ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #9 : กลรักอสุรา l บทที่๐๘ ตอน ภพชาติ {อัพ100%}

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 62


    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *




    บทที่๐๘
    ตอน ภพชาติ

    กรี๊ดดดดดดดด

    เสียงกรีดร้องของเมรี ทำเอาผู้ทุกคนซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นพร้อมเพรียงกับตกใจราวกับนัดกันมา ภาพที่ปรากฏเมื่อสายตาเหลียวกลับไปมอง คือภาพของเมรีขณะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นในการอาการสั่นเทา

    เมเป็นอะไรหรือเปล่า!?”  

    เมเป็นอะไรไปครับ!?” จนทั้งฉันและคุณช้างอดไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ขณะที่ผู้ถูกถาม ได้ไวเกลซึ่งอยู่ใกล้ชิดมากกว่าใครช่วยประคองเพื่อนสาวให้กลับลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าและความรู้สึกที่เหมือนๆ กับคนอื่น

    เป็นไรป่าวแก ?แต่ไม่ว่าจะกี่คำถามถึงถามถึงสาเหตุและอาการ กลับไม่ได้รับคำตอบใดจากนางเอกชื่อดัง เมรียังคงปิดปากเงียบและมีอาการสั่นเทิ้มที่รุนแรงขึ้น ขณะสายตาจับจ้องไปยังต้นไทรใหญ่ภายในสวนแบบไม่วางตา จนกระทั่งพี่ช้างกล่าวขึ้น

    พี่ว่า พาเมไปนั่งพักใต้บ้านเรือนไทยก่อนดีกว่า เดี๋ยวใกล้เวลาพี่จะให้ช่างแต่งหน้าเข้าไปตามก็แล้วกัน

    ได้ค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะทันทีที่รับปาก ไวเกลที่พร้อมอยู่แล้วก็รีบประคอตัวเพื่อนสาวพากลับไปยังใต้ถุนบ้านทรงไทยตามคำสั่งที่ได้รับทันที

    ที่บ้าก็คือ แม้ว่าฉันจะเป็นห่วงเมรีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ขณะเดียวกันในหัวก็ดันคิด ว่าเหตุผลที่จู่ๆ เมรีดันกรี๊ดออกมาสุดเสียงแบบนั้น จะเป็นเพราะเสียงของท่านอสุราในแบบที่ฉันได้ยินหรือเปล่า ?

     

    เวลาต่อมา

    เมื่อกี้เป็นอะไรไปอ่ะ…”  คำถามแรกจากถูกเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่สามารถพาเมรีมานั่งพักยังโต๊ะไม้ใต้ถุนได้สำเร็จ แต่ด้วยความสงสัยในหัวซึ่งดูท่าจะไม่ยอมหยุดทำงานง่ายๆ ประโยคที่ตามมาจึงเปลี่ยนเป็นคำพูดลองใจ “ร้องเสียงดังซะเหมือนกับเห็นผี ฉันล่ะตกใจหมด...

    เห็นอะไรใต้ต้นไทรงั้นเหรอ?” โดยได้ไวเกลยืนกอดอกเสริมคำถามอยู่ข้างๆ และไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ลอดผ่านปากเมรีอย่างทันควันนั้นจะเป็นคำถามเรียบง่ายหากแต่ซ่อนความหมายไว้หลายประการ

    ธะ เธอก็เห็นเหรอเกล?”

    เห็นอะไรล่ะ?”

    กะ ก็ผู้ชายแต่งชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ใต้ต้นไทรไง เธอไม่เห็นเหรอ ?” คำตอบของเมรีหนนี้ ทำเอาไวเกลนิ่งไปเล็กน้อย หล่อนรีบหันมามองหน้าฉันซึ่งเวลานั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก

    แล้วรู้ไหม สิ่งที่อยู่ในหัวเวลานั้นคืออะไร

    พี่เคยสั่งเสียในยามต้องสูญสิ้นต่อหน้าดวงใจ ว่าชาติก่อน พี่นั้นหาได้มีโอกาสเคียงคู่ ดวงใจตามดั่งประสงค์และคำสัตย์ หากชาติหน้าฉันใด ครั้นดวงใจอุบัติใหม่ พี่จักกลับมาคู่เคียงดูแลมิให้ไกลห่างและเมื่อฤกษ์ยามงามดี ทวิภพเปิดเฉกเช่นหนนี้...พี่จึงมีโอกาสได้ตามติดพระพี่ชาย ลงมาตามหาดวงใจที่หล่นหาย  มันคือคำพูดของท่านอสุราที่บอกเหตุผลและเป้าหมายของการปรากฏตัวต่อหน้าฉันที่โลกมนุษย์ยังไงล่ะ

    หลอนหรือเปล่าเนี่ย?” ปากน่ะ รีบถามเพื่อนรักกลับไปแบบนั้น แต่ไม่ใช่ความคิดและความรู้สึกที่กำลังเกิดเป็นข้อสงสัยว่า หรือบางทีแม่หญิงนิมานรดีที่ลงมาเกิดใหม่นั้น อาจจะเป็นเธอก็ได้

    และยิ่งรู้สึกมากเข้าไปใหญ่ เมื่อเมรีละล่ำละลักคำพูดบางอย่างออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัว

    เปล่านะ! ฉะ ฉันอาจจะเหมือนคนบ้านะ แต่ตอนนี้ฉันว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง ฉันเคยเห็นผู้ชายคนนั้นที่วัดก่อนพิธีบวงสรวงด้วย มิหนำซ้ำสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นก็ล้วนแล้วแต่คล้ายคลึงกับสิ่งที่ฉันพบเจอในวัดก่อนพิธีบวงสรวงเปิดกล้องจะเริ่มขึ้นเช่นกัน

    ถ้าหากว่าเมรีคือชาติภพใหม่ของแม่หญิงนิมมานรดีจริงๆ แล้วล่ะก็ บางทีฉันควรจะพูดหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ลงก่อน แล้วค่อยลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟังดู มันก็น่าจะดี

    พอคิดได้แบบนั้น ความสนิทสนมระหว่างเราที่มีมานาน จึงส่งผลให้ฉันเอ่ยแทรกขึ้นแบบติดตลก

    ฉันว่าเธอคงซ้อมบทละครมากเกินไป ก็เลยเกิดอาการหลอนแบบนี้ก่อนจะได้ไวเกลช่วยพูดเสริมขึ้นอีกแรง

    ถ้าไม่เชื่อเรื่องยักษ์ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวอะไรนี่...เธออาจจะแค่คิดไปเองก็ได้จริงไหม?

    หากแต่การบอกกล่าวแกมแซวของเราทั้งครู่ ก็ไม่อาจทำให้คนฟังลดอาการหวาดหวั่นที่มีลงได้เลย

    แต่พวกเธอเชื่อนี่ในเมื่อพวกเธอเชื่อว่ายักษ์มีอยู่จริง แล้วเรื่องที่ฉันเห็นล่ะ พวกเธอไม่คิดจะเชื่อกันหน่อยเหรอ?” ซ้ำยังยิ่งละล่ำละลักคำพูดพูดของตนเองออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่พวกเธอกับพี่ช้างอ่านกลอนในหนังสือนั่นน่ะ ฉันก็ได้ยินนะ แต่ว่าเสียงที่ได้ยินน่ะมันดันไม่ใช่เสียงของพวกเธอ…”

    ยิ่งได้ฟังความจากเธอมากเท่าไหร่ ความรู้สึกยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เว้นเสียแต่ในช่วงท้ายประโยค หากถามว่าทำไมฉันถึงได้มั่นอกมั่นใจกับเรื่องเหล่านี้มากขนาดนี้ล่ะก็ มันก็อย่างที่เคยบอกไป

    เมรีน่ะ ไม่เคยสนใจหรือมีความเรื่องเรื่องเหนือธรรมชาติเลยสักครั้ง โดยเฉพาะกับเรื่องจำพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อโบราณ พูดง่ายๆ ก็คือ เธอเป็นสาวยุคใหม่ที่ไม่คิดจะสนใจเรื่องพวกนี้เลยยังไงล่ะ 

    ลองคิดดูสิ ทั้งที่เธอไม่เชื่อ แต่คำพูดพวกนี้ดันหลุดผ่านปากของคนแบบเธอเนี่ยนะ ถ้าไม่ให้คนฟังเกิดความรู้สึกมั่นใจ แล้วควรจะรู้สึกแบบไหนล่ะจริงไหม ?

    พวกฉันกับพี่ช้าง...ไม่ได้มีใครอ่านกลอนของท้าวอสุเรนทร์กันเลยสักคนนะ แต่กำลังพูดกับเรื่องสีของธนูต่างหาก ฉันเลยจำใจต้องขัดสิ่งที่เพื่อนสาวบอก โดยอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นคืออะไร พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะถามถึงเรื่องบทกลอน ที่อีกฝ่ายอ้างว่าได้ยิน เพื่อหวังประติดประต่อสถานการณ์ แล้ว...กลอนที่บอกว่าได้ยิน เธอได้ยินว่าอะไร ?”

    สาวเจ้าทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังถูกถาม ก่อนจะยอมท่องกลอนบทหนึ่งขึ้นมา

    จะ จงไปอุบัติสิ้นเสียในชาติใหม่  ให้เป็นชนมีสองมือและสองเท้า กูจะเฝ้าราญรอนชีวา... ทั้งที่ตอนแรกฉันรู้สึกมั่นใจกับความน่าเป็นและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอแท้ๆ ทว่า วินาทีที่ผู้ซึ่งไม่เคยแตะต้องตำนานอย่างเธอกล่าวบทกลอนออกมาจนจบ สิ่งที่ปากพลั้งเผลอโต้กลับไปตามอย่างที่เข้าใจและเคยศึกษามานั้นดันเป็นประโยคอื่น

    นั่นน่ะ คือบทกลอนตอนที่ท้าวอสุเรนทร์สาปส่งยักษ์มารให้ลงมาเกิดใหม่...ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่ายักษ์ตนที่ถูกสาปจะชื่อว่า...กุมภัณฑ์ล่ะมั้ง

    ความเงียบพุ่งเข้าจู่โจมวงสนทนาแทบจะทันทีที่ฉันพูดจบ ผู้ฟังกำลังทำหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไร เฉกเช่นเดียวกับไวเกลที่กำลังหรี่ตามองเพื่อนสมัยเรียนด้วยสีหน้าและท่าทางที่ไม่ต่างเมรีนัก

    และยอมรับว่า ฉันเองก็คงไม่ต่างกับทั้งคู่ที่ตอนนี้กำลังเริ่มคิดเรื่องชาติภพในอดีตตามจากเรื่องเล่าในพงศาวดารที่เคยอ่าน ไม่ว่าจะเรื่องของชาติภพใหม่ของแม่หญิงนิมมานรดี หรือแม้แต่บทกลอนที่เพื่อนฉันเพิ่งบอกกล่าวซึ่งดันไปตรงกับเรื่องราวอื่น

    หะ หากท่านติดตามพี่ชายลงมาตามคำสาปส่งของท่านท้าวอสุเรนทร์ที่ในตำนานว่าไว้จริง ฉันเกรงว่าฉะ ฉันคงไม่ใช้แม่หญิงนิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ

    และใช่ บทกลอนที่เมรีกล่าวออกมานั้น ดันไปตรงเนื้อหาตำนานช่วงที่ท้าวอสุเรนทร์สาปส่งยักษ์มารให้ลงมาเกิดใหม่แทนนี่สิ

    ยิ่งมองเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวขณะทำหน้าครุ่นคิด ดูไม่ค่อยสู้ดีด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งอดเป็นห่วงเธอไม่ได้

    เม!” จำต้องสงสัยเสียงเรียกเพื่อดึงสติ โดยหวังว่าคำพูดดีๆ สักประโยคอาจจะช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้บ้าง เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆเงียบไปล่ะ?

    ซึ่งเธอก็ยอมตอบกลับมาอย่างว่าง่าย

    ฉัน...ก็แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย

    แล้วที่คิดอยู่ คือเรื่องอะไรล่ะเม?แต่ความปรารถนาที่จะให้เพื่อนลดคลายอาการเป็นกังวลลงของฉันนั้น ก็ไม่อาจดำเนินไปได้นานนัก เมื่อไวเกลดันชิงแทรกถามลงลึกเรื่องเดิมอย่างเถรติดตามนิสัย

    ถ้าพูด...เธอจะเชื่อฉันหรือไง?

    ของแบบนี้มันก็ต้องพูดก่อน เชื่อไม่เชื่อ เดี๋ยวใช้ดุลพินิจตัดสินเอง ไม่รู้ว่าตอนถูกถามเช่นนั้น เมรีจะรู้สึกกดดันมากน้อยแค่ไหน ที่รับได้ก็คือใบหน้าสวยๆ ซึ่งมักมาพร้อมความมั่นใจตามแบบดาราสาวชื่อดังของเธอกำลังเจือลง ครู่หนึ่งที่เธอช้อนตามองฉัน จากนั้นก็เล่าเรื่องน่าเหลือเชื่อให้ได้รับฟัง

    ก็เรื่องผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันเห็นไง เขาปรากฏตัวตรงหน้าฉันอย่างไร้ที่มา และหายตัวไปราวกับใช้เวทมนต์ ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นเขามาแล้วรอบหนึ่งที่วัดก่อนงานบวงสรวงจะเริ่ม ชายคนนั้นเรียกฉันด้วยชื่อยักษ์มารในตำนานของท้าวอสุเรนทร์

    ท้าวอสุเรนทร์งั้นเหรอ

    ฟังดูน่าเหลือเชื่อมากเลยใช่ไหมล่ะ ที่คนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างเมรีจะพูดอะไรพวกนี้ออกมาซ้ำกันเป็นหนที่สอง แต่ส่วนตัวแล้วฉันเชื่อนะ เพราะฉันเองก็ดันประพบพบเหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่

    กุมภัณฑ์เหรอ?” และพอยิ่งถาม ผู้เล่าก็รีบพยักหน้า แล้วกล่าวเสริมขึ้นมาอีก

    สาบานให้ฟ้าผ่าเลยก็ได้...ฉันไม่เคยอ่านประวัติท้าวอสุเรนทร์อะไรนี่มาก่อน ที่อ่านผ่านตาก็มีแค่บทละครที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานเลยสักนิด แล้วแบบนี้พวกเธอคิดว่ามันแปลกหรือเปล่า?

    ทั้งที่เสียงของเมรีเงียบลงไปแล้ว หากแต่อีกเสียงที่ดันลอยวนเวียนอยู่ในหัวต่อจากนั้นชนิดที่ไม่ยอมสงบลงโดยง่ายกลับกลายเป็นเสียงของผู้อื่น

    แล้วเหตุใด แม่ทับทิมจึงคิดว่าพี่จักจำหน้าค่าตาดวงใจของตัวเองไม่ได้งั้นรึ ? ในเมื่อพี่นั้น คำนึกหาน้องอยู่ทุกเพลา คิดถึงดวงตา คิ้ว จมูก ริมฝีปาก ทั้งในยามรักและยามสูญเสีย จดและจำกริยาอ่อนช้อย และเสียงหวานๆ ได้มิรู้ลืม…’ เสียงของท่านอสุราที่บอกฉันอย่างมั่นอกมั่นใจ ว่าเขาจำคนรักของตัวเองได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายเกิดใหม่อยู่กันคนละภพแล้วก็ตาม

    โลกใบนี้น่ะ มันกลมนะรู้หรือเปล่า?” 

    แต่แล้วขณะที่ทุกอย่างเงียบลงไป หนนี้มันก็เป็นไวเกลนั่นหล่ะ ที่กล่าวขึ้นราวกับคนที่เข้าใจเรื่องทางโลกอย่างถ่องแท้ 

    มนุษย์เราเวียนว่ายตายเกิดสลับภพภูมิต่างกันไปในแต่ละชาติ ชาตินี้เธออาจจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่ในชาติที่แล้วอาจจะเกิดเป็นหมาแมวบนโลกนี้ที่ไหนสักแห่งก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ทุกสิ่งมีชีวิตเกิดมาแล้วต้องดำรงตำแหน่งรับหน้าที่เหมือนกันทุกคนก็คือการชดใช้เวรกรรมที่เคยทำมาในแต่ละภพแต่ล่ะชาติ ฉันก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น เธอเองก็คงไม่ต่างกันนัก...

    เวียนว่ายตายเกิดงั้นเหรอ

    งั้นแปลว่าทุกคนก็ล้วนแล้วแต่จะเคยเป็นใครหรืออะไรมาก่อนก็ได้อย่างนั้นน่ะสิ

    หากว่าฉันชาติภพก่อนนั้น ฉันคือแม่หญิงนิมมานรดีจริงๆ การได้พบเจอกับท่านอสุราในตอนนี้ก็อาจหมายถึงลิขิตฟ้าที่เขาวอนขอมาโดยตลอดอย่างในตำนานงั้นน่ะสิ 

    แต่ว่า

    ไม่ใช่หรอก! 

    ฉันน่ะ ไม่มีทางเกิดเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่งดงามและอ่อนช้อยได้ขนาดนั้นหรอก ในเมื่อตอนนี้ ฉันไม่สามารถทำอะไรได้แบบที่แม่หญิงนิมมานรดีพึ่งจะทำได้ในชาติภพเก่าเลยแม้แต่นิดเลยนี่นา

    อะไรนะ? ท่ามกลางกลุ่มก้อนความคิดซึ่งยังแย้งกับเหตุผลและหลักความน่าจะเป็น จู่ๆ พื้นที่บริเวณหลังสวนก็เริ่มเกิดเสียงเอะอะโวยวายของทีมงานในกองถ่ายขึ้น จำต้องสลัดทุกความคิดที่มี รีบเหลียวมองไปยังต้นเหตุของเสียงโวยวายทันที มาไม่ได้แล้วอย่างงั้นเหรอ!?

    ทางผู้จัดการคุณวุฒิเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เองค่ะ…”

    ฉิบหายแล้วงานนี้ ขาดวุฒิไปแล้วเราจะเริ่มถ่ายละครกันได้ยังไง!?”

    เดี๋ยวหนูจะลองโทรติดต่อประสานงานนักแสดงชายท่านอื่นดูก่อนนะคะ พี่ช้างมีใครคนอื่นที่สนใจพิเศษหรือเปล่า?”

    ก่อนมึงจะติดต่อหานักแสดงชายคนใหม่ มึงไปหาพวงมาลัย หาธูปเทียน มาจุดไหว้ขอขมาท้าวอสุเรนทร์ดีกว่าไหม ?”

    เสียงเอะอะที่เกิดขึ้นด้านหลังสวนมันก็ทำให้นางเอกสาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองละครมากที่สุด รีบเคลื่อนกายลุกจากที่นั่งเดินย้อนกลับไปยังจุดเกิดเหตุ พลอยให้เพื่อนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งฉันและไวเกลจำต้องเดินติดสอยห้อยตามออกไปด้วย และการเดินตามหลังเมรีไปนั้น มันเลยทำให้ทั้งฉันและไวเกลรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ.ช่วงเวลานั้น จากการถามของเมรีด้วยเช่นกัน

    น้องๆ เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมพี่ช้างหัวเสียขนาดนั้นล่ะ?”

    อ๋อ...คืออย่างงี้ค่ะ คุณวุฒิแกประสบอุบัติรถคว่ำขณะเดินทางมากองถ่ายค่ะ พอได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของความวุ่นวายจากการถามไถ่ของดาราสาวขี้สงสัย ฉันจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไม่คุณช้าง ผู้กำกับชื่อดังถึงแสดงอาการหัวเสียออกมาให้เห็นหนักขนาดนี้

    แน่ล่ะ ในเมื่อเข้าตั้งกำกับละครเรื่องนี้มากแท้ๆ แต่ดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นได้ถึงสองครั้งสองคราว ซึ่งถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าคุณวุฒิที่ประสบอุบัติเหตุอะไรนั่น น่าจะเป็นนักแสดงนำชายคนสำคัญที่ต้องเล่นละครเรื่องนี้คู่กับเมรีด้วย

    รถคว่ำเหรอ ?”

    ใช่ค่ะ ทางผู้จัดการเขาโทรมา เห็นบอกว่าหลังประสบอุบัติเหตุ คุณวุฒิแกก็เหมือนคนเสียสติไปเลยน่ะค่ะ

    ทำไมล่ะ ?” จะว่าแทรกก็ได้นะ แต่คำนี้น่ะมันออกมาจากปากของฉันเองโดยอาศัยสิทธิ์ของเพื่อนดาราสาวในการถาม

    สืบเนื่องจากเมื่อครู่ ฉันดันได้ยินพี่ช้างไล่ทีมงานของตัวเองให้ไปไหว้ขอขมาท้าวอสุเรนทร์ มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้เมรีก็ยังพูดอะไรแปลกๆ มาอีก ไม่ผิดใช่ไหม ถ้าจะชิงถามแทรกออกไปแบบนี้ ซึ่งตอนตั้งคำถามน่ะ ฉันก็ไม่ทันคิดหรอก ว่าคำตอบที่น้องทีมงานให้กลับมานั้นจะเป็นแบบนี้

    เห็นผู้จัดการคุณวุฒิเล่าว่า หลังประสบอุบัติเหตุคุณวุฒิเอาแต่ยกมือไหว้ท่วมหัวเหมือนกับหวาดกลัวอะไร ปากเอาแต่พูดว่ายักษ์ ยักษ์ ยักษ์ไม่ยอมหยุด 

    สิ้นเสียงการให้คำตอบอันน่าตกใจ บรรยากาศบริเวณพื้นที่ภายในสวนด้านหลังก็เริ่มเปลี่ยน ผู้คนรอบกายที่เคยเคลื่อนไหวเป็นปกติ เวลานี้กลับขยับกายช้าลงจนค่อนไปทางทางหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับส่งรอบตัวเริ่มลดระดับเสียงลงจนเหลือเพียงเสียงพูดคุยเบาบาง ราวกับว่าพวกเขาถกเถียงกันอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล

    ทั้งที่สภาพแวดล้อมรอบตัวลงเอยในสภาพเช่นนั้น หากแต่นั้นกลับไม่ใช่เสียงเข้มคุ้นหูที่ดังแทรกเข้ามา

    แม่ทับทิม…” เสียงของเขาฟังชัดมาก จนร่างกายตอบสนองสิ่งที่ได้ยินด้วยการเหลียวหลังขวับมองกลับไปทิศทางของเสียง ก่อนพบเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนในท่ากอดอกบริเวณใต้ถุนบ้านทรงไทยย้อนยุค 

    เขากำลังทอดสายตามองตรงมายังจุดที่ฉันยืนอยู่ บนหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใดให้รู้สึก คล้ายกับกำลังยืนมองผู้คนซึ่งกำลังวุ่นวายกับเหตุด่วนที่เข้ามากะทันหันเสียมากกว่า

    วินาทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสได้สบประสายสายตากัน ท่านอสุราก็ทำมันอีก ใช้อำนาจที่ตนเองมีอันตรธานตัวหลบไปทั้งๆ อย่างนั้น ทว่า การหายตัวไปของเขาครั้งนี้ กลับไม่ได้ทำให้เท้าทั้งสองข้างของฉันถูกตอกติดไว้กับพื้นเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว แต่คล้ายเป็นแรงดึงดูดประหลาดที่เชิญชวนผู้ที่มองเห็นให้เข้าไปใกล้ถึงจะถูก

    ตึกตึก

    ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเวลานั้นเป็นอะไรไป รู้แค่ว่าเท้ากำลังก้าวสลับเป็นจังหวะกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พาตัวเองปลีกตัวออกจากกลุ่มคนมากหน้าหลายตา มุ่งย้อนกลับไปยังพื้นที่โล่งใต้ถุงบ้านเรือนไทยอีกครั้ง เหมือนๆ กับสายตา ที่พยายามกวาดหาร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์แบบไม่ลดละ

    ท่านอสุราเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกไล่ตาม ถึงได้จงใจแกล้งกัน จงใจปรากฏตัวให้ได้เห็นในท่วงท่าก้าวเดินและหายตัวหลบไปจากสายตาอยู่เช่นนั้นในทุกครั้งที่ช่วงที่คล้ายกับจะใกล้ถึงตัว

    มันน่าหงุดหงิดที่เวลานี้ ฉันต้องมาเป็นฝ่ายตามหาสิ่งที่เคยทำให้ขยาดในช่วงสองวันแรก ทั้งที่อยากจะหยุด แต่ร่างกายดันไม่ยอมทำตามความคิด ยังคงจ้ำเท้าเดินเร็วมุ่งไปข้างหน้า ตรงไปตามเส้นที่ทางยักษ์หนุ่มปรากฏตัวให้เห็น แบบไม่คิดจะหยุดพัก

    ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!

    เกือบสองนาทีได้ล่ะมั้ง ที่เท้าสองข้างเอาแต่จ้ำเดินตามหลังสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างไร้จุดหมาย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเดินไปไหน รู้แค่ว่ารอบตัวตอนนี้เป็นเพียงสวนไม้ร่มรื่นภายในพื้นที่ของบ้านทรงไทยก็เท่านั้น

    กว่าจะรู้สึกตัวฉันฉันเดินออกมาไกลจากกลุ่มทีมงานกองถ่ายละคร ก็คงเป็นตอนที่ร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีขาว กำลังยืนปรากฏกายขึ้นตรงหน้าในท่ากอดใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในสวนด้วยท่ากอดอก ราวกับว่าเขาต้องการใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นจุดนัด ที่เขาดลใจให้เดินหลงเข้ามาอย่างไรก็อย่างนั้น

    กึก

    พี่หาได้เป็นชนเหมือนไอ้บุรุษตนนั้น เหตุใดแม่ทับทิมจึงตามพี่มิหยุดหย่อน…” 

    คำถามแรกถูกท่านอสุราเปล่งเสียงถามขึ้น ท่ามกลางความเงียบระหว่างเรา แม้ว่าน้ำเสียงที่เขาใช้จะฟังนุ่มละมุนหูไม่ต่างจากทุกที แต่สำหรับฉันคำถามดังกล่าวฟังคล้ายกับเป็นการประชดประชันแกมหาเรื่องกันถึงจะถูก 

    มิหวาดกลัวพี่แล้วงั้นรึ ?

    ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เจ้าคะ ฉันไม่เข้าใจ…” ถึงจะรู้สึกถึงการประชดประชันผ่านน้ำเสียง ถึงอย่างนั้นฉันก็แสร้งถามราวกับเข้าไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะคิดว่าการประนีประนอมกับสิ่งที่มองไม่เห็นน่าจะเป็นการทำให้ฉันสามารถพูดกับเขาง่ายขึ้น แต่

    อย่าริแสร้งเหมือนผู้มิรู้ความ ในเมื่อแม่ทับทิมน่าจักรู้เต็มอก ว่าพี่หมายถึงเรื่องอันใดท่านอสุราก็ไม่วายกล่าวย้ำถ้อยคำใจความเดิม พานให้ผู้ฟังเผลอนึกทบทวนตามสิ่งที่ได้ยินอย่างไร้ทางเลือก

    อาจเพราะว่าฉันเงียบไปขณะกำลังคิดล่ะมั้ง นั่นเลยทำให้ยักษ์หนุ่มซึ่งกำลังคำตอบกล่าวขึ้นด้วยตนเองอีกครั้ง

    แม่ทับทิม บอกพี่มิใช่รึ ว่าเจ้าหาได้พิศวาสหรือหมายเข้าใกล้อดีตคนรักชาติภพนี้ แล้วเหตุใดเมื่อไม่กี่เพลาก่อนจึงชิดใกล้ สนิทชิดเชื้อเช่นนั้นเล่า ?พอได้ฟังอกฝ่ายว่ากล่าวมาถึงตรงนี้ ฉันก็ถึงบางอ้อทันที

    บางทีเขาอาจจะเห็นเมื่อเช้า ที่ฉันนั่งรถมาที่นี่กับเขตแดนแน่ๆ แต่เดี๋ยวสิ ถ้ามองเห็นกันขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่รู้เหตุผลว่าทำไมฉันต้องนั่งรถมากับเขตแดนล่ะ !

    ท่านเองก็ทำเป็นพูดเหมือนไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรเหมือนกันนั่นแหละเจ้าค่ะ !” พอถูกว่ากลับ ท่านอสุราก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเหมือนกับว่าคำพูดของฉันกำลังจี้ใจท่านอย่างไรก็อย่างนั้น ซ้ำยังกล่าวประชดประชันหนักขึ้นด้วยเสียงดุต่างจากทุกที

    ใช่ซี่! ยามนี้พี่หาได้มีสิทธิ์ต่อว่าเจ้าเหมือนครั้งเก่าก่อนแล้วนี่ยิ่งได้ฟัง ฉันยิ่งเข้าใจความหมายของเขามากขึ้น โดยเฉพาะกับความเชื่อที่อีกฝ่ายมั่นใจถึงตัวตนที่ฉันเคยเป็นเหมือนภพชาติก่อน และถึงแม้อีกฝ่ายจะปักใจมากขนาดไหน ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่อยากทำใจเชื่อได้ลงอยู่ดี

    ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉันเท่านั้น…” คำพูดเท่าที่ฉันในตอนนี้พึงจะใช้บอกความนัยของตัวเองถึงถูกกล่าวขึ้นอย่างเถรตรง ขอโทษนะเจ้าคะ แต่ความรู้สึกและความชอบที่ฉันมีต่อตัวท่านตอนนี้ มันคงไม่เหมือนกับที่ท่านมีต่อแม่นิมมานรดีหรอกเจ้าค่ะ

    ลึกๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าหากพูดใส่เขาออกไปแบบนั้น ฉันอาจจะถูกท่านอสุราโกรธจนท่านวาดเวทย์ใช้อิทธิฤทธิ์ทำร้ายกันเหมือนแบบในหนัง ในละครก็ได้ แต่ว่า เปล่าเลย ทั้งที่ถูกปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายก็ไม่วายที่จะขยับยิ้ม

    พี่รู้เรื่องนั้นดีแม่ทับทิม หากแต่พี่หาใช่จักยอมแพ้ต่อโชคชะตาเสียที่ไหน…” ซ้ำยังกล่าวรับอย่างเข้าอกเข้าใจด้วยเสียงที่อ่อนลงราวกับเมื่อครู่เขาเพียงแค่พูดแกล้งกันเท่านั้น

    เพราะลักษณะนิสัยของท่านอสุราที่ไม่ต่างจากที่เคยอ่านมาเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ หลายต่อหลายครั้ง ฉันถึงมีความคิดอยากจะช่วยตามหาหญิงคนรักที่ท่านอสุราหมายจะพบเจอ

     “นี่ ท่านอสุราเจ้าคะ ฉันถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า? แต่พอมาคิดมาถึงตรงนี้ อยู่ๆ ในหัวก็ดันนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ บทสนทนาระหว่างเราซึ่งดูขาดๆ เกินๆ ในช่วงแรกจึงคำถามใหม่แทรกขึ้นและเปลี่ยนแปลงบทสนทนาไปในที่สุด

    แม่ทับทิมสงสัยสิ่งใดงั้นรึ ?

    เรื่องพี่ชายของท่านน่ะเจ้าค่ะ ท่านท้าวอสุเรนทร์…” ทั้งที่ตอนแรกท่านอสุราก็เหมือนจะให้ความร่วมมือที่จะตอบคำถามเป็นอย่างดีแท้ๆ ทว่า พอชื่อของพี่ชายตนเองถูกเอ่ยผ่านปากเพียงเท่านั้น สีหน้ายิ้มแย้มของท่านก็หุบลงทันที ตอนนี้ท่านท้าวอสุเรนทร์ก็ลงมาอยู่ที่โลกมนุษย์ เหมือนกับท่านอสุราใช่ไหมเจ้าคะ ?

    แม่ทันทิมจะถามให้ได้ความอันใด ?

    คืออย่างนี้เจ้าค่ะ ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เพื่อนฉันคนนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องของท่านกับพี่ชายเท่าไหร่ แต่อยู่ๆ ยัยนั่นกลับพูดเรื่องของท่านท้าวอสุเรนทร์ออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ท่านพอจะรู้เหตุผลหรือเปล่าเจ้าคะ ว่ามันเพราะอะไร...

    มันเป็นเรื่องของกงเกวียนกำเกวียนผู้อื่น หาใช่เรื่องที่แม่ทับทิมต้องรู้ไม่” 

    แต่ฉันเป็นห่วงเมรีนี่เจ้าคะ ยัยนั่นดูหวาดกลัวมากๆ ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้เลย…”

    กรรมใด ผู้นั้นพึงรับผิด…” คราวนี้ท่านอสุรากล่าวแทรกขึ้นแบบไม่ได้รอให้ฉันได้เอ่ยจนจำคำ น้ำเสียงของเขาฟังดูโกรธเคือง ซ้ำยังคล้ายกับต้องการตัดบทอีกด้วย ฉะนั้นแล้ว จงปล่อยให้วงล้อวิบากหมุนเวียนตามหน้าที่ของมันเถิด

    เมื่อถามแล้วไม่ได้อะไร ประจวบกับที่เจ้าตัวเองก็ดูไม่อยากพูดถึงมากนัก ฉันซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไร จึงจำใจต้องเงียบเสียงลงตามอย่างที่เขาอยากให้เป็น เพราะมันคงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้ายังเอาแต่ถามจี้แบบไม่เลิกรา 

    แต่การเงียบไปของฉันนั้น กลับไม่ได้ทำให้การพูดคุยของเราขาดหายไปแบบที่ควรเป็น เมื่อท่านอสุรา พลิกบทบาท กลายมาเป็นผู้ตั้งคำถามด้วยตนเอง

    ว่าแต่แม่ทับทิมเถิด มิคิดสนเรื่องตนเองบ้างเลยหรือ ?

    ฉะ ฉันเหรอเจ้าคะ ?ความปากไวบวกกับไม่ทันตั้งตัวก่อนถูกถาม ส่งผลให้ปากเผลอย้อนถามกลับไปแบบนั้น ขณะเดียวกันคำถามดังกล่าวกลับทำให้ผู้รับฟังเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนหน้าอีกครั้ง

    เรื่องของเรา…” พร้อมคำบอกกล่าวไม่สั้นหรือยาวจนเกินไปชวนให้ผู้ฟังรู้สึกร้อนทั่วหน้าได้แทบจะทับที พี่จีบเจ้าใหม่ได้ใช่หรือไม่ แม่ทับทิม

    ไม่รู้ว่านี่เป็นหนที่เท่าไหร่แล้ว ที่คำพูดของเขาปั่นป่วนห้วงอารมณ์คนฟังให้เกิดอาการไหวหวั่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่า ก่อนจะทันได้โต้ตอบอะไรคืนไป มันก็เป็นท่านอสุราอสุรานั่นแหละที่หยุดทุกเสียงที่ฉันมี ด้วยการขยับเคลื่อนไหวร่างกายร่ายรำไร้ทำนองให้ได้เห็นไม่ต่างจากการแสดงโขนที่เคยดูในโรงละคร

    ทีท่าร่ายรำอ่อนช้อนในแบบที่ผู้ชายพึงจะมี กำลังต้องสายตาให้จดจ้องการเคลื่อนไหวตรงหน้าได้ราวกับถูกดึงดูด นับตั้งแต่มือซ้ายของเขาที่กำลังตั้งวงปาดมือมาที่ปากก่อนหยุดในท่าเท้าสะเอว ศีรษะเอียงซ้ายซึ่งหมายถึงกริยาการยิ้ม หรือแม้แต่ท่าที่เขากำลังชี้ปลายนิ้วมาทางฉันราวกับต้องการจะสื่อความหมายผ่านท้วงท่าร่ายรำ

    กึก...

    แต่แล้วจังหวะที่เขาหมุนกายหันกลับมาสบตากับฉันอีกครั้ง สิ่งอัศจรรย์ที่ยากเกินกว่าจะจินตนาการก็บังเกิดขึ้น พร้อมเพรียงกับที่คนตัวใหญ่กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงกับพื้น บันดาลให้ภาพรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว  ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็น ก่อนเริ่มแปรเปลี่ยนภาพของสวนไม้แสนธรรมดาให้กลายเป็นสวนสวยซึ่งโอมล้อมไปด้วยไม้พันธุ์แปลกและหายากซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกของความจริง 

    อีกทั้งพื้นที่ดินที่เคยแตกแขนงใต้เท้าของท่านอสุรานั้น ก็ได้ผุดเป็นใบหญ้าสีเขียวขจีขึ้นให้เห็นก่อนเริ่มกระจายพื้นที่ออกเป็นวงกว้าง กลืนกินอาณาเขตออกไปสุดหูลูกตา

    ทั้งที่ทุกอย่างรอบตัวกำลังเปลี่ยนแปลง หมุนเวียนไปจนรู้สึกได้ แต่เวลานั้นสายตากลับถูกแช่แข็งให้จับจ้องนัยน์ตาคมคู่เดิมไว้ ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันสามารถมองเห็นได้เวลานั้น โดยเฉพาะกับการร่ายรำที่ยักษ์ตรงหน้ากำลังแสดงให้เห็น 

    การได้เห็นท่านอสุราเริ่มร่ายรำตรงหน้าอีกครั้งในระยะใกล้เช่นนี้ ฉันกลับไม่รู้สึกว่ามันตลกตรงไหน ตรงกันข้าม ทั่วหน้ากลับยิ่งร้อนมากขึ้น เมื่อรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้น ไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่เขากำลังเกี้ยวแม่หญิงนิมมานรดีคนรักของตัวเองแม้แต่นิด

    หากต้องรู้สึกขบขันกับอะไรสักอย่างในช่วงเวลาน่าเหลือเชื่อนั่น ฉันคิดว่าน่าจะเป็นตัวฉันเองที่ไม่สามารถร่ายรำในแบบที่เขาอยากให้เป็นเช่นเดียวกับคนรักในชาติก่อนของตนเองได้ นอกจากยืนรับชมในระยะใกล้เช่นนี้ 

    กึก… 

    นี่ท่าน ทำอะไรน่ะ…” ซ้ำยังยิ่งรู้สึกความด้อยเรื่องความสามารถของตัวเองเข้าไปใหญ่ เมื่อท่านอสุราเคลื่อนกายมายืนซ้อนหลัง ราวกับต้องการให้คู่ที่ตนเลือกร่ายรำเคียงคู่ จนต้องรีบปฏิเสธ ฉันรำไม่เป็นหรอกนะเจ้าคะอะ

    ทว่า...

    ฟึ่บ!

    ให้พี่สอนแทนการไถ่โทษที่เมื่อครู่กล่าวถ้อยประประชดแม่ทับทิมเถิด เสียงกระซิบข้างหูจากทางด้านหลังพานให้ทุกส่วนของร่างกายแข็งทื่อเหมือนหิน ซ้ำยังทื่อยิ่งกว่าที่เป็น แม้แต่ในตอนที่ฝ่ามืออุ่นของท่านอสุรากำลังถือวิสาสะจับมือข้างหนึ่งของฉันยกเคลื่อนขึ้นกดลงกับแก้ม พานให้เผลอเอียงหน้าเหลือบมองหลังไปยังผู้ควบคุมสัมผัสดังกล่าวอย่างห้ามไม่ได้

    ยามต้องตาสบประสานสายตากันขณะถูกจัดท่าร่ายรำ โลกทั้งใบก็คล้ายหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ ราวกับว่ามีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ อีกทั้งยังมองเห็นทุกอย่างชัดขึ้น ไม่ว่าจะจังหวะการเคลื่อนไหว สีหน้า หรือแววตาขณะที่ยักษ์หนุ่มบรรจงสั่งสอนให้ฉันได้ลิ้มลองกระทำในสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ท่ามกลางกลิ่นดอกสร้อยที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งสวน

    ทุกคราหากพี่ยิ้มน้องจะเอียงอายด้วยท่าทีอ่อนช้อยเช่นนี้เสมอ...รำลึกได้หรือไม่ ?ซ้ำยังเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน ราวกับต้องการจะทวนความทบจำของชาติภพเก่าที่เลือนหายไป

    ฉันไม่ได้ตอบและเลือกที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้ขยับเคลื่อนคู่เตียงกับจังหวะร่างกายที่อีกฝ่ายมอบส่งมาให้ แม้ในหัวจะไม่รู้สึกถึงเรื่องที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดก็ตาม ทว่า ในห้วงความรู้สึกลึกๆ กลับระลึกตามคำบอกกล่าวของเขาได้อย่างน่าประหลาด จนแยกไม่ออกว่าที่นึกภาพตามได้ถึงขนาดนั้น เป็นเพราะฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับเขามากเกินไป 

    หรือเพราะฉันคืออดีตหญิงคนรักอย่างที่ท่านอสุราว่าไว้จริงๆ


    Talk1 การเขียนนิยายที่ต้องมีทามไลน์เดียวกันกับเรื่องที่จบไปแล้วนี่มันยากมากจริงๆ TOT จะร้องไห้ แงงงง
    Talk2 มาถึงก็ประชดเลยนะท่าน พาเขาให้ตามมาเองไม่ใช่หรือไงงงง 55555
    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

       
    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า

       

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×