The Snow, Death and Decay - นิยาย The Snow, Death and Decay : Dek-D.com - Writer
×

    The Snow, Death and Decay

    - เขาถูกดูดลงไปในดวงตาสีขาวกระจ่างราวกับพายุโหมกระหน่ำ ที่พัดเอาจิตใจเขาให้จมดิ่งลงสู่ประกายสีฟ้าจางเหมือนซับน้ำฝนไว้

    ผู้เข้าชมรวม

    1,636

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    24

    ผู้เข้าชมรวม


    1.63K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    8
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  6 ก.ค. 64 / 22:06 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ





    The Snow, Death and Decay
    - หิมะ ความตาย และเถ้าถ่าน -




    เท็นเง็นคะมิ มหาเทพบิดรผู้เป็นปฐมกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง แม้แต่กับความไม่มีสิ่งใด ได้สร้างผืนแผ่นดินนามว่าทะมะทะคะระ ซึ่งเป็นโลกเพียงหนึ่งเดียว มันถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่าและเอกภาวะ ทรงรังสรรค์แผ่นดินอันไพศาลเปี่ยมด้วยความอุดมสมบูรณ์และความรุ่งเรืองเจิดจรัส ทว่าความแตกแยกระหว่างพงษ์พันธุ์หลังจากนั้นเป็นเหตุให้พระองค์ต้องแบ่งดินแดนบนผืนแผ่นดินนี้เป็นสามส่วน อันได้แก่ ทะคะมะฮะคะระเหนือผืนแผ่นดิน ดินแดนแห่งเหล่าเทพและเทพนารี โทโยอะคะชิฮะระบนผืนแผ่นดินของเหล่ามนุษย์ผู้เป็นที่โปรดปราน และอะสะคุโนะโยะมิแห่งแผ่นดินเร้นลับ ที่ซึ่งอสูร ปิศาจ ภูตพรายและบรรดาวิญญาณไม่ดับสูญสถิตอยู่ แต่ถึงกระนั้นความขัดแย้งบาดหมางก็ไม่เคยเลือนลางหายไป





    ยุคิมุทสึเนะ โนะ มิโคะโทะคือเท็นชินคะมิ เป็นมหาเทพปกครองอะสะคุโนะโยะมิเป็นนายของเหล่าอมนุษย์ ได้รับพรจากมหาเทพบิดรให้ทรงอำนาจเสมอเท็นมิคะมิผู้ซึ่งเป็นมหาเทพปกครองทะคะมะฮะคะระอันเป็นดินแดนแห่งเทพและเทพนารีทุกประการ บางทีด้วยเพราะอยู่กับเหล่าปิศาจและอสูรมายาวนานจึงอาจหลงลืมการมีชีวิตไป ทั้งอารมณ์และความรู้สึกล้วนด้านชา ดวงตาสีอำพันไม่สะท้อนสิ่งใดทั้งสิ้น นอกเสียจากความว่างเปล่าอันลึกล้ำ

    มีประพันธ์อยู่บนหนึ่งที่กวีบนโทโยอะคะชิฮะระเคยพรรณนาถึงเทพนารี จิฟุมิ โนะ มิโคะโทะคือเทพนารีตามลำนำดังกล่าว แต่ถึงกระนั้นบทกวีก็มิอาจรำพันได้ถึงครึ่งของความงามแห่งนาง นางเป็นราชบุตรีแห่งมหาเทพบิดร ถือกำเนิดกลางวสันตฤดูที่ซึ่งทั่วดินแดนสะพรั่งไปด้วยมวลบุปผา ไม่มีเทพนารีถือกำเนิดขึ้นบนทะคะมะฮะคะระมานาน และนางคือความปิติยินดีของมหาเทพบิดรผู้เป็นบิดา เป็นดังพระพรเสมอนามหนึ่งพันความดีงามทุกประการ



    เพราะทะมะทะคะระมีสิ่งที่เรียกได้ว่าดีงามหนึ่งพันอย่างที่สื่อบนหนึ่งพันตัวอักษร และจิฟุมิคือตัวแทนหนึ่งพันความดีงามดังกล่าว เพราะมหาเทพบิดรผูกนามให้นางเช่นว่า ที่ใดที่นางเหยียบย่าง พรดีงามแห่งมหาเทพบิดรจะปรากฎ ณ ที่แห่งนั้นเสมอเหมือนกัน ตัวนางจึงถือตนว่าเป็นดังพระพร แต่คนผู้หนึ่งมิเคยขานนามที่เป็นเสมอพรศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้ง ยามที่มันถูกเอื้อนเอ่ยอยู่เสมอ

    เทพนารี” เขามักเรียกนางอย่างนั้นเรียกนางด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเจือความหมางเมิน บางครั้งเสียงก็ขุ่นคล้ายอยากจะตำหนิ หากนั่นเป็นเพราะนิสัยของเขานั่นเอง นางไม่ใคร่สนใจนัก นางมักเรียกเขาว่ายุคิมุทสึเนะสั้นๆ อย่างเป็นกันเองไม่มีพิธีรีตองให้มากความ ถึงแม้เขาจะมีสถานะที่สูงส่งกว่าก็ตาม ไม่ใคร่จะมีผู้ใดมีสถานะสูงกว่านางที่เป็นจ้าวราชบุตรีแห่งมหาเทพบิดรมากนักหรอก เขาไม่ว่าอะไร แต่มีครั้งหนึ่งต่างออกไป ฮะคุ” เขาเรียกนางอย่างนั้น หลังจากต้องธนูของพวกนอกรีตเข้าที่สะบัก ยุคิมุทสึเนะ โนะ มิโคะโทะนั่งอยู่บนเบาะกำลังรินสาเกใส่มะสึ แขนเสื้อฮะโอะริถูกเปลื้องลงข้างหนึ่งให้เห็นผ้าพันแผลบนช่วงอกแน่น ดวงตาสีอำพันต้องแสงตะเกียงจนดูวาววับเป็นพิเศษ

    ตอนหลังนางถึงถามเขาว่าทำไมถึงเป็นฮะคุ เพราะนามนั้นแปลว่าขาวสล้าง เขาบอกว่ายังไม่รู้อีกเหรอ ท่านพิสุทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใด เป็นสีขาวปลอดโดยไม่มีการแต่งแต้ม ไม่มีสิ่งเจือปน ดวงตาของท่านก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน



    จิฟุมิจำครั้งแรกที่พบหน้าเท็นชินคะมิแห่งอะสะคุโนะโยะมิได้ นางเคยเอ่ยถามนามของเขา "ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร นายข้า"

    ในขณะนั้นเอง ยุคิมุทสึเนะ โนะ มิโคะโทะก็มองเส้นผมสีดำเรียบลื่นที่พันกันยุ่งของนารีน้อยตรงหน้า ร่างของนางดูปราดเปรียวและว่องไว แม้ริมฝีปากจะกระตุกยิ้ม หากทว่าดวงตาไม่แสดงอารมณ์ใด ยังคงสงวนกิริยาและเก็บงำอารมณ์ไว้อย่างดีเช่นสตรีชั้นสูงที่ได้รับการอบรม สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือนางหาใช่มนุษย์ธรรมดาไม่ นางคงจะเป็นเทพนารีสักองค์ที่แอบลงมาเล่นสนุกสำราญบนโทโยอะคะชิฮะระตามประสายุวเทพนารีผู้ยังเยาว์วัย ยุคิมุทสึเนะ เท็นชินคะมิ เงียบไปครู่หนึ่ง "ดังเช่นที่เจ้าอยากเรียก"

    "ข้ามักผูกนามให้แก่คนมากมาย จนตอนนี้หมดภูมิข้าแล้ว" ไม่เคยมีใครกล่าวเช่นนี้กับเท็นชินคะมิแห่งอะสะคุโนะโยะมิมาก่อน แต่จะอย่างไรเสีย นางก็คือสตรีที่กล้าหาญยิ่งอยู่นั่นเอง เพราะนางคือจ้าวราชบุตรีแห่งมหาเทพบิดร แม้เขาจะกลบรัศมีแห่งเทพของตนจนหมดก็ตามที ทว่านางก็ไม่ได้มีท่าทีคร้ามเกรงดังเช่นที่ทุกผู้ทุกคนรู้สึกกับเขา นั่นทำให้เขาสนใจใคร่รู้ถึงสถานะแท้จริงของสตรีตรงหน้า หรือบางทีอาจจะเป็นเทพนารีผู้อ่อนเดียงสามากเสียจนไม่รู้จักแยกแยะความเหมาะสมก็เป็นได้ เขาพินิจมองนางแล้วต้องนิ่วหน้าในความงามอันผุดผาดเกลี้ยงเกลา นางพิลาศล้ำเกินไป มีประกายความองอาจแกล้วกล้ามากเกินไป และรัศมีความรู้สึกที่แผ่ออกมาในบรรยากาศรอบตัวก็บริสุทธิ์ไร้มลทินเสียจนระลึกได้ถึงความดีงามทั้งปวง

    ทั้งหมดนั่นทำให้เขาชะงักด้วยความพิศวงในสิ่งที่รวมกันเป็นตัวนาง เพราะไม่เคยพบเจอเทพนารีองค์ใดให้ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เทพหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาในความไม่พอใจและนึกสะกิดใจในความงามผ่องแผ้วที่มากล้นเหลือนี้ นางคงจะเป็นนารีธาตุน้ำ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงพลังอันพิสุทธิ์แห่งการรักษาชำระล้างและหล่อเลี้ยงอันแรงกล้าจนธาตุดินเข้มข้นในตัวเขาลุกโชน มันถูกปลุกให้สั่นสะท้านขึ้นมา ร่ำร้องรุนแรงด้วยความปรารถนาจะตอบรับต่อธาตุที่จะเกื้อหนุนจุนเจือ ทั้งยังจะเสริมพลังให้เพิ่มพูนบริบูรณ์ยิ่งอย่างสายน้ำ ยุคิมุทสึเนะรำคาญคำถามของนาง ดวงตากลมโตใคร่รู้ใคร่เห็นอันสัตย์ซื่อนั่น และสิ่งทั้งหลายอันประกอบเป็นตัวนางนัก จึงได้ตอบส่งๆ ไปด้วยนามที่ไม่คิดจะปกปิดอำพรางตน เพื่อที่จะได้ยุติเรื่องมากความหรือต่อความยาวสาวความยืดกับยุวเทพนารีองค์นี้

    "เรียกข้าว่ายุคิมุทสึเนะแล้วกัน" ทว่าทั้งที่บอกออกไปเช่นนี้ ทว่านางก็หาได้ฉุกคิดถึงสถานะแท้จริงของเขาเลยแม้แต่น้อย หรือบางทีนางอาจจะไม่คิดสนใจแม้เพียงนิด นั่นเป็นครั้งแรกที่ยุคิมุทสึเนะนำตนเข้าไปผูกพันกับจ้าวราชบุตรีแห่งทะมะทะคะระ และสายชะตาก็ค่อยๆ ถักทอไปตามทางที่พวกเขาทั้งคู่เลือกจะลิขิตขึ้นเองทีละน้อย








    หากจะมีสิ่งใดที่เขาเชื่อ หรือมีอารมณ์พันผูกเกี่ยวโยงด้วยต่างจากความหมางเมินต่อทุกสิ่งบนโลกอย่างผู้ปลดปลงสิ้นแล้ว ก็คงจะเป็นยุวเทพนารีองค์หนึ่งผู้เป็นเจ้าของนามหนึ่งพันความดีงาม นางผู้เป็นข้อยกเว้นของสิ่งใดๆ ทั้งปวงสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นความชิงชังต่อพงษ์พันธุ์เทพ คำปรามาสสบประมาทและมลทินอันมีต่อเผ่าพันธุ์อมนุษย์ที่เขาปกครอง ตลอดจนความบาดหมางขัดแย้งทั้งหลายทุกประการบนผืนแผ่นดิน นอกจากนี้ ระหว่างเขากับนางยังไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีคำว่าพงษ์พันธุ์ หรือแม้กระทั่งความเหมาะสมเข้ามาเกี่ยวข้อง เราอยู่เหนือเรื่องราวหรือชนวนความแตกแยกไม่ลงรอยระหว่างเผ่าพันธุ์ แม้นั่นจะทำให้พวกเราต้องมาเกี่ยวพันอยู่ในวังวนดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอีกวิถีทางหนึ่งแทนก็ตาม

    เท็นชินคะมิแห่งอะสะคุโนะโยะมิยอมรับว่านางเป็นเทพนารีที่น่ารำคาญยิ่ง เขาเชื่อว่ายามปกตินางเป็นสตรีที่ถูกอบรมมาอย่างดีว่าการแสดงออกซึ่งอารมณ์มากมายคือการเสียมารยาทและไม่งาม ทว่าเทพนารีองค์นี้กลับคล้ายจะเป็นขบถตัวน้อยๆ ยามอยู่กับเขา เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังสดชื่นมีชีวิตชีวา ทุกอารมณ์ที่พาดผ่านแสดงให้เห็นถึงการมีชีวิตและความงดงามของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต นางช่างฉอเลาะเวลาอยู่ร่วมกัน ชอบอ้อล้อหยอกเย้าราวกับเห็นความเรียบเฉยถมึงทึงของเขาที่ใครต่อใครต่างครั่นคร้ามเป็นเรื่องสนุก จนเขาไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือปฏิเสธความสำราญยามอยู่กับนางได้ในท้ายที่สุด




    จิฟุมิ โนะ มิโคะโทะ” ด้วยเสียงเรียกนั้น เจ้าของนามหนึ่งพันความดีงามจึงหันไป นางพบกับชายรูปร่างสูงใหญ่ที่จ้องมองนางอย่างเรียบเฉย เยือกเย็นเหมือนหิมะที่ราบเรียบสงบนิ่งใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม จิฟุมิหันเผชิญหน้ากับยุคิมุทสึเนะ โนะ มิโคะโทะ จากนั้นภาพเบื้องหน้าก็ดูจะเคลื่อนไหวคลอนแคลนอย่างรวดเร็ว พอๆ กับแรงกระทำที่เข้ามาดึงแขนเธอไว้ให้เข้าหาอีกฝ่ายผู้มีใบหน้าเย็นชาถมึงทึง

    ปล่อยเรา ท่านถือดีอย่างไรมาแตะต้องกายเรา” ปกติแล้วจิฟุมิเท็นเนียวนั้นมิใช่คนถือยศศักดิ์ไม่ถือตัว และไม่หยิ่งยโสในตัวเอง ทว่ากับบุรุษตรงหน้า จิฟุมิรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ ดวงตาสีฟ้าสว่างเหมือนหยาดพิรุณวาวโรจน์และแข็งกร้าวอย่างท้าทาย ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อน นัยน์ตาสีอำพันจ้องมองกลับมาอย่างเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านใดๆ เลย ไม่มีความรู้สึกปรากฏออกมา นั่นทำให้เท็นเนียวตัวน้อยลังเลและเริ่มไม่มั่นใจ นางไม่เคยเจอใครปฏิบัติเช่นนี้กับนางมาก่อน ทั้งยังไม่เคยต้องทำทีเช่นผู้ถือตัวอันทระนงเย่อหยิ่งตามศักดิ์แต่กำเนิดหรือแสดงฐานะแห่งตนเช่นนี้ ยุคิมุทสึเนะ เท็นชินคะมิ ตวัดสายตาลงมองสตรีที่ตนดึงตัวไว้ เขาเบือนหน้าเล็กน้อยคล้ายจะระอา แต่ก็ไม่ปรากฎความรู้สึกใดอยู่นั่นเอง จากนั้นก็รวบตัวนางขึ้นไป เบาหวิวราวกับขนนก พาดบนบ่าของเขาดังยกปุยน่นเลยทีเดียว จิฟุมิเท็นเนียวตกใจยิ่ง นางไม่ทันได้ส่งเสียงทัดทานหรือกระทำสิ่งใดได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อได้สติกลับคืนมาอย่างอาการตกตะลึงที่ไม่ทันตั้งตัว เทพนารีก็ส่งเสียงร้อง

    เทพนารี” ยุคิมุทสึเนะกล่าว น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำลงเหมือนจะปราม และเหมือนจะพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยเช่นกัน มันเจือด้วยความขุ่นข้องและความสุขุมเยือกเย็นไปพร้อมๆ กัน ท่านคิดว่าด้วยแรงแค่นี้จะทำอะไรเราได้หรือ




       


    "เด็กน้อยเช่นท่าน กล้าพูดถึงเรื่องเช่นบ่วงหรือ" ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวกับนางเช่นนั้น จิฟุมินิ่งเงียบไป สำหรับเหล่าเทพและอมนุษย์แล้วความรักที่พวกมนุษย์เรียกกันคือบ่วง เป็นพันธะที่ทุกพงษ์พันธุ์ไม่อาจขาดไปได้ บ่วงถือเป็นพรวิเศษของมหาเทพกำเนิดที่มอบแก่ทุกชีวิตบนโลก รักครอบครัว รักบิดามารดาของตน รักชีวิต รักทรัพย์สิน หรือกระทั่งรักที่พึงระวังเช่นการรักคนผู้หนึ่ง ทุกเผ่าพันธุ์ย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น จิฟุมิเท็นเนียวหยุดยืนอย่างเรียบเฉยราวกับรู้คำตอบนั้นถ่องแท้ดีอยู่ตลอด ก่อนจะยิ้มให้กับอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าซีดจางราวกับซับน้ำฝนไว้นั้นอ่อนหวานลึกล้ำ "เรามิริอาจพูดถึง แต่เราเข้าใจความหมายของมันดี เพราะรักท่าน เราจึงไม่คิดครอบครองสิ่งใดในตัวท่าน นั่นเพียงพอแล้วหรือไม่"

    นางเคยกล่าวกับเขาเช่นนั้น ในกาลต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าบ่วงแท้จริงอันมากมายที่นางมีให้เขาดังว่านั้น ประหัตประหารทำร้ายเขาได้มากถึงเพียงใด

    เพราะข้ารักท่าน รักทั้งหมดของท่าน เช่นนั้นข้าจึงต้องปล่อยท่านไป” ดวงตาสีขาวขุ่นมีสีฟ้าจางขึ้นเป็นริ้ว ราวกับว่านั่นคือสายธารแห่งความเศร้าที่ออกมาจากก้นบึ้ง จิฟุมิเท็นเนียวยกมือขึ้นในระดับสายตา ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือใบหน้าแข็งกร้าวซึ่งมักจะสุขุมเยียบเย็นนี้ กำลังแสดงอารมณ์หวั่นวิตกเป็นครั้งแรก ก่อนจะตะโกนออกมา จิฟุมิ โนะ มิโคะโทะรู้ว่าเท็นชินคะมิแห่งอะสะคุโนะโยะมิกำลังคำรามกึกก้อง แต่เสียงทั้งหมดถูกกลืนหายไปในห้วงอากาศที่ตนสร้างขึ้น เขาจะเห็นนางเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ภาพเลือนรางที่ค่อยๆ จางหาย นางจึงยิ้มยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อชายที่รักยิ่ง และนั่นเป็นครั้งแรกที่จิตของเท็นชินคะมิแห่งอะสะคุโนะโยะมิสั่นคลอน นางหายไปในห้วงอากาศ เทพนารีองค์น้อยของเขาใช้เวทย์พรางตน นางเป็นหญิงใจเด็ดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาไม่แปลกใจที่นางเด็ดขาดถึงขั้นปิดกั้นตัวเองจากเขา มหาเทพผู้ปกครองโลกเร้นลับยืนนิ่งงันอยู่เช่นนั้น สายลมพัดพาผ่านมาเหมือนมืออันนุ่มละมุนของยุวเทพนารีผู้ที่เขามอบดวงใจทั้งหมดให้ไป










    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น