ผมเคยนึกถึงแรงบันดาลใจในการจะเล่าเรื่อง
ผมมักนั่งดูหนังจนดึกดื่นและมักจะมีแรงบันดาลใจออกมาในตอนตี2รึไม่ก็สาม
มันช้าเกินไปสำหรับผมนะ........
การที่เรานั่งรอแรงบันดาลใจข้ามวันและปล่อยให้เวลาหายไปโดยไร้ประโยชน์แบบนั้น
วันนี้ผมจึงเก็บแผ่นหนังลงไปแล้วทำอะไรอย่างอื่น
และ....ผลลัพธ์ช่างน่าอัศจรรย์
มันมีความคิดลึกลับวิ่งปลาบเข้ามาให้ตั้งประเด็น ช่างเป็นความคิดที่มีเรื่องราว
และผมเจอมันในเวลา5ทุ่มกว่าๆเท่านั้นเอง อะไรที่ทำให้ผมนึกมันออกได้ล่ะ
.....จริงๆแล้ว วันนี้ผมเกิดครึ้มอกครึ้มใจอยากออกกำลังกายขึ้นมาตั้งแต่สี่ทุ่ม
มันเริ่มตั้งแต่ดัมเบิล5กิโลกรัมสีแดงลูกนั้น ที่ผมจับมันยกอย่างเกรี้ยวกราด และเมื่อคิดว่าพอกับแขน ผมจึง......ทำอะไรกับกล้ามท้อง
ผมซิทอัพเป็นสิ่งต่อมา เริ่มแรกจาก20 ครั้ง ความคิดพิเรนบอกให้ต่อถึง50 เมื่อ50ครั้งแล้วแรงผมยังเหลือ ต่ออีกสัก20-30จะเป็นไร....จากนั้นไม่นานหรอก แป๊บๆผมก็ดำเนินมันมาถึงครั้งที่90 แน่ล่ะเหงื่อที่ตกและมัดกล้ามที่เกร็งบอกว่าสมควรพอ แต่อีกแค่10ครั้งเท่านั้นก็จะครับร้อยครั้ง มันเหมือนแค่เอื้อมมือไปหยิบ....ผมจึงซิทอัพ10ครั้งสุดท้าย
10........นั้นยังพอหายใจสบาย
9.......ผมเริ่มปวดหลังที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ
8......ผมเริ่มกัดฟัน
7......ตาผมพร่ามัว
6......มือผมกำท้ายทอยไว้แน่น
5......ผมต้องหลับตาจึงจะขึ้น
4.....มันต้องค้างอยู่กลางทางหลายวิจึงขึ้นได้
3.....นั้นคือความทรมานจนทำให้ผมหนุดพัก
2....เป็นวินาทีที่ผมหายใจเข้าลึกมาก และพยายามสุดชีวิต
และแล้ว1.....ครั้งที่ร้อยก็ผ่านพ้นไปได้....
แม้ร่างกายส่งสัญญาณว่าผมเหนื่อยเมื่อยล้า แต่การที่ผมยังหายใจไม่ขัด บอกว่าผมยังไปตาอได้อีก1การบริหาร
นั่งนึกด้วยสติสัมปชัญญะที่อ่อนล้า ท่าสุดท้ายคือการนั่งยองๆ สลับกับการยืนขึ้น อีก100ครั้ง
ถึงครั้งที่30 ขาของผมล้า แต่ผมไม่ย่อท้อต่อใจที่จะทำมัน
ครั้งที่70 ผมแทบถอดใจแต่มันช้าไปแล้ว
จนผมทำมันถึงครั้งที่100อย่างโรยแรงเหมือนคนหมดกำลัง
ขาของผมไม่มีแรงเดิน.....ผมนอนจมบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ลมหายใจที่เข้าออกเหมือนจะเป็นจะตาย สูดเข้าและเป่าออกทั้งทางจมูกแบะปาก หน้าตาที่เหลืองซีดกลับแดงเรื่อๆ แบะเหงื่ออกเป็นเม็ด
ลมหายใจที่สูดเข้าลึกๆนั้นทำให้ผมรับรู้ถึงกลิ่นกายว่าผมต้องใช้โคโลญที่วางอยู่บนโต๊ะนั่น
ระบะทางแค่สามก้าวจากเก้าอี้ดูจะง่ายได้ต่อการเดินไปเมื่อหยิบมัน....แต่ผมกลับล้มตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินไป
ผมล้มนอนลงไปกองกับพื้น พร้อมขาและเข่าที่สั่นระริก...บอกว่ามันพาไปที่โต๊ะนั่นไม่ไหว
ผมใช้แขนลากตัวเองไปจนถึงอย่างยากลำบาก อย่างน้อย ผมก็คลานขึ้นไปที่หน้าโต๊ะและหยิบโคโลญขึ้นมาได้
ผมหยิบน้ำยาบ้วนปากกลิ่นชามะลิขึ้นมา ใครกันนะที่ซื้อมันให้กับผม ผมหยิบมันขึ้นมาใช้ทั้งคู่ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องบ้วนมันออก ผมก็นึกถึงประโยคที่ผมจำได้ เกี่ยวกับน้ำยาขวดนั้น
"ผมชอบกลิ่นมันมากเลยนะพี่ ใช้มันบ่อยๆล่ะ ผมจะได้ได้กลิ่นนี้ทุกๆครั้งที่เราเจอกัน"
มันเป็นเสียงของน้องคนหนึ่งที่โรงเรียน น้องคนพิเศษคนนั้นที่ผมและเขาสนิทและเกินเลยคำว่าพี่น้องกันไป....
สักพักขาของผมก็หยุดสั่น มันนิ่งพอที่ผมจะใช้มันฝึนเดินได้
ผมไปที่อ่าล้างหน้าและบ้วนมันลงอย่างเลอะเทอะ...มองขึ้นไปบนกระจก ดูทรงผมที่เพิ่งตัดเมื่อหัวค่ำ มันเหมือนกับวันนั้นมากๆ
วันที่ปากของผมและเขาอยู่ติดหน้าของกันและกันเป็นครั้งแรก .... มันช่างลึกลับและเต็มไปด้วยแรงปราถนามหาศาลยิ่งนัก. ถ้าวันนั้นไม่มีคน ผมควเลื่อนปากไปจูมพิตเขาคนนั้นอย่างไม่ลังเลแน่ๆ....แต่มันก็ไม่ได้เกิดจึ้นในตอนนั้น
จนมาถึงตอนนอน การที่ผมฝืนเดินมันจึงสำแดงเดชออกมา...
ผมทำไม่ได้แม้แต่จะคุกเข่า หรือขยับขาภายใต้การควบคุมของผมเลย มันเจ็บปวดมากๆ
นี่สินะความรู้สึกที่เรียกว่าเข่าอ่อน(ถึงแม้ตะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตามที)
ก่อนนอนและฝัน ผมนึกถามตัวเองในใจ ว่าใครกันที่ทำให้ผมรู้สึกเข่าอ่อนเมื่อก่อนหน้านี้ .....
ใครกันที่ทำให้ผมหายใจอย่างลนลาน และหน้าแดงเรื่อ....
ใครคนนั้นก็คือ....เด็กคนนั้นนั่นเอง
เด็กคนเดียวกับที่ผมแลกเปลี่ยนรอยประทับบนริมฝีปาก
เด็กคนนั้นที่ซื้อน้ำยาบ้วนปากให้ผม
เด็กผู้ชายคนที่ผม"รัก"นั่นเอง
มันเริ่มต้นขึ้น เมื่อเทอมที่แล้ว.......
ผมเดินลงไปในห้องมอต้นซึ่งแต่ก่อนมันเคยเป็นห้องของผม
ผมสนิทกับเด็กๆมาก เพราะทุกๆคนคือเพื่อนที่ดีและผมรู้สึกดีใจที่ได้ช่วยเหลือเรื่องบางเรื่องให้เขา และเราได้ไว้ใจกัน..
เด็กคนนี้ด้วยเช่นกัน ผมมักลูบหัวเขาเบาๆ(แล้วตบให้ดังในเวลาต่อมา). แล้วก็ลูยอีกด้วยความเอ็นดู......เอ็นดูเด็กเรียนเก่งๆที่หล่อเหลาเอาการ และดูตะเพอร์เฟคไปหมดซะทุกอย่าง
ผมเริ่มชังมันนิดๆเมื่อมันขอให้ผมทำรายงานให้ ช่วงนั้นตลอดเวลาตั้งแต่2-4ทุ่ม ผมนั่งพิมพ์งานผ่านโทรศัพท์เพื่อจะให้เขาส่งงานนั่นได้ทันเวลา
แม้เขาจะนอนไปแล้วตั้งแต่4ทุ่มแต่ผมยังทำงานต่อไปเรื่อยๆจนตีหนึ่งตีสอง
ผมคงเป็นห่วงเขามั้งนะ...ถ้าคะแนนของเขาออกมาไม่ดี ผมคงรู้สึกผิดมากที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้
และเมื่อถึงเวลาเกรดออก คะแนนของเขาก็ออกมาสมบูรณ์แบบอย่างที่ผมตั้งใจช่วยเขา
ด้วยความสนิท...ผมและเด็กคนนี้ก็กลายเป็นหนึ่งใน"คู่จิ้น". ที่เหล่าบรรดาเพื่อนๆในห้องห้องนั้นกล่าวถึงกัน ทีแรกก็ไม่คิดไรมากหรอกครับ จนกระแสมันเริ่มรุนแรง
มีบางคนที่จับหัวของเราสองคนโจกกันดัง"โป๊ก". ไม่แน่ มันอาจจะอยากให้เราจูบกัน
แน่ล่ะผมกลัวมากๆกับการคุกคามแบบนี้
แต่พอตกเย็นของวันอังคารต่อมา วันที่ผมมีเวลาว่างพอที่ตะไปส่งเด็กคนนั้นกลับบ้าน เราก็ได้คุยกัน
"พี่เจ็บหัวมั้ย???" เขาถามอย่างกังวลนิดๆ
"โธ่ไอ้...หี้ย ถามได้ว่ากุเจ็บมั้ย ดูเอาๆ". แล้วผมก็ชี้ไปที่รอยช้ำสีเขียวบนหน้าผากด้านขวา ที่เขาก็มีเช่นกัน
"มึ...ล่ะเจ็บมากมั้ย?" ผมถามแล้วก็ยื่นไปลูบๆดู น่าสงสารจังที่เป็นแบบนี้ เล่นซะผมไม่กล้าตบเลย ได้แต่นั่งลูบเบาๆ
"พี่ พี่รู้สึกเหมือนกันมั้ย?" อีกคำถามที่เด็กคนนี้พูดออกมา. ผมก็อยากตอบดูๆนะ
แต่ว่า..."รู้สึกอะไรล่ะ--?" ผมเลยถามไปแบบสงสัยๆ
"ผมชอบพี่นะ".......สิ้นประโยคนี้ เราทั้งสองเงียบกันไปพักใหญ่. ตามมาด้วยคำถามและคำบอกเล่าแสดงความรู้สึกที่เด็กคนนั้นมีต่อผม รบเร้าใหห้ตอบคำถามนี้
จนสุดท้ายผมเลยตอบว่า "อื้อ..กุชอบมึ.... แต่มันจะยังไงวะ จะขอกุเป็นแฟนงั้นเหรอ "
ถามไปเล่นๆ แต่มันก็ดันตอบมาว่า "ใช่ครับพี่ กำลังว่าจะพูดเลน พี่เป็นแฟนกับผมนะ"
แม่เอ๊ย อันดับแรกที่ทำคือ"ตะลึง"ไปก่อน
เพราะแม้ว่าจะตั้งสติได้ แต่ผมก็ไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้
"จริงเหรอวะ กุกลัวว่ะ". ผมพูดๆกันท่าไปทั้งที่ใจตะกุกตะกักและไม่รู้จะพูดกับเด็กมันยังไง
ไม่มีการสื่อสารผ่านทำพูดเลยหลังจากนี้ เด็กคนนี้จับมือและมองมาที่ตาของผมนิ่งๆ ....ทำไมผมถึงแพ้ด้วงตาที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาคู่นี้ ไม่มีเลยสักครั้งที่ผมจะหักห้ามสิ่งที่ตานั้นต้องการได้
ผมกอดเขาไว้ ... เพื่อเป็นการตั้งสติ และคัดสินใจจากอ้อมกอด เด็กอย่างเขาคงอยู่นิ่งๆและทำอะไรต่อไม่เป็น. แต่แล้ว.....
แรกอ้อมแขนสู่อ้อมอก ใบหน้าเขาแนบที่ซอกคอ มันทำให้ขนลุกไปทั้งตัว เมื่อแรกสัมผัสลมหายใจที่เขาส่งมานั้น ผมก็รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น...ไม่ได้โกหก
การกอดกันเป็นคำบอกว่าตกลงสินะ ถ้าเป็นเช่นนั้นผมควเพิ่งตอบตกลงเขาไป ก่อนเราจะโบกมือลากลับบ้านกันไป
บ่ายวันต่อมา เมื่อเราทั้งคู่ว่างจะมาเจอกันที่โรงอาหาร เขายื่นน้ำขวดเล็กมาให้แล้วบอกว่า "เราเป็นแฟนกันแล้วนะ...."
ไอ้เด็กมันก็ยังเด็กอยู่วันยังค่ำนะ มันคงยังอายไม่เป็นหรอกมั้ง
"แล้ว...เป็นแฟนกันมันต้องทำอะไรบ้างอ่ะ?" เป็นคำถามที่ผมคั้งใจว่า จะถามแฟนของผมเมื่อผมมีมัน ซึ่งวันนี้คงเป็นวันแรก
ทำโน่นทำนี่อยู่หลายครั้ง ที่เราต้องปรับตัวกับชีวิตใหม่นี้ แต่ไม่นานมันคงจะดีขึ้น
ในวันหนึ่งที่ผมซื้อผ้าเย็นมา ว่าจะให้ และยิ่งถ้าอยู่ในห้องของเด็กคนนั้น ผ้าเย็นมักจะเป็นอะไรที่ผมไม่ได้ใช้
บางที่เด็กคนนั้นก็เหงื่อโชกทั้งตัว บางทีเด็กคนนั้นก็หน้าเปื้อนๆมอมแมม หรือบางครั้งเด็กคนนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียน
ผ้าเย็นจากมือของผมก็มักจะโผเข้าไปเซดเหงื่อเด็กคนนั้นเรื่อยไปทุกที...
ตอนแรกๆ บอกก็บอกนะว่าผมรู้สึกดีกับแค่นี้ จนกระทั่ง
วันศุกร์หนึ่งที่โรงเรียนเงียบเหงา คนกลับบ้านกันหมด แต่เราสองคนนั้นยังอยู่เพราะมัวแต่คุย. มันไม่เหลือเที่ยวรถหรืออะไรที่ส่งเราได้
วันนั้นผมและเขาจึงต้องพักในห้องพักที่ใกล้ที่สุด. ด้วยเงินที่เรามี มันพอสำหรับแค่1ห้องเท่านั้น...
คืนนั้นว่าไปผมก็กังวลนะ กลัวอะไรหลายๆอย่าง แต่ที่กลัวที่สุดคือผมไม่ได้บอกใครเลยถึงสาเหตุที่ผมกลับไม่ได้ครั้งนี้
ผมนั่งกุมขมับสักพัก มืออุ่นๆก็โอบล้อมหลัง และมีสายตาคอยปลอบขวัญผม
ด้วยเหตุใดไม่ทราบ...ดวงตาไม่เชิญชวนเท่ามุมปาก ...เหตุใดไม่ทราบผมจึงขยับปากไปใกล้ๆ...และแล้วทุกๆสิ่งก็อยู่นอกเหนือการควบคุม
น้ำหนักตัวที่พุ่งล้มมาหาผม ทำให้ผมหงายหลังตามแนวเตียง แรงกดมหศาลที่ริมฝีปากทำให้ผมแทบบ้า....มันไม่ใช่ครั้งแรกนะ แต่นายคนนี้ก็ยังจูบใครไม่เป็น
มันช่างไม่มีอย่างอื่นนอกจากแรงกฎ. ผมจึงต้องล่วงเกินเขาสักเล็กน้อย. ด้วยการกัดเบาๆและขยับปากออกบ้าง. เช่นเดียวกับที่ผมซ้อมมานาน
ใครจะไปนึกล่ะว่าที่ซ้อมมาทั้งหมดทั้งมวลจะได้ใช้มันกับไอ้หนูนี่. ...ถึงอย่างไรมันก็ทำให้เรารู้สึกดี
หลังจากนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรต่อนะ. จนไปๆมาๆ. ก็ถึงเวลาที่จะอาบน้ำนอน.
คงไม่มีใครเตรียมเสื้อผ้ามาในวันศุกร์หรอก. และสิ่งที่ใส่นอนก็คงจะเป็นผ้าเช็ดตัว....เชื่อมั้ยว่ากว่าเราจะนึกได้มันก็ปาไปหกทุ่ม. อากาศหนาวกับน้ำเย็นๆทำให้เราอยากรีบอาบก่อน
ผมรอให้เขาอาบก่อนนะ-- อันที่จริงมันคงเป็นการดีที่จะเอาเครื่องแบบนักเรียนออก. แล้วเปลี่ยนมานุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ
เด็กคนนั้นเดินดุ่มๆออกมา. แขนขาสั่นเหมือนเสียงบ่นงืมงำที่สั่นเครือของเขา. อยากจะหาผ้าเช็ดตัวให้เขาห่มอีกสักผืนจัง. ถ้ามันไม่เป็นชิ้นเดียวที่ปิดบังร่างกายผมไว้. ผมคงให้เขาไปแล้ว
และก็ได้เวลาที่ผมเขาไปอาบ....มิน่าล่ะเด็กคนนั้นถึงตัวสั่นงันงก. น้ำเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง. ผมออกมาด้วยอาการที่หนักยิ่งกว่า. หน้าตาดูชอคเหมือนเจอผี. แต่เช็ดตัวสักพักคงหาย
ผมนั่งบนเตียงสักครู่. เด็กคนนั้นก็เข้ามาถาม
"พี่จะเอาผ้าเช็ดตัวมั้ย. ดูพี่จะต้องการมันนะ"
เอ้า. นี่มีผ้าอีกผืนรึ. ผมจึงรีบตอบทันทีว่า. "เอามาก็ดี. ตอนนี้หนาวมาก"
เด็กน้อเด็ก. ใครเล่าจะไปคิดว่ามันจะปลดผ้าเช็ดตัวของตัวเองให้. ร่างกายที่ดูสุขภาพดี. ที่มันติดอยู่ในตาของผมนั้น. มันยากจะลืม. ผมตกใจมาก. แต่ก็ทำไรไม่ได้มาก. นอกจากรับผ้าเช็ดตัวมาเช็ดอย่างอึ้งนิดๆ
มันก็ยังมานั่งข้างๆผม. นี่ไม่รู้รึไงว่าพี่ไม่อยากจะเห็นไรเล้ยยยย. แต่ก็ดันเจอไปเสียทุกอย่าง. ......และแล้วก็ดูเหมือนว่า. วันนั้นมันจะนอนแบบไม่ใส่เสื้อผ้า.....
ผมจำเป็นต้องนอนอัดเตียงเดียวกับมัน. ยังดีที่ผ้าเช็ดตัวยังอยู่กับเนื้อกับตัวของผม
จนตอนที่ปิดไฟนอน. มันก็มีคำพูดที่ถามผมมาว่า
"พี่. พี่อยู่ไหน"....ทั้งๆที่ผมก็อยู่ข้างๆมัน
"อยู่ข้างๆมึ...เนี่ย. นอนได้แล้ว. กุง่วง". และผมก็ข่มตานอน. มันก็กอดผมซะงั้น
ตกใจนะ. แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร. ง่วงมากๆเลยครับตอนนั้น
เพิ่งรู้ว่าคนตัวเปล่าๆมันอุ่นขนาดนี้. ลมกายใจนั่น. อกนั่น. แขนนั่น. ที่โอบกอดตัวแนบชิด. มันมีความอุ่น. ยิ่งถ้าเคลื่อนไหว. มันยิ่งเป็นแรงขยี้ให้อุ่นมากขึ้น
ไม่รู้หรอกว่ามันสุขแค่ไหน...แต่มันรู้สึกดี. คงไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนมาใกล้ชิดแบบนี้. ถ้าคุณไม่ใช่เพลย์บอย
จนถึงตอนที่มือของเด็กคนนั้นปลดปมผ้าเช็ดตัวออก. มันคงเป็นเวลาที่หักห้ามอะไรไม่ได้ .... คงต้องปล่อยมันไป. เริ่มด้วยการกอด. ผมก็พูดเล่นๆว่า. "อย่าได้จูบเชียวนะ". และเขาก็ไม่จูบ. มันเป็นช่วงเวลาห้าทุ่มแบบวันนี้. และมันก็ดำเนินมาเรื่อยๆจนเราหลับใน. 1.47น.
บอกไม่ถูกว่ามันมีความสุข. มันเจ็บปวด. รึมันเป็นอย่างไร. แต่วันนั้นทำให้ผมนอนหลับอย่างสนิท
มันเหนื่อยล้าแบบที่ผมเป็นวันนี้. แม้แต่คุกเข่าเฉยๆผมยังทำไม่ไหว. หายใจหอบแฮกๆ. สูดกลิ่นเหงื่ออะนน่าดึงดูดขอวเจาเข้าไป. หน้าร้อนแดงระเรื่อง และขนลุกซู่ไปทั้งตัว
จนผมอ่อนล้าจนวูบไป. เช้าตรู่เราก็ตื่นเตรียมตัวที่จะกลับบ้านของตัวเอง.
อาบน้ำและแต่งตัวในชุดนักเรียนชุดเดิม.
ตอนอาบน้ำเราก็งัวๆเงียๆกันไปอะนะ. ผมคงง่วงมากๆจนไม่รู้ว่าเราเข้าไปพร้อมกัน. และผมเริ่มตื่นตอนที่เด็กคนนั้นจั๊กจี้ผมเล่น. แน่ล่ะเราไล่จับกันอยู่ซะเป็นส่วนใหญ่แทนที่จะอาบน้ำ. ปลายจมูกที่ชนกันเวลานั้นทำให้เขินอาย. แต่เราไม่อายต่อกัน. เมื่อเขาแสดงออกกับผม. ผมก็แสดงออกกะบเขา
ก่อนที่เราจะแยกกันที่ป้ายรถเมล์หน้าเซเว่น. เขาเข้าไปซื้ออะไรสักอย่างและออกมา
"พี่. ถามไรหน่อยสิ...."
--"ไรวะ"
"ที่พี่ห้ามผมจูบพี่น่ะ. ไม่ใช่เพราะผมจูบไม่เก่งใช่ม๊าาาา"
--"ไรของมึ..เนี่ย. ถ้าไม่ใช่เพราะมึ...จูบไม่เป็นมันจะเป็นเพราะอะไร"
"พี่อะ. ปากเหม็นงายยย"
--"ไอ้บ้านี่เอาไรมาพูดวะ. "
"ผมพิสูจน์มาแล้วน่า.... เรื่องธรรมดาครับ. ผมเข้าใจ". แล้วเขาก็ยื่นน้ำยาบ้วนปากกลิ่นชามะลิมาให้
--"ชามะลิ...."ผมพูดอย่างตัดพ้อ
"ผมชอบกลิ่นมันมากเลยนะพี่ ใช้มันบ่อยๆล่ะ ผมจะได้ได้กลิ่นนี้ทุกๆครั้งที่เราเจอกัน"
หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน. รอวันเปิดเทอมที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง. หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ. นายที่รัก...
จบ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น