คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : กลรักอสุรา l บทที่๐๕ ตอน เจรจา {อัพ100%}
ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง!
“อยู่บ้านหรือเปล่าเนี่ย!?”
ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง!
“ทับทิม!!”
ครั้นจะพยายามคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาให้พบเจอเข้าด้วยกัน แต่ด้วยเพราะเสียงกริ่งหน้าบ้านและเสียงเรียกของใครคนหนึ่งยังคงดังอยู่ การหาคำตอบให้คำถามในหัวจึงมีไม่มากนัก
ยิ่งฝ่ายเอาแต่กดกริ่งแล้วตะโกนเรียกแบบนั้นด้วยแล้ว ฉันจึงไม่รอช้ารีบหยัดตัวลุกขึ้น พลางใช้สองมือจัดสภาพเสื้อผ้าและทรงผมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงรีบวิ่งตรงดิ่งไปยังประตูบ้านทันที แม้ว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างติดค้างอยู่กลางความรู้สึก
ตึก... ตึก...
กึก...
ทว่า ทันทีที่ประตูบ้านถูกเปิดออกไป สิ่งที่รอคอยอยู่นอกรั้วประตูกลับเป็นใครคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสได้พบในช่วงเวลาแบบนี้
และใครคนที่ว่านั้น ก็คงหนีไม่พ้นผู้ชายซึ่งขึ้นว่าเป็นอดีตแฟน...
ไม่รู้ว่าฉันเคยบอกไปหรือยัง
ว่านับตั้งแต่เลิกเขาตอนสมัยเรียน เราทั้งคู่ก็ไม่เคยติดต่อหรือไปมาหาสู่กันอีก
(หากไม่นับเรื่องที่เกิดขึ้นในฝัน) ฉันเลือกที่จะหายตัวไปจากชีวิตเขา
ทำตัวเสมือนเป็นอากาศ
ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังรับรู้สึกความเป็นไปของเขาจากพวกคลื่นวิทยุและช่องข่าวบันเทิงอยู่ดี
เพราะว่าเราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว
พอเห็นเขามายืนเกาะรั้วบ้านแบบนี้ มันก็อดสงสัยไม่ได้จนต้องถาม
“มาทำไม!?” หมายถึงถามแบบไม่เต็มใจที่จะเจอหน้าน่ะนะ...
“ใจคอไม่คิดจะเดินมาเปิดประตูสักหน่อยหรือไง หรืออยากจะตะโกนคุยกันแบบนี้
!?”
“กลับไปซะ
ฉันไม่มีอะไรจะคุย!” และเมื่อเขตแดนเห็นว่า
ฉันคงไม่คิดจะเดินไปเปิดประตูต้อนรับเขาแน่แล้ว บวกรวมกับระยะเวลาที่เขาน่าจะมายืนเรียกอยู่ตรงนี้นานแล้ว อดีตแฟนผู้แสนใจร้ายจึงเริ่มทำตามอำเภอใจ เลยถือโอกาสล้วงมือผ่านซี่ประตูเข้ามาจัดการเอาแม่กุญแจที่คล้องรั้วไว้ออกไป
ซ้ำถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาภายในพื้นที่บ้านเหมือนในช่วงที่เราทั้งคู่ยังคบหากันอยู่ทันที
“อยู่บ้านคนเดียวแท้ๆ ทำไมไม่หัดล็อกกุญแจ…” ซ้ำยังต่อว่า เหมือนในช่วงสมัยก่อนขณะจ้ำเท้าเดินไวตรงดิ่งเข้ามาหา
กึก...
ครั้นจะเดินหันหลังหนีกลับเข้าบ้าน ก็ดูท่าจะไม่ทันเวลา เมื่อเวลานี้ แขกไม่ได้รับเชิญ พาตัวเองเดินหยุดเท้าลงตรงหน้าไปแล้ว มิหนำซ้ำยังเอ่ยขึ้นอีก
“ทำไมถึงชอบทำตัวให้เป็นห่วงตลอดนักวะ” และคำพูดบ้าๆ นั่นของเขามันกำลังทำให้ฉันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่เกือบจะลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ต้องรู้สึกแบบนี้เพราะเขามันเป็นอย่างไร
“สะ
ส่งแม่กุญแจมา แล้วก็กลับออกไปได้แล้ว” และมันเจ็บมากถึงขั้นที่ทุกคำพูดที่ต้องเอ่ยต่อหน้าเขากลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
จนอดภาวนาในใจร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเหมือนเช่นทุกครั้งไม่ได้
ท่านอสุราเจ้าขา
ช่วยทับทิมด้วยสิเจ้าคะ ท่านชวนพัดผู้ชายแย่ๆ คนนี้ออกไปจากชีวิตฉันที!
“ไม่ให้…”
ไม่รู้ว่าสวรรค์กำลังแกล้งกันหรือเปล่า ถึงได้บันดาลเรื่องบ้าๆ
นี่ให้เกิดขึ้น หรือเป็นเพราะฉันดันไม่รักดี นอนฝันถึงเรื่องของเขากันนะ
ถึงได้ถูกลงโทษแบบนี้
ตอนแรกฉันก็คิดแบบนี้นั่นหล่ะ แต่แล้วไอ้ที่เคยคิดไว้ก็มีอันต้องเปลี่ยนไป หลังเขตแดนกล่าวขึ้น
“ถ้าอยากได้คืน
เธอก็ต้องให้คำตอบฉันก่อน”
“คะ
คำตอบอะไร?”
“ที่ฉันถามไว้ตอนอยู่ในวัดเมื่อวานไง เธอลืมเหรอ ?” ได้ฟังแบบนั้น สมองที่มีก็เริ่มครุ่นคิดทบทวนถึงสิ่งที่เขาพูด ซึ่งมันก็ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ความคิดก็นึกหวนและหยุดที่ภาพเหตุการณ์วันบวงสรวงพิธีเปิดกล้องในวัดใจกลางกรุงแห่งหนึ่งที่ควรเป็นเพียงภาพฝันขึ้นมาได้
คงเพราะเขตแดนเห็นฉันเงียบไปล่ะมั้ง คราวนี้เขาจึงพูดขึ้นอีก ราวกับจะตอกย้ำให้คนฟังหายสงสัย
“ที่ฉันถามเธอไง เรากลับมาคบกันใหม่ได้ไหม
? คราวนี้นึกออกหรือยัง ?”
และในหนนี้ทุกอย่างที่ค้างคาใจก็คล้ายกับจะได้คำตอบ แต่ความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งซึ่งก่ำกึ่งระหว่างความจริงและความฝันก็ยังไม่อาจทำให้คนฟังยอมรับในสิ่งที่ได้ฟังอยู่ดี ซ้ำยังนิ่งไปด้วยอาการกวนเจียนสับสน นั่นเลยทำให้ผู้ชายปากร้ายว่าขึ้นอีก
“จ้องหน้าทำไม
ฉันจะเอาคำตอบไม่ใช่ให้จ้องหน้า…” แต่หนนี้ก็ใช่ว่าเขตแดนจะมีโอกาสได้ถามจนคำที่ไหน เพราะฉันที่ตกเป็นถูกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือกที่จะโพล่งเสียงแทรกขึ้นเสียก่อน
“มันควรเป็นแค่ฝันไม่ใช่เหรอ
!?” เขตแดนขมวดคิ้วแทบจะทันทีหลังได้ฟัง
เขาทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนขยับยิ้มร้ายกาจแล้วว่าขึ้นแกมแซว
“พูดบ้าอะไรของเธอวะทับทิม
อ๊ะ! อย่าบอกนะว่าเธอฝันถึงฉันทุกคืนน่ะ ?”
“มะ
ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย…” ฉันแย้งก่อนเริ่มละล่ำละลักความสับสนที่มีให้คู่สนทนาได้รับฟัง
“หมะ หมายถึงว่าเรื่องที่ฉันเจอในวัดน่ะ มันควรเป็นแค่ความฝันไม่ใช่เหรอ
!?”
“ฝันบ้าอะไรวะทับทิม
?” คราวนี้หลังฟังมากเข้า เขตแดนก็เริ่มขึ้นเสียบ่งบอกอารมณ์ขึ้นมาบ้าง
และเริ่มพูดบางอย่างที่ทำเอาคนฟังแทบไม่เชื่อหู “แค่หักหน้ากันเมื่อวานมันไม่พอหรือไง
!?”
ก่อนจะเปลี่ยนจากการพูดคุยธรรมดา ให้กลายมาเป็นการโต้เถียงเคล้าต่อว่า
“มีอย่างที่ไหนวะ คนอุตส่าห์ขอคืนดี แต่เธอกลับลุกหนี แถมยังหนีออกทั้งที่ฝนตกแบบนั้นอีก แบบนี้น่ะ ไม่เรียกว่าหักหน้าแล้วมันเรียกว่าอะไร !?”
หากแต่มัน กลับเป็นการโต้เถียงที่ช่วยชี้ชัดและแยกแยะระหว่างความฝันความจริงออกจากกันได้ภายในคำพูดไม่กี่ประโยค
โดยเฉพาะกับภาพของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ควรเป็นเพียงภาพฝัน
ผุดแทรกเข้ามาในหัว ต่อเติมและตอกย้ำสถานการณ์ที่เขตแดนพูดถึงให้เจนชัดมากยิ่งกว่าที่เป็น
‘ได้ฟังความแล้ว เห็นที...กูคงปล่อยให้เป็นดั่งเช่นประสงค์มึงมิได้ดอกไอ้มนุษย์...
เพราะนารีชนนางนี้ คือดวงใจกู’ โดยเฉพาะเสียงเย็นขัดต่อการกระทืบเท้าปึงปังแสดงความเป็นเจ้าของนั่น
และถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าตอนนั้น มันก็เป็นเขานั่นแหละที่ฉุดกระชากฉันให้เดินออกห่างจากเขตแดนไป
“สรุปยังไงทับทิบ เราสองคนจะกลับมาคบกันอีกครั้งได้หรือเปล่า…” ไม่นานสติทั้งหมดก็ถูกเสียงถามไถ่ของเขตแดนดึงกลับมายังสถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง
รับรู้ได้ว่าโทนเสียงที่เขตแดนใช้พูดอยู่ตอนนี้อ่อนลงกว่าตอนแรกมากนัก ไม่เว้นแม้แต่สีหน้าและแววตาของเขาเองที่เริ่มเปลี่ยนไปและแฝงไว้ด้วยความจริงจังที่มากขึ้น
“ฉันขอโทษเรื่องเมื่อตอนสมัยเรียน ที่ฉันลงไปมันคงเป็นเรื่องแย่ๆ
เรื่องหนึ่งของเธอเลยใช่ไหม…”
หูน่ะได้ยินสิ่งที่เขากำลังพร่ำบอก แต่ไม่ใช่กับความคิดและความรู้สึกที่กำลังแอบชมเชยความสามารถด้านวาทศิลป์อันดีเยี่ยมของผู้ชายตรงหน้า
“ที่อยากจะพูดก็คือสิ่งที่ฉันทำกับเธอไว้ตอนนั้น
มันก็เป็นเรื่องแย่ๆ ในชีวิตฉันเหมือนกัน”
“…”
“ยอมรับนะว่าฉันไม่ใช่คนดี แต่เอาตรงๆ นะ ตั้งแต่เราเลิกกันไป
ฉันก็ไม่สามารถคบกับใครได้แบบที่คบกับเธออีก มันอาจจะฟังดูงี่เง่า แต่ฉันคิดว่าผู้หญิงคนเดียวที่ฉันสามารถมีความรู้สึกแบบตอนสมัยเรียกได้ มันก็มีแค่เธอนะ…”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เขตแดนเป็นคนที่พูดเก่ง
มีคารมที่ดีและรู้จักเลือกใช้คำเพื่อโน้มน้าวความรู้สึกผู้อื่น จนไม่รู้สึกแปลกใจ
ว่าทำไมตอนนี้เขาถึงกลายมาเป็นดีเจคลื่นวิทยุที่มีชื่อเสียงและเป็นที่คลั่งไคล้ของสาวน้อยสาวใหญ่ได้แบบนี้
‘มึงทนคบอีแว่นนั่นได้ยังไงจนครบสามเดือนวะ เพราะเหล้ากูเหรอ?’
‘จะทำไมกูล่ะ?’
‘แล้วมึงได้นอนกับอีนั่นยัง?’
‘ไม่อ่ะ กับทับทิมกูไม่เคยทำถึงขั้นนั้น’
‘ฮ่ะๆ เป็นกูก็เอาไม่ลง เฉิ่มเชยขนาดนั้น ว่าแต่…วันนี้กินเหล้าป่ะ กูยังไม่ได้เลี้ยงเหล้าลังหนึ่งตามสัญญาเลย’ เพราะฉันเองก็เคยหลงกล
เคยตกบ่วงถ้อยคำหวานที่เขามอบให้ ก่อนพบว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
“อีกอย่างฉันก็คิดมาดีแล้วด้วยว่าต้องการแบบนี้ เพราะงั้น…ถ้าตอนนี้เธอยังไม่ได้คบใคร เราลองกลับมาคบกันได้ไหม…”
สิ้นเสียงถามของเขตแดน
ความเงียบบริเวณพื้นที่หน้าบ้านก็เริ่มกลืนกินเราทั้งคู่ทันที
ไม่ใช่เพราะฉันไม่รู้จะตอบเขากลับไปอย่างไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะในหัวเวลานี้
มันมีหลายเรื่องที่ต้องคิดมากจริงๆ
และเรื่องที่คิดนั้นก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเขาและสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งนั้น ทว่า
จังหวะที่ตัดสินใจจะขยับปากเพื่อให้คำตอบแก่คนตรงหน้ากลับไปอยู่นั้น
กึก…
จู่ๆ ประตูบ้านซึ่งเคยปิดสนิทก็เริ่มส่งเสียงและถูกเปิดกระชากออกอย่างช้าๆ
พานให้ความสนใจที่เคยมีต่อคู่สนทนาถูกหันเหไปทางทิศเสียงอย่างไม่อาจควบคุม
ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจแทบจะวินาทีเดียวกับที่บานประตูเปิดอ้าออกจนสุด
เมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหลังบานประตู คือภาพของชายหนุ่มในสภาพเปลือยท่อนบนโชว์เรือนร่างกำยำสมชาย โดยท่อนล่างสวมเพียงกางเกงผ้าแพรสีทึบไว้
ภาพของชายคนดังกล่าวคล้ายกับมีมนต์สะกดให้สายตาไม่อาจละลดไปทางทิศอื่นได้เช่นเดียวกับภาพเหตุการณ์ในสถานที่แปลกตาเสมือนภาพฝัน ไม่ว่าจะเรือนผมสีดำขลับ หรือผิวขาวเนียนเหมือนลูกคนจีน
โดยเฉพาะกับนัยน์ตาคมดูดุดันหากแต่แฝงไว้ด้วยแววตาอบอุ่นใจดีที่มักมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ
แสนเป็นมิตร ยามเมื่อเรามีโอกาสต้องตากันและกัน
“เกิดเหตุอันใดขึ้นงั้นรึ ?”
โดยเฉพาะคำพูดและสำเนียงโบราณแสนคุ้นหู
“เหตุใดจึงส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายหาได้มีความเกรงใจพี่เช่นนี้เล่า ?”
ครั้นเมื่อดวงใจร้องเรียกหา
อสุราเคลื่อนกายไวดุจแสง
ดลบันดาลอิทธิฤทธิ์รูปจำแลง
แทรกกายแฝงสู่มนุษย์ปุถุชน
ว่าแล้วจึงบอกแม่กานดา
ตัวพี่นี้จักขอมาพักอาศัย
ตัวพี่นี้มิมาร้ายแต่อย่างใด
ขอดวงใจวอนโปรดจงเมตตา
“เกิดเหตุอันใดขึ้นงั้นรึ ? เหตุใดจึงส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายหาได้มีความเกรงใจพี่เช่นนี้เล่า ?”
สิ้นเสียงถามไถ่ราวกับไม่รู้และอ่านสถานการณ์บริเวณหน้าประตูบ้านไม่ออกของผู้ชายซึ่งมีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายท่านอสุราที่ฉันเข้าใจ เขตแดนซึ่งน่าจะเห็นภาพของชายคนดังกล่าวไม่ต่างกันนักก็เอ่ยถามขึ้น
“คนนี้ใครวะทับทิม ?” ทว่า
ฉันก็ใช่ว่าจะมีโอกาสตอบที่เขาไหน เมื่อใครอีกคนซึ่งถูกพูดถึงกล่าวแทรกเสียงตอบรับขึ้นมาเสียก่อน
“มึงถามรึ ว่ากูคือผู้ใด ?” มิหนำซ้ำเสียงของเขาก็ยังมีแรงดึงดูดสายตาให้เขตแดนหรี่ตามองตอบโต้กลับได้เป็นอย่างดี
“กูสิควร...ถามว่ามึงคือผู้ใด
ถึงได้ตามราวีดวงใจกูถึงหน้าเรือนเช่นนี้”
“ดวงใจเหรอ? เฮอะ!” เขตแดนสบถ ก่อนเปลี่ยนวิถีสายตาจากชายแปลกหน้าที่ตนไม่รู้จัก
กลับมายังฉันที่ยังปะติดปะต่อสถานการณ์ไม่ถูก ซ้ำยังถามราวกับต้องการกดดันกัน “ไอ้ลิเกนี่ แม่งใครวะทับทิม แฟนเธอเหรอ !?”
“ปะ เปล่า !” ความปากไวเพราะตั้งตัวรับกับสถานการณ์งุนงงตรงหน้าไม่ทัน ส่งผลให้ฉันพลั้งปากตอบเขตแดนกลับแบบไม่ทันคิด
อีกทั้งยิ่งเริ่มมั่นใจว่า สิ่งที่ตาเห็นเวลานี้คืออะไร
แถมยังไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้นที่มองเห็น ดังนั้นสิ่งแรกเลือกทำ จึงเป็นการคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าให้จบลง
“นายกลับไปก่อนเถอะ !” การไล่เขตแดนกลับเหมือนอย่างความต้องการแรกจึงเริ่มต้นอีกครั้ง
ซึ่งในหนนี้ ฉันไม่ได้ใช้เพียงคำพูด แต่เลือกที่จะใช้มือดึงแขนเขาตรงไปยังประตูบ้าน
กระนั้นแล้วเขตแดนก็ใช่จะยอมความลงง่ายๆ เสียที่ไหน
“เดี๋ยวดิ ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แฟน แล้วมันเข้ามาอยู่ในบ้านเธอได้ไง !?”
เขายังคงส่งเสียงถามและพยายามยื้อแรงจากการถูกดึงบางส่วน
ขณะเหลียวหลังกลับไปมองร่างสูงใหญ่ที่หน้าประตูบ้านเป็นระยะ
“ละ ลูกพี่ลูกน้อง…ฉันเป็นคนพาเขาเข้ามาอยู่ในบ้านมาเอง”
จะเรียกว่าเป็นคำแก้ตัวก็คงไม่ผิด
ซึ่งมันก็ดีกว่าจะเงียบเพื่อให้เขาถามยืดเยื้อด้วยทีท่าไม่ยอมแบบนี้
ไม่รู้หรอกว่าเขาจะเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดหรือเปล่า
แต่ถ้าหากต้องบอกเล่าเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้กับผู้ชายคนนี้ฟังล่ะก็
มีหวังเขาต้องหาว่าฉันเป็นบ้าแน่ๆ “วันนี้นายกลับไปก่อน
ตอนนี้ฉันยุ่งๆ”
“แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้คำตอบที่ถามล่ะ ?” ทันทีที่คำถามซ้ำเดิมลอดผ่านปากของเขตแดน
มันก็ประจวบเหมาะกับที่ฉันดึงเขามาที่ประตูรั้วได้สำเร็จ
และเหมือนเคยฉันไม่สามารถหาคำตอบดีๆ ให้เขาได้ สิ่งที่เลือกทำตอนนั้นจึงเป็นการเปิดประตูรั้ว
แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักตัวเขาให้ออกไปจากเขตพื้นที่ภายในบ้าน ก่อนจัดการปิดประตูรั้วลงพร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะล็อกกุญแจเหมือนที่ผ่านมาด้วย
เมื่อรู้สึกว่าคนตัวใหญ่ไม่สามารถเร้าหรือหรือเรียกร้องอะไรจากฉันได้ในระยะประชิดเช่นตอนแรก
คำตอบที่เขาต้องการจึงถูกเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ตอนนี้ฉันไม่มีคำตอบอะไรให้ทั้งนั้นแหละ นายกลับไปเถอะ” ว่าจบฉันก็ไม่ได้หยุดรอให้อดีตแฟนพูดอะไรโต้กลับมา รีบสะบัดหน้าหันหลัง
จ้ำเท้าเดินไวตรงกลับเข้าบ้านทันที ก่อนต้องหยุดเท้าลงอีกครั้ง
เมื่อพบว่าบริเวณหน้าประตูบ้าน เวลานี้มีใครอีกคนกำลังยืนรอคอยอยู่…
ท่านอสุรา (เรียกตามความคิด) หรี่ตามองมายังฉันเล็กน้อยโดยยังคงรอยยิ้มใจดีไว้บนหน้า จากนั้นก็ถามขึ้น เมื่อระยะห่างระหว่างเราหดสั้นจนเหลือเพียงเอื้อมมือ
“บุรุษชนตนนั้นกลับแล้วรึแม่ทับทิม…” ยิ่งมองหน้าค่าตาและได้ยินเสียงของเขาในระยะใกล้มากเท่าไหร่
ความเชื่อที่เคยปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็เริ่มทำงาน
อีกทั้งยิ่งทุกสิ่งตรงหน้านั้นล้วนแล้วแต่กำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่นิยายหรือเป็นเพียงภาพฝันอย่างที่เคยสับสนด้วยแล้ว
หากเอาแต่หวาดกลัวและคิดจะหนีสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนที่ผ่านมาก็คงไม่ได้การณ์
ดังนั้นสิ่งที่ฉันใช้ตอบกลับยักษ์หนุ่มตามความเชื่อกลับไปจึงเป็นคำบอกเล่าแกมขอสั้นๆ
ด้วยระดับเสียงที่มีแค่เราเท่านั้นได้ยิน
“ระ เรามีเรื่องต้องคุยกันเจ้าค่ะท่านอสุรา” ขณะพูดฉันก็ไม่ลืมที่จะเหลือบหางตาไปยังประตูรั้วหน้าบ้านเพื่อดูลาดเลาของใครอีกด้วย
ก่อนพบว่าเขตแดนและรถหรูของเขาตอนนี้ได้หายไปจากหน้ารั้วบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เช่นเดียวกับหูซึ่งได้ยินเสียงตอบกลับจากคนตรงหน้าราวกับกำลังยอมรับตัวตนตามอย่างที่ถูกเรียกขาน
“เอาสิ…พี่เองก็หมายจักหาลือกับแม่ทับทิมมิต่างกัน”
เวลาต่อมา…
นับจากถูกเรื่องราวประหลาดถาโถมเข้าใส่จนเกือบแยกแยะความจริงและความฝันออกจากกันไม่ขาดมาช่วงระหนึ่ง เวลานี้ฉันกลับพาตัวเองเข้ามานั่งในบ้านพร้อมด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติในสภาพผู้ชายผิวขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา
เรานั่งกันอยู่คนละมุมของบ้าน ทิ้งระยะห่างระหว่างกันไว้มากพอสมควร ด้วยเพราะยังมีเส้นคั่นบางๆ ระหว่างความกลัวและความเชื่อปิดกั้นไว้
ยามนี้ท่านอสุรานั่งอยู่บนโซฟาตัวเก่ากลางบ้าน ขณะฉันนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นบริเวณมุมห้องหน้าชั้นวางหนังสือ แน่นอนว่าเราทั้งคู่ไม่ได้มีใครปริปากพูดอะไรออกมา นับจากที่พากันกลับเข้ามาภายในบ้าน
ไม่ปฏิเสธว่า เมื่อความคิดและความรู้สึกเริ่มถูกความเชื่อบางส่วนเข้ากลืนกิน อาการหวาดหวั่นที่เคยมีก็ค่อยๆ ลดลงแต่ไม่ถึงขั้นหายขาด พร้อมกันนั้นยังเกิดอาการประหม่าแทรกซึมเข้าแทนที่
ความรู้สึกตอนนี้ก็คงเหมือนกับเวลาที่เราดูซีรีส์หรืออ่านนิยายสักเล่ม
แล้วรู้สึกชอบพระเอกหรือตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในเล่มนั้นมาก แต่แล้ววันหนึ่งตัวละครตัวนั้นดันมาปรากฏตัวในโลกของความจริงตรงหน้าได้อย่างน่าเหลือเชื่อนั่นหล่ะ
เข้าใจใช่ไหมคะ ว่าตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกอย่างไร ?
“เอาล่ะแม่ทับทิม…” สุดท้ายแล้วความเงียบที่ขับเคลื่อนผ่านระหว่างเราก็ถูกทำลายลง
เมื่อยักษ์หนุ่มกล่าวขึ้น
และเสียงของเขา ก็สามารถทำให้ผู้รับฟังสะดุ้งได้แทบทุกครั้ง มิหนำซ้ำยังสามารถกดดันผู้ถูกถามด้วยเสียงเย็นที่ใช้ได้อีกด้วย ทั้งที่เขามีตำแหน่งเป็นเพียงน้องชายท้าวเจ้าเมืองยักษ์เท่านั้น แต่น้ำเสียงราบเรียบแกมเฉื่อยกลับฟังดูมีอำนาจมากกว่าที่เคยจินตนาการมากนัก
“สิ่งใดเล่าคือเรื่องราวที่เจ้าปรารถนาจักเจรจากับพี่ ?”
ทันทีที่ถูกถาม สองมือก็รีบยกขึ้นพนมกลางอก ตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝังแบบไม่ต้องรอให้สมองสั่ง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะตอบ
“ทะ ท่านอสุราเจ้าคะ….” ทว่า เพียงแค่ฉันส่งเสียงขานชื่อบุคคลตรงหน้าออกไปเท่านั้น
บนดวงหน้าคนคายเจ้าของชื่อก็เริ่มผุดรอยยิ้มเล็กๆ บ่งบอกความชอบใจให้เห็น ซ้ำยังยังกล่าวแทรก
“แม่ทับทิมเชื่อแล้วรึ ว่าพี่นั้นคือผู้ใด หรือยังตั้งมั่นว่าการพบกันระหว่างเราเป็นเพียงภาพฝันเล่า
?”
“ชะ เชื่อแล้ว (ก็ได้) เจ้าค่ะ” ฉันรีบพยักหน้ารัวๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยังสับสนอยู่นิดๆ ก็เถอะ
“หากเป็นดังที่เจ้ากล่าวมันก็ดี เพราะตัวพี่นั้น อธิบายเรื่องพรรค์นี้
หาได้ชำนาญนัก” ตลอดเวลาที่ท่านอสุราพูดนั้น
สังเกตได้แทบตลอดเวลาว่า ขณะพูด บนหน้าเขานั้นยังคงรอยยิ้มละมุนละไมไว้ให้เห็น
อีกทั้งทีท่าเขาเวลานี้ก็ไม่ดูมาเหมือนอย่างยักษา ยักษีในพวกละครพื้นบ้านหรือละครผีอีกด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นฉันเองที่เริ่มขยับปากถามโดยคงสองมือพนมไว้แนบอกเช่นนั้น
“ฉะ ฉันถามท่านได้ใช่ไหมเจ้าคะท่านอสุรา ?” มันต้องดูประหลาดมากแน่ๆ
หากมีใครสักคนบังเอิญเข้ามาในบ้าน แล้วเห็นสภาพฉันที่กำลังยกมือไหว้ ขณะพูดคุยกับเขาแบบนี้
“สงสัยสิ่งใด ขอให้แม่ทับทิมเอ่ยถามพี่เถิด”
“ที่ท่านปรากฏตัวให้ฉันเห็นแบบนี้ เป็นเพราะอะไรกันหรือเจ้าคะ…” รู้ตัวดี ว่าคำถามที่เอ่ยออกไปนั้นมีความเดิมไม่ต่างจากทุกครั้งที่ลอดผ่านปากให้อีกฝ่ายได้ฟัง
ต่อให้ฉันจะรู้ประวัติของท่านอสุราดีว่าสิ่งเดียวที่ท่านต้องการมาตลอดนั้นคืออะไร
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่ดี
“ดั่งที่พี่เล่าความให้แม่ทับทิมฟังเมื่อไม่กี่เพลาก่อน…” ไม่รู้เป็นเพราะคำถามของฉันมันซ้ำเดิมมากเกินไปหรือเปล่า คำตอบที่ได้กลับมาจากบุคคลที่ฉันเริ่มเชื่อว่าเป็นยักษ์ในตำนานที่บูชาอยู่
จึงมีใจความไปทิศทางเดียวกันอย่างเถรตรง “การติดสอยพระเชษฐาลงมาเมืองมนุษย์ของพี่ยามนี้
ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะแม่ทับทิมทั้งสิ้น”
ฉันจำได้…
ก่อนหน้านี้ท่านอสุราบอกไว้ว่า เขาได้ยินเสียงของฉันดังไปถึงสถานที่ที่ตนพำนักอยู่ อีกทั้งเสียงของฉัน ก็เป็นเสียงเดียวที่เขาได้ยินมาตลอด
ที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ท่านอสุราปรากฏตัวตรงหน้าแบบนี้เป็นเพราะ เขาเชื่อมั่นว่าฉันคือแม่หญิงนิมมานรดีคนรักที่ตายจากยังไงล่ะ และเพราะความรู้สึกยังคงไม่เชื่อสิ่งที่ยักษ์หนุ่มตรงหน้าบอกกล่าว ถึงตัวตนของในชาติอดีต ความปากไวจึงพลอยให้คำถามมากมายถูกเอ่ยขึ้นกลับไปตามคำขออย่างเถรตรงไม่ต่างกัน
“ทะ ทำไมล่ะเจ้าคะ ทำไมท่านถึงมั่นใจว่าแม่หญิงนิมมานรดีในชาติภพก่อนคือฉันในชาตินี้…”
“แล้วเหตุใด แม่ทับทิมจึงคิดว่าพี่จักจำหน้าค่าตาดวงใจของตัวเองไม่ได้งั้นรึ ?” แต่พอถูกยักษ์หนุ่มกล่าวสวนกลับมาบ้าง มันก็กลายเป็นฉันเสียเองที่ต้องสงบปากสงบคำลง “ในเมื่อพี่นั้น คำนึกหาน้องอยู่ทุกเพลา คิดถึงดวงตา คิ้ว จมูก ริมฝีปาก ทั้งในยามรักและยามสูญเสีย จดและจำกริยาอ่อนช้อย และเสียงหวานๆ ได้มิรู้ลืม…”
เมื่อก่อน เวลาได้อ่านบทกลอนจากวรรณกรรมตำนานท้าวอสุเรนทร์ ฉันมักรู้สึกหลงใหลและเป็นปลื้มกับท่อนซึ่งกล่าวถึงความรักของท่านอสุราที่มีต่อคนรักเสียทุกครั้ง จนบางคราวก็รู้สึกอิจฉาแม่หญิงนิมมานรดีที่ได้พบกับผู้ชายที่มีรักต่อเธอแน่วแน่ดั่งหินผา ทว่า เวลานี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเทียบไม่ได้เลยเมื่อได้ฟังความนัยจากเจ้าตัวแทนการกวาดตาผ่านตัวหนังสือ
เพราะความรู้สึกของท่านอสุราที่มีต่อแม่หญิงนิมานรดีนั้น มันมีมากกว่าที่ฉันคิดไว้...
“แม้นพี่จักไร้ฤทธิ์เทียบเท่าพระเชษฐา แต่รักพี่นั้นยังมั่นคงและตั้งมั่นต่อสตรีนางเดียวและพร้อมที่จะวอนขอต่อลมฟ้าเพื่อให้เราสอง หวนกลับมาพบกัน”
“…”
“เพียงประการเท่านี้ เพียงพอหรือไม่ หากพี่จักใช้เป็นเหตุผลของการมาเยี่ยมหา”
หากจำเนื้อหาไม่ผิด
รู้สึกว่าก่อนสงครามปราบยักษ์มารจะเริ่มต้นท่านอสุราจะกอดร่างของหญิงคนรักไว้และได้ให้คำสัญญาระคนกับสาปหญิงคนรักให้ลงมาเกิดใหม่
ด้วยคำพูดซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับพี่ชายของตัวเองไว้ด้วยเช่นกัน
แล้วที่ตลกก็คือ พออ่านมาถึงตรงนี้กี่ครั้ง ฉันก็มันจะชอบคิดต่อยอดไปเองเสมอๆ ว่าหากแม่หญิงนิมมานรดีลงมาเกิดใหม่แล้วจริงๆ เธอคงเป็นผู้หญิงที่สวยมากน่าดู
ในเมื่อเคยเป็นถึงนางสวรรค์
ชาติภพใหม่ก็คนสวยไม่ต่างกัน และสารภาพตรงๆ ว่า วันที่เจอเมรีครั้งแรก
ฉันเคยแอบคิดว่าเพื่อนคนนี้อาจจะเป็นแม่หญิงนิมมานรดีลงเกิดใหม่ด้วยซ้ำ ทั้งสวย
แล้วไหนจะรำเก่ง
แต่ว่ากับฉันที่เขาเข้าใจว่าเป็นแม่หญิงนิมานรดีอะไรนั่นน่ะ…
“ทุกคราวที่นางสวรรค์ลงมาร่ายรำที่นครยักษ์
พี่นั้นอดนึกถึงดวงใจมิได้สักครา แล้วยามนี้เล่า จะเป็นไปได้หรือไม่
หากพี่จักขอให้แม่ทับทิมร่ายรำให้พี่ยลแก้อาการคำนึกถึง”
“ฉะ ฉันรำไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ” ค่ะใช่ ฉันทำอะไรในแบบที่เมรีหรือแม่หญิงนิมมานรดีไม่ได้สักอย่าง...
หลังบอกเขากลับไปแบบนั้น
สายตาที่เคยมองใบหน้าคมคายของยักษ์หนุ่มบริเวณโซฟาก็มีอันต้องหลุบลงไปยังพื้นบ้านราวกับว่าตัวเองมีความผิดอะไร
“ร่ายรำมิได้หรอกรึ ?” ยิ่งหูได้ยินเสียงของชายหนุ่มพึมพำรับกลับมาด้วยแล้ว
ฉันก็ยิ่งไม่กล้าที่จะมองหน้า สบตากับเขาเหมือนดั่งแรกเจอราวกับว่าตัวเองนั้นมีความผิดอะไร จนกระทั่ง ท่านอสุรากล่าวประโยคหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความเข้าอดเข้าใจ “หากยามนี้แม่ทับทิมร่ายรำมิได้ ก็มิเป็นไร มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัส
หาใช่เรื่องต้องรู้สึกผิดไม่”
“หากแม่หญิงนิมมานรดีลงมาเกิดแล้วจริงๆ ไม่แน่นะเจ้าคะ เธออาจจะร่ายรำในแบบที่ท่านต้องการได้ก็ได้”
ฉันกล่าวเสริมแบบไม่มองหน้า
ที่ทำแบบนั้นก็เพราะลึกๆ ยังคงรู้สึก
ว่าตัวเองคงไม่ใช่หญิงคนรักของท่านอสุราตามดั่งตำนานแน่ๆ
อีกทั้งการได้พบเจอท่านตัวเป็นๆ นอกเหนือจากเนื้อหาที่เคยศึกษา มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ฉันเชื่อเข้าไปใหญ่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำพวกยักษ์น่ะมีอยู่จริง
กึก…
ทั้งเลือกเป็นฝ่ายหลบตา แต่เมื่อเสียงย่างเท้าดังขึ้น
ความตั้งใจแรกที่เคยมีก็พังลง ร่างทั้งร่างตอบสนองเสียงก้าวเดินดังกล่าว
เงยขึ้นอีกครั้ง ก่อนต้องทำตาโตด้วยความตกใจ เมื่อยักษ์หนุ่มซึ่งควรนั่งอยู่ในท่าสมเกียรติตามแบบยักษ์ในโรงละครโขงพึ่งจะทำ
ยามนี้ได้พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
ท่านอสุราค่อยๆ ย่อกายหยัดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
ให้ระดับเทียบเคียงกับฉันแบบไม่ถือตัว
ก่อนแย้มยิ้มนิดหน่อยเมื่อเราทั้งคู่มีโอกาสได้สบตากันอีกครั้งในระยะใกล้
“ไยแม่ทับทิมจึงดื้อรั้น ปฏิเสธคำพี่นัก…” และกล่าวขึ้นขณะใช้สองมือเคลื่อนประคองใบหน้าฉันให้เงยเชิดขึ้นกว่าเก่า
“ในเมื่อพี่วอนขอให้แม่ทับทิมอุบัติใหม่ด้วยตัวพี่เอง”
ช่วงเวลาที่ถูกถาม
ฉันเหมือนกับถูกนัยน์ตาใจดีของเขาสะกดไว้ให้จ้องตอบอยู่เช่นนั้น เช่นเดียวกับร่างกาย ที่อยู่ๆ ก็เกิดขยับไม่ได้ราวกับถูกบางอย่างผูกมัดไว้ให้นิ่งเฉยในท่านั้น
“ถึงเพียงนี้แล้ว น้องยังมิเชื่อรักมั่นคงในตัวพี่บ้างเลยรึ ?”
รู้ไหม ฉันน่ะอยากเถียงเขาใจจะขาด
แต่พอสมองเริ่มสั่งการให้โต้ตอบอะไรเขากลับไปบ้าง
ที่ตามมาหลังจากนั้นกลับมีแต่ความเงียบเท่านั้น
หากแต่นั่นไม่ใช่กับท่านอสุราซึ่งยังคงพูดต่อ
“หากแม่ทับทิมยังมิมั่นใจ ว่าภพชาติก่อนตนเองนั้นไซร้เคยเป็นสิ่งใดมา
จักเป็นไปได้หรือไม่ หากตัวพี่นี้จักอาสารำลึกรักของสองเราให้น้องได้จำจด”
“หมะ หมายความว่ายังไงเจ้าคะ ?”
“พี่จักรื้อฟื้นเศษเสี้ยวทรงจำสองเรา...” และนั่นดูเหมือนจะเป็นประสงค์ทั้งหมดของยักษ์หนุ่มลั่นวาจาไว้หลังคำถามของฉันจบลง
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น