้มยินดี กำไลวงนั้นของท่านลุงนับว่าช่วยให้นางมีทุนรอนไว้เตรียมการต้อนรับพี่ใหญ่มาก หากอยากได้คืนคงต้องกราบขอท่านลุงไปไถ่ถอนมาเองแล้ว

    อา...นางกล่าวผิด คงต้องให้ผู้อื่นไปไถ่ถอนมาให้เสียแล้ว

    อีกสองวันจงเอาหวีไปจำนำเสียเห็นอีกฝ่ายทำตาถลนราวกับนางสั่งให้ไปตายจึงสำทับอีกเล็กน้อย คราวนี้เปลี่ยนโรงรับจำนำด้วยเล่า

    คุณหนู แต่หวี...”

    แล้วอย่าลืมว่าห้ามพูดกับผู้ใด

    เห็นคุณหนูของตนสั่งการมิมีติดขัดทั้งที่นางโอดครวญแทบกราบเท้าน้ำตาคลอก็ได้แต่นั่งหน้าตูม นางมิอยากให้คุณหนูนำของสำคัญของฮูหยินไปขายแลกเงิน แม้ว่าเงินเหล่านั้นจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นก็ตาม

    เสี่ยวเหยาเหวินเลี่ยงหรูหยิบตั๋วเงินสามแผ่นส่งให้สาวใช้ตัวน้อยที่นั่งคอตก ชุดสีชมพูหรูหราที่สุด แพงที่สุดจากร้านที่ดีที่สุด เข้าใจหรือไม่

    นั่นปะไร สาเหตุที่นางมิอยากให้คุณหนูนำของสำคัญของฮูหยินไปขาย หากแต่ทำได้เพียงเปล่งวาจาจำยอม

    เจ้าค่ะ

    ส่วนสองใบนี้สำหรับเครื่องประดับที่งดงามที่สุด ปรณีตที่สุด และอย่าลืม...ต้องแพงที่สุด อ้อ ซื้อมาให้มากหน่อยล่ะ

    ตั๋วเงินยื่นไป คำนวณดูแล้วมิได้ลดหายไปมากดังที่คิด คงต้องเพิ่มอีกสักสองสามอย่างกระมัง พิจารณาถ้วนถี่แล้วสำหรับสตรีงามคงมิพ้นสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้

    ส่วนนี่สำหรับเครื่องประทินโฉม เลือกซื้อสักหลายอย่างหน่อย อ้อ!” นางเกือบลืมไป จึงยื่นตั๋วเงินเพิ่มให้จนแทบจะหมดมือ อย่าลืมของรางวัลสำหรับสาวใช้ตัวน้อยน่ารักเป็นชุดใหม่สักสองสามชุดด้วยเล่า 

    เจ้าค่ะเสี่ยวเหยาได้แต่ครางรับเสียงอ่อย นึกอยากให้น้ำตาทะลักทะลวงออกมานัก เหตุใดคุณหนูของนางจึงมือเติบเยี่ยงนี้

    จงอย่าซื้อทุกอย่างในวันเดียว เมื่อครบแล้วค่อยนำไปให้นาง เข้าใจหรือไม่

    เห็นเสี่ยวเหยาตัวน้อยทำท่าน่าเอ็นดูหูลู่หางตกประหนึ่งสุนัขถูกเจ้านายรังแกช่างชวนให้อารมณ์ดีเสียจริง แม้วันนี้จะได้รับห่อยาบำรุงก็มิได้ทำให้ใจนางขุ่นมัวอีกต่อไป ยาขมถ้วยนั้นที่เสี่ยวเหยาต้มให้แต่เช้าจึงตกเป็นอาหารสำหรับไม้ต้นน้อยหลังเรือน

    ผู้ใดจะโง่งมยอมกลืนยาพิษกัน

    นางมิใช่เหวินเลี่ยงหรูผู้โง่งมผู้นั้นแล้ว

    เพียงนึกถึงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเยื้องย่างอย่างมีจริตจะกานเกินวัย ใบหน้าที่มักประทินโฉมจนขาว นัยน์ตากลมที่แทบจะกดนางจมดินทุกครั้ง ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามที่สวมใส่ มันทำให้นางอดกระตุกยิ้มมิได้

    นางพับเก็บตั๋วเงินสองสามแผ่นซ่อนไว้ในหีบไม้เนื้อดีที่เสี่ยวเหยาเตรียมให้เรียบร้อยจึงยัดมันใส่มือเล็กที่กุมไว้อย่างสั่นเทา

    ของขวัญสำหรับการเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี พี่สาวคนนี้ขอมอบคืนให้น้องสาวที่รักด้วยความเต็มใจยิ่ง!




    ควบม้าถึงสี่วันสี่คืนแทบมิได้หยุดพักจึงถึงวัดไป๋หู่อันเป็นสถานที่สวดมนต์ของมารดาตามคำขอร้องที่มารดายื่นแก่บิดาด้วยมิอาจทนมองภาพครอบครัวสุขสันต์ที่มิมีตวมอยู่ในนั้น บรรยากาศเงียบเหงาทำให้เขาหดหู่

    สุดบันไดหินจึงเห็นสาวใช้คุ้นหน้าสองนางช่วยกันทำความสะอาดลานกว้างหน้าโถงสำหรับไหว้ขอพรพระโพธิสัตว์

    คุณชายใหญ่! มาได้อย่างไรเจ้าคะสาวใช้นางหนึ่งเมื่อเห็นร่างสูงก้าวเข้าเขตลานที่กำลังกวาดใบไม้อยู่จึงรีบทัก มิลืมก้มศีรษะทำความเคารพ

    ท่านแม่ล่ะเมื่อกวาดสายตายังโถงขอพรมิเห็นร่างที่ควรอยู่ตรงนั้นให้รู้สึกใจหายอย่างน่าประหลาด แม่นมฉินยังอยู่ที่นี่ แล้วมารดาของเขาจะไปที่ใดได้กัน

    ฮูหยิน เอ่อ นอนพักอยู่เจ้าค่ะ

    ท่านแม่เป็นอะไรเขาร้อนใจนักยามสาวใช้นางนั้นหลบตา ซุกซ่อนความรู้สึกจริงแท้ไว้ภายใน ความโกรธเกรี้ยวขุมหนึ่งแล่นพล่านเหมือนตนก้าวพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

    ฮูหยินกล่าวว่ามิใคร่สบายจึงพักผ่อนอยู่เจ้าค่ะ

    นำทางเหวินเลี่ยงหรงแทบข่มกลั้นโทสะมิได้ มารดาหรือจะป่วยไข้ ร่างกายของท่านเป็นเขาปกป้องดูแลอย่างดีตลอดเวลาที่อยู่ในจวน มิคาดว่าเพียงออกมาวัดประจำตระกูลหวังสงบจิตใจกลับมีผู้คิดร้าย กล้าทำบาปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ

    เดินอ้อมไปด้านหลังวัดยังที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมจึงพบห้องเล็กในมุมมืดที่มิค่อยมีคนเดินผ่าน เหตุใดมารดาจึงพักในห้องเช่นนี้ ในเมื่อยังมีห้องว่างอีกมากมาย สามารถเอนกายได้อย่างสุขสบาย

    เมื่อก้าวเข้าห้องจึงไล่สาวใช้นางนั้นออกไป เขาคุกเข่าหน้าเตียงเล็กแข็งกระด้างเย็นเยียบ ความมืดสลัวด้วยไร้แสงแดดทำให้ใบหน้าของมารดาที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนบางดูซีดเซียวอย่างน่าอดสู

    เขาเจ็บปวดนัก

    ท่านแม่ ตื่นเถิดขอรับเขาแตะฝ่ามือลงบานมือเล็กที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม มันเย็นเสียจนน่าแปลกใจ เข้าสู่ช่วงฤดูไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นแล้ว เหตุใดร่างกายของมารดาจึงเย็นเช่นนี้

    ท่านแม่ ลูกมาเยี่ยมท่าน น้องเองก็คิดถึงท่านนักขอรับ

    เห็นร่างใต้ผ้าห่มสั่นไหวเล็กน้อยจึงทราบว่ามารดาตื่นแล้ว เปลือกตาทื่ฝืนลืมทำให้เห็นนัยน์ตาแดงก่ำดั่งคนร้องไห้จนเผลอหลับ หากแต่มันมิได้บวมช้ำดังที่ควรเป็น เขาเลื่อนสายตาจับจ้องกลีบปากแตกระแหงเหมือนคนขาดน้ำ ทั้งยังร่างกายที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงจะลุกนั่ง

    ท่านแม่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เหวินเลี่ยงหรงพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเสียงมิให้สั่น ลอบตรวจชีพจรยังพอทราบว่ามันเต้นเร็วจนน่ากลัว กายเย็นเฉียบแต่เหงื่อกลับซึมตามไรผม สองแขนเลื่อนประคองร่างอ่อนเปลี้ยให้นั่งพิงกำแพง

    หรงเอ๋อร์ หรงเอ๋อร์

    เหวินเลี่ยงหรงจับมือสั่นเทาของมารดาที่พยายามยื่นมาหาแนบกับแก้มตน จับจ้องดวงตาคู่งามที่บัดนี้ท่วมท้นด้วยหยาดน้ำตาดูน่าสงสารยิ่ง เขาพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้ท่านสบายใจ

    ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ข้ากับน้องคิดถึงท่านเหลือเกิน

    หรูเอ๋อร์ หรูเอ๋อร์อยู่ที่ใด...”

    น้องยังอยู่ที่จวนขอรับ นางสบายดี กล่าวว่าอยากมาหาท่านแต่ติดที่มิอาจทำได้ยิ่งกล่าวถึงน้องสาว ร่างกายของมารดายิ่งสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นเบิกกว้าง ทั้งยังพยายามลากกายลงจากเตียง

    ปกป้องน้อง ช่วยน้อง...”

    เสียงแหบแห้งสั่นสะท้านทำให้เขาต้องรีบรับคำ ทั้งยังประคองมารดามิให้พลัดตกเตียง หากแต่ท่านเหมือนมิได้ยินถ้อยคำของเขา ยังคงเร่งพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

    แม่เห็นพวกมัน-พวกมันฆ่าหรูเอ๋อร์ พวกมันฆ่าหรูเอ๋อร์!”

    เหมือนความอดทนขาดสะบั้น ร่างที่เคยงดงามคู้ตัวทึ้งเส้นผมตนเอง อย่างน่าสังเวช อาการของมารดาให้คล้ายคนประสาทหลอน เช่นนี้ย่อมกล่าวว่ามิปกติ พวกมันต้องทำอันใดมารดาเขาเป็นแน่

    ท่านแม่ขอรับ ฟังข้านะขอรับเขาโอบประคองร่างมารดาไว้ในอ้อมแขน กล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมดังที่เคยทำ

    หรูเอ๋อร์ยังสบายดี นางฝากจดหมายมาให้ท่านด้วย ท่านแม่ ท่านต้องอ่านเองขอรับ

    เพราะมิอาจไว้ใจผู้ใดได้อีก กระทั่งแม่นมฉินผู้นั้น แม้กล่าวว่าเลี้ยงมารดาเขามาแต่เล็กแต่น้อย หากแต่อาการมารดาหนักหนาเพียงนี้ เหตุใดแม่นมผู้นั้นยังปัดกวาดลานกว้างอย่างสบายใจ ไม่เร่งเข้ามาดูแล

    เห็นมารดาสงบลง เขาจึงล้วงจดหมายที่ว่จากอกเสื้อ คลี่ออกดีแล้วจึงส่งให้มารดาที่จ้องมอย่างมีความหวัง ใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูป ท่านจึงยอมวางมันลงแล้วร้องไห้ประหนึ่งจะขาดใจอยู่เกือบชั่วยาม จึงคลี่จดหมายฉบับนั้นอ่านอีกครั้ง

    หรูเอ๋อร์ หรูเอ๋อร์ของแม่

    เหวินเลี่ยงหรงนึกอยากอ่านใจความในจดหมายนัก เหตุใดมารดาจึร้องไห้มิยอมหยุด ทั้งยังกำมันแน่นประหนึ่งสมบัติล้ำค่า เพียงครู่เดียวเหมือนตั้งสติได้ มารดาจึงปาดน้ำตาทิ้ง หันมามองเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก

    หรงเอ๋อร์

    ขอรับ

    พาแม่ไปที พาแม่กลับบ้านที

    ขอรับเขารับคำทั้งรอยยิ้ม แม้มิรู้เนื้อความในจดหมาย หากแต่พอคาดเดาได้ว่าน้องสาวต้องการสิ่งใด ทั้งบ้านที่ท่านแม่ต้องการกลับไปคงมิใช่สกุลเหวินที่ทำร้ายจิตใจท่านมากนักเป็นแน่แท้

    สาวใช้พวกนั้น...”

    ย่อมต้องพาพวกนางกลับไปด้วยขอรับ

    เพื่อมให้ผู้ใดคาบข่าวไปบอกผู้อื่น!

    เมื่อไม่จงรักภักดีก็จงสำนึกเสียใจให้จงหนัก เมื่อถึงบ้าน เขาจะสสวนจนกว่ามันจะคายความจริง อสรพิษพรรค์นั้นควรตีให้ตาย มิให้เป็นมือเป็นเท้าให้ผู้ใดเพื่อมาแว้งกัดมารดาของเขาได้อีก!




    ถม้าคันใหญ่เคลื่อนสู่ตัวเมืองหนิงอันอย่างเชื่องช้า ด้วยว่าผู้ขับมันกลัวว่าบุคคลอันเป็นที่รักที่พักอยู่ภายในจะกระทบกระเทือนให้อาการยิ่งแย่ลงกว่าเดิม สายตาของผู้คนที่กวาดมองอย่างสนใจใคร่รู้มิได้ทำให้เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าหนาวหวั่นไหว จุดหมายปลายทางนั้นต้องใช้เวลาอีกเค่อหนึ่งเห็นจะได้

    สถานที่แห่งนี้เขามิได้มาบ่อยนัก ครั้งสุดท้ายคงเมื่อยามอายุสิบขวบปีเท่านั้น ยามนั้นยังเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมบิดามารดาและน้องสาว ได้รับการต้อนรับจากคนที่นี่อย่างอบอุ่น

     เพราะชาวบ้านแม้อยากรู้เพียงใดแต่มิได้เข้ามาเกะกะขวางทาง เบื้องหน้าเขาคือประตูสีแดงบานใหญ่ที่มีทหารยืนเฝ้าสองฟาก เมื่อรถม้าจอดเทียบ พวกเขาจึงเอาหอกขวางทางไว้หมายให้แจ้งความประสงค์

    เหวินเลี่ยงหรงขอเข้าพบท่านที่ปรึกษา พี่ชายทั้งสองโปรดแจ้งด้วย

    รอไม่นานนักจึงมีพ่อบ้านเดินหน้าเริ่ดด้วยฝีเท้าเร็วรี่มาเชื้อเชิญเข้าด้านในให้พ้นสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านที่เริ่มยืนมุง เขาจึงควบม้าพารถม้าเข้าไป บานประตูนั้นจึงปิดลง กั้นสายตาที่พยายามมองมา

    ถึงแล้วขอรับท่านแม่เหวินเลี่ยงหรงส่งเสียงบอกสตรีที่เอนกายอยู่ด้านในด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี มิลืมเข้าไปพยุงกายบอบบางที่สิ้นเรี่ยวแรงเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางและพิษที่อสรพิษเช่นมันอาจหาญมอบให้

    แล้วนาง...”

    เดี๋ยวข้าค่อยจัดการทีหลังเขาตอบแม่นมฉินที่ช่วยพยุงร่างมารดาลงจากรถม้า

    หญิงชรามีท่าทางกังวล เพราะสาวใช้นางนั้นถูกนางเสี้ยมสอนมิต่างจากบุตรสาวเพื่อหวังไว้ใช้งานในอนาคต ผู้ใดจะคาดว่าคุณชายจะไหวพริบเฉียบคมขนาดนี้ เพียงเดินทางได้หนึ่งวันกลับถูกมองออกว่าน้ำชามีพิษเจือปนทั้งที่นางสู้อุตส่าห์ใช้พิษไร้สีไร้กลิ่นแล้วแท้ๆ ยังดีที่มันยังฉลาดอยู่บ้าง จึงมิได้ปริปากบอกว่าเป็นนางสั่งให้ทำ มิเช่นนั้นชะตากรรมของผู้ชราเช่นนางคงเป็นเช่นสาวใช้โง่เขลานางนั้น

    นายท่านรอพวกท่านอยู่ด้านในขอรับ

    เหวินเลี่ยงหรงรับคำในลำคอพลางพยุงร่างมารดาอย่างทะนุถนอมสายตาตวัดองพ่อบ้านสูงวัยชั่วครู่จึงค่อยลอบมองแม่นมฉินที่ประคองอยู่อีกด้าน เขาเอ่ยร้องขอด้วยน้ำเสียงเปี่ยมมารยาท

    รบกวนท่านพ่อบ้านพาแม่นมฉินไปพักสักหน่อยได้หรือไม่ นางเดินทางมาไกลคงเหนื่อยล้าทั้งกายใจแล้วและมิรอให้ผู้ใดคัดค้าน เขารีบสำทับต่อ รบกวนด้วย

    ขอรับ

    พ่อบ้านสูงวัยรับคำอย่างรู้ความ รีบเชื้อเชิญหญิงชราให้ออกห่างจากคุณหนูของตน เพียงเห็นสภาพไร้เรี่ยวแรงของคุณหนูซึ่งเคยงดงามสดใสกว่าผู้ใด ทั้งยังสายตาของคุณชายจึงทราบว่าแม่นมฉินคนคุ้นหน้าผู้นี้คงเป็นภัย

    เมื่อกำจัดตัวเกะกะไปแล้ว เขาจึงพยุงมารดาไปยังโถงใหญ่ซึ่งท่านตาและท่านยายคงรออยู่ได้สักครู่แล้ว เพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างหนึ่งกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมากล้น เงยหน้ามองสบตาพยัคฆ์เฒ่าจึงกลั้นใจพามารดาเข้าไปหา

    หลานคารวะท่านตา ท่านยายขอรับเมื่อเอ่ยปากอย่างมีมารยาทแล้วจึงใคร่ขอเสียมารยาท ประคองร่างมารดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ เห็นสายตาฉ่ำวาวน้ำตาจับจ้องยังท่านตาแล้วให้รู้สึกผิด หากเขารู้สึกตัวเร็วกว่านี้ มารดาคงมิต้องตกอยู่ในสภาพนี้

    คิดได้แล้วหรือ

    น้ำเสียงแค่นดูถูกจากลำคอทำให้รู้สึกเหมือนกับกายหดเล็กลง ยิ่งสายตาทิ่มแทงจากผู้เป็นตายิ่งทำให้รู้สึกราวกับคนโง่งม

    ขอรับ

    ให้คนพานางไปพัก

    เพียงผู้นำตระกูลเอ่ยปาก บ่าวไพร่ที่เคยหลีกลี้อย่างรู้งานก็ปรี่เข้าไปพยุงร่างอดีตคุณหนูเข้าไปพักยังเรือนรับรองโดยมีหมิงฮูหยินหลัวเหมยฟางเดินตามไป

    เหตุใดหรูเอ๋อร์จึงไม่มาด้วยหมิงชื่อซิ่นตวัดสายตามองหลานชายตัวดีที่หายหัวไปนานนม โผล่มาพบหน้าก็เมื่อหรูเอ๋อร์เกือบย่างเท้าเข้าประตูผี แม้หน่วยก้านและความรู้ความสามารถจะพอใช้ได้ แต่การตัดสินใจยังนับว่าขาดความเด็ดขาด

    คิดว่าผู้ชราเช่นเขามิรู้หรือว่าภายในจวนสกุลเหวินเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทั้งบุตรีทั้งหลานตัวน้อยถูกกลั่นแกล้งรังแกมิเว้นวัน บุรุษไร้ยางอายเช่นนันมิคู่ควรให้ลูกรักของเขาต้องเสียน้ำตาแม้แต่น้อย แต่บุตรีแต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก จะสอดมือเข้าไปวุ่นวายก็มิถนัด ทำได้เพียงให้สาวใช้คอยช่วยเหลืออยู่เงียบๆ

    หรูเอ๋อร์รอต้อนรับท่านตาอยู่ที่จวนขอรับ

    เช่นนั้นรึหนวดสีเทาหม่นกระตุกอย่างยินดี หากหลานสาวตัวน้อยอยากพบเจอตาแก่เช่นเขาย่อมต้องยอมตามใจ จะเป็นฝ่ายเสียสละเดินทางไปเยี่ยมเยียนให้หายคิดถึงสักครั้งก็แล้วกัน

    เรียนนายท่าน ท่านหมอฟางมาแล้วขอรับพ่อบ้านตงกล่าวอย่างนอบน้อมโดยมีหมอชราก้มคารวะอยู่ด้านหลัง

    เชิญท่านหมอไปเรือนรับรอง

    ขอรับ

    คนจากไปแล้ว เหลือเพียงตาหลานอีกครา เหวินเลี่ยงหรงยังมิคลายจากความอึดอัด แต่จะปล่อยโอกาสงามที่น้องสาวต้องการไปมิได้ นางอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงตนเองถึงเพียงนั้น พี่ชายเช่นเขาจะยอมให้นางลงแรงสูญเปล่าได้อย่างไร แม้ต้องทิ้งศักดิ์ศรีไปบ้าง แต่เพื่อให้นางสมปรารถนาเขาล้วนยินยอม

    เพราะมิเห็นทางใดจะดีกว่าแผนของน้องน้อยอีกแล้ว

    ขอท่านตาไปเยี่ยมเยียนหรูเอ๋อร์กับหลานสักคราเหวินเลี่ยงหรงก้มศีรษะจรดพื้น หากใช้ศักดิ์ศรีของเขาแลกกับชีวิตที่เหลืออยู่ของมารดาและน้องสาวได้ เขาย่อมยอมลดมันลงชั่วคราว

    ขอท่านตาเมตตาด้วย

    จำเป็นถึงเพียงนั้นเชียวหรือเห็นหลานชายยอมลดศักดิ์ศรี คุกเข่าโขกศีรษะ ความขุ่นเคืองใจและความคิดอยากกลั่นแกล้งจึงหายไปหลายส่วน คงเหลือเพียงตะกอนความสงสัยที่ถูกกวนวนขึ้นมา

    จำเป็นยิ่งขอรับคุณชายใหญ่สกุลเหวินตอบหนักแน่น แม้มิเห็นว่าท่านตามองตนอย่างไร แต่ความกดดันที่เคยกดศีรษะเขาไว้หายไปแล้ว ทำให้เบาใจขึ้นอีกนิดว่าท่านตาของมิทอดทิ้งพวกเขา

    ดูท่าพวกเจ้าของคิดละเล่นสนุกกระมัง

    มิใช่ขอรับมันหาใช่เรื่องสนุกไม่ หากแต่เมื่อลองย้อนนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มของน้องสาวแล้วจึงมิใคร่แน่ใจนักว่าสามารถกล่าวว่าเป็นเรื่องสนุกได้หรือไม่

    เพียงอยากให้ท่านตาร่วมแสดงงิ้วสักฉาก...”

    เตรียมม้า ข้าจะไปเยี่ยมหลาน!” ผู้นำตระกูลหมิงลุกขึ้นเต็มความสูงคว้าแขนเจ้าหลานชายตัวดีที่ยังนั่งนิ่งกับพื้นเหมือนตามมิทันให้ลุกขึ้นพร้อมกับร้องเรียกให้บ่าวรับใช้ตระเตรียมในสิ่งที่ต้องการ

    ส่วนแม่นมฉิน ไว้กลับมาค่อยสอบสวน” 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×