คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ข้าจะไปเยี่ยมหลาน
รัชศกเซียนเทียนที่สาม เดือนหนึ่ง ปีจอ วันที่หนึ่ง
ทั่วเมืองหลวงต่างคึกคักด้วยเป็นวันขึ้นปีใหม่ องค์เหนือหัวทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้วันนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต้องประดับประดาด้วยสีแดง จุดประทัดเสียงดังกึกก้องเฉลิมฉลองสามวันสามคืน ร้านรวงส่วนมากจึงยังคงคึกคักด้วยหวังชมงานเทศกาลยามค่ำคืน ผู้คนบนท้องถนนแน่นขนัดเบียดเสียดยัดเยียดหากแต่มิได้มีสีหน้าขุ่นข้องหมองใจ พวกเขาล้วนเคลื่อนไปด้านหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข กล่าวอวยพรซึ่งกันและกันดูชื่นมื่นชื่นใจ
ร่างเล็กในอาภรณ์สีชมพูอ่อนมวยผมงดงามอ่อนหวาน สวมผ้าปิดบังใบหน้าโผล่พ้นเพียงดวงตาดำสนิทกับไฝใต้ตาเม็ดเล็กชวนค้นหา ท่วงท่าย่างก้าวประหนึ่งคุณหนูในห้องหอ ทว่ามิกล้าเงยหน้าสบตาผู้ใดมากนัก ทั้งยังมิได้มีผู้ติดตามเช่นคุณหนูผู้อื่น
ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังโรงจำนำหลังใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าให้ราคาดี มิได้กดราคาจนผู้อื่นเงยหน้าไม่ได้ เหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจจึงค่อยๆเคลื่อนกายเข้าไปด้านในอย่างเงียบเชียบระแวดระวัง เมื่อลับตาผู้อื่นแล้วจึงสบตากับหลงจู๊ที่จับจ้องตนอยู่ก่อน มือเล็กรีบล้วงห่อผ้าอันน้อยมาวางด้านหน้า สบสายตากดดันให้รีบพิจารณาเสีย ตัวนางจะได้รีบจรลีจากสถานที่อันตรายแห่งนี้
หลงจู๊รู้งานมิได้เอ่ยอันใดมากความ แม้ชื่อแซ่ยังมิถาม ดูแล้วคงแอบเอาสมบัติมาขายเป็นแน่ คงมิแคล้วพวกผู้ดีตกยาก มิเช่นนั้นก็บุตรีพ่อค้าต่างถิ่นซึ่งมิอาจเอากำไรจากเมืองหลวงแห่งนี้กลับสู่รังนอนตนได้ มือสากอวบอูมหยิบห่อผ้าแกะชมสินค้าด้านใน เพียงได้เห็นดวงตากลับเบิกกว้างด้วยความพึงพอใจกับสินค้าหายากชิ้นนี้
“สองพันตำลึง”
ได้ยินราคาที่พอใจจึงรีบพยักหน้า สายตาสอดส่ายอย่างนึกระแวงกึ่งระแวดระวังภัย หากแต่จะให้แบกเงินตำลึงไปคงเด่นสะดุดตาผู้อื่น อาจถูกจับหรือดักปล้นระหว่างทาง
“ข้าจะออกเป็นตั๋วเงินให้”
เห็นท่าทางหวาดระแวงของนาง เขาผู้เป็นหลงจู๊โรงจำนำมานานก็รู้ดี เงินมากมายขนาดนี้ หากให้เป็นเงินตำลึงไปคงล่อตาล่อใจพวกชั่วช้าไม่น้อย ทั้งผู้ที่หยิบยื่นสมบัติชิ้นงามยังเป็นเพียงดรุณีน้อย ดังนั้นแล้วถือตั๋วเงินย่อมเหมาะสมกว่า
ร้านแลกเงินมีมากมายทั่วเมืองหลวง มิได้ลำบากอันใดหากต้องนำไปแลกออกมาภายหลัง เมื่อได้ข้อเสนอตรงตามความตั้งใจ นางจึงพยักหน้าอย่างยินดี เผลอยกปลายนิ้วลูบวนรอบไฝเม็ดเล็กใต้ตา รอไม่นานตั๋วเงินปึกหนึ่งจึงถูกยื่นให้ นางรีบเก็บเข้าสาบเสื้อมิดชิด สำรวจถี่ถ้วนจึงก้มศีรษะเป็นเชิงขอบคุณและอำลา รีบร้อนผลุนผลันออกไป มุ่งตรงกลับจวนทันที
ลัดเลาะผ่านผู้คนมาได้จึงแอบมุดช่องสุนัขลอด เมื่อมิเห็นผู้ใดขวางทางจึงรีบวิ่งกลับเข้าเรือนหลังเก่า ผลัดเปลี่ยนชุดแล้วนำไปเผาทิ้งตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนลากสังขารหอบฮั่ก ทั้งยังเหงื่อไหลไคลย้อยเข้าไปหา มิลืมหนีบเอาตั๋วเงินปึกนั้นไปด้วย
“ตื่นเต้นมากหรือ ดูสภาพเจ้าสิ”
เหวินเลี่ยงหรูอดขบขันมิได้ ยามสาวใช้ตัวน้อยลอบเข้าห้องนางด้วยสายตาระแวดระวังเสมือนมีผู้ใดจ้องทำร้ายตลอดเวลา ทั้งยังสภาพราวกับวิ่งมาเสียไกลลิบน่าสงสาร
“โถ่ คุณหนูเจ้าคะ เสี่ยวเหยาหัวใจจะวายแล้วเจ้าค่ะ” เห็นคุณหนูที่รักและเทิดทูนยิ่งหยอกล้อจึงทำสีหน้าออดอ้อนกลับไป มิรู้หรืออย่างไรว่านางหวาดกลัวเพียงใดยามก้าวเท้าออกจากเรือน
“ตั๋วเงินเจ้าค่ะคุณหนู”
มือเรียวขาวราวกับน้ำนมยื่นรับปึกกระดาษที่สาวใช้ยื่นให้ เมื่อนับดูก็พบว่าราคาสูงกว่าที่นางประเมินไว้ถึงสามเท่าจึงคลี่ยิ้มยินดี กำไลวงนั้นของท่านลุงนับว่าช่วยให้นางมีทุนรอนไว้เตรียมการต้อนรับพี่ใหญ่มาก หากอยากได้คืนคงต้องกราบขอท่านลุงไปไถ่ถอนมาเองแล้ว
อา...นางกล่าวผิด คงต้องให้ผู้อื่นไปไถ่ถอนมาให้เสียแล้ว
“อีกสองวันจงเอาหวีไปจำนำเสีย” เห็นอีกฝ่ายทำตาถลนราวกับนางสั่งให้ไปตายจึงสำทับอีกเล็กน้อย “คราวนี้เปลี่ยนโรงรับจำนำด้วยเล่า”
“คุณหนู แต่หวี...”
“แล้วอย่าลืมว่าห้ามพูดกับผู้ใด”
เห็นคุณหนูของตนสั่งการมิมีติดขัดทั้งที่นางโอดครวญแทบกราบเท้าน้ำตาคลอก็ได้แต่นั่งหน้าตูม นางมิอยากให้คุณหนูนำของสำคัญของฮูหยินไปขายแลกเงิน แม้ว่าเงินเหล่านั้นจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นก็ตาม
“เสี่ยวเหยา” เหวินเลี่ยงหรูหยิบตั๋วเงินสามแผ่นส่งให้สาวใช้ตัวน้อยที่นั่งคอตก “ชุดสีชมพูหรูหราที่สุด แพงที่สุดจากร้านที่ดีที่สุด เข้าใจหรือไม่”
นั่นปะไร สาเหตุที่นางมิอยากให้คุณหนูนำของสำคัญของฮูหยินไปขาย หากแต่ทำได้เพียงเปล่งวาจาจำยอม
“เจ้าค่ะ”
“ส่วนสองใบนี้สำหรับเครื่องประดับที่งดงามที่สุด ประณีตที่สุด และอย่าลืม...ต้องแพงที่สุด อ้อ ซื้อมาให้มากหน่อยล่ะ”
ตั๋วเงินยื่นไป คำนวณดูแล้วมิได้ลดหายไปมากดังที่คิด คงต้องเพิ่มอีกสักสองสามอย่างกระมัง พิจารณาถ้วนถี่แล้วสำหรับสตรีงามคงมิพ้นสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้
“ส่วนนี่สำหรับเครื่องประทินโฉม เลือกซื้อสักหลายอย่างหน่อย อ้อ!” นางเกือบลืมไป จึงยื่นตั๋วเงินเพิ่มให้จนแทบจะหมดมือ “อย่าลืมของรางวัลสำหรับสาวใช้ตัวน้อยน่ารักเป็นชุดใหม่สักสองสามชุดด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเหยาได้แต่ครางรับเสียงอ่อย นึกอยากให้น้ำตาทะลักทะลวงออกมานัก เหตุใดคุณหนูของนางจึงมือเติบเยี่ยงนี้
“จงอย่าซื้อทุกอย่างในวันเดียว เมื่อครบแล้วค่อยนำไปให้นาง เข้าใจหรือไม่”
เห็นเสี่ยวเหยาตัวน้อยทำท่าน่าเอ็นดูหูลู่หางตกประหนึ่งสุนัขถูกเจ้านายรังแกช่างชวนให้อารมณ์ดีเสียจริง แม้วันนี้จะได้รับห่อยาบำรุงก็มิได้ทำให้ใจนางขุ่นมัวอีกต่อไป ยาขมถ้วยนั้นที่เสี่ยวเหยาต้มให้แต่เช้าจึงตกเป็นอาหารสำหรับไม้ต้นน้อยหลังเรือน
ผู้ใดจะโง่งมยอมกลืนยาพิษกัน
นางมิใช่เหวินเลี่ยงหรูผู้โง่งมผู้นั้นแล้ว
เพียงนึกถึงรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นเยื้องย่างอย่างมีจริตจะก้านเกินวัย ใบหน้าที่มักประทินโฉมจนขาว นัยน์ตากลมที่แทบจะกดนางจมดินทุกครั้ง ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามที่สวมใส่ มันทำให้นางอดกระตุกยิ้มมิได้
นางพับเก็บตั๋วเงินสองสามแผ่นซ่อนไว้ในหีบไม้เนื้อดีที่เสี่ยวเหยาเตรียมให้เรียบร้อยจึงยัดมันใส่มือเล็กที่กุมไว้อย่างสั่นเทา
ของขวัญสำหรับการเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี พี่สาวคนนี้ขอมอบคืนให้น้องสาวที่รักด้วยความเต็มใจยิ่ง!
ควบม้าถึงสี่วันสี่คืนแทบมิได้หยุดพักจึงถึงวัดไป๋หู่อันเป็นสถานที่สวดมนต์ของมารดาตามคำขอร้องที่มารดายื่นแก่บิดาด้วยมิอาจทนมองภาพครอบครัวสุขสันต์ที่มิมีตนร่วมอยู่ในนั้น บรรยากาศเงียบเหงาทำให้เขาหดหู่
สุดบันไดหินจึงเห็นสาวใช้คุ้นหน้าสองนางช่วยกันทำความสะอาดลานกว้างหน้าโถงสำหรับไหว้ขอพรพระโพธิสัตว์
“คุณชายใหญ่! มาได้อย่างไรเจ้าคะ” สาวใช้นางหนึ่งเมื่อเห็นร่างสูงก้าวเข้าเขตลานที่กำลังกวาดใบไม้อยู่จึงรีบทัก มิลืมก้มศีรษะทำความเคารพ
“ท่านแม่ล่ะ” เมื่อกวาดสายตายังโถงขอพรมิเห็นร่างที่ควรอยู่ตรงนั้นให้รู้สึกใจหายอย่างน่าประหลาด แม่นมฉินยังอยู่ที่นี่ แล้วมารดาของเขาจะไปที่ใดได้กัน
“ฮูหยิน เอ่อ นอนพักอยู่เจ้าค่ะ”
“ท่านแม่เป็นอะไร” เขาร้อนใจนักยามสาวใช้นางนั้นหลบตา ซุกซ่อนความรู้สึกจริงแท้ไว้ภายใน ความโกรธเกรี้ยวขุมหนึ่งแล่นพล่านเหมือนตนก้าวพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
“ฮูหยินกล่าวว่ามิใคร่สบายจึงพักผ่อนอยู่เจ้าค่ะ”
“นำทาง” เหวินเลี่ยงหรงแทบข่มกลั้นโทสะมิได้ มารดาหรือจะป่วยไข้ ร่างกายของท่านเป็นเขาปกป้องดูแลอย่างดีตลอดเวลาที่อยู่ในจวน มิคาดว่าเพียงออกมาวัดประจำตระกูลหวังสงบจิตใจกลับมีผู้คิดร้าย กล้าทำบาปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ
เดินอ้อมไปด้านหลังวัดยังที่พักของผู้ปฏิบัติธรรมจึงพบห้องเล็กในมุมมืดที่มิค่อยมีคนเดินผ่าน เหตุใดมารดาจึงพักในห้องเช่นนี้ ในเมื่อยังมีห้องว่างอีกมากมาย สามารถเอนกายได้อย่างสุขสบาย
เมื่อก้าวเข้าห้องจึงไล่สาวใช้นางนั้นออกไป เขาคุกเข่าหน้าเตียงเล็กแข็งกระด้างเย็นเยียบ ความมืดสลัวด้วยไร้แสงแดดทำให้ใบหน้าของมารดาที่โผล่พ้นผ้าห่มผืนบางดูซีดเซียวอย่างน่าอดสู
เขาเจ็บปวดนัก
“ท่านแม่ ตื่นเถิดขอรับ” เขาแตะฝ่ามือลงบานมือเล็กที่โผล่พ้นชายผ้าห่ม มันเย็นเสียจนน่าแปลกใจ เข้าสู่ช่วงฤดูไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นแล้ว เหตุใดร่างกายของมารดาจึงเย็นเช่นนี้
“ท่านแม่ ลูกมาเยี่ยมท่าน น้องเองก็คิดถึงท่านนักขอรับ”
เห็นร่างใต้ผ้าห่มสั่นไหวเล็กน้อยจึงทราบว่ามารดาตื่นแล้ว เปลือกตาทื่ฝืนลืมทำให้เห็นนัยน์ตาแดงก่ำดั่งคนร้องไห้จนเผลอหลับ หากแต่มันมิได้บวมช้ำดังที่ควรเป็น เขาเลื่อนสายตาจับจ้องกลีบปากแตกระแหงเหมือนคนขาดน้ำ ทั้งยังร่างกายที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงจะลุกนั่ง
“ท่านแม่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” เหวินเลี่ยงหรงพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเสียงมิให้สั่น ลอบตรวจชีพจรยังพอทราบว่ามันเต้นเร็วจนน่ากลัว กายเย็นเฉียบแต่เหงื่อกลับซึมตามไรผม สองแขนเลื่อนประคองร่างอ่อนเปลี้ยให้นั่งพิงกำแพง
“หรงเอ๋อร์ หรงเอ๋อร์”
เหวินเลี่ยงหรงจับมือสั่นเทาของมารดาที่พยายามยื่นมาหาแนบกับแก้มตน จับจ้องดวงตาคู่งามที่บัดนี้ท่วมท้นด้วยหยาดน้ำตาดูน่าสงสารยิ่ง เขาพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้ท่านสบายใจ
“ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ข้ากับน้องคิดถึงท่านเหลือเกิน”
“หรูเอ๋อร์ หรูเอ๋อร์อยู่ที่ใด...”
“น้องยังอยู่ที่จวนขอรับ นางสบายดี กล่าวว่าอยากมาหาท่านแต่ติดที่มิอาจทำได้” ยิ่งกล่าวถึงน้องสาว ร่างกายของมารดายิ่งสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นเบิกกว้าง ทั้งยังพยายามลากกายลงจากเตียง
“ปกป้องน้อง ช่วยน้อง...”
เสียงแหบแห้งสั่นสะท้านทำให้เขาต้องรีบรับคำ ทั้งยังประคองมารดามิให้พลัดตกเตียง หากแต่ท่านเหมือนมิได้ยินถ้อยคำของเขา ยังคงเร่งพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“แม่เห็นพวกมัน-พวกมันฆ่าหรูเอ๋อร์ พวกมันฆ่าหรูเอ๋อร์!”
เหมือนความอดทนขาดสะบั้น ร่างที่เคยงดงามคู้ตัวทึ้งเส้นผมตนเอง อย่างน่าสังเวช อาการของมารดาให้คล้ายคนประสาทหลอน เช่นนี้ย่อมกล่าวว่ามิปกติ พวกมันต้องทำอันใดมารดาเขาเป็นแน่
“ท่านแม่ขอรับ ฟังข้านะขอรับ” เขาโอบประคองร่างมารดาไว้ในอ้อมแขน กล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมดังที่เคยทำ
“หรูเอ๋อร์ยังสบายดี นางฝากจดหมายมาให้ท่านด้วย ท่านแม่ ท่านต้องอ่านเองขอรับ”
เพราะมิอาจไว้ใจผู้ใดได้อีก กระทั่งแม่นมฉินผู้นั้น แม้กล่าวว่าเลี้ยงมารดาเขามาแต่เล็กแต่น้อย หากแต่อาการมารดาหนักหนาเพียงนี้ เหตุใดแม่นมผู้นั้นยังปัดกวาดลานกว้างอย่างสบายใจ ไม่เร่งเข้ามาดูแล
เห็นมารดาสงบลง เขาจึงล้วงจดหมายที่ว่าจากอกเสื้อ คลี่ออกดีแล้วจึงส่งให้มารดาที่จ้องมาอย่างมีความหวัง ใช้เวลาถึงหนึ่งก้านธูป ท่านจึงยอมวางมันลงแล้วร้องไห้ประหนึ่งจะขาดใจอยู่เกือบชั่วยาม จึงคลี่จดหมายฉบับนั้นอ่านอีกครั้ง
“หรูเอ๋อร์ หรูเอ๋อร์ของแม่”
เหวินเลี่ยงหรงนึกอยากอ่านใจความในจดหมายนัก เหตุใดมารดาจึงร้องไห้มิยอมหยุด ทั้งยังกำมันแน่นประหนึ่งสมบัติล้ำค่า เพียงครู่เดียวเหมือนตั้งสติได้ มารดาจึงปาดน้ำตาทิ้ง หันมามองเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก
“หรงเอ๋อร์”
“ขอรับ”
“พาแม่ไปที พาแม่กลับบ้านที”
“ขอรับ” เขารับคำทั้งรอยยิ้ม แม้มิรู้เนื้อความในจดหมาย หากแต่พอคาดเดาได้ว่าน้องสาวต้องการสิ่งใด ทั้งบ้านที่ท่านแม่ต้องการกลับไปคงมิใช่สกุลเหวินที่ทำร้ายจิตใจท่านมากนักเป็นแน่แท้
“สาวใช้พวกนั้น...”
“ย่อมต้องพาพวกนางกลับไปด้วยขอรับ”
เพื่อมิให้ผู้ใดคาบข่าวไปบอกผู้อื่น!
เมื่อไม่จงรักภักดีก็จงสำนึกเสียใจให้จงหนัก เมื่อถึงบ้าน เขาจะสอบสวนจนกว่ามันจะคายความจริง อสรพิษพรรค์นั้นควรตีให้ตาย มิให้เป็นมือเป็นเท้าให้ผู้ใดเพื่อมาแว้งกัดมารดาของเขาได้อีก!
รถม้าคันใหญ่เคลื่อนสู่ตัวเมืองหนิงอันอย่างเชื่องช้า ด้วยว่าผู้ขับมันกลัวว่าบุคคลอันเป็นที่รักที่พักอยู่ภายในจะกระทบกระเทือนให้อาการยิ่งแย่ลงกว่าเดิม สายตาของผู้คนที่กวาดมองอย่างสนใจใคร่รู้มิได้ทำให้เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าหนาวหวั่นไหว จุดหมายปลายทางนั้นต้องใช้เวลาอีกเค่อหนึ่งเห็นจะได้
สถานที่แห่งนี้เขามิได้มาบ่อยนัก ครั้งสุดท้ายคงเมื่อยามอายุสิบขวบปีเท่านั้น ยามนั้นยังเดินทางมาเยี่ยมเยียนพร้อมบิดามารดาและน้องสาว ได้รับการต้อนรับจากคนที่นี่อย่างอบอุ่น
เพราะชาวบ้านแม้อยากรู้เพียงใดแต่มิได้เข้ามาเกะกะขวางทาง เบื้องหน้าเขาคือประตูสีแดงบานใหญ่ที่มีทหารยืนเฝ้าสองฟาก เมื่อรถม้าจอดเทียบ พวกเขาจึงเอาหอกขวางทางไว้หมายให้แจ้งความประสงค์
“เหวินเลี่ยงหรงขอเข้าพบท่านที่ปรึกษา พี่ชายทั้งสองโปรดแจ้งด้วย”
รอไม่นานนักจึงมีพ่อบ้านเดินหน้าเริ่ดด้วยฝีเท้าเร็วรี่มาเชื้อเชิญเข้าด้านในให้พ้นสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านที่เริ่มยืนมุง เขาจึงควบม้าพารถม้าเข้าไป บานประตูนั้นจึงปิดลง กั้นสายตาที่พยายามมองมา
“ถึงแล้วขอรับท่านแม่” เหวินเลี่ยงหรงส่งเสียงบอกสตรีที่เอนกายอยู่ด้านในด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี มิลืมเข้าไปพยุงกายบอบบางที่สิ้นเรี่ยวแรงเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางและพิษที่อสรพิษเช่นมันอาจหาญมอบให้
“แล้วนาง...”
“เดี๋ยวข้าค่อยจัดการทีหลัง” เขาตอบแม่นมฉินที่ช่วยพยุงร่างมารดาลงจากรถม้า
หญิงชรามีท่าทางกังวล เพราะสาวใช้นางนั้นถูกนางเสี้ยมสอนมิต่างจากบุตรสาวเพื่อหวังไว้ใช้งานในอนาคต ผู้ใดจะคาดว่าคุณชายจะไหวพริบเฉียบคมขนาดนี้ เพียงเดินทางได้หนึ่งวันกลับถูกมองออกว่าน้ำชามีพิษเจือปนทั้งที่นางสู้อุตส่าห์ใช้พิษไร้สีไร้กลิ่นแล้วแท้ๆ ยังดีที่มันยังฉลาดอยู่บ้าง จึงมิได้ปริปากบอกว่าเป็นนางสั่งให้ทำ มิเช่นนั้นชะตากรรมของผู้ชราเช่นนางคงเป็นเช่นสาวใช้โง่เขลานางนั้น
“นายท่านรอพวกท่านอยู่ด้านในขอรับ”
เหวินเลี่ยงหรงรับคำในลำคอพลางพยุงร่างมารดาอย่างทะนุถนอมสายตาตวัดมองพ่อบ้านสูงวัยชั่วครู่จึงค่อยลอบมองแม่นมฉินที่ประคองอยู่อีกด้าน เขาเอ่ยร้องขอด้วยน้ำเสียงเปี่ยมมารยาท
“รบกวนท่านพ่อบ้านพาแม่นมฉินไปพักสักหน่อยได้หรือไม่ นางเดินทางมาไกลคงเหนื่อยล้าทั้งกายใจแล้ว” และมิรอให้ผู้ใดคัดค้าน เขารีบสำทับต่อ “รบกวนด้วย”
“ขอรับ”
พ่อบ้านสูงวัยรับคำอย่างรู้ความ รีบเชื้อเชิญหญิงชราให้ออกห่างจากคุณหนูของตน เพียงเห็นสภาพไร้เรี่ยวแรงของคุณหนูซึ่งเคยงดงามสดใสกว่าผู้ใด ทั้งยังสายตาของคุณชายจึงทราบว่าแม่นมฉินคนคุ้นหน้าผู้นี้คงเป็นภัย
เมื่อกำจัดตัวเกะกะไปแล้ว เขาจึงพยุงมารดาไปยังโถงใหญ่ซึ่งท่านตาและท่านยายคงรออยู่ได้สักครู่แล้ว เพียงก้าวเท้าเข้าไปข้างหนึ่งกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมากล้น เงยหน้ามองสบตาพยัคฆ์เฒ่าจึงกลั้นใจพามารดาเข้าไปหา
“หลานคารวะท่านตา ท่านยายขอรับ” เมื่อเอ่ยปากอย่างมีมารยาทแล้วจึงใคร่ขอเสียมารยาท ประคองร่างมารดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ เห็นสายตาฉ่ำวาวน้ำตาจับจ้องยังท่านตาแล้วให้รู้สึกผิด หากเขารู้สึกตัวเร็วกว่านี้ มารดาคงมิต้องตกอยู่ในสภาพนี้
“คิดได้แล้วหรือ”
น้ำเสียงแค่นดูถูกจากลำคอทำให้รู้สึกเหมือนกับกายหดเล็กลง ยิ่งสายตาทิ่มแทงจากผู้เป็นตายิ่งทำให้รู้สึกราวกับคนโง่งม
“ขอรับ”
“ให้คนพานางไปพัก”
เพียงผู้นำตระกูลเอ่ยปาก บ่าวไพร่ที่เคยหลีกลี้อย่างรู้งานก็ปรี่เข้าไปพยุงร่างอดีตคุณหนูเข้าไปพักยังเรือนรับรองโดยมีหมิงฮูหยินหลัวเหมยฟางเดินตามไป
“เหตุใดหรูเอ๋อร์จึงไม่มาด้วย” หมิงชื่อซิ่นตวัดสายตามองหลานชายตัวดีที่หายหัวไปนานนม โผล่มาพบหน้าก็เมื่อหรูเอ๋อร์เกือบย่างเท้าเข้าประตูผี แม้หน่วยก้านและความรู้ความสามารถจะพอใช้ได้ แต่การตัดสินใจยังนับว่าขาดความเด็ดขาด
คิดว่าผู้ชราเช่นเขามิรู้หรือว่าภายในจวนสกุลเหวินเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทั้งบุตรีทั้งหลานตัวน้อยถูกกลั่นแกล้งรังแกมิเว้นวัน บุรุษไร้ยางอายเช่นนั้นมิคู่ควรให้ลูกรักของเขาต้องเสียน้ำตาแม้แต่น้อย แต่บุตรีแต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก จะสอดมือเข้าไปวุ่นวายก็มิถนัด ทำได้เพียงให้สาวใช้คอยช่วยเหลืออยู่เงียบๆ
“หรูเอ๋อร์รอต้อนรับท่านตาอยู่ที่จวนขอรับ”
“เช่นนั้นรึ” หนวดสีเทาหม่นกระตุกอย่างยินดี หากหลานสาวตัวน้อยอยากพบเจอตาแก่เช่นเขาย่อมต้องยอมตามใจ จะเป็นฝ่ายเสียสละเดินทางไปเยี่ยมเยียนให้หายคิดถึงสักครั้งก็แล้วกัน
“เรียนนายท่าน ท่านหมอฟางมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านตงกล่าวอย่างนอบน้อมโดยมีหมอชราก้มคารวะอยู่ด้านหลัง
“เชิญท่านหมอไปเรือนรับรอง”
“ขอรับ”
คนจากไปแล้ว เหลือเพียงตาหลานอีกครา เหวินเลี่ยงหรงยังมิคลายจากความอึดอัด แต่จะปล่อยโอกาสงามที่น้องสาวต้องการไปมิได้ นางอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงตนเองถึงเพียงนั้น พี่ชายเช่นเขาจะยอมให้นางลงแรงสูญเปล่าได้อย่างไร แม้ต้องทิ้งศักดิ์ศรีไปบ้าง แต่เพื่อให้นางสมปรารถนาเขาล้วนยินยอม
เพราะมิเห็นทางใดจะดีกว่าแผนของน้องน้อยอีกแล้ว
“ขอท่านตาไปเยี่ยมเยียนหรูเอ๋อร์กับหลานสักครา” เหวินเลี่ยงหรงก้มศีรษะจรดพื้น หากใช้ศักดิ์ศรีของเขาแลกกับชีวิตที่เหลืออยู่ของมารดาและน้องสาวได้ เขาย่อมยอมลดมันลงชั่วคราว
“ขอท่านตาเมตตาด้วย”
“จำเป็นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” เห็นหลานชายยอมลดศักดิ์ศรี คุกเข่าโขกศีรษะ ความขุ่นเคืองใจและความคิดอยากกลั่นแกล้งจึงหายไปหลายส่วน คงเหลือเพียงตะกอนความสงสัยที่ถูกกวนวนขึ้นมา
“จำเป็นยิ่งขอรับ” คุณชายใหญ่สกุลเหวินตอบหนักแน่น แม้มิเห็นว่าท่านตามองตนอย่างไร แต่ความกดดันที่เคยกดศีรษะเขาไว้หายไปแล้ว ทำให้เบาใจขึ้นอีกนิดว่าท่านตาของมิทอดทิ้งพวกเขา
“ดูท่าพวกเจ้าของคิดละเล่นสนุกกระมัง”
“มิใช่ขอรับ” มันหาใช่เรื่องสนุกไม่ หากแต่เมื่อลองย้อนนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มของน้องสาวแล้วจึงมิใคร่แน่ใจนักว่าสามารถกล่าวว่าเป็นเรื่องสนุกได้หรือไม่
“เพียงอยากให้ท่านตาร่วมแสดงงิ้วสักฉาก...”
“เตรียมม้า ข้าจะไปเยี่ยมหลาน!” ผู้นำตระกูลหมิงลุกขึ้นเต็มความสูงคว้าแขนเจ้าหลานชายตัวดีที่ยังนั่งนิ่งกับพื้นเหมือนตามมิทันให้ลุกขึ้นพร้อมกับร้องเรียกให้บ่าวรับใช้ตระเตรียมในสิ่งที่ต้องการ
“ส่วนแม่นมฉิน ไว้กลับมาค่อยสอบสวน”
ความคิดเห็น