คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : กลรักอสุรา l บทที่๐๘ ตอน ภพชาติ {อัพ100%}
“กรี๊ดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องของเมรี
ทำเอาผู้ทุกคนซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นพร้อมเพรียงกับตกใจราวกับนัดกันมา ภาพที่ปรากฏเมื่อสายตาเหลียวกลับไปมอง
คือภาพของเมรีขณะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นในการอาการสั่นเทา
“เมเป็นอะไรหรือเปล่า!?”
“เมเป็นอะไรไปครับ!?” จนทั้งฉันและคุณช้างอดไถ่ถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ ขณะที่ผู้ถูกถาม
ได้ไวเกลซึ่งอยู่ใกล้ชิดมากกว่าใครช่วยประคองเพื่อนสาวให้กลับลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยสีหน้าและความรู้สึกที่เหมือนๆ
กับคนอื่น
“เป็นไรป่าวแก ?”
แต่ไม่ว่าจะกี่คำถามถึงถามถึงสาเหตุและอาการ กลับไม่ได้รับคำตอบใดจากนางเอกชื่อดัง
เมรียังคงปิดปากเงียบและมีอาการสั่นเทิ้มที่รุนแรงขึ้น
ขณะสายตาจับจ้องไปยังต้นไทรใหญ่ภายในสวนแบบไม่วางตา จนกระทั่งพี่ช้างกล่าวขึ้น
“พี่ว่า
พาเมไปนั่งพักใต้บ้านเรือนไทยก่อนดีกว่า
เดี๋ยวใกล้เวลาพี่จะให้ช่างแต่งหน้าเข้าไปตามก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะ
งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” ทันทีที่รับปาก
ไวเกลที่พร้อมอยู่แล้วก็รีบประคอตัวเพื่อนสาวพากลับไปยังใต้ถุนบ้านทรงไทยตามคำสั่งที่ได้รับทันที
ที่บ้าก็คือ
แม้ว่าฉันจะเป็นห่วงเมรีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ขณะเดียวกันในหัวก็ดันคิด
ว่าเหตุผลที่จู่ๆ เมรีดันกรี๊ดออกมาสุดเสียงแบบนั้น
จะเป็นเพราะเสียงของท่านอสุราในแบบที่ฉันได้ยินหรือเปล่า ?
เวลาต่อมา…
“เมื่อกี้เป็นอะไรไปอ่ะ…” คำถามแรกจากถูกเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ทันทีที่สามารถพาเมรีมานั่งพักยังโต๊ะไม้ใต้ถุนได้สำเร็จ แต่ด้วยความสงสัยในหัวซึ่งดูท่าจะไม่ยอมหยุดทำงานง่ายๆ
ประโยคที่ตามมาจึงเปลี่ยนเป็นคำพูดลองใจ “ร้องเสียงดังซะเหมือนกับเห็นผี
ฉันล่ะตกใจหมด...”
“เห็นอะไรใต้ต้นไทรงั้นเหรอ?” โดยได้ไวเกลยืนกอดอกเสริมคำถามอยู่ข้างๆ และไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ลอดผ่านปากเมรีอย่างทันควันนั้นจะเป็นคำถามเรียบง่ายหากแต่ซ่อนความหมายไว้หลายประการ
“ธะ เธอก็เห็นเหรอเกล?”
“เห็นอะไรล่ะ?”
“กะ
ก็ผู้ชายแต่งชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ใต้ต้นไทรไง เธอไม่เห็นเหรอ ?” คำตอบของเมรีหนนี้ ทำเอาไวเกลนิ่งไปเล็กน้อย หล่อนรีบหันมามองหน้าฉันซึ่งเวลานั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก
แล้วรู้ไหม สิ่งที่อยู่ในหัวเวลานั้นคืออะไร…
‘พี่เคยสั่งเสียในยามต้องสูญสิ้นต่อหน้าดวงใจ
ว่าชาติก่อน พี่นั้นหาได้มีโอกาสเคียงคู่ ดวงใจตามดั่งประสงค์และคำสัตย์
หากชาติหน้าฉันใด ครั้นดวงใจอุบัติใหม่ พี่จักกลับมาคู่เคียงดูแลมิให้ไกลห่าง…และเมื่อฤกษ์ยามงามดี
ทวิภพเปิดเฉกเช่นหนนี้...พี่จึงมีโอกาสได้ตามติดพระพี่ชาย ลงมาตามหาดวงใจที่หล่นหาย’ มันคือคำพูดของท่านอสุราที่บอกเหตุผลและเป้าหมายของการปรากฏตัวต่อหน้าฉันที่โลกมนุษย์ยังไงล่ะ
“หลอนหรือเปล่าเนี่ย?” ปากน่ะ
รีบถามเพื่อนรักกลับไปแบบนั้น
แต่ไม่ใช่ความคิดและความรู้สึกที่กำลังเกิดเป็นข้อสงสัยว่า
หรือบางทีแม่หญิงนิมานรดีที่ลงมาเกิดใหม่นั้น อาจจะเป็นเธอก็ได้
และยิ่งรู้สึกมากเข้าไปใหญ่
เมื่อเมรีละล่ำละลักคำพูดบางอย่างออกมาด้วยท่าทีหวาดกลัว
“เปล่านะ!
ฉะ ฉันอาจจะเหมือนคนบ้านะ แต่ตอนนี้ฉันว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง
ฉันเคยเห็นผู้ชายคนนั้นที่วัดก่อนพิธีบวงสรวงด้วย” มิหนำซ้ำสิ่งที่เธอพูดออกมานั้นก็ล้วนแล้วแต่คล้ายคลึงกับสิ่งที่ฉันพบเจอในวัดก่อนพิธีบวงสรวงเปิดกล้องจะเริ่มขึ้นเช่นกัน
ถ้าหากว่าเมรีคือชาติภพใหม่ของแม่หญิงนิมมานรดีจริงๆ
แล้วล่ะก็ บางทีฉันควรจะพูดหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เธอสงบสติอารมณ์ลงก่อน
แล้วค่อยลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟังดู มันก็น่าจะดี
พอคิดได้แบบนั้น
ความสนิทสนมระหว่างเราที่มีมานาน จึงส่งผลให้ฉันเอ่ยแทรกขึ้นแบบติดตลก
“ฉันว่าเธอคงซ้อมบทละครมากเกินไป
ก็เลยเกิดอาการหลอนแบบนี้…” ก่อนจะได้ไวเกลช่วยพูดเสริมขึ้นอีกแรง
“ถ้าไม่เชื่อเรื่องยักษ์
ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวอะไรนี่...เธออาจจะแค่คิดไปเองก็ได้จริงไหม?”
หากแต่การบอกกล่าวแกมแซวของเราทั้งครู่
ก็ไม่อาจทำให้คนฟังลดอาการหวาดหวั่นที่มีลงได้เลย
“แต่พวกเธอเชื่อนี่! ในเมื่อพวกเธอเชื่อว่ายักษ์มีอยู่จริง แล้วเรื่องที่ฉันเห็นล่ะ
พวกเธอไม่คิดจะเชื่อกันหน่อยเหรอ?”
ซ้ำยังยิ่งละล่ำละลักคำพูดพูดของตนเองออกมามากขึ้นเรื่อยๆ “ตอนที่พวกเธอกับพี่ช้างอ่านกลอนในหนังสือนั่นน่ะ
ฉันก็ได้ยินนะ แต่ว่าเสียงที่ได้ยินน่ะมันดันไม่ใช่เสียงของพวกเธอ…”
ยิ่งได้ฟังความจากเธอมากเท่าไหร่
ความรู้สึกยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เว้นเสียแต่ในช่วงท้ายประโยค หากถามว่าทำไมฉันถึงได้มั่นอกมั่นใจกับเรื่องเหล่านี้มากขนาดนี้ล่ะก็
มันก็อย่างที่เคยบอกไป
เมรีน่ะ ไม่เคยสนใจหรือมีความเรื่องเรื่องเหนือธรรมชาติเลยสักครั้ง โดยเฉพาะกับเรื่องจำพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อโบราณ พูดง่ายๆ ก็คือ เธอเป็นสาวยุคใหม่ที่ไม่คิดจะสนใจเรื่องพวกนี้เลยยังไงล่ะ
ลองคิดดูสิ
ทั้งที่เธอไม่เชื่อ แต่คำพูดพวกนี้ดันหลุดผ่านปากของคนแบบเธอเนี่ยนะ
ถ้าไม่ให้คนฟังเกิดความรู้สึกมั่นใจ แล้วควรจะรู้สึกแบบไหนล่ะจริงไหม ?
“พวกฉันกับพี่ช้าง...ไม่ได้มีใครอ่านกลอนของท้าวอสุเรนทร์กันเลยสักคนนะ
แต่กำลังพูดกับเรื่องสีของธนูต่างหาก” ฉันเลยจำใจต้องขัดสิ่งที่เพื่อนสาวบอก
โดยอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นคืออะไร
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะถามถึงเรื่องบทกลอน ที่อีกฝ่ายอ้างว่าได้ยิน
เพื่อหวังประติดประต่อสถานการณ์ “แล้ว...กลอนที่บอกว่าได้ยิน เธอได้ยินว่าอะไร ?”
สาวเจ้าทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังถูกถาม
ก่อนจะยอมท่องกลอนบทหนึ่งขึ้นมา
“จะ จงไปอุบัติสิ้นเสียในชาติใหม่ ให้เป็นชนมีสองมือและสองเท้า กูจะเฝ้าราญรอนชีวา...”
ทั้งที่ตอนแรกฉันรู้สึกมั่นใจกับความน่าเป็นและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอแท้ๆ ทว่า
วินาทีที่ผู้ซึ่งไม่เคยแตะต้องตำนานอย่างเธอกล่าวบทกลอนออกมาจนจบ
สิ่งที่ปากพลั้งเผลอโต้กลับไปตามอย่างที่เข้าใจและเคยศึกษามานั้นดันเป็นประโยคอื่น
“นั่นน่ะ คือบทกลอนตอนที่ท้าวอสุเรนทร์สาปส่งยักษ์มารให้ลงมาเกิดใหม่...ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่ายักษ์ตนที่ถูกสาปจะชื่อว่า...กุมภัณฑ์ล่ะมั้ง”
ความเงียบพุ่งเข้าจู่โจมวงสนทนาแทบจะทันทีที่ฉันพูดจบ
ผู้ฟังกำลังทำหน้าคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไร
เฉกเช่นเดียวกับไวเกลที่กำลังหรี่ตามองเพื่อนสมัยเรียนด้วยสีหน้าและท่าทางที่ไม่ต่างเมรีนัก
และยอมรับว่า ฉันเองก็คงไม่ต่างกับทั้งคู่ที่ตอนนี้กำลังเริ่มคิดเรื่องชาติภพในอดีตตามจากเรื่องเล่าในพงศาวดารที่เคยอ่าน ไม่ว่าจะเรื่องของชาติภพใหม่ของแม่หญิงนิมมานรดี หรือแม้แต่บทกลอนที่เพื่อนฉันเพิ่งบอกกล่าวซึ่งดันไปตรงกับเรื่องราวอื่น
หะ หากท่านติดตามพี่ชายลงมาตามคำสาปส่งของท่านท้าวอสุเรนทร์ที่ในตำนานว่าไว้จริง ฉันเกรงว่า…ฉะ ฉันคงไม่ใช้แม่หญิงนิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ’
และใช่ บทกลอนที่เมรีกล่าวออกมานั้น ดันไปตรงเนื้อหาตำนานช่วงที่ท้าวอสุเรนทร์สาปส่งยักษ์มารให้ลงมาเกิดใหม่แทนนี่สิ
ยิ่งมองเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวขณะทำหน้าครุ่นคิด ดูไม่ค่อยสู้ดีด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งอดเป็นห่วงเธอไม่ได้
“เม!” จำต้องสงสัยเสียงเรียกเพื่อดึงสติ โดยหวังว่าคำพูดดีๆ
สักประโยคอาจจะช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้บ้าง “เป็นอะไรหรือเปล่า
ทำไมอยู่ๆเงียบไปล่ะ?”
ซึ่งเธอก็ยอมตอบกลับมาอย่างว่าง่าย
“ฉัน...ก็แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย”
“แล้วที่คิดอยู่
คือเรื่องอะไรล่ะเม?” แต่ความปรารถนาที่จะให้เพื่อนลดคลายอาการเป็นกังวลลงของฉันนั้น
ก็ไม่อาจดำเนินไปได้นานนัก
เมื่อไวเกลดันชิงแทรกถามลงลึกเรื่องเดิมอย่างเถรติดตามนิสัย
“ถ้าพูด...เธอจะเชื่อฉันหรือไง?”
“ของแบบนี้มันก็ต้องพูดก่อน
เชื่อไม่เชื่อ เดี๋ยวใช้ดุลพินิจตัดสินเอง” ไม่รู้ว่าตอนถูกถามเช่นนั้น เมรีจะรู้สึกกดดันมากน้อยแค่ไหน
ที่รับได้ก็คือใบหน้าสวยๆ
ซึ่งมักมาพร้อมความมั่นใจตามแบบดาราสาวชื่อดังของเธอกำลังเจือลง
ครู่หนึ่งที่เธอช้อนตามองฉัน จากนั้นก็เล่าเรื่องน่าเหลือเชื่อให้ได้รับฟัง
“ก็เรื่องผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันเห็นไง
เขาปรากฏตัวตรงหน้าฉันอย่างไร้ที่มา และหายตัวไปราวกับใช้เวทมนต์ ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นเขามาแล้วรอบหนึ่งที่วัดก่อนงานบวงสรวงจะเริ่ม
ชายคนนั้นเรียกฉันด้วยชื่อยักษ์มารในตำนานของท้าวอสุเรนทร์”
ท้าวอสุเรนทร์งั้นเหรอ…
ฟังดูน่าเหลือเชื่อมากเลยใช่ไหมล่ะ
ที่คนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างเมรีจะพูดอะไรพวกนี้ออกมาซ้ำกันเป็นหนที่สอง
แต่ส่วนตัวแล้วฉันเชื่อนะ
เพราะฉันเองก็ดันประพบพบเหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่
“กุมภัณฑ์เหรอ?” และพอยิ่งถาม ผู้เล่าก็รีบพยักหน้า
แล้วกล่าวเสริมขึ้นมาอีก
“สาบานให้ฟ้าผ่าเลยก็ได้...ฉันไม่เคยอ่านประวัติท้าวอสุเรนทร์อะไรนี่มาก่อน
ที่อ่านผ่านตาก็มีแค่บทละครที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานเลยสักนิด
แล้วแบบนี้พวกเธอคิดว่ามันแปลกหรือเปล่า?”
ทั้งที่เสียงของเมรีเงียบลงไปแล้ว
หากแต่อีกเสียงที่ดันลอยวนเวียนอยู่ในหัวต่อจากนั้นชนิดที่ไม่ยอมสงบลงโดยง่ายกลับกลายเป็นเสียงของผู้อื่น
‘แล้วเหตุใด
แม่ทับทิมจึงคิดว่าพี่จักจำหน้าค่าตาดวงใจของตัวเองไม่ได้งั้นรึ ? ในเมื่อพี่นั้น
คำนึกหาน้องอยู่ทุกเพลา คิดถึงดวงตา คิ้ว จมูก ริมฝีปาก ทั้งในยามรักและยามสูญเสีย
จดและจำกริยาอ่อนช้อย และเสียงหวานๆ ได้มิรู้ลืม…’ เสียงของท่านอสุราที่บอกฉันอย่างมั่นอกมั่นใจ
ว่าเขาจำคนรักของตัวเองได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายเกิดใหม่อยู่กันคนละภพแล้วก็ตาม
“โลกใบนี้น่ะ มันกลมนะรู้หรือเปล่า?”
แต่แล้วขณะที่ทุกอย่างเงียบลงไป หนนี้มันก็เป็นไวเกลนั่นหล่ะ ที่กล่าวขึ้นราวกับคนที่เข้าใจเรื่องทางโลกอย่างถ่องแท้
“มนุษย์เราเวียนว่ายตายเกิดสลับภพภูมิต่างกันไปในแต่ละชาติ
ชาตินี้เธออาจจะเกิดเป็นมนุษย์
แต่ในชาติที่แล้วอาจจะเกิดเป็นหมาแมวบนโลกนี้ที่ไหนสักแห่งก็ได้
แต่สิ่งเดียวที่ทุกสิ่งมีชีวิตเกิดมาแล้วต้องดำรงตำแหน่งรับหน้าที่เหมือนกันทุกคนก็คือการชดใช้เวรกรรมที่เคยทำมาในแต่ละภพแต่ล่ะชาติ
ฉันก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น เธอเองก็คงไม่ต่างกันนัก...”
เวียนว่ายตายเกิดงั้นเหรอ…
งั้นแปลว่าทุกคนก็ล้วนแล้วแต่จะเคยเป็นใครหรืออะไรมาก่อนก็ได้อย่างนั้นน่ะสิ
หากว่าฉันชาติภพก่อนนั้น ฉันคือแม่หญิงนิมมานรดีจริงๆ การได้พบเจอกับท่านอสุราในตอนนี้ก็อาจหมายถึงลิขิตฟ้าที่เขาวอนขอมาโดยตลอดอย่างในตำนานงั้นน่ะสิ
แต่ว่า…
ไม่ใช่หรอก!
ฉันน่ะ ไม่มีทางเกิดเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่งดงามและอ่อนช้อยได้ขนาดนั้นหรอก
ในเมื่อตอนนี้ ฉันไม่สามารถทำอะไรได้แบบที่แม่หญิงนิมมานรดีพึ่งจะทำได้ในชาติภพเก่าเลยแม้แต่นิดเลยนี่นา
“อะไรนะ?” ท่ามกลางกลุ่มก้อนความคิดซึ่งยังแย้งกับเหตุผลและหลักความน่าจะเป็น
จู่ๆ พื้นที่บริเวณหลังสวนก็เริ่มเกิดเสียงเอะอะโวยวายของทีมงานในกองถ่ายขึ้น จำต้องสลัดทุกความคิดที่มี
รีบเหลียวมองไปยังต้นเหตุของเสียงโวยวายทันที “มาไม่ได้แล้วอย่างงั้นเหรอ!?”
“ทางผู้จัดการคุณวุฒิเพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เองค่ะ…”
“ฉิบหายแล้วงานนี้
ขาดวุฒิไปแล้วเราจะเริ่มถ่ายละครกันได้ยังไง!?”
“เดี๋ยวหนูจะลองโทรติดต่อประสานงานนักแสดงชายท่านอื่นดูก่อนนะคะ
พี่ช้างมีใครคนอื่นที่สนใจพิเศษหรือเปล่า?”
“ก่อนมึงจะติดต่อหานักแสดงชายคนใหม่
มึงไปหาพวงมาลัย หาธูปเทียน มาจุดไหว้ขอขมาท้าวอสุเรนทร์ดีกว่าไหม ?”
เสียงเอะอะที่เกิดขึ้นด้านหลังสวนมันก็ทำให้นางเอกสาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองละครมากที่สุด
รีบเคลื่อนกายลุกจากที่นั่งเดินย้อนกลับไปยังจุดเกิดเหตุ พลอยให้เพื่อนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทั้งฉันและไวเกลจำต้องเดินติดสอยห้อยตามออกไปด้วย
และการเดินตามหลังเมรีไปนั้น มันเลยทำให้ทั้งฉันและไวเกลรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ณ.ช่วงเวลานั้น
จากการถามของเมรีด้วยเช่นกัน
“น้องๆ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?
ทำไมพี่ช้างหัวเสียขนาดนั้นล่ะ?”
“อ๋อ...คืออย่างงี้ค่ะ
คุณวุฒิแกประสบอุบัติรถคว่ำขณะเดินทางมากองถ่ายค่ะ” พอได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของความวุ่นวายจากการถามไถ่ของดาราสาวขี้สงสัย
ฉันจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไม่คุณช้าง ผู้กำกับชื่อดังถึงแสดงอาการหัวเสียออกมาให้เห็นหนักขนาดนี้
แน่ล่ะ
ในเมื่อเข้าตั้งกำกับละครเรื่องนี้มากแท้ๆ
แต่ดันเกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นได้ถึงสองครั้งสองคราว ซึ่งถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าคุณวุฒิที่ประสบอุบัติเหตุอะไรนั่น
น่าจะเป็นนักแสดงนำชายคนสำคัญที่ต้องเล่นละครเรื่องนี้คู่กับเมรีด้วย
“รถคว่ำเหรอ ?”
“ใช่ค่ะ
ทางผู้จัดการเขาโทรมา เห็นบอกว่าหลังประสบอุบัติเหตุ
คุณวุฒิแกก็เหมือนคนเสียสติไปเลยน่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ ?” จะว่าแทรกก็ได้นะ แต่คำนี้น่ะมันออกมาจากปากของฉันเองโดยอาศัยสิทธิ์ของเพื่อนดาราสาวในการถาม
สืบเนื่องจากเมื่อครู่
ฉันดันได้ยินพี่ช้างไล่ทีมงานของตัวเองให้ไปไหว้ขอขมาท้าวอสุเรนทร์
มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้เมรีก็ยังพูดอะไรแปลกๆ มาอีก ไม่ผิดใช่ไหม ถ้าจะชิงถามแทรกออกไปแบบนี้
ซึ่งตอนตั้งคำถามน่ะ ฉันก็ไม่ทันคิดหรอก ว่าคำตอบที่น้องทีมงานให้กลับมานั้นจะเป็นแบบนี้
“เห็นผู้จัดการคุณวุฒิเล่าว่า หลังประสบอุบัติเหตุคุณวุฒิเอาแต่ยกมือไหว้ท่วมหัวเหมือนกับหวาดกลัวอะไร ปากเอาแต่พูดว่ายักษ์ ยักษ์ ยักษ์ไม่ยอมหยุด”
สิ้นเสียงการให้คำตอบอันน่าตกใจ
บรรยากาศบริเวณพื้นที่ภายในสวนด้านหลังก็เริ่มเปลี่ยน ผู้คนรอบกายที่เคยเคลื่อนไหวเป็นปกติ
เวลานี้กลับขยับกายช้าลงจนค่อนไปทางทางหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับส่งรอบตัวเริ่มลดระดับเสียงลงจนเหลือเพียงเสียงพูดคุยเบาบาง
ราวกับว่าพวกเขาถกเถียงกันอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล
ทั้งที่สภาพแวดล้อมรอบตัวลงเอยในสภาพเช่นนั้น
หากแต่นั้นกลับไม่ใช่เสียงเข้มคุ้นหูที่ดังแทรกเข้ามา
“แม่ทับทิม…” เสียงของเขาฟังชัดมาก จนร่างกายตอบสนองสิ่งที่ได้ยินด้วยการเหลียวหลังขวับมองกลับไปทิศทางของเสียง ก่อนพบเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนในท่ากอดอกบริเวณใต้ถุนบ้านทรงไทยย้อนยุค
เขากำลังทอดสายตามองตรงมายังจุดที่ฉันยืนอยู่ บนหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใดให้รู้สึก
คล้ายกับกำลังยืนมองผู้คนซึ่งกำลังวุ่นวายกับเหตุด่วนที่เข้ามากะทันหันเสียมากกว่า
วินาทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสได้สบประสายสายตากัน
ท่านอสุราก็ทำมันอีก ใช้อำนาจที่ตนเองมีอันตรธานตัวหลบไปทั้งๆ อย่างนั้น ทว่า
การหายตัวไปของเขาครั้งนี้ กลับไม่ได้ทำให้เท้าทั้งสองข้างของฉันถูกตอกติดไว้กับพื้นเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว
แต่คล้ายเป็นแรงดึงดูดประหลาดที่เชิญชวนผู้ที่มองเห็นให้เข้าไปใกล้ถึงจะถูก
ตึก… ตึก…
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเวลานั้นเป็นอะไรไป
รู้แค่ว่าเท้ากำลังก้าวสลับเป็นจังหวะกึ่งเดินกึ่งวิ่ง
พาตัวเองปลีกตัวออกจากกลุ่มคนมากหน้าหลายตา มุ่งย้อนกลับไปยังพื้นที่โล่งใต้ถุงบ้านเรือนไทยอีกครั้ง
เหมือนๆ กับสายตา
ที่พยายามกวาดหาร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์แบบไม่ลดละ
ท่านอสุราเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกไล่ตาม
ถึงได้จงใจแกล้งกัน จงใจปรากฏตัวให้ได้เห็นในท่วงท่าก้าวเดินและหายตัวหลบไปจากสายตาอยู่เช่นนั้นในทุกครั้งที่ช่วงที่คล้ายกับจะใกล้ถึงตัว
มันน่าหงุดหงิดที่เวลานี้
ฉันต้องมาเป็นฝ่ายตามหาสิ่งที่เคยทำให้ขยาดในช่วงสองวันแรก ทั้งที่อยากจะหยุด แต่ร่างกายดันไม่ยอมทำตามความคิด
ยังคงจ้ำเท้าเดินเร็วมุ่งไปข้างหน้า ตรงไปตามเส้นที่ทางยักษ์หนุ่มปรากฏตัวให้เห็น แบบไม่คิดจะหยุดพัก
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เกือบสองนาทีได้ล่ะมั้ง
ที่เท้าสองข้างเอาแต่จ้ำเดินตามหลังสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างไร้จุดหมาย
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเดินไปไหน รู้แค่ว่ารอบตัวตอนนี้เป็นเพียงสวนไม้ร่มรื่นภายในพื้นที่ของบ้านทรงไทยก็เท่านั้น
กว่าจะรู้สึกตัวฉันฉันเดินออกมาไกลจากกลุ่มทีมงานกองถ่ายละคร
ก็คงเป็นตอนที่ร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีขาว
กำลังยืนปรากฏกายขึ้นตรงหน้าในท่ากอดใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในสวนด้วยท่ากอดอก ราวกับว่าเขาต้องการใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นจุดนัด
ที่เขาดลใจให้เดินหลงเข้ามาอย่างไรก็อย่างนั้น
กึก…
“พี่หาได้เป็นชนเหมือนไอ้บุรุษตนนั้น เหตุใดแม่ทับทิมจึงตามพี่มิหยุดหย่อน…”
คำถามแรกถูกท่านอสุราเปล่งเสียงถามขึ้น ท่ามกลางความเงียบระหว่างเรา แม้ว่าน้ำเสียงที่เขาใช้จะฟังนุ่มละมุนหูไม่ต่างจากทุกที แต่สำหรับฉันคำถามดังกล่าวฟังคล้ายกับเป็นการประชดประชันแกมหาเรื่องกันถึงจะถูก
“มิหวาดกลัวพี่แล้วงั้นรึ ?”
“ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เจ้าคะ
ฉันไม่เข้าใจ…” ถึงจะรู้สึกถึงการประชดประชันผ่านน้ำเสียง
ถึงอย่างนั้นฉันก็แสร้งถามราวกับเข้าไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะคิดว่าการประนีประนอมกับสิ่งที่มองไม่เห็นน่าจะเป็นการทำให้ฉันสามารถพูดกับเขาง่ายขึ้น
แต่
“อย่าริแสร้งเหมือนผู้มิรู้ความ
ในเมื่อแม่ทับทิมน่าจักรู้เต็มอก ว่าพี่หมายถึงเรื่องอันใด” ท่านอสุราก็ไม่วายกล่าวย้ำถ้อยคำใจความเดิม
พานให้ผู้ฟังเผลอนึกทบทวนตามสิ่งที่ได้ยินอย่างไร้ทางเลือก
อาจเพราะว่าฉันเงียบไปขณะกำลังคิดล่ะมั้ง นั่นเลยทำให้ยักษ์หนุ่มซึ่งกำลังคำตอบกล่าวขึ้นด้วยตนเองอีกครั้ง
“แม่ทับทิม
บอกพี่มิใช่รึ ว่าเจ้าหาได้พิศวาสหรือหมายเข้าใกล้อดีตคนรักชาติภพนี้ แล้วเหตุใดเมื่อไม่กี่เพลาก่อนจึงชิดใกล้
สนิทชิดเชื้อเช่นนั้นเล่า ?” พอได้ฟังอกฝ่ายว่ากล่าวมาถึงตรงนี้
ฉันก็ถึงบางอ้อทันที
บางทีเขาอาจจะเห็นเมื่อเช้า
ที่ฉันนั่งรถมาที่นี่กับเขตแดนแน่ๆ แต่เดี๋ยวสิ ถ้ามองเห็นกันขนาดนี้
แล้วทำไมถึงไม่รู้เหตุผลว่าทำไมฉันต้องนั่งรถมากับเขตแดนล่ะ !
“ท่านเองก็ทำเป็นพูดเหมือนไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรเหมือนกันนั่นแหละเจ้าค่ะ
!” พอถูกว่ากลับ
ท่านอสุราก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเหมือนกับว่าคำพูดของฉันกำลังจี้ใจท่านอย่างไรก็อย่างนั้น
ซ้ำยังกล่าวประชดประชันหนักขึ้นด้วยเสียงดุต่างจากทุกที
“ใช่ซี่! ยามนี้พี่หาได้มีสิทธิ์ต่อว่าเจ้าเหมือนครั้งเก่าก่อนแล้วนี่” ยิ่งได้ฟัง ฉันยิ่งเข้าใจความหมายของเขามากขึ้น
โดยเฉพาะกับความเชื่อที่อีกฝ่ายมั่นใจถึงตัวตนที่ฉันเคยเป็นเหมือนภพชาติก่อน
และถึงแม้อีกฝ่ายจะปักใจมากขนาดไหน
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่อยากทำใจเชื่อได้ลงอยู่ดี
“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉันเท่านั้น…”
คำพูดเท่าที่ฉันในตอนนี้พึงจะใช้บอกความนัยของตัวเองถึงถูกกล่าวขึ้นอย่างเถรตรง
“ขอโทษนะเจ้าคะ แต่ความรู้สึกและความชอบที่ฉันมีต่อตัวท่านตอนนี้
มันคงไม่เหมือนกับที่ท่านมีต่อแม่นิมมานรดีหรอกเจ้าค่ะ”
ลึกๆ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าหากพูดใส่เขาออกไปแบบนั้น
ฉันอาจจะถูกท่านอสุราโกรธจนท่านวาดเวทย์ใช้อิทธิฤทธิ์ทำร้ายกันเหมือนแบบในหนัง
ในละครก็ได้ แต่ว่า เปล่าเลย ทั้งที่ถูกปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายก็ไม่วายที่จะขยับยิ้ม
“พี่รู้เรื่องนั้นดีแม่ทับทิม
หากแต่พี่หาใช่จักยอมแพ้ต่อโชคชะตาเสียที่ไหน…” ซ้ำยังกล่าวรับอย่างเข้าอกเข้าใจด้วยเสียงที่อ่อนลงราวกับเมื่อครู่เขาเพียงแค่พูดแกล้งกันเท่านั้น
เพราะลักษณะนิสัยของท่านอสุราที่ไม่ต่างจากที่เคยอ่านมาเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ
หลายต่อหลายครั้ง ฉันถึงมีความคิดอยากจะช่วยตามหาหญิงคนรักที่ท่านอสุราหมายจะพบเจอ
“นี่ ท่านอสุราเจ้าคะ ฉันถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า?” แต่พอมาคิดมาถึงตรงนี้ อยู่ๆ
ในหัวก็ดันนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ บทสนทนาระหว่างเราซึ่งดูขาดๆ เกินๆ
ในช่วงแรกจึงคำถามใหม่แทรกขึ้นและเปลี่ยนแปลงบทสนทนาไปในที่สุด
“แม่ทับทิมสงสัยสิ่งใดงั้นรึ ?”
“เรื่องพี่ชายของท่านน่ะเจ้าค่ะ
ท่านท้าวอสุเรนทร์…” ทั้งที่ตอนแรกท่านอสุราก็เหมือนจะให้ความร่วมมือที่จะตอบคำถามเป็นอย่างดีแท้ๆ
ทว่า พอชื่อของพี่ชายตนเองถูกเอ่ยผ่านปากเพียงเท่านั้น
สีหน้ายิ้มแย้มของท่านก็หุบลงทันที “ตอนนี้ท่านท้าวอสุเรนทร์ก็ลงมาอยู่ที่โลกมนุษย์
เหมือนกับท่านอสุราใช่ไหมเจ้าคะ ?”
“แม่ทันทิมจะถามให้ได้ความอันใด
?”
“คืออย่างนี้เจ้าค่ะ
ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เพื่อนฉันคนนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องของท่านกับพี่ชายเท่าไหร่
แต่อยู่ๆ ยัยนั่นกลับพูดเรื่องของท่านท้าวอสุเรนทร์ออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ท่านพอจะรู้เหตุผลหรือเปล่าเจ้าคะ ว่ามันเพราะอะไร...”
“มันเป็นเรื่องของกงเกวียนกำเกวียนผู้อื่น
หาใช่เรื่องที่แม่ทับทิมต้องรู้ไม่”
“แต่ฉันเป็นห่วงเมรีนี่เจ้าคะ
ยัยนั่นดูหวาดกลัวมากๆ ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้เลย…”
“กรรมใด
ผู้นั้นพึงรับผิด…” คราวนี้ท่านอสุรากล่าวแทรกขึ้นแบบไม่ได้รอให้ฉันได้เอ่ยจนจำคำ
น้ำเสียงของเขาฟังดูโกรธเคือง ซ้ำยังคล้ายกับต้องการตัดบทอีกด้วย “ฉะนั้นแล้ว จงปล่อยให้วงล้อวิบากหมุนเวียนตามหน้าที่ของมันเถิด”
เมื่อถามแล้วไม่ได้อะไร ประจวบกับที่เจ้าตัวเองก็ดูไม่อยากพูดถึงมากนัก ฉันซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไร จึงจำใจต้องเงียบเสียงลงตามอย่างที่เขาอยากให้เป็น เพราะมันคงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้ายังเอาแต่ถามจี้แบบไม่เลิกรา
แต่การเงียบไปของฉันนั้น
กลับไม่ได้ทำให้การพูดคุยของเราขาดหายไปแบบที่ควรเป็น เมื่อท่านอสุรา พลิกบทบาท
กลายมาเป็นผู้ตั้งคำถามด้วยตนเอง
“ว่าแต่แม่ทับทิมเถิด
มิคิดสนเรื่องตนเองบ้างเลยหรือ ?”
“ฉะ ฉันเหรอเจ้าคะ ?”
ความปากไวบวกกับไม่ทันตั้งตัวก่อนถูกถาม
ส่งผลให้ปากเผลอย้อนถามกลับไปแบบนั้น
ขณะเดียวกันคำถามดังกล่าวกลับทำให้ผู้รับฟังเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนหน้าอีกครั้ง
“เรื่องของเรา…”
พร้อมคำบอกกล่าวไม่สั้นหรือยาวจนเกินไปชวนให้ผู้ฟังรู้สึกร้อนทั่วหน้าได้แทบจะทับที
“พี่จีบเจ้าใหม่ได้ใช่หรือไม่ แม่ทับทิม”
ไม่รู้ว่านี่เป็นหนที่เท่าไหร่แล้ว
ที่คำพูดของเขาปั่นป่วนห้วงอารมณ์คนฟังให้เกิดอาการไหวหวั่นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ทว่า ก่อนจะทันได้โต้ตอบอะไรคืนไป
มันก็เป็นท่านอสุราอสุรานั่นแหละที่หยุดทุกเสียงที่ฉันมี ด้วยการขยับเคลื่อนไหวร่างกายร่ายรำไร้ทำนองให้ได้เห็นไม่ต่างจากการแสดงโขนที่เคยดูในโรงละคร
ทีท่าร่ายรำอ่อนช้อนในแบบที่ผู้ชายพึงจะมี
กำลังต้องสายตาให้จดจ้องการเคลื่อนไหวตรงหน้าได้ราวกับถูกดึงดูด
นับตั้งแต่มือซ้ายของเขาที่กำลังตั้งวงปาดมือมาที่ปากก่อนหยุดในท่าเท้าสะเอว
ศีรษะเอียงซ้ายซึ่งหมายถึงกริยาการยิ้ม
หรือแม้แต่ท่าที่เขากำลังชี้ปลายนิ้วมาทางฉันราวกับต้องการจะสื่อความหมายผ่านท้วงท่าร่ายรำ
กึก...
แต่แล้วจังหวะที่เขาหมุนกายหันกลับมาสบตากับฉันอีกครั้ง สิ่งอัศจรรย์ที่ยากเกินกว่าจะจินตนาการก็บังเกิดขึ้น พร้อมเพรียงกับที่คนตัวใหญ่กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงกับพื้น บันดาลให้ภาพรอบตัวเริ่มบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็น ก่อนเริ่มแปรเปลี่ยนภาพของสวนไม้แสนธรรมดาให้กลายเป็นสวนสวยซึ่งโอมล้อมไปด้วยไม้พันธุ์แปลกและหายากซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกของความจริง
อีกทั้งพื้นที่ดินที่เคยแตกแขนงใต้เท้าของท่านอสุรานั้น ก็ได้ผุดเป็นใบหญ้าสีเขียวขจีขึ้นให้เห็นก่อนเริ่มกระจายพื้นที่ออกเป็นวงกว้าง กลืนกินอาณาเขตออกไปสุดหูลูกตา
ทั้งที่ทุกอย่างรอบตัวกำลังเปลี่ยนแปลง หมุนเวียนไปจนรู้สึกได้ แต่เวลานั้นสายตากลับถูกแช่แข็งให้จับจ้องนัยน์ตาคมคู่เดิมไว้ ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันสามารถมองเห็นได้เวลานั้น โดยเฉพาะกับการร่ายรำที่ยักษ์ตรงหน้ากำลังแสดงให้เห็น
การได้เห็นท่านอสุราเริ่มร่ายรำตรงหน้าอีกครั้งในระยะใกล้เช่นนี้
ฉันกลับไม่รู้สึกว่ามันตลกตรงไหน ตรงกันข้าม
ทั่วหน้ากลับยิ่งร้อนมากขึ้น เมื่อรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้น
ไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่เขากำลังเกี้ยวแม่หญิงนิมมานรดีคนรักของตัวเองแม้แต่นิด
หากต้องรู้สึกขบขันกับอะไรสักอย่างในช่วงเวลาน่าเหลือเชื่อนั่น ฉันคิดว่าน่าจะเป็นตัวฉันเองที่ไม่สามารถร่ายรำในแบบที่เขาอยากให้เป็นเช่นเดียวกับคนรักในชาติก่อนของตนเองได้ นอกจากยืนรับชมในระยะใกล้เช่นนี้
กึก…
“นี่ท่าน ทำอะไรน่ะ…”
ซ้ำยังยิ่งรู้สึกความด้อยเรื่องความสามารถของตัวเองเข้าไปใหญ่ เมื่อท่านอสุราเคลื่อนกายมายืนซ้อนหลัง ราวกับต้องการให้คู่ที่ตนเลือกร่ายรำเคียงคู่ จนต้องรีบปฏิเสธ “ฉันรำไม่เป็นหรอกนะเจ้าคะ…อะ”
ทว่า...
ฟึ่บ!
“ให้พี่สอน…แทนการไถ่โทษที่เมื่อครู่กล่าวถ้อยประประชดแม่ทับทิมเถิด” เสียงกระซิบข้างหูจากทางด้านหลังพานให้ทุกส่วนของร่างกายแข็งทื่อเหมือนหิน ซ้ำยังทื่อยิ่งกว่าที่เป็น แม้แต่ในตอนที่ฝ่ามืออุ่นของท่านอสุรากำลังถือวิสาสะจับมือข้างหนึ่งของฉันยกเคลื่อนขึ้นกดลงกับแก้ม พานให้เผลอเอียงหน้าเหลือบมองหลังไปยังผู้ควบคุมสัมผัสดังกล่าวอย่างห้ามไม่ได้
ยามต้องตาสบประสานสายตากันขณะถูกจัดท่าร่ายรำ
โลกทั้งใบก็คล้ายหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
ราวกับว่ามีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้นที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ อีกทั้งยังมองเห็นทุกอย่างชัดขึ้น
ไม่ว่าจะจังหวะการเคลื่อนไหว สีหน้า
หรือแววตาขณะที่ยักษ์หนุ่มบรรจงสั่งสอนให้ฉันได้ลิ้มลองกระทำในสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ท่ามกลางกลิ่นดอกสร้อยที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งสวน
“ทุกครา…หากพี่ยิ้มน้องจะเอียงอายด้วยท่าทีอ่อนช้อยเช่นนี้เสมอ...รำลึกได้หรือไม่ ?” ซ้ำยังเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน ราวกับต้องการจะทวนความทบจำของชาติภพเก่าที่เลือนหายไป
ฉันไม่ได้ตอบและเลือกที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้ขยับเคลื่อนคู่เตียงกับจังหวะร่างกายที่อีกฝ่ายมอบส่งมาให้ แม้ในหัวจะไม่รู้สึกถึงเรื่องที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดก็ตาม ทว่า ในห้วงความรู้สึกลึกๆ กลับระลึกตามคำบอกกล่าวของเขาได้อย่างน่าประหลาด จนแยกไม่ออกว่าที่นึกภาพตามได้ถึงขนาดนั้น เป็นเพราะฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับเขามากเกินไป
หรือเพราะฉันคืออดีตหญิงคนรักอย่างที่ท่านอสุราว่าไว้จริงๆ …
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น