คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 | Beyond the Horizon - A ray of sunshine.
III.
A ray of sunshine.
ผู้ชายอย่างเรามักตัดสินผู้หญิงด้วยแบบแผนที่เราวางไว้ในหัว
แต่เมื่อได้สัมผัสตัวตนเธอเข้าจริงๆ รู้สึกตัวอีกที เราก็คลั่งไคล้เสียหัวปักหัวปำ
1.
เบื้องหน้าเต็มไปด้วยชั้นวางสูง เรียงรายเป็นแถวลึก ทุกตารางนิ้วครอบคลุมผนังรอบด้านถูกแทนที่ด้วยลิ้นชักน้อยใหญ่รุกรานการมีอยู่ของพื้นที่ว่างในห้องทรงกลมแห่งนี้จนหมดสิ้นเหลือเพียงช่องทางเดินเล็กแคบระหว่างชั้นพอให้เดินผ่านเท่านั้น มันคือห้องเก็บเอกสารเก่าแก่ที่สร้างมานานนับแต่ก่อตั้งโคโนะฮะงาคุเระ บรรยากาศจึงอบอวลด้วยมนต์ขลัง ทุกองค์ประกอบภายในล้วนทำจากไม้เคลือบเงาเรียบง่ายทว่าดูห่างไกลจากคำว่าคร่ำครึ แสงสว่างทั้งหมดที่พึงมีถูกม่านบางกรองลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กแคบเพื่อให้ข้อมูลอันสำคัญยิ่งทุกตัวอักษรบนเอกสารไม่เสียหายหรืออับชื้นเกินไป หากแสงอมซีดสลัวรางก็ไม่เป็นมิตรกับความคืบหน้าในการค้นหามากนัก แต่นั่นก็ช่วยยืนยันว่าหนังสือเล่มหนา ม้วนคัมภีร์รวมถึงเอกสารซึ่งถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบต่างก็ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีและยังคงสภาพเหมือนเช่นกาลก่อน แม้กลิ่นกระดาษที่ย่อมต้องเก่าลงตามกาลเวลาจะจับตัวกับอากาศโดยรอบทำเอาชิกามารุเผลอย่นจมูกด้วยความอึดอัดก็ตามที – ‘เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่’ เด็กชายอดถามตัวเองไม่ได้
หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าถูกเปิด แต่เมื่อไม่ปรากฏข้อความที่ต้องการก็ถูกเก็บดังเดิม เป็นเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ชิกามารุตามบิดาเข้ามายังห้องเก็บประวัติแห่งหมู่บ้านโคโนะฮะงาคุเระ ประวัตินินจา บันทึกเหตุการณ์ พิมพ์เขียวหรือแม้กระทั่งข้อมูลใดๆ ที่ลับที่สุด ไม่เคยได้รับการเปิดเผยก็ถูกห้องแห่งนี้เก็บงำไว้ทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดที่ผิดทางเล็กน้อยกับการต้องรับคำสั่งจากบิดาให้เข้ามาช่วยค้นหารายชื่อสำคัญ เขามักตกเป็นเหยื่อของพ่อเสมอ ถูกใช้งานในเรื่องที่ – ไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถทำได้กันทุกคน – อยู่บ่อยครั้งและพ่อก็อ้างว่ามันเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง
ดวงไฟจากตะเกียงระบายแสงสีส้มลงบนใบหน้าที่ตกอยู่ใต้เงาสลัวของชิกามารุ เด็กชายไล่นิ้วไปตามแต่ละบรรทัดอย่างถ้วนถี่เพื่อไม่ให้ข้อความตกหล่น หมึกสีดำบนเอกสารทุกฉบับถูกตวัดเป็นตัวอักษรก่อนเรียงร้อยกันเป็นข้อความที่สามารถนำกลับมาทำร้ายโคโนะฮะได้ง่ายดายยิ่งกว่าแผนการอันสมบูรณ์แบบไหนๆ ถ้ามันอยู่ผิดมือ จึงมีนินจาเพียงไม่กี่นายที่สามารถเหยียบย่างเข้าห้องอันรัดกุมเคร่งครัดแห่งนี้ หนึ่งในนั้นก็นับรวมบิดาผู้เป็นหัวหน้าโจนินและคนที่มักติดสอยห้อยตามมาเช่นเขา
“ต่อไปก็หมวดโระ” ชิกามารุเหลือบมองเจ้าของเสียงเมื่อครู่ นารา ชิกาคุผู้เป็นพ่อกำลังอาศัยแสงริบรี่จากดวงไฟในตะเกียงโคมขนาดเหมาะมือส่องไปตามชั้นหนังสือพลางสอดส่ายสายตาหาสิ่งที่หมายมั่นไว้ เขาเองก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน แต่จุดที่ได้รับมอบหมายจากบิดาคือลิ้นชักไม้สูงจรดเพดานซึ่งบรรจุคัมภีร์ที่จดบันทึกมาก่อนการสถาปนาโคโนะฮะงาคุเระ เด็กชายทรงตัวอยู่บนบันไดที่พาดวางกับคานด้านบนพยายามระวังระวังกว่าปกติขณะคลี่ม้วนคัมภีร์เก่าแก่ – ประวัติศาสตร์อันยาวนานของหมู่บ้านส่งผ่านลิ้นชักจำนวนนับไม่ถ้วน ความรุ่งเรืองมั่นคง ทั้งความรุ่งโรจน์และความตกต่ำสะท้อนออกมาในทุกม้วนคัมภีร์ ซึมซาบเข้าไปถึงชนรุ่นหลังเช่นชิกามารุ เหตุผลที่พ่อให้เขาติดตามมายังห้องประวัตินินจา สถานที่ซึ่งได้รับการอารักขาอย่างดีภายในหอข่าว ศูนย์กลางการปกครองของหมู่บ้าน คงไม่พ้นจุดประสงค์ที่อยากให้ลูกชายได้เรียนรู้ความเป็นมาของหมู่บ้านที่เกิดและเติบโต เพื่อให้เป็นดังเช่นคำสั่งเสียของโฮคาเงะรุ่นที่สาม – ‘ยามใบไม้ปลิวหวนเปลวไฟก็ลุกโชน เงาแห่งเพลิงสาดแสงสู่หมู่บ้าน เพื่อให้โคโนะฮะผลิหน่ออ่อน เติบโตใหม่ได้อีกครั้ง’
คำกล่าวในชั่ววาระสุดท้ายของซารุโทบิ ฮิรุเซ็น ผู้รั้งตำแหน่งรุ่นที่สาม ตำแหน่งสุดท้ายที่สูงสุดในชีวิตถูกบอกเล่าผ่านทางนินจาอารักขาขึ้นตรงต่อโฮคาเงะ ซึ่งเฝ้ามองวาระสุดท้ายของนายเหนือโดยไม่สามารถให้การคุ้มครองตามหน้าที่ได้เลยแม้แต่น้อย
โฮคาเงะรุ่นสามจึงเสียชีวิต
สิ้นชีพในยามที่โคโนะฮะงาคุเระถูกลอบโจมตีโดยหมู่บ้านแห่งทราย ซึนะงาคุเระ การลอบกัดระหว่างนินจาพันธมิตรซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะปะทุขึ้นนำพาความเสียหายมามากมายสุดประมาณ ร่องรอยของการทรยศต่อความเชื่อใจยังทิ้งแผลเป็นดูต่างหน้าไว้ เหตุการณ์ตอนนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนต่างตั้งตัวไม่ทัน ทั้งปั่นป่วน สับสนระคนตกใจ ชิกามารุหวนระลึกถึงเหล่าโจนินที่รับมือสถานการณ์ได้เฉียบขาดแม้จะวุ่นวายเพียงใดก็ไม่สูญเสียซึ่งความเยือกเย็นรอบคอบ หลังเขาถอนตัวออกจากการต่อสู้ อุจิวะ ซาสึเกะก็มาถึงพร้อมปลุกเร้าลานประลองให้ดุเดือดด้วยการต่อสู้อันเข้มข้น เขาจดจำแววตาประหนึ่งปิศาจร้าย ไร้ความคิดผิดชอบชั่วดีของนินจาผมแดงเพลิง คู่ประลองของซาสึเกะได้แม่นยำ กาอาระแห่งทราย อสูรผู้รักตนเองแสดงจิตอาฆาตเข้มข้นเข้ากดดันอยู่ทุกอณูบรรยากาศ แต่ชั่วขณะนั้นขนนกขาวปลอดก็พลันพร่างพรายบดบัดทัศนียภาพเบื้องหน้าและทุกสิ่งก็วูบหายไปเพราะคาถาลวงตา
ว่ากันตามตรง การสะท้อนคาถาลวงตาง่ายดายมากสำหรับนารา ชิกามารุ ทว่าความตั้งใจที่จะแสร้งทำเป็นโดนคาถาลวงตาไม่ได้สติต่างหากที่ไม่ง่ายเสมอเหมือนกัน ความคิดหวังนั้นหายไปพร้อมกับภารกิจซึ่งได้รับมอบหมายจากฮาตาเกะ คาคาชิ โจนินประจำทีมของนารุโตะ นินจาระดับสูงผู้มองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งทั้งยังวางแผนตั้งรับอย่างแยบคาย – ฮารุโนะ ซากุระ คุโนะอิจิร่วมรุ่นที่ชิกามารุจัดเธออยู่ในข่ายเดียวกับพวกผู้หญิงน่ารำคาญจึงถูกคาคาชิเซนเซสั่งภารกิจสำคัญจุดประสงค์เพื่อยับยั้งแผนลวงของศัตรู และเขาก็จับพัดจับพลูกลายเป็นผู้ร่วมหน่วยย่อยในภารกิจไล่ตามซาสึเกะนี้
ถ้าอธิบายให้กระจ่าง ระหว่างที่เขาแสร้งทำเป็นโดนคาถาลวงตาไม่ได้สติ โฮคาเงะแห่งโคโนะฮะก็ถูกหนึ่งในซังนินจับกุมอยู่ใต้ม่านพลัง ขณะนินจาระดับสูงของหมู่บ้านร่วมมือกันต่อสู้จนนินจาผู้บุกรุกล้มเกลื่อนเป็นใบไม้ร่วง ซาสึเกะซึ่งอยู่บนสนามประลองด้านล่างก็อยากพยายามทำตัวให้สมกับเป็นนินจาโคโนะฮะเช่นเดียวกับนินจานายอื่นจึงไล่ตามคู่ประลองของตัวเองที่ถอยร้นออกจากสนามไป – และนั่นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเพราะอุจิวะคนสุดท้ายกำลังเต้นเร่าๆ กับแผนลวงอันแยบยลของศัตรู
ด้วยเหตุนี้ชิกามารุผู้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซาสึเกะไปมากกว่าบทสนทนาที่เคยคุยกันแทบนับคำได้จึงพลอยโดนหางเลข ถูกดึงเข้าร่วมภารกิจซึ่งมีคำสั่งให้ติดตามไปสบทบเพื่อหยุดยั้งอุจิวะคนสุดท้ายและรอในสถานที่ปลอดภัยจนกว่าจะมีคำสั่งใดนมาเพิ่มเติมไปเสียดื้อๆ – เขาเชื่อว่าวันนั้นคือวันอับโชคที่สุดในรอบปี
ภารกิจดูไร้พิษภัยอย่างที่ควรจะเป็นถ้าไม่ถูกนินจาฝ่ายศัตรูมากกว่าครึ่งโหลไล่ตาม ชิกามารุจึงอาสารับบทตัวล่อให้สมกับเป็นวันโชคร้าย ทั้งที่อยากเป็นนินจาหาเงินหาทองพอเลี้ยงตัว หาผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่สวยไม่ขี้เหร่ ทำมอสระเอีย มีลูกสักสองคน คนโตเป็นผู้หญิงคนรองเป็นผู้ชาย พอลูกสาวแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ลูกชายได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่งก็จะขอเกษียณตัวเอง แล้ววันๆ ก็นั่งเล่นหมากรุกมั่ง โกะมั่ง ใช้ชีวิตยามชราอย่างสงบสุขตามใจชอบแล้วขอลาโลกก่อนภรรเมียแท้ๆ ขอแค่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้นก็พอใจเหลือแหล่แล้ว หากเขาที่แน่ใจว่ายังอยากตายสบายๆ กลับหาเรื่องใส่ตัว ทำเรื่องงี่เง่าไม่ได้เรื่องได้ราว อยากเท่ไม่เข้าท่ารับบทตัวล่อจนชีวิตหักเหเข้าสู่จุดวิกฤต ถ้าอาสึม่าเซนเซ โจนินประจำทีมไม่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือ เขาคงจบชีวิตตัวเองลงอย่างง่ายดายแค่เพียงตรงนั้น และไม่มีหน้ามานั่งอ่านคัมภีร์ซึ่งเป็นหนึ่งในข้ออ้างตามแผนของบิดาอยู่อย่างนี้ – แต่ถ้าถามว่านึกเสียใจไหม คำตอบอันหนักแน่นคือไม่
คัมภีร์ม้วนสุดท้ายจากมือของชิกามารุถูกเก็บลงลิ้นชัก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอ่านต่อ หลังนึกย้อนการกระทำของตน เด็กชายก็เพิ่งตระหนักว่าการมาครั้งนี้ ผู้เป็นบิดาแค่ต้องการให้เขาเรียนรู้ประวัติศาสตร์โคโนะฮะจนเกิดความภาคภูมิ รักในเกียรติ ศักดิ์ศรีของหมู่บ้าน จงรักภักดีต่อตราใบไม้บนกระบังหน้าผาก สืบทอดเจตจำนงแห่งไฟตามเจตนารมณ์โฮคาเงะรุ่นที่สาม และทั้งหมดนั่นเขาย่อมซึบซับผ่านบิดาได้ดีกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“เจอแล้ว สิ่งที่พ่ออยากจะบอกน่ะ”
คำพูดรวบรัด ทว่าแฝงไปด้วยความหมายที่ต้องการจะสื่อมากเหลือถูกส่งผ่านไปถึงนารา ชิกาคุ ผู้กำหนดทิศทางให้เหยื่อเดินตามแผนซึ่งวางไว้อย่างแยบยล เจ้าบ้านตระกูลนาราชายตามองชิกามารุในฐานะเหยื่อของแผนการ แม้เพียงเสี้ยวเดียวก็สัมผัสได้ว่าบุตรชายล่วงรู้ถึงจุดประสงค์หลักของการมายังห้องประวัตินินจาดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถึงจะบ่นว่าน่าเบื่อน่ารำคาญแต่แท้จริงแล้วเป็นคนจิตใจดีคือคำกล่าวที่ชิกาคุสามารถบอกออกไปได้ เมื่อมีใครเอ่ยถามถึงบุตรชายคนเดียว
2.
สภาพแวดล้อมด้านนอกดูสว่างจ้ากว่าปกติ อาจเพราะเขาเพิ่งออกจากที่มืดและอับแสงอย่างห้องประวัตินินจากระมัง ชิกามารุกระพริบตาเล็กน้อยเพื่อปรับให้ชินกับแสงที่คลี่คลุมอยู่โดยรอบ ดวงอาทิตย์กลมโตกำลังแผ่รัศมีสุกใสเหนือน่านฟ้าโคโนะฮะ มันสะท้อนใบไม้ซึ่งเอนไหวตามแรงลมจนเป็นประกายระยิบระยับเมื่อเห็นจากที่ไกล เด็กชายเหล่มองท้องฟ้าแต้มปุยเมฆขาวแค่ชั่วขณะหนึ่งก่อนสีน้ำตาลอ่อนบนดวงตาคมกริบจะเรียบเฉย ไม่สามารถอ่านอารมณ์ได้ แล้วกลับคืนสู่ความเป็นไปรอบตัว
ทางเดินเวียนรอบหอข่าว – สถานที่บังคับการของโฮคาเงะผู้ปกครองหมู่บ้าน – ลดหลั่น ไต่ระดับไปตามองค์ประกอบตัวอาคารซึ่งเป็นทรงกลมรัศมีกว้าง ดังนั้นจึงซับซ้อน ทั้งยังมีบันไดและทางเชื่อมกับตึกบริหารงานมากมายหลายจุดแลดูคล้ายค่ายกลชวนให้ผู้ไม่คุ้นชินเดินวกวนจนเสียเวลาเล่นมามาก แต่ในบรรดาผู้หลงทางเหล่านั้นย่อมไม่นับรวมชิกามารุที่ติดสอยห้อยตามบิดามาในธุระต่างๆ เสมอ และด้วยความเบื่อหน่ายต่อกิจที่ต้องไปทำ เวลานี้เด็กชายบ้านนาราจึงเดินทอดน่องตามบิดาอย่างว่าง่าย เขาค่อยๆ ละเลียดบรรยากาศสงบทีละน้อยจนมันแทรกซึมเข้าเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าให้เต็มตื้นด้วยความสบายใจ สายลมโชยอ่อนเข้ามาทางระเบียงขณะวิหคโผมาเกาะพลางส่งเสียงใสกังวานคลอกัน เมฆซึ่งบางเบาราวกับปุยนุ่นลอยเอื่อยกลืนลับไปกับกลุ่มอาคารข้างเคียง ใบหน้าของเด็กชายไม่ได้แปรเปลี่ยนสักเพียงนิดแม้จะจับสังเกตบางสิ่งผ่านทางพื้นที่กำลังเหยียบย่าง เขารู้หากมักแกล้งทำเฉยเสมอ
เสียงฝีเท้านั้นหาได้ดังก้อง แต่เพียงพอให้ประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ ชิกามารุไม่ได้พิสมัยการจับจังหวะฝีเท้าของตนเองเวลาเดินเท่าไหร่นัก ทว่าฝีเท้าของกลุ่มคนที่ดังสะท้อนอยู่เบื้องหน้าดึงความสนใจเขาไปเท่านั้น
“อ้าวนารุโตะนี่ นายมาทำอะไรแถวนี้” เจ้าของฝีเท้าเหล่านั้นปรากฎแก่สายตาแล้วชิกามารุจึงกล่าวด้วยเสียงเจือความฉงนพอเป็นพิธี เพราะมันปราศจากความตกใจ ดูราบเรียบคล้ายกับคาดเดาล่วงหน้าไว้ถูกต้องทุกประการ อุซึมากิ นารุโตะ – เด็กชายที่ถูกคาดเดาด้วยการอนุมานจากฝีเท้าหนักเบาไม่สม่ำเสมอคล้ายคนลิงโลดจึงค่อยสอดส่ายนัยน์ตาสีสว่างออกมาจากหลังของสตรีวัยกลางคนตามคำทักทายที่สำเหนียกได้ว่าเป็นของเพื่อนร่วมรุ่น
“แล้วนายล่ะ มาทำอะไรอยู่แถวนี้ ข้างในมันห้องเก็บประวัตินินจาไม่ใช่เรอะ” ไม่วายถูกสวนกลับ ชิกามารุจึงต้องตอบนารุโตะที่ไม่ได้ตั้งใจตอบคำถามเขาเสียตั้งแต่แรกโดยการกล่าวถึงเรื่องน่ารำคาญของวันนี้ด้วยคำพูดกำกวมเกินกว่าที่ผู้ฟังจะเข้าใจ และแม้ว่าคนไม่คุ้นหน้าซึ่งยืนด้วยกันกับนารุโตะจะไม่ได้อยู่ในความใส่ใจของชิกามารุมากไปกว่าเพื่อนร่วมรุ่นที่กลับมาจากภารกิจหลังจากไม่ทราบข่าวคราวเป็นเวลาหลายวันก็ถูกดึงมาอยู่ในความสนใจ เมื่อบิดาเป็นฝ่ายค้อมศีรษะทำความเคารพพร้อมกล่าวทักทายด้วยถ้อยคำสุภาพ “ไม่ได้เจอกันนานนะครับ ท่านซึนาเดะ ท่านจิไรยะ”
“อ้อ เด็กบ้านนาราเหรอ แล้ว… นั่นลูกใช่มั้ย ดูแลกวางดีอยู่รึเปล่า เขากวางแถวนี้เป็นยาดีนะ”
แรกทีเดียว ชิกามารุหงุดหงิด รำคาญใจที่บิดากล่าวอย่างนอบน้อม เกรงใจต่อผู้หญิงซึ่งดูอย่างไรก็อ่อนกว่าหลายปีแต่พูดจาวางท่าราวกับตัวเองใหญ่เสียเต็มประดา ไม่มีความจำเป็นที่บิดาต้องก้มศีรษะ เขาจึงโมโหแทนการถูกกระทำจากกิริยาอันไร้มารยาท ผนวกกับนิสัยปฏิเสธผู้หญิงด้วยแล้ว ชิกามารุยิ่งรู้สึกไม่ดีต่อผู้หญิงตรงหน้ามากเข้าไปใหญ่ จนนารุโตะแถลงความจริงให้ฟังเขาจึงเปิดใจรับเล็กน้อยถึงอายุที่ห่างไกลจากหน้าตาไปเสียมากมายและตำแหน่งทางนินจาที่หญิงผู้นี้กำลังจะได้รับ
“โฮคาเงะคนใหม่ไง เห็นงี้ก็เหอะ อายุร่วมครึ่งร้อยแล้วนา!” นารุโตะกระซิบบอก ความรู้สึกแรกที่ชิกามารุประสบหลังจากได้ยินคำกล่าวจากปากเพื่อนร่วมรุ่นมีเพียงความเหลือเชื่อ และเมื่อการสนทนาชั่วเวลาสั้นๆ จบลง เงาของบุคคลทั้งสี่ค่อยๆ หายลับไปจากหัวมุมทางเดิน ชิกามารุจึงถามย้ำความมั่นใจจากบิดา ถึงตัวตนของผู้หญิงทรงโตที่บิดาปฏิบัติอย่างให้เกียรติ
“ผู้หญิงนั่นใครกันฮะ เห็นเขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นคือโฮคาเงะรุ่นที่ห้า”
ชิกาคุโผเข้ากอดไหล่บุตรชายซึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม หวังจะละลายความไม่ชอบใจของเด็กชายลง “นี่ชิกามารุ ท่านผู้นั้นน่ะ เป็นผู้หญิงที่สวยและเก่งที่สุดในโลกเชียวน-า ก็เป็นผู้หญิงคนเดียวในสามนินจานี่นา”
“เฮ้-อ ให้ผู้หญิงเป็นโฮคาเงะเหรอ ผู้หญิงน่ะเล่นด้วยยากจะตาย เอาแต่ใจตัวเองแถมยังพูดมาก เห็นทำท่าดี๊ด๊าที่แท้ก็เก็บกด จะชอบเราหรือเกลียดเราก็อ่านใจไม่ออก แล้วก็ชอบคิดว่าผู้ชายต้องคอยตามใจตัวเอง พูดยังไงผู้หญิงก็น่ารำคาญอยู่ดี…” ทุกประโยคกลั่นออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ของตัวผู้พูด ร่ายยาวเสียจนผู้ฟังนิ่วหน้าด้วยความจนใจ นึกอยากแก้ต่างความคิดของบุตรชายที่เอาบรรทัดฐานของตัวเองตัดสินสตรีทุกคนบนโลกให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันตามประสาเด็ก น้อยประสบการณ์
“ชิกามารุเอ๋ย ถ้าไม่มีผู้หญิง ผู้ชายก็เกิดมาไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้หญิง ผู้ชายก็เป็นโล้เป็นพายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายสักแค่ไหน แต่กับผู้ชายที่ตัวเองรักแล้วละก็ ใจดีด้วยทุกราย ให้ลูกอายุถึงวัยอันควรก็จะรู้เอง” ผู้มากด้วยวัยวุฒิทิ้งท้ายกับบุตรชายคนเดียว ชิกาคุกล่าวมากความไปก็เสียเท่านั้น เพียงรอเวลาที่เด็กน้อยของเขาจะเติบโต ไม่ต้องมองตามแผ่นหลังเขาอีกต่อไปก็พอ เมื่อนั้นชิกามารุจะประจักษ์แก่ใจเอง
‘ยังจะทำพูดดี ตัวเองละหงอแม่จนโงหัวไม่ขึ้นเลย’ ดวงตาคมกริบมองตามแผ่นหลังของผู้เป็นบิดา ซึ่งกำลังเดินห่างออกไปโดยซ่อนความเร่งรีบอยู่ในที ขณะเขาตำหนิในใจก็ไม่วายที่บิดาจะแสดงความเกรงใจต่อผู้เป็นมารดาออกมา
“อ๊ะแย่ล่ะสิ ลูกมีธุระจะต้องไปทำไม่ใช่เรอะ งั้นพ่อกลับก่อนละ เดี๋ยวเจอแม่ว้ากเอา” แค่การกระทำนี้ของชิกาคุ ความน่าเชื่อถือในคำสั่งสอนที่มีต่อบุตรชายเมื่อครู่ก็ตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาชิกามารุที่รู้สึกไม่ดีต่อผู้หญิงรอบข้างอยู่แล้ว ไม่คิดจะรับฟังคำของบิดาไว้เลยแม้แต่น้อย ‘…ผู้ชายบางคนถึงจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยก็ไม่ได้เป็นโล้เป็นพายเหมือนกันแฮะ’
ชิกามารุยืนนิ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจไปทำธุระของตน ที่หวังจะเลี่ยงเสียไม่ได้
3.
บนหน้าผากว้างทอดตัวยาวโอบล้อมหมู่บ้านปรากฏรูปสลักหินเรียงราย เป็นใบหน้าของโฮคาเงะซึ่งล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดเจตจำนงแห่งไฟ ปกครองหมู่บ้านให้คงความภาคภูมิ สมเกียรติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคสงครามครั้งอดีตจบลง ความสำเร็จเหล่านั้นแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนในวิถีชีวิตที่เป็นไปดังเช่นทุกวัน หามีการผิดแผกจากความเป็นอยู่เดิมไม่ นินจาผู้รับภารกิจเข้าออกหมู่บ้านตลอดเวลา บ้างปะปนไปกับผู้คนธรรมดาตามท้องถนน แม้กำลังคนของโคโนะฮะจะลดลงไปมากกว่าครึ่งจากการรับมือศึกของโอโรจิมารุ หากเหล่าผู้คนก็เคยชินกับระบบระเบียบแบบนี้มานมนาน
เที่ยงวัน ดวงอาทิตย์ตรงศีรษะ ผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ไปตามทางเดินทอดยาวของย่านการค้าโคโนะฮะเพิ่มจำนวนขึ้น ตามตรอกซอยที่เชื่อมสู่ถนนสายอื่นมีนินจาทยอยเข้ามาหวังฝากท้องกับมื้อกลางวันที่ร้านไหนสักแห่ง ส่งผลให้ร้านอาหารน้อยใหญ่ทุกร้านไม่มีที่ว่าง ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านเนื้อย่างประจำย่านการค้าก็เริ่มทยอยกันมาจนหนาตาเช่นกัน
ควันขุ่นมัวจากการย่างเนื้อบนเตาถ่านโชยขึ้นไปตามแรงของเครื่องดูดอากาศ ชิกามารุกำลังพยายามมองดูควันกลุ่มนั้น เพียงเพราะวางตัวไม่ถูกกับสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ใช่ เพื่อนร่วมทีมจับจ้องเขา พร้อมกล่าวหยอกล้ออย่างสบายอารมณ์
“หืม คนหมดไฟอย่างนาย แบบนี้ค่อยดูเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาหน่อย” อิโนะว่า จริงที่ความเห็นของบุคคลในทีมสิบมักไม่ตรงกันบางเรื่อง ต่างฝ่ายต่างมีอุปนิสัยไม่เหมือนกัน และมีนิสัยเสียแบบสุดโต่ง แต่ความร่วมมือในการต่อสู้ค่อนข้างดีเยี่ยม นั่นคือคำชื่นชมจากปากโจนินประจำทีมซึ่งสัมผัสตัวตนของทุกคนในทีมมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตัวอย่างง่ายๆ มีให้เห็น คุโนะอิจิหญิงประจำทีมกล่าวในเชิงบวก ทว่าเพื่อนร่วมทีมอีกคนอย่างโจจิกลับกล่าวถึง จูนินคนใหม่ของทีม ไปคนละแบบ
“ไม่ได้เข้ากันเลย” เด็กชายตระกูลอาคิมิจิฉีกยิ้มกว้าง หยอกเย้าเพื่อน
“อย่าหัวเราะเยาะน่า” ผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสองแง่ เหลือบสายตากลับมายังเพื่อนร่วมรุ่น ขณะเท้าค้างด้วยใบหน้าหน่ายที่ซ่อนความเคอะเขินบางส่วนไว้ คล้ายอุณหภูมิความร้อนจากเตาถ่านตรงหน้าจะมีผลต่อใบหน้าเยาว์วัยของชิกามารุให้แดงเรื่อ แต่แท้จริงแล้วเป็นสีเลือดฝาดจากอาการตามประสาคนช่างเขินอาย แสดงออกไม่เก่งมากกว่าที่คนภายนอกเห็น
เหตุเพราะนารา ชิกามารุ คือเกะนินคนเดียวจากการสอบครั้งล่าสุดที่ได้เลื่อนขั้นเป็นจูนิน และเครื่องแต่งกายที่เปลี่ยนไปสวมเสื้อกั๊กของโคโนะฮะคือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
“ไงๆ ก็ขอฉลองกันหน่อย ที่ชิกามารุได้เลื่อนเป็นจูนิน เอ้า ดื่-ม”
4.
อาหารเช้าตรงหน้าดูพร่ามัวขึ้นมา เมื่อเด็กชายอ้าปากหาวฟอดใหญ่จนน้ำตารื้น ด้วยความที่ตื่นแต่รุ่งสางเพื่อมานั่งฟังแม่พร่ำบ่นบนโต๊ะอาหารอันเป็นวิถีชีวิตในวันปกติสุข แม้จะเลื่อนขั้นเป็นนินจาระดับชั้นจูนินก็หาได้ผิดแผกไป ผู้เป็นมารดายังคงส่งเสียงว่ากล่าวขณะยกอาหารเช้าเข้ามาที่โต๊ะ ผู้เป็นบิดาไม่อนาทรต่อสิ่งโดยรอบ ข้างกายมีแสงอาทิตย์รำไรลอดผ่านยอดไม้รอเวลาลอยลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า จับรัศมีสีอร่ามตามทิวป่าส่องผ่านหน้าต่าง ชวนให้รำคาญใจกับแสงแยงตาดังเช่นเคย
ความอ้อยอิ่ง เฉื่อยชาที่ชิกามารุเป็นอยู่ เรียกให้มารดาผู้เจ้าระเบียบส่งเสียงเสมือนคำสั่งกลายๆ มาในรูปคำตักเตือน “ลูกก็รีบๆ กินข้าวเช้าซะสิ ตั้งแต่วันนี้พ่อเขาเองก็ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจแล้ว ไม่มีเวลาจะสอนช่วงเช้าให้ได้นานนักหรอก”
“คร้าบ คร้าบ” เหมือนตัดรำคาญ และมีอากัปกิริยาไม่พอใจอยู่ในที ทว่าใจจริงก็ไม่ได้มีเจตนาเช่นที่แสดงออกแต่อย่างใด
“ครับทีเดียวก็พอ!” ฟังจากน้ำเสียงตอบรับเมื่อครู่ ไม่ได้กระตือรือร้นมากกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นแล้วเจ้าของสิทธิ์ขาดในบ้านอย่างนารา โยชิโนะจึงแหวใส่บุตรชายที่ตนห่วงหาอาทรกว่าใคร เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวซึ่งถูกตามใจจนมีนิสัยเอื่อยเฉื่อย ขี้รำคาญ และมักเบื่อกับสิ่งรอบตัวเอาง่ายๆ ยิ่งตอกย้ำว่าบุตรชายของเธอเหมือนชิกาคุ สามีในครั้งเยาว์วัยมากเหลือเกิน
‘เริ่มเทศน์ตั้งแต่เช้า น่าเบื่อจริง’ เสียงในใจนำพาสีหน้าของชิกามารุไปตามความคิดหน่ายๆ นั้น อย่างน้อยที่สุดเด็กชายก็ไม่ได้นึกรำคาญกับเสียงพร่ำบ่นของมารดานัก รู้ว่าแม่เป็นห่วง ทว่าจุกจิกกับเขามากเกินพอดีจนกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ถ้ามารดาหันมาเจอหน้าเบ้ออกอาการหน่ายเซ็งคงไม่พ้นการเทศนายาวยืดถึงเรื่องเดิมๆ ที่เขาไม่อยากรับฟัง ติดเสียแต่ว่ากริ่งหน้าบ้านดังขึ้นชักชวนให้เจ้าบ้านไปเปิดประตูรับแขกผู้มาเยือนเสียก่อน เขาจึงรอดตัวหวุดหวิด และอาศัยจังหวะนี้หันไปคาดคั้นเอาคำตอบจากบิดาถึงเรื่องที่เขาสงสัยมาตลอด “นี่พ่อ… แม่แกจู้จี้ขนาดนั้นไปคว้ามาเป็นเมียได้ไง”
มือหนาหยาบ บอกผ่านประสบการณ์ความกร้านชีวิตยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ทำราวกับคำถามของบุตรชายเป็นเพียงเสียงลมพัดผ่าน ไม่ได้มีความสลักสำคัญ แต่อากัปกิริยานั้นคือความเคยชินตามประสาคนใช้ชีวิตร่วมกันมานานกับหญิงผู้เป็นหัวข้อคำถาม ครู่ใหญ่ถึงมีคำตอบกลับ “นั่นสินะ… เห็นแม่เขาเป็นงั้นก็เหอะ แต่เขาก็มีช่วงยิ้มแย้มใจดีเหมือนกันนา แค่นี้มั้ง”
“…แค่เนี้ย” ความไม่สบอารมณ์เข้าเกาะกุมชิกามารุ เพราะสิ่งที่ได้ยินจากปากชิกาคุไม่ตรงใจตน และไม่มีเหตุผลควรเชื่อ ได้แต่ทำหน้านิ่ว เบ้ปากใส่บิดาที่ลอยหน้าลอยตาไม่สนสิ่งใดต่อไป กระทั่งมารดายื่นหน้าเข้ามา ถึงเลิกรี่ตา ล้มความหวังที่จะคาดคั้นเอาคำตอบ เด็กชายผินมองมารดาผู้กำลังยิ้มแย้มทั้งที่มีแขกไม่ชอบมาพากลนำคำกล่าวซึ่งไม่ชวนให้คนฟังยินดีเข้ามาแจ้ง
“ชิกามารุ เจ้าหน้าที่ของท่านรุ่นที่ห้ามาหาแน่ะ” คำสั่งได้รับการถ่ายทอดอีกรอบโดยมารดาของผู้ถูกเชิญ เจ้าของดวงตาคมกริบซึ่งกำลังเบิกกว้างจากอาการฉงนงงงวยเพราะไม่เข้าใจสาเหตุของคำเชิญอันกะทันหัน แต่จำต้องปฏิบัติตามทันที
5.
ปีนี้เป็นปีโชคร้ายของชิกามารุแน่แท้ เขาดวงตกสุดกู่ และอุจิวะ ซาสึเกะก็เป็นดาวอับโชคประจำตัว คอยหาเรื่องมาให้ไม่หยุดหย่อนทั้งทางตรงและทางอ้อม – อย่างที่พร่ำบอกเสมอว่าเขาไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่ลงท้ายก็อดเอนเอียงไปทางนั้นไม่ได้ เพราะหลายสิ่งดูเหมาะเจาะราวกับกำหนดมาเพื่อความไร้โชคของเขาโดยเฉพาะ ไล่มาตั้งแต่สอบจูนิน การประลองรอบจริงถึงช่วงหมู่บ้านถูกโจมตี แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน เขาล้วนปราศจากโชค และเหตุการณ์ส่วนใหญ่ต้องมีอันเกี่ยวพันกับซาสึเกะร่ำไป
หว่างคิ้วของเด็กชายย่นเข้าหากันยุ่ง ขณะประสานสายตากับโฮคาเงะหญิงคนใหม่ของหมู่บ้าน ซึ่งส่งคนไปถือหนังสือเชิญถึงหน้าประตูบ้านตระกูลนาราด้วยเหตุด่วนบางประการที่กำลังสนทนากันอยู่ด้วยบรรยากาศกดดันชวนให้เด็กชายจอมขี้เบื่อจริงจัง
“เมื่อกลางดึกคืนก่อน อุจิวะ ซาสึเกะถอนตัวจากหมู่บ้านไปแล้ว… แล้วคงจะมุ่งหน้าไปหมู่บ้านโอโตะไม่ผิดแน่”
“แยกตัว ทำไม!” ชิกามารุขึ้นเสียง ทิ้งปลายประโยคให้ดูไม่แข็งกร้าว ฟังความจากโฮคาเงะคนปัจจุบัน เส้นประสาทก็เริ่มเขม็งตึง แสงแรกของวันส่งผ่านเข้ามาทางหน้าต่างกระจกดูสลัวรางพอให้เห็นหน้าฝ่ายตรงข้าม ท้องฟ้าเป็นสีม่วงครึ้ม หมู่เมฆขึ้นสีเข้ม ครั้นมองตรงจะปรากฏขอบฟ้าสีส้มทองตัดกับนภากว้างอย่างชัดเจน มันเริ่มระบายแสงจางๆ จนกลมกลืนกับนภาสีน้ำเงินเข้มทางทิศตะวันตก ค่อยๆ ละลายสีผสมกันทีละน้อยจนแนบเนียน ทว่าเมื่อกวาดตามองบ้านเรือนออกไปทางกระจกกว้างเกือบรอบห้องทรงกลมจะพบว่าหมู่บ้านยังคงตกอยู่ใต้เงาของราตรีกาลและทะเลหมอกขุ่นขาว แสงไฟจากบ้านเรือนแต่ละหลังค่อยๆ สว่างขึ้นจนสุดท้ายดวงอาทิตย์ที่ล่วงผ่านเส้นขอบฟ้าก็เริ่มมอบแสงให้อย่างถาวร อันที่จริงกระจกรอบด้านนี้คอยเปิดทิวทัศน์ภายนอกให้ภายในห้องโปร่งสบายเพื่อโฮคาเงะจะมองความเป็นไปของหมู่บ้าน แต่ในเวลานี้ไม่ได้มีเพื่อการนั้น อาจกล่าวได้ว่ามีไว้ช่วยให้สภาพการณ์ในห้องสดใสไม่ดำดิ่งลงไปกับปัญหามืดมนที่ประสบจะดีกว่า
ผู้มีศักดิ์ตำแหน่งสูงสุดเอ่ยต่อเรียบๆ น้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง ดวงตาดุดัน “ถูกเจ้าโอโรจิมารุมันกล่อมเอาน่ะสิ”
“ดะ ดะ เดี๋ยวก่อนครับ ทำไมซาสึเกะถึงได้โดนเจ้าคนอันตรายแบบนั้นกล่อมเอาได้ล่ะครับ” หัวใจหล่นวูบด้วยอารามตกใจไปแวบหนึ่ง ชิกามารุจึงกล่าวขึ้นบ้างด้วยอาการตะกุกตะกัก เพราะยังเรียบเรียงประโยคและความคิดไม่ชัดเจนดี นอกจากนี้เรื่องที่ฟังดูจะเหลือเชื่อกว่าคำตอบของพ่อ ซึ่งเขาได้รับเมื่อรุ่งสางนี้เสียอีก ทว่าโฮคาเงะหญิงไม่ใส่ใจคำถามเลยสักเพียงนิด
“ไอ้เหตุผลอะไรนั่นน่ะช่างมันเถอะ พูดไปก็เปลืองเวลาเปล่าๆ ก่อนอื่นเธอชื่อชิกามารุใช่ไหม จากนี้ไปฉันอยากให้เธอทำภารกิจแรกให้” คู่สนทนาที่มากวัยกว่ากล่าวรวดเร็วรวบรัด โฮคาเงะอย่างเธอเข้ารับตำแหน่งหลังการสอบจูนินผ่านไประยะหนึ่ง ตอนเข้าประชุมหมู่บ้านกับไดเมียวและนินจาระดับสูง เกิดการประเมินนินจาระดับเกะนินที่เข้าสอบจูนินครั้งล่าสุดออกมา นารา ชิกามารุคือคนเดียวที่ได้รับการประเมินด้วยเกณฑ์สูง ทั้งยังสูงมากในด้านสติปัญญาและการตัดสินใจ หากจะหาคนเหมาะสมกับภารกิจครั้งนี้ ในช่วงที่หมู่บ้านประสบปัญหาขาดกำลังพลอย่างหนัก คนแรกที่เธอคิดออกเห็นจะเป็นเด็กน้อยจากตระกูลนาราตรงหน้า
เฝ้าฟังจูนินคุมสนามสอบและนินจาที่มีส่วนเกี่ยวข้องเขาชมเปาะ แล้วเกิดอยากรู้ความสามารถ สมองฉลาดๆ เฉียบแหลมจะเฉียบคมจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ซึนาเดะฮิเมะผู้ชื่นชอบการพนันวางเดิมพันไว้สูง ใคร่อยากเห็น เสียดายก็แต่ความรู้สึกอยากลองอยากรู้ต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ รู้ผิดถูกในฐานะโฮคาเงะ ที่มอบหมายภารกิจสำคัญให้แก่เด็กชายเท่านั้น
ใบหน้าของเด็กชายสมองใสจอมเบื่อหน่ายไม่ได้ปรากฏริ้วรอยแห่งความรำคาญใจเช่นทุกที ดูเคร่งต่อภารกิจที่ได้รับ อันเนื่องมาจากภารกิจเกี่ยวพันกับชีวิตของเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งตัดไม่ขาด หลงห่วงเสียทุกครั้ง “แค่พาซาสึเกะกลับมาเหรอครับ”
ใจก็คิดตามไปด้วย ‘ถ้าไม่มีศัตรูอยู่ด้วยก็คงไม่กลายเป็นเรื่องที่น่ายุ่งยากอะไร’
“ฮื่อ แต่ภารกิจนี้นอกจากจะเร่งด่วนแล้ว มีโอกาสที่จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสูง” ท่านหญิงซึนาเดะใช้แววตาวาวโรจน์มาดร้ายด้วยความขึงขัง จ้องลึกเข้าไปยังดวงตาเบิกโพลงและหัวคิ้วที่ย่นลึกอย่างครุ่นคิด ให้ท่านหญิงแห่งเซ็นจุผู้นี้เดา เด็กน้อยคงกำลังดีดลูกคิดรางแก้ว ประเมินสถานการณ์ภาพรวมโดยคร่าวจนเห็นถึงความยุ่งยากหลายประการ จากนิสัยที่นินจาผู้อื่นวิพากษ์กันมาเห็นเป็นคนขี้เบื่อ ขี้รำคาญ หมดไฟ ดังนั้นคงไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวายยุ่งเหยิง น่าหลีกหนีเช่นภารกิจนี้เป็นแน่
“เรื่องนี้ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก เคยมีเรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นก่อนหน้านี้… มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกน้องของโอโรจิมารุจะเป็นคนชักจูงซาสึเกะไป” รอยย่นอันตึงเครียดปรากฏบนใบหน้าของผู้เยาว์วัยซึ่งกัดฟันแน่น หลุบตาต่ำปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบคลุมจิตไปชั่วอึดใจ ‘กลายเป็นเรื่องชวนปวดกบาลซะแล้วสิ ไอ้หมอนั่นก็จริงๆ น้า… ในรุ่นเดียวกันไอ้เรารึก็อุตส่าห์จับตามองว่า ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็แจ๋วไปหมด’
หลังทอดถอนใจกับการกระทำของซาสึเกะ ชิกามารุก็กลับสู่วังวนแห่งความเป็นจริง เขาเตรียมใจกับภารกิจพร้อมน้อมรับคำสั่งโดยดุษณี “ถ้างั้นภารกิจนี้ช่วยจัดเป็นหน่วยย่อยสี่คน เฉพาะโจนินกับจูนินให้ด้วยก็แล้วกันครับ”
“ทำไม่ได้หรอก” ถ้อยคำปฏิเสธของโฮคาเงะผู้บัญชาการทำชิกามารุประหลาดใจจนเผลออุทานเสียงดัง แต่ยังคงฟังคำสั่งต่อไปของนายเหนือด้วยกิริยายอมรับอยู่ในที ลงเด็กชายไม่พอใจทำสิ่งใดต้องมีอันต่อต้าน หากเวลานี้เขาพึงใจจะยืนเงียบๆ ก็แสดงออกแล้วว่าไม่ขัดข้องต่อทุกคำกล่าวที่ซึนาเดะว่ามา “ก็รู้อยู่แล้วนี่ทั้งอาสึม่า คาคาชิ พ่อของเธอก็ด้วย ตอนนี้พวกโจนินทั้งหมดต่างคนต่างก็ออกไปปฏิบัติภารกิจนอกหมู่บ้าน เหลือแค่จำนวนต่ำสุดเท่าที่จำเป็น จากนี้ไปภายในสามสิบนาที ให้เธอรวมพลเกะนินที่คิดว่าเยี่ยมยอดที่สุดเท่าที่จะหามาได้ แล้วก็ออกจากหมู่บ้านไป!”
เป็นไงเป็นกัน ถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้น่าเบื่อหน่ายเพียงไรชิกามารุจะขอเป็นนินจาโคโนะฮะสมภาคภูมิ ไม่ให้พ่อต้องมาคอยสอนเรื่องน่ารำคาญให้อีก ทายาทตระกูลนารา จูนินคนใหม่ครั้งเลื่อนระดับชั้นหันกลับมาเอ่ยเสียงหน่ายๆ กับโฮคาเงะด้วยสีหน้าที่ไม่แฝงความเนือย เอื่อยเฉื่อยตามเอกลักษณ์ พลางพร่ำบ่นด้วยคำติดปาก ซึ่งบางครั้งก็เอ่ยไปตามประสาโดยไม่ได้คิดอะไรมากความ ทั้งคนพูดยังไม่ค่อยรู้ตัวด้วยซ้ำ “น่าเบื่อจริงๆ ยังไงก็คนรู้จักกันจะปล่อยไปตามบุญตามกรรมก็ไม่ได้ เอาไงเอากัน”
ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบไปด้วยชาดสีหวานกระตุกยิ้มน้อยๆ กับนิสัยของเด็กชาย เห็นหน้าจริงจังเคร่งเครียดขนาดนั้นแต่กลับบ่นเพราะความขี้เบื่อหมดไฟซึ่งติดเป็นนิสัย เธอได้แต่วางเดิมพันว่าสมองแหลมๆ นั่นจะใช้การได้ดีจริงกับภารกิจครั้งนี้
6.
ป่าโปร่งที่มีรัศมีกว้างออกไปจากตัวหมู่บ้านโคโนะฮะเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นสูงซึ่งมีอายุหลายวงปี ยามแหงนมองจะเห็นเพียงยอดไม้รำไรหนาตาจำกัดท้องฟ้าสีครามให้เป็นวงแคบ ถ้าเวลานี้ชิกามารุไม่ยื้อยุดอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายคงจะล้มตัวลงกับกิ่งไม้หนาที่ยืนอยู่พลางทอดสายตายังท้องฟ้าเวิ้งว้างเหนือศีรษะเหมือนทุกครั้งยามว่างเว้นจากภารกิจ
หลังรับภารกิจกับ โกะไดเมะ โฮคาเงะรุ่นที่ห้าภายใต้สภาพการณ์บังคับ – ชิกามารุก็นำพาเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งเป็นเกะนินที่พอรวบรวมมาร่วมหน่วยย่อยตามการบัญชาคำสั่งออกเดินทางในตอนเช้าตรู่ ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าลอยคว้างอยู่เหนือแนวป่าสุดสายตา ทว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์คล้อยห่างจากตำแหน่งสุดท้ายที่เขามองเมื่อครั้งเหยียบออกจากประตูหมู่บ้านไปมาก ในช่วงระยะเวลาตรงนั้น หน่วยย่อยซึ่งมีเขาเป็นหัวหน้าและต้องรับผิดชอบกับลูกหน่วยอีกห้าชีวิตที่ติดตามมา พบศัตรูรวมทั้งตัวซาสึเกะ แน่นอนว่าเกิดการปะทะกัน สุดท้ายต้องสละคนใดคนหนึ่งสู้ถ่วงเวลากับลูกน้องของโอโรจิมารุคนแล้วคนเล่าที่อาสาออกมาขัดขวาง จนถึงคราวเขาที่ต้องออกมาสู้กับคุโนะอิจิผู้กำลังเข่นเคี้ยวเอาเป็นเอาตายตรงหน้า เขาจึงปล่อยให้ลูกหน่วยปฏิบัติภารกิจต่อไปโดยมอบความเชื่อใจให้
ทั่วร่างสั่นสะเทิ้มเพราะออกแรงยั้งอีกฝ่ายสุดกำลัง ไม่แยแสต่อความเจ็บปวดตรงปลายนิ้วที่ชิกามารุกระทำเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากคาถาลวงตา ซึ่งถูกโจมตีใส่จากคุโนะอิจิผู้ใช้ขลุ่ยไม้แทนอาวุธหลอนจิตประสาทคู่ต่อสู้ด้วยเพลงบรรเลงเสนาะหู เขากล้าบอกว่าแรกฟังดูก็ไพเราะดีอยู่หรอก แต่พอโดนคาถาลวงตาเข้าให้ทำเอาอารมณ์สุนทรีย์ป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
“หึ ฉันยอมรับแกก็ได้ แกไม่ใช่จะหัวแหลมอย่างเดียว ยังขวัญกล้าอีกด้วย”
ถ้อยคำชื่นชมด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแบบไม่เต็มใจจากคู่ต่อสู้หญิงผู้เงื้อคุไนอยู่เหนือท้องน้อยหวังแทงอีกฝ่ายในระยะประชิดเรียกรอยเหยียดยิ้มแกมฝืนจากชิกามารุเล็กน้อย เด็กชายกล่าวเสริมคำชมเชยที่ไม่ชวนยินดีเมื่อหมัดหนักๆ ซึ่งเงื้อสุดแขนเท่าที่สามารถกระทำได้ในสภาวะที่เขากำลังพันธนาการฝ่ายตรงข้ามด้วยคาถาเงาซึ่งใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทีเข้ากระแทกอีกฝ่ายเต็มแรง “แถมฉันยังใจดีด้วยนา การจะต่อยผู้หญิงอ่อนแอน่ะมันขัดต่อหลักการของฉัน แต่กรณีของแก… ดูไงๆ ก็ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ”
ตาขาวซึ่งแปรเป็นสีดำสนิทผิดคนปกติจ้องมองเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คู่ต่อสู้ที่ปะมือกันจนต้องใช้อักขระสาปชั้นสูงรีบจัดการให้จบลง เธอรู้สึกถึงความเยียบเย็น หนักอึ้งคล้ายดิ่งลงสู่หลุมลึกมืดมิดจากเงาที่วิ่งขึ้นทั่วร่างและบิดพันคล้ายเถาวัลย์ บังคับตรึงการเคลื่อนไหว จวนจะบีบรัดลำคอหวังปลิดลมหายใจ แต่ไม่อาจสำเร็จได้ดังใจเนื่องจากขีดจำกัดของเงานั้นเริ่มหมดลง
เรือนผมสีแดงพลิ้วสยาย เมื่อเจ้าของคลอนศีรษะรับหมัดที่พุ่งเข้ามาอีกรอบ
“แค่หลุดจากคาถาสะกดได้อย่างเพิ่งได้ใจไปนะเจ้ากิ๊กก๊อก” เจ้าของนามทายูยะโอ้อวดประกาศความเหนือชั้นกว่าครั้นหลุดจากการควบคุมของเงาได้ส่วนหนึ่ง และยั้งหมัดของชิกามารุไว้ทันท่วงที
‘ยังพันธนาการได้ไม่เต็มที่ บ้าเอ๊ย… จะแพ้มันรึไง อีกนิดเดียว’ พลังกายหมดไปมากกับการใช้คาถาผูกมัดอีกฝ่าย ต่างคนต่างเกร็งจนสั่นเทิ้ม จังหวะเดียวกันนี้ชิกามารุรีบรีดเร้นจักระบังคับเงาซึ่งค้างเติ่งให้ขึ้นถึงคอระหงทีละน้อยจนเงาในรูปลักษณ์ของมือสีดำสนิทจะถึงเป้าหมายอีกเพียงคืบ ชั่วขณะที่กำลังลงมือให้ประสพผลก็พลันชะงักงันเพราะผู้ถูกกระทำยื้อการโจมตีไม่ถอย
ชิกามารุเหลือบมองคุโนะอิจิแห่งโอโตะเพราะการแผ่จักระของเธอเข้มข้นขึ้นจนสามารถสัมผัสได้ชัดเจน จังหวะนั้นเงาที่เคลื่อนตัวถึงลำคอก็ถอยร่นลงอีก หญิงสาวกระจายจักระไปทั่วร่างทำให้ส่วนผิดปกติบนศีรษะซึ่งยื่นออกมาเป็นแง่งดุจเดียวกับเขาสัตว์ยืดตัวด้วยพลังงานสะสม เส้นประสาทบนขมับเขาก็ปูดโปนเช่นกัน ‘ยัยนี่ทำไมจักระมหาศาลขนาดนี้ ระยะใกล้แค่นี้ขนาดมัดไว้แล้วยังผลักเงากลับมาได้อีก คาถาเงารัดคอสิ้นเปลืองจักระปริมาณมากเกินไป แต่ขืนปล่อยมือมีหวังเสียท่าแน่ มีแต่ต้องใช้คาถานี้จัดการให้เสร็จสิ้นเท่านั้น’
“ฮึ่มมม” กรามขบแน่นจนขมับตึง เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าอ่อนวัยที่ขะมุกขะมอม ไม่ว่าชิกามารุออกแรงเร้นจักระเข้าต่อกรเท่าไหร่เงาก็ยิ่งร่นลงมามากเท่านั้น จะถูกคลายออกเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา ‘โธ่เว่ย จักระไม่พอแบบนี้มีหวัง…’
‘ใจเย็นๆ แล้วก็คิดหากลยุทธ์ ต้อง… ต้องหาทางอะไรให้ได้ซักอย่าง!’ เป็นเพียงแค่เสียงในใจที่ชิกามารุกล่าวกับตัวเอง ดวงตาคมกริบอันดุดันเหลือบมองเงาหดต่ำลงช้าๆ ห่างจากจุดเดิมซึ่งเคยอยู่บนลำคอระหงไปมาก ยังดีที่เงาอีกส่วนยึดรั้งแขนข้างหนึ่งของคุโนะอิจิไว้ ไม่เช่นนั้นคุไนในมือนั่นคงจ้วงแทงส่งวิญญาณเขาสู่สุคติ ทว่าคงรั้งได้อีกไม่นาน เด็กชายย่อมทราบขีดจำกัดของวิชาเงาดี แม้ทั่วสรรพางค์ที่เหยียบยืนบนกิ่งไม้หนาแกร่งจะแข็งนิ่ง เกร็งตัวยื้อฝ่ายตรงข้ามสุดกำลังเพื่อรักษาชีวิตที่หากพลาดนิดเดียวย่อมหมายถึงจุดจบอยู่ก็ตาม แต่อีกไม่ถึงอึดใจ ไม่ฝ่ายใดก็ต้องจบชีวิตอย่างไร้ความปราณี โดยฝ่ายนั้นคงไม่พ้นเขาผู้บังคับเงา ‘สุดขีดแล้ว’
“อีกนิดเดียวเท่านั้นเจ้าสวะ” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมนี้เป็นของทายูยะ บีบให้ชิกามารุยิ่งจนตรอก
‘ความเป็นไปได้ที่จะมีคนแบบครูอาสึม่ามาช่วยตอนเข้าตาจนแบบครั้งที่แล้วคงไม่มีร้อยเปอร์เซ็นต์แหงๆ …แล้วคิดจะหาคนช่วยไปทำไม ใจเย็นๆ ซี่’ ต่อให้หลับตาแน่นสนิทเพราะความกดดันใต้จิตสำนึก มันสมองก็ไม่มีทางคิดแผนการรับมือออกได้ในชั่วเวลากระชั้นชิดแน่นอน เด็กชายสูญเสียความสุขุมเยือกเย็นอันคงมีเสมอด้วยอยู่ในภาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
“ฮึ่ม คิดยังไงๆ ก็หาแผนเข้าท่าๆ ไม่ได้! ไม่ไหวแล้วยิ่งขืนกว่านี้…”
พูดเท่านั้นเงามือซึ่งพันธนาการแขนข้างที่หญิงสาวถือคุไนก็คลายออก ยืดกลับคล้ายปล่อยหนังยางอย่างแรง ครั้นเป็นอิสระทายูยะกระชากแขนหวังแทงคุไนแท่งคมยังเด็กชายตามแผนการเริ่มแรกไม่มีการรีรอทันที “เสร็จฉันละ!”
จบคำมาดร้าย พลันปรากฏสายลมหมุนเกลียวเป็นวงแคบประหนึ่งพายุหมุนลูกย่อมพัดร่างผู้พูดคว้างอยู่กลางอากาศ เงาร่างหนึ่งโดดขวางอยู่หน้าชิกามารุทำให้ตกตะลึงไม่น้อย ผู้หญิงน่ารำคาญโผล่ขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว ใจเขาไม่เคยนึกชอบผู้หญิงแต่ต้องมีอันให้เกี่ยวพันกับสตรีเพศทุกครั้งไป คุโนะอิจิคนที่มีดวงตาสีเขียวคราม ดวงหน้าคมและริมฝีปากเล็กๆ ซึ่งมักเหยียดยิ้มหยันแปลกแยกจากหญิงอื่นจนเขาอดยอมรับไม่ได้ถึงความแปลกตาพร้อมนิสัยที่ต่างออกไป สิ่งเหล่านั้นบ่งบอกถึงตัวเจ้าของการโจมตีจากพัดเหล็กขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์เบื้องหน้าเขา ฝ่ายที่ถูกโจมตีก็ได้แต่หัวเสียเกาะยึดกิ่งไม้พลางคำรามเสียงขุ่น “ใครกัน!”
“พันธมิตรของโคโนะฮะ นินจาซึนะ” หญิงผู้คลี่พัดเสมือนพญานกยูงรำแพนหางกล่าวราบเรียบ มีแววเย่อหยิ่งถือดีในศักดิ์ศรีของตนเสมอ เทมาริไม่ได้สนคนที่ยืนตะลึงอยู่ด้านหลังสักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ยังไม่ลืมการต่อสู้ครั้งล่าสุดกับเด็กชายที่เธอต้องมาช่วยเหลือ ดวงตาคู่สวยหันเหความสนใจทั้งหมดมาลงยังคุโนะอิจิแห่งโอโตะงาคุเระบนกิ่งไม้แกร่งเหนือระดับสายตามากกว่า
“ได้ยินว่ามีการสมานสัมพันธ์กับซึนะที่ทรยศเรา แต่ไม่คิดว่าจะพลิกท่าทีเร็วขนาดนี้” ชิกามารุเอ่ย พอเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดโดยคาดเดาภาพรวมคร่าวๆ หากคุโนะอิจิจากซึนะกล่าวด้วยถ้อยคำอันแสดงถึงการมาอย่างเป็นมิตรย่อมต้องถูกสั่งการจากผู้มีอำนาจสูงสุดประสานงานกันเพื่อช่วยเหลือหน่วยย่อยของเขาเป็นแน่ ‘ท่านรุ่นที่ห้ากับซึนะ… รอดตัวไปที’
“พวกเราก็ไม่ได้โจมตีโคโนะฮะเพราะอยากหรอกนะ มันเป็นคำสั่ง” เทมาริชายตามองผ่านพัด “เหมือนกับที่ต้องอยู่ที่นี่ตอนนี้นั่นแหละ ว่าแต่นาย หัวที่ว่าแหลมๆ น่ะทื่อแล้วรึไง ยังจะยอมแพ้อีกมั้ยล่ะครั้งนี้ฉันลุยแทนให้ก็ได้นะ”
ไม่แม้แต่จะเมียงมองมาอีกยามเอ่ยคำพูดซึ่งดูเย้ยหยัน เด็กชายจึงไม่อาจเห็นสีหน้าและแววตาที่แท้จริง – ดวงตาเปล่งประกายอันมีทั้งความรู้สึกเอ็นดูประหนึ่งหวังจะแกล้งปั่นหัวน้องชายตัวน้อยให้ถึงที่สุดเหมือนหยอกเย้าอยู่ในที คล้ายเธอกำลังสนุกกับการมาช่วยเหลือเด็กชายอดีตคู่ประลอง – ถึงกระนั้นชิกามารุก็รู้ว่าหญิงสาวไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเช่นกัน หากเขากล่าวออกไปอีกแบบเพื่อให้อีกฝ่ายมองเหมือนเขาตีความหมายตรงตามที่พูด “โทษที… ไงๆ ฉันก็ยอมแพ้ไม่ได้ เป็นผู้ชายให้ผู้หญิงปกป้องเสียหน้าแย่”
“ฮึ ยังแยกแยะหญิงชายน่ารำคาญเหมือนเดิม ถึงจะวางมาดยังไงก็เห็นๆ อยู่ว่าฝืนใจน่ะ ตาบ้า!”
“คราวนี้เข้าข้างโคโนะฮะรึ เดี๋ยวเข้าข้างฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ยุ่งจริงๆ นะ” บทสนทนาของสองคู่ปรับเก่าถูกแทรกขึ้นกะทันหันโดยสตรีผู้ยกขลุ่ยไม้จดริมฝีปากคิดร่ายบทเพลงจู่โจมผู้มาใหม่ให้มีชะตากรรมเช่นเดียวกับที่เด็กชายตัวดีประสบ
“มันใช้เสียงขลุ่ยสร้างภาพลวงตา” เห็นดังนั้นชิกามารุจึงกล่าวเตือนคุโนะอิจิจากซึนะ ด้วยความที่เพิ่งมาอาจยังไม่ทราบถึงความสามารถของศัตรูและปัจจัยรวม แต่หญิงสาวเพียงพยักหน้า ส่งเสียงรับสั้นๆ ในลำคอไม่ยี่หระต่อเสียงเพลงแว่วหวานทว่าบาดจิตหลอนประสาทน่าพรั่นพรึง ท่อนขาสมส่วนวาดปลายเท้าไปด้านหลังตั้งท่าเตรียมพร้อม เหวี่ยงกายไปข้างหน้าเพื่อสะบัดพัดใหญ่ด้วยพละกำลังทั้งหมด ฉับพลันบรรยากาศบริเวณนั้นแปรปรวน สายลมปั่นป่วนพร้อมกรีดตัดทุกสรรพสิ่งถูกสร้างจากพัดเหล็กเห็นเป็นเกลียวคลื่นกระโชกแรงตัดอากาศ นำพาฝุ่นรวมถึงเศษละอองอันหลุดลอยเพราะความคมกริบปลิดปลิวไปตามกระแสมรสุมนั้น
ไม่ต้องให้บอกชิกามารุก็เตรียมตั้งมือกำบังสายลมกระหน่ำ ผนวกกับเศษฝุ่นเศษไม้ตีเข้าใบหน้าเรียบร้อย จากประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กันมากับผู้ถือครองธาตุลมสอนให้ชิกามารุกระทำโดยอัตโนมัติ ถ้าให้เขาเดาใบหน้าสวยคมคงกำลังฉีกยิ้มยินดี พึงพอใจกับผลงานของตัวเองเสียเหลือเกิน แม้เจ้าตัวจะล้มต้นไม้ใหญ่หลายชั่วอายุคนลงเป็นทิวแทบก็ตามที อย่างไรเขาก็ต้องมอบความดีความชอบให้ ‘พัดเสียงขลุ่ยจนเข้าไม่ติด ซ้ำยังโจมตีศัตรูในสภาพวัตถุได้ด้วย ท่าเดียวใช้ได้ทั้งรุกและรับ มีวิชาแจ๋วกว่าฉันซะอีก’
จบเสียงลมเสียดอากาศความเงียบสงัดเข้าปกคลุมเหมือนความเวิ้งว้างยามพายุสงบ สัมผัสไม่ได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของศัตรู ชิกามารุเป็นฝ่ายสอดส่ายสายตา เทมาริจึงคอยเงี่ยหูจับกระแสเสียงที่ควรหลงเหลืออยู่ ”ยัยนั่นแอบซ่อนตัวอยู่ล่ะสิ”
ตามมาด้วยเสียงของเทมาริซึ่งเอ่ยขึ้นแทบจะพร้อมกัน “หนีไปแล้วรึไง”
“เปล่า ไม่มีทางหรอก” สายตาจริงจังที่ส่งออกมายืนยันทำให้เทมาริเงียบไป ประหวัดได้ว่าเธอเพิ่งมาเป็นคนให้ความช่วยเหลือ แต่คนถูกช่วยสู้กับคุโนะอิจิหญิงมาก่อนหน้านั้นช่วงหนึ่งแล้ว ควรรู้นิสัยกับแนวการต่อสู้ในระดับหนึ่งถึงได้กล้ากล่าวรับรองออกมาต่อหน้าเธอ และถ้าคนพูดไม่ใช่นานิโงโตะมารุเธอคงไม่ยอมให้วิเคราะห์สภาวการณ์ทั้งหมดอย่างแน่นอน
“…ฉันเพิ่งจะมาถึง นายช่วยวิเคราะห์ความสามารถกับสไตล์การต่อสู้ ประเมินสถานการณ์ตอนนี้ให้หน่อยสิ” เอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัว เทมาริไม่ทันรู้สึกเลยว่าภายในใจซึ่งยังไม่ลืมการประลองครั้งล่าสุดที่สอนให้คนไม่รู้จักคำว่าแพ้อย่างเธอประสบกับความปราชัยจะยอมรับสติปัญญาที่ทำให้ตนพ่าย แม้เวลานั้นจะยอมรับไปทั้งหมดแต่ด้วยเนื้อแท้แล้วก็ยังพอหลงเหลือความเจ็บใจอยู่บ้าง หากทว่าเวลานี้ความเจ็บใจนั่นกลับมลายหายไปสิ้นอย่างน่าฉงน เธอแอบชื่นชมในส่วนลึกอย่างเงียบๆ จนเผลอให้เด็กชายแสดงความสามารถ ออกมาวิเคราะห์เข้าทางความถนัดด้วยตัวเอง
“ก่อนอื่นกลยุทธ์พื้นฐานของมันคือใช้ขลุ่ยสร้างภาพหลอนต่อศัตรู แล้วก็อาศัยช่องโหว่โจมตีด้วยวัตถุ เป็นพวกสายหลอนจิตโจมตีจากระยะไกล พอเห็นวิชาของเธอเข้าคงรู้ตัวทันทีว่าวิชาของตัวเองแพ้ทาง แถมยังโดนสองรุมหนึ่งคงจะไม่โผล่มาต่อหน้าพวกเราอีกจนกว่าจะใช้วิชาลวงตาได้” ชิกามารุเอ่ยต่อหลังจากเทมาริเอ่ยทวนการโจมตีของอีกฝ่ายเสียงเคร่ง
“...เสียงรึ” คิ้วขมวดเล็กน้อยขณะกำลังใคร่ครวญตามไปด้วย
“ฮื่อ วิชาหลอนจิตปกติจะใช้สัมผัสทั้งห้า ประสาทรับภาพ ฟัง ดมกลิ่น รับรส สัมผัส โจมตีหลอกหลอน ในวิชาทั้งหมดวิชาภาพลวงตารับมือยากที่สุด นอกจากยัยนั่นจะหนีไปทิ้งระยะห่างไกลสุดแล้วยังซ่อนตัวไว้ด้วย ฝ่ายเราไม่รู้เลยว่าจะถูกใช้คาถาหลอนจิตมาทางไหนเมื่อไหร่ ตอนที่รู้ตำแหน่งของมันจากเสียงขลุ่ย ฉันก็เกือบจะตกอยู่ใต้คาถาหลอนจิตของมันแล้ว” ความเจ็บปลาบที่แล่นขึ้นจากปลายนิ้วเริ่มรู้สึกขึ้นมาหลังหยุดจากยื้อดึงกับศัตรู ได้แต่กุมนิ้วอันบิดเบี้ยวบีบแน่นข่มกลั้นความเจ็บปวด ก่อนจะกล่าวคำวิพากษ์ต่อ “ถ้าถามฉันก็ต้องบอกว่าเราเสียเปรียบหลุดลุ่ย แบบนี้ไม่ช้าก็เร็วคงจนมุมแน่ ฉันว่าเราถอยก่อนดีกว่า…”
“ใครถามความเห็นนายกัน ฉันแค่บอกว่าให้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างเดียว” ริมฝีปากเล็กอวบอิ่มยิ้มหยักลึก กัดปลายนิ้วแรงจนเลือดสีแดงเข้มปริ่มไหล “ถ้าเผชิญหน้ากับฉัน แล้วคิดว่าจะซ่อนตัวสบายใจอยู่ในระยะเสียงขลุ่ยได้ละก็ คิดตื้นๆ ไปแล้ว”
เหมือนครั้งที่สู้กันในการสอบจูนินรอบจริง ชิกามารุก็ไม่อาจหลบอยู่หลังแมกไม้อย่างสบายใจได้ เพราะการโจมตีอันหนักหน่วงเข้ามาหลายระลอก โลหิตแดงฉานระบายลงบนพัดสีขาวสะอาดเป็นทางยาวตามขวางตัดกันชัดเจน คุโนะอิจิแห่งซึนะโบกสะบัดไม่รั้งรอเช่นเคย อากาศหมุนคว้างบีบอัดอย่างแรง วูบหนึ่งสัตว์เชิญร่างขาวก็กระโจนก้าวรวดเร็วไม่เห็นตัว แหวกสายลมเข้าปะทะใบหน้าชิกามารุทิ้งเพียงเส้นสีขาวเป็นแนว โคมและเคียวของสัตว์อัญเชิญส่องสว่างด้วยจักระสีฟ้าใสเปิดทางก่อนโจมตี
คาถาเชิญระบำฟาดฟันด้วยคาไมทาริพร้อมเคียวเล่มใหญ่ยาวคมกริบ นำพาสายลมเฉียบคมตัดสิ่งขวางหน้าพินาศ ต้นไม้จึงโค่นลงเป็นลำๆ ลำต้นมากอายุปริแตกด้วยแรงกดดันมหาศาล อึดใจต่อมาทุกสิ่งรอบกายขาวโพลนไม่อาจเห็นเป็นรูปร่าง
“…!” ชิกามารุหลับตาตามกลไกป้องกันตัวเอง ป้องมือหลบเศษฝุ่นปลิวว่อน ถึงกระนั้นก็ยังพยายามลืมตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความเป็นไปโดยรอบ รัศมีการทำลายของคาถาเชิญกินอาณาเขตกว้างสุดสายตาจนเห็นทิวเขาอีกด้านของชายป่าอยู่ลิบๆ เมื่อแรกที่มองไปทางใดก็เห็นแต่ภาพต้นไม้หนาทึบนั้นหายไป ไม้สูงระฟ้ามากวงปีหักโค่นทับถมกันระเกะระกะไม่อาจเห็นพื้นดิน ฝุ่นควันโขมงลอยตัวสูงถึงท้องฟ้าที่เคยถูกยอดไม้บีบจนแคบแต่ตอนนี้กลับเปิดโล่งเห็นฟ้ากระจ่างตัดปุยเมฆขาวได้รอบทิศทาง
ท่ามกลางกองไม้พะเนินสูงร่างของศัตรูนอนจมอยู่ใต้ซากไม้นั่น เห็นเช่นนั้นคุโนะอิจิแห่งซึนะ ต้นเหตุของความพินาศบนพื้นป่าซึ่งเคยสงบก็เอ่ยขึ้นโดยไม่หันมาสบตาคู่สนทนาผู้ยืนนิ่งไตร่ตรองผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปตรงหน้า
“ไง จบแล้วนะ”
ผู้ถูกถามไม่ตอบรับ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ชิกามารุเคยชมผู้หญิงนอกจากแม่อยู่คนเดียว ผู้หญิงตรงหน้าน่าเขย็ดขยาด ฉลาดและเก่งกาจ ไม่ได้ดีแต่ทำตัวน่ารำคาญเช่นผู้หญิงทั่วไปที่เขาเคยประสบ นอกจากจะยอมรับเรื่องหน้าตา ความสามารถ ตอนนี้ต้องเสริมเข้าไปอีกว่าน่ากลัว เด็ดขาด ห้าวหาญดุดันกว่าสตรีเพศคนไหนๆ ‘มุทะลุจริง ยัยนี่น่ากลัวกว่าแม่เราซะอีก’ เด็กชายตระกูลนาราเบ้ปากแต่แล้วต้องชะงักงัน…
เธอยิ้ม พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง ยิ้มสวย… มาก
“แจ๋วมั้ยล่ะ” ไม่ได้รับคำตอบเช่นเคย ชิกามารุเพียงตอบในใจ พลางระบายยิ้มน้อยๆ ‘ครั้งนี้ได้แต่ขอบคุณเท่านั้นแหละ…’
つづく.
ความคิดเห็น