คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : กลรักอสุรา l บทที่๐๗ ตอน คำทำนาย {อัพ100%}
-ท่านอสุรา กล่าว-
‘จีบงั้นรึ ?’
เสียมารยาทนัก…
นั่นคือสิ่งที่เราคิด
นับตั้งแต่ใช้อิทธิฤทธิ์ที่มีติดตัวอันตรธานตนกลับคืนสู่ธาตุอากาศ และตัดสินใจหลบหนีจากดวงใจ
กลับคืนสู่สถานที่ที่จากมากอย่างไร้ทางเลือก เหตุที่เป็นนั้น หาใช่ว่า
เรามิปรารถนาอยู่ใกล้ดวงใจตามดั่งวาจาที่เคยกล่าวไว้ไม่
‘เจ้าค่ะ จีบก็คล้ายๆ กับการเกี้ยวพาราสีนั่นหล่ะ
แต่ว่ามันเป็นคำที่คนในยุคสมัยนี้ใช้กันน่ะท่าน…’ หากแต่เป็นเพราะ
เรากำลังรู้สึกหงุดหงิดจนไม่สมเป็นตัวเอง หลังได้ฟังถ้อยวาจาจากหญิงคนรักต่างหาก
กระนั้นแล้ว เราก็ไม่ได้หมายจะโทษโชคชะตาที่ลิขิตให้บุรุษชนตนนั้นเข้ามายุ่มย่ามกับหญิงของคนรักแต่อย่างใด
ในเมื่อเรานั้นเองนั้นไร้ฤทธิ์ที่จะสาปเสกหรือบันดาลเวทย์
กำหนดชี้ชะตาได้ดั่งที่พระผู้เป็นพี่ชายพึ่งจะทำ ด้วยเหตุนั้นเราจึงต้องจำใจเสียมารยาท
หลบลี้หนีหายออกห่างจากหญิงคนรัก จนกว่าจิตนึกคิดที่มีนั้นจะกลับมาสงบร่มเย็นได้ดั่งที่เคยเป็น
กึก…
เท้าทั้งสองข้างค่อยๆ หยัดเหยียบลงสู่พื้นธรณีอีกครั้ง
หลังใช้อิทธิฤทธิ์เพียงเล็กน้อยซึ่งถูกถือครองไว้ในมือ นำพาเราเหาะเหินฝ่าเมฆหมอก
กลับขึ้นสู่แดนสรวง ณ. นครยักษ์ที่พระเชษฐาปกครองได้เพียงในเวลาไม่กี่อึดใจ
แม้นว่าในเมืองมนุษย์ที่จากมานั้นจะเป็นช่วงท้องฟ้าสว่าง
หากแต่นั่นกลับไม่ใช่กับนครยักษ์ที่ยามนี้นภากำลังถูกปกคลุมด้วยสีทมิฬและหมู่ดาว
อีกทั้งสถานที่เบื้องหน้าที่สองเราหยัดเหยียบอยู่นั้น ก็ยังให้ความรู้สึกชินตามากกว่าเมืองมนุษย์เป็นไหนๆ
สวนสวยหลังวัง ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าพันธุ์ไม้สวรรค์ ส่งกลิ่นหอมรัญจวนไปทั่วพื้นที่
ไหนจะลมอ่อนๆ ในช่วงปฐมยาม ที่ทำให้กายรู้สึกเย็นสบาย ทั้งหมดนั่นช่วยให้อารมณ์ในกายเราที่เคยร้อน
ค่อยๆ ผ่อนผันลงตามอย่างที่ควรจะเป็น
ตึก…
เราย่างเท้า เหยียบลงบนพื้นหญ้าภายในสวนโดยอาศัยแสงสว่างจากคบเพลิงซึ่งถูกจุดไว้รอบรั้วหวังแทนเข็มทิศ
มุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่กลางสวน จุดสำหรับนั่งชมนกชมไม้ที่พี่ชายเรานั้นโปรดปรานมากที่สุดแบบไม่รีบไม่ร้อน
ขณะสองกรร่ายเวทย์เสกเครื่องสายงาช้างประจำกายให้ปรากฏขึ้นในกำมือ
ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ซึ่งมักถูกใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนกายของทั้งเราและผู้พี่
ยามนี้ว่างเปล่าปราศจากยักษา ยักษีตนใดในสายตา
ซึ่งนั่นเรากล่าวรวมถึงงานเฉลิมฉลองที่ขาดหายไปนครยักษ์ นับจากสงครามแดนสรวงสิ้นสุดลง
ที่พอจะทำให้พื้นที่สวนภายในวังไม่ดูเงียบลงจนโหวงเหวงเกินไป
ก็คงไม่พ้นเครื่องสายสีสะอาดตาในมือของเรานั่นหล่ะ
แคร่ไม้ใต้ร่มของต้นไทร ถูกเราใช้เป็นที่นั่งส่วนตัว
สำหรับการประคองจิตนึกคิดให้สงบลง
ทันทีที่ขึ้นมานั่งพับเพียบบนแคร่ใหญ่ได้สำเร็จตามประสงค์
เครื่องสายงาช้างในมือจึงถูกเคลื่อนบริเวณกะโหลกซอมาวางฝั่งหน้าตักซ้ายชิดกับช่วงท้อง ขณะมือขวาก็จับคันชักในท่าที่เหมาะสม ก่อนตามมาด้วยเสียงเสียดสีเป็นท่วงทำนอง
ยามเมื่อปลายนิ้วทั้งสี่ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย
เริ่มสลับแตะลงบนสายของเครื่องดนตรีในมือ
ทุกครา ยามนึกหวนถึงแก้วกานดาซึ่งมีอันต้องพลัดพราก เรามักจะพาตนเองมายังสวนแห่งนี้พร้อมด้วยเครื่องดนตรีที่เราพอจะมีความชำนาญในการเล่นติดมือมาด้วย
บทเพลงที่เราสามารถบรรเลงท่ามกลางพื้นที่สงบแห่งนี้ได้อย่างไม่รู้เบื่อ เห็นทีคงไม่พ้นเพลง
‘จันทร์’
ในแบบที่แม่นิมมานรดีชื่นชอบและมักจะร่ายรำให้เห็นขณะเราเริ่มบรรเลงทำนอง จนกลายเป็นเรื่องชินตา
เสียงเล็กแหลมหากแต่มีความอ่อนหวาน
อ่อนช้อยไม่ต่างจากท่วงท่าการร่ายรำของคนรัก
มักช่วยชำระล้างอาการคิดหวนคำถึงที่มีต่อดวงใจได้ทุกคราไม่มากก็น้อย ซ้ำยามที่ได้ปล่อยกมลความคิดไปการเสียงแว่วของเครื่องสายขณะบรรเลงด้วยสองมือนั้น
มันก็ช่วยให้จิตใจของเรานั้นรู้สึกสงบลงได้มากกว่าที่เคยเป็น
กึก…
หากแต่ว่าความปรารถนาที่จะลดหย่อนอารมณ์ของเราก็ไม่อาจดำเนินเคียงคู่กับเสียงบรรเลงเครื่องสายได้นานดั่งใจปรารถนานัก
เมื่อเสียงย่างเหยียบหญ้าของใครอีกคนดังแทรกความอ่อนหวานของทำนองเพลงจันทร์ให้เราได้ยิน
เมื่อหมดสิ้นสมาธิและจิตตั่งมั่นต่อเครื่องดนตรีในมือ
เสียงเสียดสีแหลมเล็กซึ่งเคยขับเคลื่อนเป็นเสียงเพลงก็มีอันต้องหยุดลง เฉกเช่นกับสายตาซึ่งเคยสนใจปลายนิ้วทั้งสี่ขณะบรรเลง
ยามนี้กลับมีอันต้องหันเหไปยังต้นเสียงอย่างไม่อาจบังคับ
กึก…
ผู้มาเยือนรีบหยุดชะงักเท้าลงโดยพลัน เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้อง
ก่อนจะรีบทรุดตัวลงกับพื้นในท่าพับเพียบ พลางรีบยกมือขึ้นพนมกลางอก
“มิทรงดนตรีต่ออีกสักหน่อยหรือขอรับ ท่านอสุรา…” ซึ่งผู้เข้าขัดจังหวะการเล่นเครื่องสายเวลานี้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น
หากแต่เป็นท่านปุโรหิตชมชิตทร์ โหรประจำวังซึ่งคอยทำหน้าที่ทำนายและดูชะตาให้แก่บ้านเมืองนั่นหล่ะ
“แล้วเหตุใดยามนี้ ท่านชมชิตทร์จึงมิพักกายาเช่นผู้อื่นเล่า?
หรือเป็นเพราะเสียงบรรเลงจากเราปลุกให้ท่านตื่นจากการพักตางั้นรึ ?”
“หาได้เป็นเช่นนั้นหรอกขอรับท่านอสุรา กระหม่อนเพียงแค่หมายจักอยู่รับฟังการบรรเลงทำนองอ่อนช้อยของท่านอสุราก็เพียงเท่านั้น…”
แม้นว่าเราจะมียศถาสูงกว่าท่านชมชิตทร์ด้วยสถานะของอนุชาท้าวเจ้าเมืองก็ตามที
ถึงกระนั้นเราก็รักและเคารพท่านชมชิตทร์ไม่ต่างจากเครือญาติ
“ยามนี้ทวิภพเปิดออกตามประสงค์สาปของท่านท้าวอสุเรนทร์แล้วมิใช่หรือขอรับ
ไฉนท่านอสุราจึงหวนกลับคืนพระนครก่อนพระเชษฐา ซ้ำยังบรรเลงทำนองเศร้าอยู่ในสวนเช่นนี้เล่า
?” เมื่อการสนทนาระหว่างเราและท่านชมชิตทร์เริ่มต้นขึ้น
ครั้นจะไม่ลดเครื่องสายในมือลงยามพูดจา
เราก็เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปเสียหน่อย
ด้วยเหตุนั้นเครื่องสายในมือจึงถูกวางลงข้างตัวบนแคร่
“ท่านชมชิตทร์หาได้ต้องเป็นกังวลต่อการกลับมาของเราครานี้แต่อย่างใด เราเพียงปรารถนาความเงียบสงบในแบบที่เมืองมนุษย์มิอาจหาได้ก็เท่านั้น”
“หากเป็นดั่งเช่นที่ท่านอสุราว่า กระหม่อมเองก็ค่อยคลายความห่วงลงได้บ้าง…”
ท่านชมชิตทร์แย้มยิ้มมุมปากบอกความรู้ตามดั่งวาจาที่กล่าวไว้ ทว่า
ไม่ใช่กับแววตาที่ทอประกายความเป็นกังวลให้เห็น จนเราเองรู้สึกได้
จำต้องเอ่ยถาม
“แล้วท่านเล่า ท่านชมชิตทร์ ยามนี้มีเรื่องหรือเหตุอันใดรบกวนใจบ้างหรือไม่
?” ตอนเอ่ยถ้อยถาม เราเพียงแค่รู้สึกเป็นห่วง
ไม่ต่างจากที่ท่านชมชิตทร์เป็นห่วงการกลับมาของเรานั่นหล่ะ
“หากกระหม่อมปฏิเสธ เห็นทีคงมิต่างจากการโป้ปดองค์เหนือหัวนัก…” ท่านปุโรหิตชมชิตทร์กล่าวขึ้นตัดพ้อต่อตนเอง ก่อนเงียบลงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เพราะเรายังคงอยู่รอฟังถ้อยคำตอบ
ไม่นานท่านชมชิตทร์จึงเริ่มว่ากล่าวความนัยตนออกมาในที่สุด “นับจากที่ท่านและพระเชษฐาเด็จลงไปเยือนยังเมืองมนุษย์ กระหม่อมนิมิตเห็นภาพดวงชะตาพระนครมิค่อยสู้ดีนัก”
“หมายความถึงสิ่งใดรึท่านชมชิตทร์ อธิบายนิมิตที่ท่านเห็นให้เราฟังเสียงเสียหน่อยเถิด”
“กระหม่อมยลถึงเคราะห์กรรมบ้านเมืองหลังจากนี้อีกมิกี่ช่วงยาม…” ทว่า เราเองก็ไม่ทันใคร่ครวญคิด ว่าหลังจากวาจาร้องขอลอดผ่านปากได้จนสิ้นคำแล้วนั้น
ถ้อยคำตอบที่ได้กลับคืนจะเป็นดังนี้ “นครยักษ์จักเกิดการสูญเสีย
และแปรเปลี่ยน”
“นครยักษ์จักเกิดเหตุเพศภัยอันใดรึท่านชมชิตทร์ ?” ได้ฟังความอันน่าตกใจจากปากท่านชมชิตทร์จบ
กลางอุราก็เกิดอาการวาบหวามขึ้นอย่างไม่อาจห้ามไหว
พลอยให้การสนทนาระหว่างเราทั้งสอง ทวีความตึงเครียดมากขึ้น “เกี่ยวข้องพระเชษฐาของเราหรือไม่
?”
“หามิได้ขอรับท่านอสุรา กระหม่อมมิกล้าเอ่ยอ้างสาปแช่งต่อพระภูมีหรอกขอรับ…” เพียงแค่มองก็คาดเดาได้ ว่าท่านชมชิตทร์ไม่กล้าเอ่ยคำสาปแช่งต่อท่านพี่อสุเรนทร์ ด้วยเหตุนั้นเราจึงถามกลับ
“หากเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ท่านมองเห็นว่าจักสูญเสียไปหมายถึงสิ่งใดเล่า ?”
คำถามของเราครั้งนี้ ทำคู่สนทนาแสดงทีท่าอึดอัดมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคย
ซ้ำแววตาและสีหน้ายังฉายชัดถึงอาการลังเลที่มีล้นจนท่วมอก
พลอยให้ผู้มองเห็นรู้สึกเป็นกังวลไม่ต่างกันนัก
แต่แล้วหลังจากการเจรจาแลกเปลี่ยนความคิดขาดไปชั่วขณะหนึ่ง
สุดท้ายท่านปุโรหิตชมชิตทร์ก็ยอมคายคำตอบให้เราได้รับฟังในที่สุด
“เมื่อฤกษ์ยามของเคราะห์กรรมมาถึง จักมีอันต้องสูญเสียของรักไปชั่วกัปชั่วกัลป์น่ะขอรับ”
สูญเสียของรักงั้นรึ? หรือจะหมายถึงท่านพี่อสุเรนทร์ซึ่งเป็นที่รักของทุกชีวาในนครยักษ์อย่างที่เราคาดคะเนไว้จริงๆ…
“พอมีหนทางแก้กรรมบ้านเมืองบ้างหรือไม่ท่านชมชิตทร์…สิ่งใดที่เราพอจักช่วยนครของท่านพี่ได้บ้าง ท่านจงบอกเราเถิด…”
เราเคยบอกไปแล้วหรือยัง ว่าชีวานี้…นอกจากหญิงคนรักที่เรายอมพลีกายและยื่นมือเขาช่วยนั้น ยังมีพี่ชายคู่บุญอีกหนึ่งตน
ที่เราพร้อมเสมอหากต้องวอดวายแทนโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
แม้แต่ชื่อเสียงหรืออำนาจบารมี
“เรื่องนั้นยังพอมีทางแก้อยู่นะขอรับท่านอสุรา…”
ท่านปุโรหิตชมชิตกล่าวพลางยกมือไหว้ขึ้นสูงท่วมหัว
ก่อนคลายมือออกจากกันโดยลดมือข้างหนึ่งลงไปยังกระดานชนวนสำหรับดูฤกษ์ยามบ้านเมือง
จากนั้นจึงใช้เวลาไตร่ตรองดวงชะตาอยู่ครู่สั้นๆ ขณะขีดเขียนบางสิ่งลงบนกระดานชนวนในมือ
โดยมีเรานั่งมองอย่างเป็นกังวลอยู่ไม่ห่าง
แต่แล้วทันทีที่เส้นชะตากรรมถูกขีดเขียนต่อจนเสร็จครบครัน
ท่านปุโรหิตจึงกล่าวขึ้นในหนที่สุด
“หากไร้วิบากกรรมใดผูกติด จิตบริสุทธิ์อย่าริผลีผลามให้เกิดผล ด้วยเหตุเพราะตนเป็นยักษามิใช่ปุถุชน อย่าเวียนว่ายตายวนตามเคราะห์เวียน…”
สิ้นเสียงบอกกล่าวของผู้ซึ่งเราเชื่อมั่นในจิตสัมผัส
นัยน์ตาซึ่งโดยรอบเต็มไปด้วยรอยย่นบอกวัยก็เหลือบมองขึ้นมายังเราอีกหน ทว่า
เจ้าของสายตากลับไม่ได้กล่าวถ้อยสิ่งใดขึ้นอีก
ราวกับจะบอกว่าหนทางของการแก้กรรมบ้างมีเพียงวิธีนั้น วิธีเดียว
กลับกลายเป็นเราเสียที่เองที่ต้องจำจดทุกถ้อยคำที่ได้รับมาให้ขึ้นใจ
จนอดนึกถึงท่านพี่อสุเรนทร์ซึ่ง ยามนี้ยังอยู่ในเมืองมนุษย์กับอดีตศัตรูไม่ได้ ครั้นยิ่งไตร่ตรองประโยคของท่านชมชิตทร์มากยิ่งขึ้น
ในอกก็ยิ่งเป็นกังวลถึงตัวพี่ชายที่อาจจะกระทำสิ่งใดนอกเหนือจากคำมั่นที่เคยประกาศไว้ครั้งเมื่อก่อนเกิดสงคราม
“ท่านชมชิตทร์หาได้ต้องเป็นพะวงใจไปไย เราจักช่วยดวงชะตาบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ขอท่านจงอย่าได้เป็นห่วง…”
และเพื่อสดความเป็นกังวลของผู้ทำนายชะตาบ้านเมือง ถ้อยคำปลอบปะโลมใจแทรกไปด้วยการให้ความหวังจึงถูกว่ากล่าวขึ้นเสียงดังอย่างมาดมั่น
“เราขอให้สัตย์คำมั่น
หากในภายภาคหน้าบ้านเมืองจักต้องพินาศด้วยลางร้าย ถึงครานั้นเราจักยอมวอดวายแทนพระพี่ชายเราเอง”
เมื่อนั้นอสุราต้องคิดหนัก
ถึงพระพักตร์ดวงหน้าพระเชษฐา
ด้วยเพราะเหตุเพศภัยดวงชะตา
จักนำพาเพศภัยถึงแผ่นดิน
ครั้นคิดหวนทวนกรรมแสนพะวง
จึงรับสั่งประสงค์แข็งดั่งหิน
หากลางร้ายมิมลายจนแคล้วสิ้น
ตนจักยอมนอนลงดินชีวาลัย
-ทับทิม กล่าว-
นับจากที่เรื่องราวสุดพิศวงกระโจนเข้าใส่ชีวิตประจำวัน
ฉันเคยแอบคิด ว่าบางทีการใช้ชีวิตหลังจากนี้จะต้องไม่เป็นปกติสุขเหมือนที่ผ่านมา
ยิ่งต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับสิ่งเร้นลับซึ่งปกติไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าแล้ว
ทุกอย่างมันคงต้องยุ่งเหยิงมากแน่ๆ
ทว่า ฉันกลับคิดผิด…
ตั้งแต่ที่ท่านอสุราอันตรธานตัวหายไปต่อหน้าต่อตาวันนั้น
นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่ฉันไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติภายในบ้านหรือรอบตัว ราวกับทุกสิ่งที่ตาเคยเห็นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหก
ฉันไม่เห็นวี่แววของยักษ์หนุ่มจากตำนานพงศาวดารเก่าที่ชื่นชอบ
ออกมาปรากฏตัวให้เห็นอีก ไม่แม้แต่ได้ยินของเขาเสียงกระซิบผ่านลม
บ้านหลังเก่าที่เคยเงียบสงบกำลังกลับคืนสู่สภาวะเดิม
จนถึงย่างเข้าวันที่เจ็ด ที่ยักษ์หนุ่มตนนั้นหายไป…
แม้จะรู้สึกถึงการหายไปของเขา ถึงอย่างนั้นการใช้ชีวิตของฉันยังคงเป็นปกติและบ้างานไม่ต่างจากทุกๆ วัน เว้นเสียแต่เรื่องอดีตแฟน ที่ช่วงนี้มักเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเกินเหตุ ทั้งผ่านข้อความโปรแกรมสนทนา สายโทรศัพท์ หรือแม้แต่ในชีวิตจริง
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น รวมถึงตอนนี้ ตอนที่ฉันกำลังเร่งรีบออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปให้ทันเวลาก่อนกองถ่ายละครดวงหทัยยักษ์จะเปิดกล้อง
“ใจคอไม่คิดจะพูดกับฉันจนถึงกองถ่ายเลยหรือไง ?” เสียงเข้มน้ำเสียงชวนหาเรื่องกล่าวขึ้น
ขณะใช้สองมือประคองพวงมาลัยบังคับทิศทางรถสปอร์ตคันหรูไปบนถนนเมืองกรุงที่รถค่อนข้างติดแม้จะเป็นช่วงเช้า
ไม่ต้องบอกก็พอรู้ใช่ไหมคะ ว่าเขาคือใคร ?
ซึ่งฉันต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยนะว่า
การที่เวลานี้ฉันพาตัวมานั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับภายในรถเข้าได้แบบนี้
ไม่ใช่เพราะเกิดจากการยินยอมแต่โดยดีแต่อย่างใด
แต่ว่าเกิดจากนิสัยเอาแต่ใจแล้วชอบใช้กำลังของเขตแดนที่บีบบังคับให้ฉันติดรถเขาไปที่กองถ่ายพร้อมกันถึงจะถูก
ส่วนเหตุผลที่เขารู้เรื่องที่ฉันต้องไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในกองถ่ายได้นั้น
ก็คงเป็นเพราะหลังจากวันที่พี่ช้างโทรเข้ามาขอคำปรึกษา เขาดันไปให้สัมภาษณ์กับพวกนักข่าวช่องบันเทิง
ซ้ำยังยกความดีความชอบเรื่องแบบชุดที่ฉันพยายามจัดหามาจากแต่ละร้านเข้าชุดเพื่อให้เมรีดูดีที่สุดในวันบวงสรวงนั่นหล่ะ
อีกทั้งยังให้สัมภาษณ์เรื่องของฉันที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยเขาอีกแรง
จึงไม่น่าแปลกใจนัก หากดเจหนุ่มจากคลื่นวิทยุที่วันๆ
พูดถึงแต่เรื่องข่าวบันเทิงอย่างเขตแดนจะรู้เรื่องพวกนี้ได้
“จะนั่งเงียบอีกนานป่ะวะ นี่ฉันอุตส่าห์ขับรถมารับเธอเลยนะ…” สุดท้ายน้ำเสียงชวนหาเรื่องของเขตแดน
ก็พังความอดทนของฉันที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทางได้ในที่สุด
“ใครขอให้นายมารับไม่ทราบ”
“โอ้โห ไม่เจอนานเดี๋ยวนี้ฝีปากจัดจ้านขึ้นป่ะเนี่ย” ทั้งที่แขวะใส่
แต่เจ้าตัวกลับเหมือนไม่รู้สึกตัว ยังคงแซวและชวนคุยอยู่แบบนั้น “จะว่าไปเมื่อก่อนเธอใส่แว่นนี่ใช่ป่ะ
เดี๋ยวนี้พอหันมาใส่คอนแท็กเลนส์แล้วสวยขึ้นเยอะเลยนะ เสียอย่างเดียว ชอบแต่งตัวเหมือนพวกมนุษย์ป้า”
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉันน่า มีหน้าที่ขับก็ขับไปเถอะ!” ฉันตัดบทอย่างนึกหัวเสีย พลางสะบัดหน้าทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างโดยหวังว่าวิวทิวทัศน์นอกรถจะช่วยคลายอารมณ์หงุดหงิดเพราะคำพูดไม่เข้าหูของเขาลงได้บ้าง
แต่เอาเข้าจริง มันก็อย่างที่เขตแดนพูด
รสนิยมในการแต่งตัวของฉันไม่ต่างจากคนแก่เท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองมาไกลกว่าสมัยเรียนเยอะมาก
ฉันพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นมาตลอดโดยได้รับคำปรึกษาเล็กๆ น้อยๆ จากไวเกลและเมรีเพื่อนสมัยเรียนบ้าง รวมถึงนิสัยบางส่วนที่เคยเป็น
คงเพราะถูกทำร้ายความรู้สึกจนย่ำแย่ล่ะมั้ง
ร่างกายและระบบความคิดจึงสร้างภูมิต้านทาน ออกมาในรูปแบบและการกระทำเพื่อป้องกันตัวเองจากเรื่องแย่ๆ
จากผู้คนและสถานที่ที่ต้องพบเจอ
“แล้ววันนี้จะอยู่กองถึงกี่โมงล่ะ ฉันจะได้มารับถูก” อีกหนที่เขตแดนถามขึ้น
หลังจากที่ภายในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบได้เพียงครู่สั้นๆ
“ไม่รู้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทรถามบีน่าก็ได้ วันนี้ยัยนั่นน่าจะมาเกองมาเหมือนกัน” ฉันกลอกตาอย่างนึกเหนื่อยหน่าย
เมื่อรู้สึกว่าเส้นสายทางวงการบันเทิงของเขตแดนมีมากกว่าที่คิดไว้ ซ้ำมันก็มากพอๆ
กันกับการตื้อที่เขามีด้วยเช่นกัน
“เลิกวอแวกับฉันได้ไหม ฉันบอกไปกี่ครั้งแล้วว่าไม่คบ!” จนต้องพูดบางอย่างให้เขารู้สึกตัวสักที
ว่าสิ่งที่ทำอยู่กำลังสร้างความกวนใจ แต่ว่า…
“5 ครั้ง เธอปฏิเสธฉันมา 5 ครั้งแล้วสำหรับอาทิตย์นี้…”
เขาดันตอบคำถามที่ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบกลับมาเสียนี่ มิหนำซ้ำยังย้อน
“แล้วจำได้หรือเปล่า ว่าฉันบอกเธอว่าไม่สนไปกี่รอบแล้ว”
“…”
“ถึงเธอจะเกลียดหรือรู้สึกไม่ดีเพราะสิ่งที่ฉันเคยทำใส่ไว้ตอนสมัยเรียนก็เถอะ
แต่ก็อย่างที่บอก หนนี้ฉันจริงจังจริงๆ ถึงเธอจะปฏิเสธฉันมากกว่านี้
ฉันก็ไม่เลิกจีบเธอง่ายๆ หรอกจำไว้” สิ้นเสียงบอกความต้องการอย่างหนักแน่นของเขตแดน
บรรยากาศในรถที่เคยเคล้าด้วยเสียงโต้เถียงก็มีอันต้องเงียบลง
ฉันไม่พูดอะไร
เช่นเดียวกับเขาที่ไม่พูดอะไรออกมาอีกหลังจากนั้น จนกระทั่งรถคันหรูที่เขาขับมา
เลี้ยวเข้ามาจอดยังบริเวณพื้นที่บ้านหลวงทรงไทยแห่งหนึ่ง…
จุดที่เขตแดนเลือกจอดรถนั้นอยู่ห่างจากหน้าทางเข้าบ้านทรงไทยอยู่พอประมาณ
ด้วยเพราะเส้นทางสำหรับรถเข้าออกนั้น เวลานี้กำลังหนาแน่นไปด้วยหมู่มวลนักข่าวที่พากันมาอกจนเต็มถนน
“ให้ฉันขับพาเธอเข้าไปส่งข้างในไหม ?” จากที่เงียบกันไปนาน
คราวนี้คนที่ทำลายความเงียบในรถลงมันก็เป็นเขตแดนเองนั่นแหละ
“ไม่ต้อง เดี๋ยวนายก็ตกเป็นข่าวพอดี”
“ถ้าเป็นข่าวกับเธอฉันก็โอเคนะ ลองคิดดูสิว่านักข่าวพวกนั้นจะจั่วหัวว่ายังไง…”
เขายิ้มพลางเอนหลังลงกับเบาะที่นั่งคนขับ “ดีเจหนุ่มไฟแรง
ด. พาสาวปริศนานอกวงการมาส่งถึงยังกองถ่าย”
พูดจบ เขาก็หลุดหัวเราะแบบคนชอบใจ
ขณะที่คนฟังอย่างฉันทำได้เพียงแต่เบ้ปากใส่อย่างไม่เห็นด้วย
“ฉันจะลงตรงนี้ พอดีนักเพื่อนอีกคนไว้ข้างใน…” ก่อนกล่าวตัดบทสนทนาระหว่างเราลงอีกครั้ง
“ยังไงก็ขอบใจแล้วกันที่ขับมาส่ง ขอตัวนะ”
แต่แล้วจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถอยู่นั้น อยู่ๆ
เขตแดนกลับรีบเอี้ยว เอื้อมคว้าแขนของฉันไว้อย่างรวดเร็ว พานให้มือซึ่งกำลังจะเปิดตูรถมีอันต้องหยุดชะงักลง เช่นเดียวกับร่างกายที่เผลอตอบสนองสัมผัสดังกล่าวด้วยการเหลียวมองเจ้าของการกระทำดังกล่าวอย่างรวดเร็วเคล้าความตกใจ
จนได้พบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลามากล้นด้วยเสน่ห์ที่ในครั้งหนึ่งเคยทำให้ฉันหลงใหลได้ปลื้มจนหมดหัวใจ
วินาทีที่เราสบตากัน รอยยิ้มเล็กๆ
ในแบบของเขตแดนก็ผุดขึ้นให้เห็น ซ้ำยังเป็นรอยยิ้มเดียวที่น้อยครั้งนักที่เขาจะแสดงให้ใครต่อใครเห็น
เว้นแต่ฉันในช่วงเวลาที่เรากำลังคบหากัน
“อะ…อะไร” คำถามแรกถูกเอ่ยขึ้นแบบติดๆ
ขัดๆ อย่างคนไม่เข้าใจเหตุผล
ในขณะที่ผู้ถูกถามซึ่งมีคำตอบอยู่แล้วในใจ
เอ่ยสวนกลับมาแทนจะทันที
“ฉันชอบเธอจริงๆ นะทับทิม…” ซ้ำยังยอมปล่อยมือที่คว้าแขนไว้ออกด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่ง “ทำงานวันแรก ตั้งใจหน่อยนะ”
ที่บ้าก็คือ…
ฉันดันใจเต้นซ้ำซาก ให้กับรอยยิ้ม ทีท่าและน้ำเสียงใจดีที่อีกฝ่ายใช้
ได้เหมือนตอนสมัยเรียนไม่มีผิด
แม้ความรู้สึกกับสายตาจะถูกความใจดีในลักษณะนั้นของเขตแดนแช่แข็งไว้ก็ตาม ทว่า ไม่ใช่กับมือ ที่ยังขยับ และจัดการเปิดประตูลงจากรถด้วยอาการรีบร้อนทั้งที่ในอกยังรู้สึกสั่นไหวไม่หาย
กึก ! ตึง !
ทันทีที่พาตัวเองลงจากรถได้สำเร็จ
ฉันก็ไม่รอช้ารีบพาตัวเองเดินก้มหน้างุด ตรงไปตามทางถนนซึ่งเบื้องหน้าคับคั่งไปด้วยฝูงนักข่าวทันที
โดยไม่คิดเหลียวกลับไปมองใครอีกคนซึ่งยังนั่งอยู่ภายในรถคันหรูที่จอดไว้อีกเลย
ไม่ได้นะทับทิม ห้ามรู้สึกอะไรแบบนั้นกับผู้ชายคนนี้อีก…
ทั้งที่เตือนตัวเองแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกฝีก้าวที่ย่างเหยียบไปข้างหน้า ฉันพยายามที่จะไม่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราภายในรถเมื่อครู่อยู่ตลอดเวลา โดยพยายามท่องจำให้ขึ้นใจว่าการมาสถานที่แห่งนี้ควรมีเรื่องงานเท่านั้น แต่ว่า
ทุกอย่างมันก็ยากไปหมด
‘ฉันชอบเธอจริงๆ นะทับทิม…’ นอกจากเสียงของเขตแดนเมื่อครู่
จะไม่ยอมหลุดออกไปจากหัวแล้ว ภาพความทรงจำเก่าๆ ของเราในอดีตยังผุดขึ้นในหัวอย่างกับดอกเห็ด
‘ทำไมถึงอยากคบกับฉันล่ะ นายชอบฉันจริงๆ น่ะเหรอ’
‘ทำไมถามแบบนี้ละคะ ?’
‘ก็ผู้หญิงรอบตัวนายน่ะ มีสวยๆ ตั้งเยอะ แล้วทำไมถึงเรื่องผู้หญิงเฉิ่มๆ
เชยๆ แบบฉันล่ะ ?’
‘ก็เพราะ...ทับทิมดูจริงใจกว่าผู้หญิงพวกนั้นไง เราถึงได้ชอบ…’
บ้าจริงความคิด หยุดนึกถึงเรื่องเก่าๆ แบบนี้สักที…
สิ้นเสียงต่อต้านของความคิด เบื้องหน้ากลับบังเกิดลมแรงๆ วูบใหญ่พัดผ่านเข้าใส่อย่างกะทันหันเหมือนต้องการให้ความคิดเก่าเลือกหายไป จำต้องรีบยกเอกสารสำหรับเรื่องงานขึ้นปิดหน้ากันเศษฝุ่นจากพื้นถนนโดยอัตโนมัติ ทว่า
วินาทีที่สายลมวูบนั้นพัดเข้าปะทะกับร่างกาย
หูที่เคยปราศจากการได้ยินเสียงแว่วมาร่วมอาทิตย์
ก็เริ่มกลับมามีอาการคล้ายเดิมอีกครั้ง
“แม่ทับทิม…” เสียงเข้มหากแต่ฟังนุมหู
เบาบางและเย็นเยือกไม่ต่างจากลมเมื่อครู่ ทำฉันรีบลดเอกสารในมือลง
พลางกวาดตามองไปด้านหน้าซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่มาของต้นเสียงอย่างไม่อาจควบคุม
หากแต่การมองหาตัวตาเปล่าหนนี้
กลับไม่ได้ทำให้ฉันพบเจอหรือมองเห็นเจ้าของเสียงเรียกดังกล่าวได้เหมือนที่คิดไว้นัก
เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามีเพียงแค่กลุ่มนักข่าวที่กำลังแย่งกันรุมล้อมสัมภาษณ์ดาราที่กำลังพากันเดินเข้าไปยังสถานที่ถ่ายทำเท่านั้น
ท่านอสุราเหรอ…
และคงเป็นโชคดีของฉันที่ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสื่อสำนักไหน
นอกจากถูกเอ่ยอ้างชื่อผ่านสื่อเท่านั้น ทำให้การเดินผ่านกลุ่มนักข่าวและทีมงานกองถ่ายละครเข้าไปยังพื้นที่ภายใน
จึงปลอดโปร่ง ไร้เสียงร้องทักหรือการขอสัมภาษณ์เฉกเช่นกับดารานักแสดงคนอื่นๆ
พอเข้ามายังพื้นที่ภายในได้
บุคคลแรกที่ฉันพยายามกวาดตามองหาเมื่อมาถึงคงไม่พ้น ไวเกล เพื่อนสาวสมัยเรียนที่ฉันติดต่อให้เธอเข้ามาช่วยงานพี่ช้างตามอย่างที่เคยถูกร้องขอ
แต่เพราะว่าวันนี้เป็นวันเปิดกองวันแรก ทำให้พื้นที่ลานกว้างหน้าทางเข้าบ้านทรงไทย จึงเต็มไปด้วยรถตู้ของเหล่าทีมงานและนักแสดงจอดเรียงรายไปหมด ไหนจะเหล่าทีมงานที่กำลังเริ่มจัดเตรียมสถานที่สำหรับการถ่ายละคร ทำให้โดยรอบนั้นดูค่อนข้างวุ่นวาย จนมองหาเพื่อนสาวสมัยเรียนได้ยากกว่าที่คาดไว้
แล้วตอนนั้นเอง... ขณะที่กำลังพยายามเพ่งสายตามองหาอย่างไม่ล้มเลิกความพยายามอยู่นั้น จู่ๆ
สายตาดันสะดุดเข้ากับอะไรบางสิ่งโดยบังเอิญ
อย่างเช่น ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีสะอาดตา ประดับประดาด้วยเครื่องประดับสีทองขณะกำลังก้าวเท้าเดินฝ่ากลุ่มทีมงานเดินสวนไปยังพื้นที่ด้านหลังของบ้านทรงไทยขนาดใหญ่
ภาพที่เห็นส่งผลให้เท้าที่เคยหยุดชะงักไปกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งคล้ายกับถูกดึงดูด รีบก้าวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังภาพชายคนดังก้าวไปในทันที
ตึก... ตึก...
จากที่เคยก้าวเชื่องช้า เริ่มเริ่มจังหวะการก้าวไวขึ้น เมื่อแผ่นหลังของยักษ์หนุ่มยังคงปรากฏให้เห็นในระยะที่ไม่ไกลกันมากนัก
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
และดูท่าว่าเขาเองก็คงรู้สึกได้ว่าตนเองถูกไล่ตามอยู่ จู่ๆ ถึงได้หยุดฝีเท้าลง จากนั้นจึงเหลียวหลังมองกลับมานิ่งๆ ราวกับต้องการตอกย้ำว่าภาพของท่านอสุราที่กำลังมองเห็นนั้นไม่ใช่อาการตาฝาดแต่อย่างใด
ยิ่งถูกนัยน์ตาคมหากแต่เต็มไปด้วยแววตาใจคู่นั้นของเขาจ้องมากเท่าไหร่ เท้าที่ควรหยุดกลับยิ่งเร่งจังหวะการก้าวเข้าไปหารวดเร็วมากขึ้น แต่ว่า ช่วงเวลาที่เกือบจะเข้าประชิดตัวเขาได้นั้น
บริเวณช่วงไหล่กลับถูกมือของใครอีกคนคว้าไว้เสียก่อน
ฟึ่บ!
“ทับทิม!”
เสียงแหลมเล็กแสนคุ้นหู ทำเอาสายตาที่เคยจดจ่ออยู่กับใบหน้าคมคายของยักษ์หนุ่มเบื้องหน้าลดละไปยังเจ้าของเสียงแทบจะวินาทีนั้น ก่อนพบว่าเจ้าของฝ่ามือดังกล่าวไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นไวเกล เพื่อนสาวคนสนิทที่ฉันกำลังมองหานั่นหล่ะ
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่เผลอละสายตาไปจากทันอสุรา เมื่อสายตาเคลื่อนกลับไปยังเขาอีกครั้ง พื้นที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า ไม่หลงเหลือวี่แววของสิ่งเหนือธรรมชาติตนใดให้ได้เห็นอีก นอกเสียจากเหล่าทีมงานกองถ่ายซึ่งกำลังขะมักเขม้นทำงาน
“มองอะไรอยู่น่ะ ?” อีกหนที่หูได้ยินเสียงไถ่ถามของไวเกล
จำต้องรีบละสายตาจากภาพของเหล่าทีมงานกลับไปที่เธออีกครั้งอย่างเสียไม่ได้และให้คำตอบ
“ปะ เปล่า…” และเพื่อไม่ให้เธอถามอะไรขึ้นมาอีก
ฉันจึงเป็นเป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาแทน “เธอมาถึงนานหรือยัง ?”
“ก็สักพักแล้ว...แต่ตรงด้านหน้าทางเข้าคนมันเยอะน่ะ ฉันเลยมายืนหลบตรงนี้แทน...” ได้ฟังคำตอบของเธอแบบนี้แล้ว มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าภาพของท่านอสุราเมื่อครู่นี้น่ะ เพียงเป็นการดลจิตดลใจให้ฉันได้เจอกับไวเกลโดยไวอย่างอย่างที่ต้องการหรือเปล่า...
“เออ ทับทิม...เมื่อกี้ฉันเห็นเมรีอยู่กับพวกทีมงานและผู้กำกับ ที่สวนด้านหลังอ่ะ
เราเดินเข้าไปหาพร้อมกันเลยดีไหม ?”
“เอาสิ เธอนำทีสิ” ปากน่ะ กำลังพูดร้องขอกับเพื่อนสาว
แต่ไม่ใช่กับสายตาที่เผลอกวาดมองรอบตัวอีกครั้ง
เพื่อมองหาในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถพบเจอด้วยตาเปล่า ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะ
ฉันก็แค่อยากแน่ใจว่า ภาพของท่านอสุราที่ตาเห็นเมื่อครู่นั้น
มันกำลังเกิดขึ้นจริงไม่ใช่จากการคิดไปเองก็เท่านั้น
แต่ดูมันก็ยากเสียเหลือเกิน แม้จะพยายามมองหามากเท่าไหร่ ที่เดิมตรงนั้นกลับไม่มีวี่แววของท่านอสุราให้ได้เห็น ความรู้สึกที่สงบนิ่งแบบนี้ ไม่ต่างจากช่วงเวลาเจ็ดวัน ที่เขาหายตัวไปเลยแม้แต่นิด…
ท่ามกลางความวุ่นของการเตรียมข้าวของกองเปิดกล้อง
ไวเกลจับมือฉันพาเดินแทรกผู้คน มุ่งผ่านใต้ถุนของเรือนไทยทรงสวยสไตล์ย้อนยุค
ตรงไปพื้นที่สวนด้านหลังซึ่งมีเหล่าทีมงานและนักแสดงอีกกลุ่มกำลังจับกลุ่มคุยอะไรบางอย่าง
โดยหนึ่งในนักแสดงที่ว่านั่นมันก็รวมถึงเมรีเพื่อนสาวสมัยเรียนของฉันยังไงล่ะ
“มันคืออะไรเหรอคะ ?” ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ทีมงานกลุ่มดังกล่าวเท่าไหร่
ฉันก็ยินได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดคุยกันมากขึ้น โดยเฉพาะเสียงหวานๆ ของเมรีขณะถามไถ่แบบไม่ได้ถือสาหรือจริงอะไร
“มันคือตำนานท้าวอสุเรนทร์ยังไงล่ะเมรี…” และดูเหมือนว่า
พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องตำนานท้าวอสุเรนทร์ สำหรับใช้อ้างอิงในฉาก
“อ๋อเหรอคะ” เมรียังคงความเป็นตัวเองไว้ได้เสมอต้นเสมอปลาย
จากน้ำเสียงนั้นยังบอกได้เป็นอย่างดี ว่าอดีตนางรำประจำมหาวิทยาลัยแบบนั้นไม่เคยเชื่อเรื่องยักษ์อย่างไรก็อย่างนั้น
ต่างจากฉันและไวเกลซึ่งค่อนข้างชื่นชอบและมีความเชื่อที่ไม่ต่างกันนัก
“ใช่ๆ
มันเลยทำให้พี่รู้ว่ามีดกริชที่พี่เตรียมไว้มันผิดไปจากในตำนาน
เพราะหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่าท้าวอสุเรนทร์ได้รับศรมาจากพระอิศวร...” และเมื่อได้ฟังเสียงของพี่ช้างผู้กำกับ
ซึ่งกำลังพูดบางสิ่งไปในทางเดียวกับที่เคยให้ข้อมูลไว้ ทันทีที่เท้าก้าวมาหยุดบริเวณด้านหลังของเหล่าทีมงาน
ความปากไวที่มักอยากช่วยให้ข้อมูลแก่ผู้ไม่รู้จึงเริ่มขยับ
“ใช่ค่ะ...ความจริงแล้วท้าวอสุเรนทร์ไม่ได้ปลิดชีพยักษ์มารตนนั้นด้วยคมกริชแต่ว่าเป็นธนูถึงจะถูก...” ซึ่งเสียงของฉันที่เปล่งออกมาในช่วงเวลานั้น
ก็คล้ายเป็นแรงดึงดูดให้ดาราสาวชื่อดัง รีบเหลียวมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็แค่เดียวเท่านั้นก่อนที่เมรีจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจแกมเซอร์ไพรส์
“ว่ายังไงคะพี่ช้าง
หนังสือเล่มที่ดิฉันแนะนำไป บอกเล่าประวัติทั้งหมดของท้าวอสุเรนทร์ได้ดีเลยใช่ไหมคะ
?”
“ชะ ใช่! ขอบคุณมากเลยนะครับคุณทับทิม” แน่นอนว่ารวมถึงคุณช้างผู้กำกับที่ร้องขอให้ฉันช่วยมายังกองถ่ายในวันเปิดกล้องด้วยเช่นกัน
แถมเขายังแสดงความมีมารยาทรีบบอกกล่าวแนะนำตัวฉันกับไวเกลให้เมรีรู้จักอีกด้วย “เมรีรู้จักสองคนนี้แล้วใช่ไหมครับ
นี่คุณทับทิมกับคุณไวเกล
ที่จะเข้ามาช่วยเรื่องจัดการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติและเครื่องทรงต่างๆของตัวละครและดูแลเรื่องสถานที่การเข้าฉากให้แก่พวกเรา”
แต่สำหรับคนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กแถมยังเรียนด้วยกันมาจนจบมหาวิทยาลัย
คงไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่ไหมคะ
ว่ายัยเพื่อสาวตัวแสบของฉันคนนี้จะตอบกลับมาว่าอย่างไร
“รู้จักดีเลยล่ะค่ะ...สองคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเมเอง”
คงเพราะการถูกขอให้มายังสถานที่แห่งนี้เป็นเพราะเรื่องงาน
สิ่งแรกที่ฉันเลือกทำคือการพูดคุยเรื่องราวของงานที่ได้รับมอบหมายให้ช่วย แต่ไม่ใช่กับไวเกลที่แสดงอาการดีอกดีใจ
รีบตรงปรี่เข้าไปสวมกอดกับเมรีตามประสาเพื่อนสาวที่ไม่เจอกันนาน
สำหรับฉันถึงไม่ได้เจอหน้ากันนานหรือจะคิดถึงมากแค่ไหน แต่เรื่องงานน่ะต้องมาก่อนเสมอนั่นหล่ะ !
“คันธนูของท้าวอสุเรนทร์ยังไม่แน่ชัดนะคะว่าเป็นสีอะไร
บางตำราบอกว่าเป็นธนูแก้วเพชร 7 สี แต่บางตำราบอกว่าเป็นสีทอง...พี่ช้างลองเปิดหน้าถัดไปสิคะ
ที่หน้านั้นจะบอกถึงช่วงการทำศึกระหว่างทหารยักษ์ของท้าวอสุเรนทร์ตอนสู้กับยักษ์มาร…”
“หน้านี้งั้นเหรอ...ท้าวอสุราสำแดงกำลังหาญ
กระทืบบาตรวาดฤทธาเดินเยื้องย่าง สองมือพลางกวัดแกว่งคันศร...เออ! จริงด้วย ท้าวอสุเรนทร์ใช้ธนูปราบยักษ์จริงๆ”
และดูท่าว่าคนที่บ้างานจริงๆ นั้นน่าจะไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว
เพราะผู้กำกับฝีมือดีแบบพี่ช้างก็ดูจะกระตือรือร้นไม่ต่างกัน ถึงได้รีบหันไปกำชับคำสั่งแก่พวกทีมงานงั้นแบบนั้น
“…นี่
ให้คนไปเปลี่ยนอาวุธเข้าฉากจากกริชเป็นธนูแทนด้วย อย่าลืมล่ะ!”
มิหนำซ้ำยังหันมาบ่นแกมคล้ายกับคนผิดอีกด้วยว่า
“วสรุป…ไม่มียักษ์ตนไหนในตำนานใช้กริชต่อสู้กันบ้างเลยหรือครับคุณทับทิม”
“อันที่จริงแล้วยักษ์หลายๆ ตนบนแดนสรวงมีศาสตราวุธที่แตกต่างกันไปนะคะคุณช้าง
เท่าที่ศึกษามาดิฉันยังไม่เคยพบว่าจะมียักษ์ตนใดใช้อาวุธจำพวกกริชเลยแม้แต่ตนเดียว…”
ในคราวนี้ผู้ที่เสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของอาวุธกลับเป็นไวเกล อาจเพราะเธอได้แสดงความคิดถึงต่อเพื่อนสาวสมัยเรียนจนสมความตั้งใจแล้วล่ะมั้ง
คราวนี้จึงต้องเข้าสู่โหมดของการทำงานบ้าง “ยกตัวอย่างเช่นท่านอสุรา
จะมีอาวุธคู่กายเป็นกระบองตาล ขณะที่ท่านไชยเชษฐ์สหายสนิทของท้าวอสุเรนทร์จะใช้อาวุธจำพวกจักร”
ต่อให้สิ่งที่ไวเกลกำลังนำเสนอจะเป็นสิ่งที่ฉันรู้ดีอยู่เต็มอกแล้วก็ตาม
ถึงกระนั้นหูก็ยังตั้งใจฟังเสียงบอกกล่าวของเธออยู่ หรือแม้แต่เสียงถามของพี่ช้างที่บ่งบอกถึงความต้องการของตัวเอง
“งั้นหรือครับ...แต่มันแย่หน่อยตรงที่เราไม่อาจรู้ได้ว่าอาวุธที่พวกท่านใช้นั้นมีสีอะไร ถ้ารู้ได้สักหน่อยก็คงดี จะได้ทำออกมาได้อย่างถูกต้อง”
ฉันเหลือบมองหน้าไวเกลเล็กน้อย
เพราะคิดว่าบางทีเธออาจจะมีความเห็นดีๆ เสนอออกมาบ้าง แต่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนั้น
สิ่งที่หูได้ยินนั้นกลับไม่ใช่เสียงของเพื่อนสาวอย่างที่ควรเป็น
แต่มันคือเสียงกระซิบท่ามกลางบทสทนาที่ขาดหายไป
“อาวุธหรือข้าวของทุกสิ่งที่หาได้ยากในเมืองมนุษย์นั้น ล้วนแล้วแต่ส่องแสงสว่างดั่งสีของตะวันยามย่ำรุ่ง…” พานให้สายตาตวัดมองไปยังทิศทางของเสียงแว่วโดยพลัน ก่อนพบเงาร่างของเจ้าของเสียงกระซิบในชุดเครื่องทรงยักษ์องค์เดิมกำลังยืนห่างจากจุดที่ฉันแหละเหล่าทีมงานพูดคุยกันเล็กน้อย
แต่นั่นก็เพียงแค่ชั่วเดี๋ยวเดียวก่อนที่ท่านอสุราจะอันตรธานตนหลบไปหายไปจากสายตาอีกหน ซึ่งนั่นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องราวกับคนขาดขาดสติและตกอยู่ในอาการช็อกของเพื่อนสาวอีกคน
ผู้ซึ่งไม่เคยมีความเชื่อเรื่องเร้นลับเลยแม้สักครั้งเดียว
“กรี๊ดดดดดดดด”
Talk1 หากใครจำตอนที่อ่านเรื่องอรุเรนทร์วิวาทรักได้ คำทำนายนี้ท้าวอสุเรนทร์จะได้รู้จากปากของท่านรามสูรก่อนที่จะได้เดินเข้าไปชมต้นพิกุลทองที่สวนหลังหวังเนอะ อิอิ
ปล. เพลงที่ใช้ในตอนเป็นการสีซอด้วงเป็นทำนองเพลงจันทร์เนาะ ฟีลจะคล้ายๆ เวลาท่านอสุราเล่นเองไรงี้ ถถถถ
Talk2 ท่านอสุราหายนานน ระวังจะถูกแย่งคนรักนะเจ้าคะ อิอิ
Talk3 เมรีหนูเห็นอะไรจ๊ะลูกกกกกก
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น