คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : กลรักอสุรา l บทที่๑๒ ตอน จันทน์ผา {อัพ100%}
เมื่อนั้นอสุราเผลอนึกหวน
ถึงเหตุการณ์มิสมควรให้ครวญหา
จิตนึกคิดย้อนเห็นแม่แก้วตา
ยลเห็นหน้านางฟ้าต้องโทษทัณฑ์
ด้วยทำผิดริลักของล้ำค่า
อัจฉราจึงเจ็บหนักไม่คิดฝัน
ถูกโบยหวายลงแส้ตามโทษทัณฑ์
สีตะวันหลั่งรินแสนอาดูร
-อสุรา กล่าว-
ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ยามนี้เราจึงเผลอนึกหวนเรื่องอันน่าเศร้าเมื่อครั้งเก่าก่อน
ซ้ำในจิตนึกคิดยังผุดใบหน้านางอัปสรตนอื่นให้นึกถึง แม้นมีหญิงอันเป็นที่รัก
ซึ่งเราเฝ้าตามหาและรอคอย หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าก็ตามที ทั้งที่เป็นเช่นนั้น
หากแต่ในหัวกลับไม่วายลดละห้วงคำนึกหาลงเลยแม้เพียงนิด
เพียะ!
‘หะ ให้อภัยหม่อมฉันเถอะนะเจ้าคะ…อึก หม่อมฉันผิดไปแล้ว
ฮืออออ’
เพียะ!
เสียงร้องของความเมตตาคละเคล้าความเจ็บปวด
ดังสลับกับเสียงร่ำไห้ก้องไปทั่วท้องพระโรง เนื้อนวลผ่องผู้ร้องขอปรากฏริ้วรอยจนสีชาดซึมเปรอะตามปากแผล ยามเมื่อถูกลงหวายเฆี่ยนตี ต่อหน้ายักษา ยักษี อีกทั้งนางสวรรค์ตนอื่นๆ
เพื่อให้จำจดไว้เป็นเยี่ยงอย่าง
เพียะ! เพียะ!
‘ท่านอสุรา…ฮึก…’ เราจำสีหน้ามากล้นความเจ็บปวดของนางอัปสรตนนั้นได้ ไม่ว่าจะแววตาหรือเสียงคร่ำครวญ อ้อนวอนร้องของ ตลอดการถูกลงโทษ ‘ฮืออ…ท่านอสุราเจ้าขา ให้อภัยหม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ
ฮืออ’
เพียะ!
แต่เพื่อไม่ให้ผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ในครานั้นโทษทัณฑ์ที่นางสวรรค์พึงได้รับจึงเป็นเพียงประการเดียวที่เราไม่อาจลดหย่อนหรือโอนอ่อนไปตามเสียงร้องของนางได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงเลือกเป็นฝ่ายปลีกกายออกจากสถานที่ลงทัณฑ์ไปอย่างผู้ใจร้าย ไร้การเหลียวแลต่อคำวิงวอน แม้จะมีเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของนางแว่วตามหลังให้ได้ยินสลับกับเสียงโบย
เพียะ!
‘ฮืออออ...ท่านอสุรา ให้อภัยหม่อมฉันเถอะนะเจ้าคะ ฮึก…’
ต้นสายปลายเหตุของการลงทัณฑ์ครานั้น
สืบเนื่องมาจากปิ่นปักผมทับทิม
ที่เราหมายมั่นจะยกเป็นของกำนัลให้แก่หญิงอันเป็นที่รักได้หายไป หลังสืบสาวราวเรื่องได้ไม่กี่ชั่วยาม ท้ายที่สุดเราก็ได้คำตอบ
เมื่อพบเข้ากับปิ่นปักผมดังกล่าวถูกซุกซ่อนไว้ใต้หมอนของหนึ่งในนางอัปสรที่ท่านมหาเทพพระภูเตศวรมอบให้เป็นของกำนัลต่อนครยักษ์
หากเราจำไม่ผิด
รู้สึกว่านางสวรรค์ตนนั้นจะมีนามว่า แม่ ‘จันทน์ผา’
“นี่ท่าน…”
หากแต่ห้วงความคิดก็ไม่อาจนึกย้อนความได้เนิ่นนานนัก
เมื่อเสียงหวานคุ้นหู เอ่ยถ้อยปลุกกายาเราหลุดจากภวังค์ ฉับพลันภาพใบหน้าสะสวยหากแต่เคล้าความเจ็บปวดของแม่จันทน์ผาก็มีอันเลือนหายไป
ก่อนแปรเปลี่ยนไปเป็นหน้าสวยของแม่ทับทิมเข้ามาแทนที่
“ฉันได้ยินฉันพูดหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
“แม่ทับทิม กล่าวถ้อยว่าเช่นไรอย่างนั้นรึ
เมื่อครู่พี่หาได้ฟังความเมื่อครู่ไม่” สิ้นเสียงตอบกลับของเรา
นารีชนตรงหน้าก็ขมวดคิ้วเข้าหากันโดยพลัน จากนั้นก็กล่าวต่อว่า
“ฉันถามว่าท่านจะจ้องหน้ากันแบบนี้อีกนานไหมน่ะเจ้าค่ะ
ไม่รู้หรือเจ้าคะ ว่าที่เมืองมนุษย์มันคือเรื่องเสียงมารยาท!” และทันทีที่ถูกต่อว่าเช่นนั้น เราจึงรีบลดละสายตาจากใบหน้าสวย
ลงมายังจอกชาขนาดใหญ่ในมือแทน
ก่อนพบว่าหยาดน้ำเริ่มจับตัวผุดขึ้นโดยรอบพลอยให้ฝ่ามือเราเปียกชุ่มไปหมด
และแม้นว่าเราไม่ได้ตอบถ้อยใดกลับไป
มันก็เป็นแม่ทับทิมเสียเองที่กล่าวความขึ้นอีก
“ว่าแต่ที่ท่านพูดเมื่อกี้คืออะไรหรือเจ้าคะ จันทน์ผาน่ะ”
ซ้ำคำถามของแม่ทับทิมยังตอกย้ำภาพนิมิตครั้งอดีตเมื่อครู่ของเราเอาเสียมากๆ
แต่ด้วยเพราะเรานั้นคือน้องชายเจ้าเมืองนครยักษ์ ครั้นจะโป้ปดปฏิเสธ
เห็นดีคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควรนัก
“แม่จันทน์ผา คือนางอัปสรที่พระผู้ยิ่งใหญ่ในแดนสรวง นางถูกส่งมาคอยปรนนิบัติรับใช้ที่นครยักษ์…”
ทั้งที่จิตนึกคิดบอกเราว่าไม่ควรเอ่ยถ้อยสิ่งใดภายในสรวงให้แก่นารีชนเช่นนางรับรู้มากไปกว่านี้
ทว่า ปากเรานั้นกลับไม่ยอมจำนนต่อความคิด
ยังคงกล่าวถึงแม่จันทน์ผาให้แก่แม่ทับทิมได้สดับรับฟัง “แม่จันทน์ผา
มีหน้าที่จัดหาพันธุ์ไม้ต่างๆ อาทิเช่น ดอกบัว จัดใส่พานให้กับท่านพี่อสุเรนทร์ทุกครา ก่อนมื้ออาหาร”
“ดอกบัวหรือเจ้าคะ ?” ครานี้น้ำเสียงขี้เล่นของนารีชนตรงหน้ากลับเริ่มเปลี่ยนไป
ส่อแววถึงอาการตกใจระคนประหลาดใจให้เราได้ยลเห็น
“มีสิ่งใดน่าประหลาดใจงั้นรึ ?” จบถ้อยคำถาม คู่เจรจาส่ายหน้าโดยพลัน พร้อมกันนั้นก็เอ่ยความบางอย่างขึ้น
“เมื่อคืนฉันฝันน่ะเจ้าค่ะ
ในฝันฉันเห็นตัวเองกำลังถือพานใส่ดอกบัว กำลังจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง…”
หากแต่ใจความของแม่ทับทิมกลับไม่ได้มีโอกาสเอื้อนเอ่ยจนจบถ้อยวลีดั่งประสงค์
เมื่อเพลาเดียวกันนั้น
มีนารีชนตนหนึ่งเดินตรงเข้ามายังทั้งสองและกล่าวขึ้นอย่างเสียมารยาท
“ทำงานต่อได้แล้วจ้าทับทิม” ชนหญิงตนนั้นกล่าวความบอกแม่ทับทิมเพียงเท่านั้น
ก่อนชำเลืองตาปรายมองมาทางเรา แล้วกล่าวถามขึ้นอีกหน “ทำไมไม่บอกล่ะจ๊ะ
ว่าจะพาเพื่อนมาด้วย”
“เขาไม่ใช่เพื่อนฉันค่ะ…” เราได้ยินเสียงตอบถ้อยของดวงใจ
ขณะเจ้าตัวเหลือบหางตามายังเราเช่นเดียวกับนารีหญิงเบื้องหน้า ซ้ำยังกล่าวขึ้นแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก
“เราแค่บังเอิญรู้จักกันน่ะค่ะ ละ แล้วฉันก็…ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาช่วยด้วยซ้ำ”
ด้วยทีท่าประหม่าผสมรวมกับน้ำเสียงติดขัดที่แม่ทับทิมใช้
มันก็เผลอให้เราหวนนึกถึงนางอัปสรต้องโทษตนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง อย่างไม่อาจห้ามได้
‘แม่จันทน์ผา…’ เราจำเสียงเรียกของตนเองที่มักเอ่ยขานหานางอัปสรตนนั้นได้
‘อ๊ะ! ทะ ท่านอสุรา!’ ทุกครานางจะชอบปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นพิกุลทอง ทั้งที่เป็นเช่นนั้น หากแต่กลิ่นกายของแม่จันทน์ผากลับหอมหวนเหมือนดอกสร้อยทอง หาได้แตกต่างจากคนรักเราตรงไหน‘มะ มีสิ่งใดให้หม่อมฉันรับใช้หรือเจ้าคะ ?’
น้ำเสียงและวิถีกล่าวคำของนางนั้น มันเต็มไปด้วยอาการประหม่าและลังเล ถึงกระนั้นเรากลับรู้สึกเอ็นดูกับทีท่านอบน้อมที่นางมักแสดงออกให้เห็น
นางคือนางอัปสรตนเดียวที่มักแสดงทีท่าหวาดกลัวและอาการประหม่ายามอยู่ต่อหน้าเหล่ายักษี ยักษา หากแต่ตรงกันข้าม แม่จันทน์ผากลับเป็นนางสวรรค์เพียงตนเดียวที่ผิดกฎนครยักษ์ ริอาจลักขโมยของภายในวัง
‘ปัจฉิมยามเช่นนี้ เจ้าบุกมากระทำสิ่งใดในสวนหลังวังเช่นนี้เพียงลำพังเล่านางอัปสร ?’
ผู้ถูกถามขยับยิ้มพลางยกมือไหว้ขึ้นเหนือหัวอย่างนอบน้อมหลังสิ้นเสียงถาม
จากนั้นจึงตอบถ้อยในที่สุด
‘คะ ครั้นเมื่อปัจฉิมยามเช่นนี้ หม่อมฉันเล็งเห็นว่าเป็นฤกษ์ยามดี
สมควรแก่การเข้ามาชมพันธ์ไม้ในสวนน่ะเจ้าคะ’ เสียงของแม่จันทน์ผาบ่งบอกถึงจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ที่มีต่อพันธุ์ไม้ในสวนอย่างตรงไปตรงมา
‘ท่านอสุรารู้หรือไม่เจ้าคะ
ว่าดอกไม้นั้นมิได้ต่างจากทุกชีวาบนแผ่นดินสักเท่าไหร่’
‘มิต่างเช่นไรงั้นรึ เราหาได้เข้าใจความไม่’
‘ดูเช่นพิกุลทองต้นนี้สิเจ้าคะ
ยามนี้ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งสวน
หากเมื่อไหร่ที่ขาดการดูแลเอาใจใส่กลิ่นหอมเหล่านี้อาจจะเลือนหายไป
เหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านที่แห้งตาย…ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงถือโอกาส
ใช้ช่วงยามอันสงบเงียบครานี้ คอยดูแลเอาใจใส่พิกุลทองต้นนี้น่ะเจ้าค่ะ’
ทุกสิ่งที่แม่จันทน์ผากล่าวถ้อยและแสดงออก
ไม่เคยติดเป็นเรื่องให้เราขบคิดเลยสักคราว่า
เหตุใดนางจึงต้องรับหน้าที่จัดแจงดอกไม้ลงพานทุกเช้าค่ำ ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ทว่า
ในคืนเกิดเหตุ เสียงเดียวที่เราได้รับจากนางอย่างเถรตรงนั้นกลับกลายเป็นการสารภาพผิด
‘หม่อมฉันทำเองเจ้าคะ...อึก...หมะ หม่อมฉันฉกฉวยประดับชิ้นนี้มาด้วยมือหม่อมฉันเอง...’ ซ้ำยังเป็นความผิดที่ไม่มีผู้ใดในนครให้อภัยได้ ‘ฮึก…ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะนะเจ้าคะ ฮือออ’
ทั้งที่ตลอดมา เราเฝ้าครวญคร่ำร้องหาดวงใจที่พลัดพราก
หากแต่เมื่อทวิภพเปิดจนมีโอกาสได้ลงเหยียบพื้น พบพานสิ่งที่โหยหา ทว่า
เรากลับไม่อาจลดภาพของนางอัปสรตนนั้นออกจากหัวได้เลยสักเพลา นับจากเริ่มหวนนึกถึง
ภาพของแม่จันทน์ผาที่ตามเนื้อตัวเต็มไปบาดแผลจากการถูกเฆี่ยนตี ยังคงผุดเข้าสู่มโนความคิดให้นึกราวกับห่าฝน ก่อนจะหยุดนิ่งลงอย่างสงบ เช่นเดียวกับร่างไร้ลมหายใจ ที่ผูกคอห้อยลงกับต้นมะกอกนอกวังในชุดนางรำอันทรงเกียรติ ก่อนที่คืนวิปโยคจะเคลื่อนมาถึง
จนถึงเพลานี้ เรายังหาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้ ติดตรึงเป็นห้วงความผิดชิดอุรา ว่าเหตุใดนางจึงทำอัตวินิบาตกรรมตนเช่นนั้น...
กึก…
หากแต่การไตร่ตรองหาเหตุและผลในวันวาน
ก็ไม่อาจคงอยู่ในกมลความคิดได้เนิ่นนานเทียบเท่าความรู้สึก
เมื่อดวงใจที่เราใฝ่หาเริ่มขยับกายเคลื่อนไหว หยิบข้าวของรูปทรงกลม
หน้าตาพิลึกพิลั่นขึ้นสวมหัว
จากนั้นจึงเริ่มการงานตามประสาชนในเมืองเมืองมนุษย์ในแบบที่เราไม่คุ้นหูคุ้นตานัก
“ลองไปทานชานมพีพีมุกกันนะคะ ทานวันนี้ได้รับส่วนลด 50% เปอร์เซ็นต์ด้วยนะ!”
“ขอใบหนึ่งจ้า!” มันอาจจะจริงดั่งที่แม่ทับทิมว่าไว้
ยามนี้ทุกสิ่งซึ่งอยู่ในภพภูมิของเหล่ามนุษย์ มีอันแปรเปลี่ยนจากครั้งเก่าก่อนนัก
ไม่ว่าจะอัครสถานอันแสนแปลกตา หรือแม้แต่กริยา เครื่องแต่งกายของปุถุชนที่ดูฉูดฉาด
เราเป็นผู้เข้าใจทุกสิ่งได้โดยง่าย
เพียงแค่ได้รับคำสอนหรือการมองผ่านและจดจำ เพียงเท่านั้น ก็มากพอแล้วสำหรับการปฏิบัติตัวให้ถูกขนมธรรมเนียมประเพณีแปลกใหม่ในเมืองมนุษย์
หากแต่สิ่งหนึ่งช่างยากเย็นจนบ่อยครั้งต้องถอนใจ เห็นทีคงไม่พ้นเรื่องความทรงจำแม่ทับทิมนั่นหล่ะหนา
จริงสิ ในเมื่อยามนี้ทวิภพเปิดกว้างตามมิ่งหมายมงคล ดลบันดาลและนำพาเรากลับมาพบเจอดวงใจที่หล่นหาย ฤกษ์ดีเช่นนี้จะมัวแต่นึกหวนหรือขบคิดเรื่องนางอัปสรตนนั้น
เห็นทีคงไม่ได้การ ฉะนั้นประการแรกที่เราควรดำเนินต่อไปนับจากนี้จึงควรเป็นการระลึกความหลังระหว่างเรากับดวงใจเสียมากกว่า
ในเมื่อการพิชิตใจนารีชนนั้นไซร้
ยากลำบากเสียยิ่งกว่าการสงคราม เหตุนั้นเราแล้วจึงควรตั้งจิตใจแน่วแน่
ต่อประสงค์ของตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้
“กะแล้วว่าต้องเป็นเธอจริงๆ เสียงดังไปถึงฝั่งนู้นเลยนะ!”
“ปล่อยนะ! คุณจำผิดคนแล้ว!”
“จำผิดคนบ้าอะไร เสียงเธอดังออกขนาดนี้ทำไมฉันจะจำไม่ได้!?” โดยเฉพาะกับการฟื้นความหลังดวงใจที่มักมีแมลงมาคอยบินล้อมหน้าล้อมหลังด้วยแล้ว
“เมื่อคืนฉันส่งข้อความไปตั้งหลายรอบ ทำไมไม่เปิดตอบบ้างวะ ?”
หากปล่อยไปเช่นนี้ เห็นทีคงไม่ได้การ!
-ทับทิม กล่าว-
ฉันรู้สึกได้ว่า
ท่านอสุรามีทีท่าที่เปลี่ยนไป…
แม้ว่าอุปนิสัย
บุคลิกหรือท่าทางหลายๆ ของเขาจะถอดแบบมาจากในพงศาวดารที่ชอบอ่าน ถึงอย่างนั้น
ฉันก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ดี
อาการเหม่อลอยที่เขาแสดงออกให้เห็น
หากเป็นเพียงการมองจ้องสิ่งของบางอย่างนานๆ ด้วยความสนใจ
เพียงเท่านั้นฉันคงไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาได้มากเท่านี้
แต่ว่าท่าทีที่ว่ามาทั้งหมดนั่น ดันเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาหลุดขานชื่อนางอัปสรตนหนึ่งออกมาต่างหากหล่ะ
แม่จันทน์ผา…
และด้วยชื่อแสนแปลกหูของนางสวรรค์ตนนั้นมันก็ทำให้คนที่ได้รับฟังอดสงสัยที่มาที่ไปของผู้เป็นเจ้าของชื่อไม่ได้
สืบเนื่องจากในพงศาวดารที่อ่านมานั้น ไม่ได้ปรากฏชื่อของนางสวรรค์ตนนี้ไว้เลยในบทกลอนสักวรรค
ซ้ำความเป็นมาของแม่จันทน์ผาที่ลอดผ่านปากท่านอสุรานั้น
ยังคล้ายคลึงกับภาพฝันแปลกๆ เมื่อคืนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ครั้นจะทำตามอำเภอใจ
รีบค้นคว้าหาข้อมูลมันเสียตอนนี้ มันก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ด้วยเพราะหน้าที่
การงานซึ่งทำค้างไว้นั้นยังผูกติดร่างกายฉันไว้เป็นเหมือนโซ่ตรวน
ดังนั้นทุกข้อสงสัยและความใคร่รู้ทั้งหมดที่มี
จึงจำต้องหยุดพักเพื่อสะสางงานที่เหลือของตนเองให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน
พอคิดได้แบบนั้น
ฉันเลยจำต้องลดสายตาไปจากใบหน้าคมคายขณะมองเหม่อไปยังหัวมาสคอตของตัวเองแล้วยกมันสวมครอบหัวเพื่อเริ่มทำหน้าของตัวเองตามข้อตกลงของทางร้านให้เสร็จสิ้น
“ลองไปทานชานมพีพีมุกกันนะคะ ทานวันนี้ได้รับส่วนลด 50% เปอร์เซ็นต์ด้วยนะ!” เสียงตะโกนเรียกลูกค้าที่ขาดช่วงไประยะใหญ่ดังขึ้นอีกครั้งหลังหมดเวลาพัก
ขณะมือไม้ยื่นส่งใบปลิวและบัตรส่วนลดในมือให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้า
“ขอใบหนึ่งจ้า!”
“นี่ค่า” ถึงแม้จะบอกไม่ให้คิดสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากหน้าที่การงานของตัวเองเวลานี้ก็เถอะ ทว่า ร่างกายกับไม่ยอมฟัง ยังคงนึกถึงความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ดี
‘ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร มีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไรงั้นรึ
?’ ทั้งที่เป็นเพียงภาพฝัน
หากแต่เสียงของท่านอสุราขณะไถ่ถามชื่อนั้น
กลับไม่ได้ฟังดูแปลกหรือแตกต่างจากจากสิ่งที่โชตชะตาบันดาลให้พบเจอเลยแม้แต่นิด
โดยเฉพาะคำตอบของฉันในฝันคืนนั้น
‘หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ
ท่านอสุรา’
อีกสิ่งที่ทำให้อดคิดต่อยอดหลังเสียงในความฝันสงบลงไปไม่ได้ คงไม่พ้นกับความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งขัดจากเสียงบอกกล่าวของตัวเองในความฝันราวกับเป็นหนังคนละม้วน
ทำไมล่ะ
ทำไมในฝันฉันถึงบอกเขาว่าตัวเองคือนิมมานรดี หรือเพราะภาพจำที่ได้พบเจอ มันเลยทำให้ฉันเก็บมาคิดเป็นกลายเป็นความฝันงั้นเหรอ?…
ฟึ่บ!
“อ๊ะ !” ทว่า
ระหว่างที่ร่างกายกำลังทำหน้าที่ของตัวเองโดยที่สมองเริ่มใช้ความคิดทั้งหมดไปกับเรื่องอื่น
จู่ๆ บริเวณข้อมือกลับถูกมือของใครคนหนึ่งฉวยไว้แบบไม่ทันให้เตรียมตัว
พลอยให้ข้อสงสัยทั้งหมดในหัวพังทลายลงโดยฉับพลัน และเมื่อเหลียวมองต้นต่อของสัมผัสดังกล่าว ก็ต้องพบเข้ากับชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีเลือดนกสกีนชื่อของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่งไว้กลางอก
หากแต่ดูเข้ากันดีกับกางเกงยีนส์สีดำและเสื้อคลุมหนังที่สวมอยู่
แม้ว่าเจ้าของการกระทำดังกล่าวจะสวมหมวกแก็ปและแว่นกันแดดสีชาปิดอำพรางใบหน้า ถึงอย่างนั้นฉันก็จำได้ดีว่าเขาคือใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเริ่มเปิดปากทักทาย
“กะแล้วว่าต้องเป็นเธอจริงๆ เสียงดังไปถึงฝั่งนู้นเลยนะ!”
“ปล่อยนะ! คุณจำผิดคนแล้ว!” เมื่อเห็นท่าไม่ดี
ฉันจึงพยายามบิดข้อมือที่ถูกคว้าไว้ให้หลุดเป็นอิสระ
แต่ดูเหมือนว่ามันจะยากเหลือเกิน เพราะยิ่งพยายามบิดให้ตัวเองหลุดมากเท่าไหร่ เขตแดนก็ยิ่งบีบรัดข้อมือแรงขึ้นมากเท่านั้น
ซ้ำยังต่อว่าขึ้นอย่างรู้ทัน
“จำผิดคนบ้าอะไร เสียงเธอดังออกขนาดนี้ทำไมฉันจะจำไม่ได้!?” นอกจากจะรู้ทันแล้ว เขาใช้โอกาสที่มีในตอนนั้นทักท้วง “เมื่อคืนฉันส่งข้อความไปตั้งหลายรอบ ทำไมไม่เปิดตอบบ้างวะ ?”
“นี่ปล่อยนะเขตแดน! ฉันต้องทำงาน!” สุดท้ายเมื่อปิดบังอะไรต่อไปไม่ไหว ฉันจึงต้องตะเบ็งเสียงบอกความต้องการของตนเองออกไป
กว่าจะรู้ตัวว่าคู่สนทนาของฉันเวลานี้ ไม่ใช่คนปกติทั่วไป แต่ว่าเป็นคนของสาธารณะ ก็คงเป็นตอนที่เสียงของลูกค้าภายในห้างดังฮือฮาขึ้น
พร้อมด้วยสายตาหลากหลายคู่ที่จับจ้องทางเราคล้ายกับสนใจ สงสัยและแปลกใจไปในคราวเดียว
“เวรเอ้ย…” การที่เป็นเช่นนั้นมันเลยทำให้ชายหนุ่มซึ่งมีชื่อเสียงมากอยู่พอสมควรสบถขึ้นพลางปล่อยมือฉันสู่อิสระแบบไม่สบอารมณ์นัก
แต่ก็แค่นั้น เพราะสิ่งที่เขตแดนเลือกทำนั้นกลับกลายเป็นการตีเนียนผ่านการกระทำมากกว่าจะแสดงทีท่าหงุดหงิดให้ได้เห็น
“ชานมไข่มุกไหมครับ ร้านนี้เขาอร่อยจริงๆ นะ” และการตีเนียนที่ว่านั่นก็เป็นการช่วยเรียกลูกค้าให้ฉันอีกแรง
เสียงกรี๊ดของบรรดาลูกค้าวัยรุ่นไปจนถึงลูกค้ารุ่นใหญ่โหมดังขึ้นแทบจะวินาทีนั้น
บ้างก็รีบหยิบกล้องถ่ายรูปของตนเองขึ้นมาในอาการตื่นเต้น มิหนำซ้ำ
สิ่งที่พวกหล่อนสนใจดูเหมือนจะเป็นดีเจหนุ่มชื่อดังตรงหน้าเสียมากกว่าใบปลิวในมือฉันอีก
เมื่อเหตุการณ์กลางห้างเริ่มเกิดความชุลมุนเพราะคนมีชื่อเสียงปรากฏตัว
ฉันจึงอาศัยช่วงเวลาในตอนนั้น รีบปลีกตัวเดินถอยออกมา
เพื่อเลี่ยงไปแจกใบปลิวให้กับลูกค้ารายอื่น ทว่า
การหลบหนีก็ไม่วายต้องเกิดเรื่องวุ่นวาย
เมื่อเขตแดนที่กำลังแสดงตัวต่อแฟนคลับอย่างเป็นมิตรเลือกที่จะคว้ามือฉันเอาไว้อีกครั้ง
ฟึ่บ!
“อย่าเพิ่งไป…” เขากระซิบบอกแบบนั้น ก่อนจะถือวิสาสะใช้มือดึงใบปลิวไปจากมือฉันเป็นจำนวนมาก
แล้วหันไปพูดกับบรรดาแฟนคลับของตนเองด้วยระดับเสียงปกติทั้งที่ยังจับข้อมือฉันไว้แบบนั้น “ไหนใครจะลองไปดื่มชานมพร้อมผมบ้าง ขอมือหน่อยเร็ว!”
ท่ามกลางเสียงกรี๊ดที่เหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ต
คงมีฉันเท่านั้นที่เริ่มทำตัวไม่ถูก
โชคดีที่เวลานั้นชุดมาสคอตหมีของทางร้านช่วยอำพรางรูปร่างหน้าตาเอาไว้
เพราะไม่เช่นนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะแสดงสีหน้าหรือท่าทางใดต่อหน้าแฟนคลับหมู่มากของเขา
ลำพังแค่ถูกเขตแดนคว้ารั้งตัวไว้ท่ามกลางกลุ่มแฟนคลับ
มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ฉันซึ่งเป็นคนกลางเริ่มทำตัวไม่ถูก
หากแต่นั่นเทียบไม่ได้เมื่อจู่ๆ แขนอีกข้างที่กำลังถือใบปลิวเอาไว้แน่นถูกแรงมหาศาลจากมือของใครอีกคนพุ่งเข้าคว้าไว้
ฟึ่บ!
“ไปทำงานทำการมุมนู้นเถิดแม่ทับทิม…” ซึ่งการกระทำดังกล่าวมาพร้อมกับแรงกระชากและเสียงบอกกล่าวอย่างนุ่มนวล
แม้ว่าลึกๆ ในน้ำเสียงจะแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจให้ได้รู้สึก
หากคิดว่าสิ่งที่ท่านอสุรามั่นหมายจะทำนั้น จะเกิดขึ้นได้ตามอย่างที่เขาตั้งใจแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าคิดผิด
เพราะทันทีที่แรงกระชากจากน้ำมือท่านอสุราเกิดขึ้น จนตัวฉันโอนเอนไปตามแรงที่เขากำหนด เขตแดนซึ่งจับมือฉันไว้อีกฝั่งก็รีบแสดงความไม่ยอมของตัวเอง ฉุดกระชากตัวฉันให้เอนกลับเข้าไปใกล้ตัวเขาอีกครั้ง
ฟึ่บ!
“จะไปไหนล่ะ อยู่แจกด้วยกันตรงนี้แหละคุณหมี” ซ้ำยังพูดแสดงความต้องการของตัวเอง
ฟึ่บ!
“พี่เกรงว่า ปุถุชนทางฝั่งกระนู้น
น่าจักหมายมั่นอยากลิ้มลองรสชาติชาของแม่ทับทิมเสียมากกว่าตรงนี้ล่ะมั้ง…” ในหนนี้ไม่ทันที่ท่านอสุราจะว่าจบด้วยซ้ำ แรงฉุดกระชากจากข้อมืออีกข้างก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
พร้อมเสียงบอกกล่าวอย่างใส่อารมณ์ของเขตแดน
ฟึ่บ!
“ตรงนี้คนเยอะแยะ จะพาไปแจกตรงนู้นเพื่อ??” ซึ่งเหมือนว่าคำบอกกล่าวของเขตแดนครั้งนี้จะพูดกับคนอื่นเสียมากกว่าพูดกับฉันเสียด้วย
เช่นเดียวกับใครอีกคนที่เริ่มบดถ้อยคำตอบโต้กลับอย่างทันควัน
ซ้ำยังแสดงเจตจำนงของตัวเองด้วยการกระชากตัวฉันให้โอนเอนกลับเข้าไปหา
ฟึ่บ!
“มึงจักรับหน้าที่แทนแม่ทับทิมตรงนี้มิใช่หรอกรึ ฉะนั้นปล่อยแม่ทับทิมไปกับกูตรงนู้นสิ
หาใช่เรื่องยากเย็นไม่!”
เรี่ยวแรงมหาศาลที่ท่านอสุราและเขตแดนพยายามฉุดยื้อแรงสลับไปสลับมาแบบไม่มีใครยอมใคร เริ่มทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดอาการปวดหนึบบริเวณข้อพับใต้รักแร้มากขึ้นทุกขณะ
ทว่า ขณะเดียวกันฉันก็รับรู้ถึงสิ่งอื่นด้วย
“โง่น่า ก็ช่วยกันแจกตรงนี้มันจะสักเท่าไหร่กันเชียว…” ทั้งที่ชั่วโมงนั้นเสียงที่ดังขึ้นคือถ้อยคำโต้ตอบของเขตแดนแท้ๆ
แต่ฉันกลับได้ยินเสียงผู้ชายคนอื่นดังแทรกเข้ามาให้ได้ยินเสียอย่างนั้น
‘ก็พาพี่ไปเก็บดอกบัวเสียด้วยกัน มิได้หรอกหรือจ๊ะนางอัปสร’ ฉันพยายามสลัดเสียงแปลกปลอมของคนไม่รู้จักให้หลุดออกจากภวังค์ความหลอน พร้อมกันนั้นก็พยายามฝืนต้านแรงที่คนทั้งคู่ผลัดกันฉุดรั้งไปด้วย
แต่ว่า...
ยิ่งพยายามไล่เสียงสำเนียงประหลาดมากเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่า
เสียงเหล่านั้นกลับยิ่งดังในจิตใต้สำนึกมากขึ้นทุกที
‘ปล่อยฉันเถิดนะเจ้าคะ หากชักช้าเกินการกว่านี้ เห็นทีฉันคงมิแคล้วถูกท่านท้าวอสุเรนทร์ลงโทษเป็นแน่’
ก่อนค่อยๆ
เปลี่ยนเสียงแว่วไม่รู้ความในตอนแรกให้กลายเป็นบทสนทนาของหญิงชายคู่หนึ่ง
‘น่านะ แค่ชั่วครู่เดียวเอง มิเป็นไรหรอก’
‘มิได้เจ้าค่ะ ปล่อยฉันเถิดนะเจ้าคะ !’ อาการปวดหนึบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียว
คล้ายกับช่วยเร่งผสานเสียงแว่วและทุกความรู้สึกที่มีให้ชัดเจนมากขึ้น
แม้มองไม่เห็นภาพ หากแต่ฉันกลับรับรู้ได้ว่า หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของเสียงแว่วในหัวนั้น
คงท่ามีสภาพไม่ต่างจากฉันตอนนี้นัก
ฟึ่บ!
‘อึก!’ แต่แล้วในช่วงที่เสียงร้องขอจากหญิงสาวเงียบไปพร้อมกับเสียงบอกความอารมณ์เจ็บปวดของชายหนุ่ม แรงโน้มถ่วงในโลกความจริงก็ฉุดกระชากให้หลุดออกจากภวังค์เสียงแว่วได้ในที่สุด
ก่อนพบว่ามือข้างที่เคยถูกเขตแดนจับกุมไว้นั้น
บัดนี้ได้ถูกปล่อยสู่อิสระไปเสียแล้ว
“อึก…อะ…”
หากอิสรภาพที่เขตแดนมอบให้ในตอนนั้นกลับตามมาด้วยเรื่องน่าตกใจ
เมื่อดีเจทรุดตัวลงกับพื้นในสภาพนัยน์ตาเบิกกว้างพลางใช้มือทั้งสองข้างของตนเองกุมไปตามลำคอด้วยสภาพของคนซึ่งคล้ายกับจะขาดอากาศหายใจ
ซ้ำยังเปลี่ยนเสียงกรีดร้องเพราะความคลั่งไคล้ของผู้คนรอบข้างให้กลายเป็นเสียงหวีดร้องด้วยความอลหม่านตกใจ
ทว่า วินาทีที่เขตแดนช้อนตาขึ้นมองหน้าฉันอีกครั้ง
ฉับพลันทุกสิ่งเบื้องหน้ากลับมืดบอดลงในทันใด เมื่อฝ่ามืออุ่นของใครอีกคนเคลื่อนเข้าปิดบังสายตา
ซึ่งการกระทำดังกล่าวมาพร้อมแรงดึงเล็กน้อย
หากแต่มากพอจะทำให้ร่างทั้งโอนเอนเข้าหาเจ้าของเรี่ยวแรงดังกล่าวได้โดยไม่ยาก
ฟึ่บ!
“ทะ ท่านทำอะไรน่ะเจ้าคะ !?” ความตกใจจากการกระทำปุบปับที่เกิดขึ้นส่งผลให้ปากขยับถามด้วยความร้อนรน
หากแต่ว่าเสียงที่ได้กลับมานั้น กลับกลายเป็นเสียงอื่น
‘เจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่นางอัปสร ?’ ซึ่งเสียงที่ว่านั่นเป็นเสียงของท่านอสุรานั่นหล่ะ แต่ว่าคำพูดของเขาฟังดูเหมือนเป็นการไถ่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าการให้คำตอบฉัน ก่อนตามมาเสียงของผู้ถูกถาม
‘หะ หามิได้เจ้าค่ะท่านอสุรา หม่อมฉันมิได้เจ็บปวดตรงไหนแม้เพียงนิดเจ้าค่ะ’
เสียงของผู้หญิงคนเมื่อกี้อีกแล้ว...
เธอเป็นใครกัน ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงแว่วของเธอชัดมากขนาดนี้…
ฟึ่บ…
สิ้นเสียงแว่วชวนหลอนประสาทอย่างไร้ที่มาที่ไป
ภาพที่เคยมืดบอดไปจากการถูกปิดตา กลับเริ่มส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าการกลับมามองเห็นได้เป็นหนที่สองจะเป็นเรื่องที่ดี
แต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็สามารถสร้างความตกใจได้ไม่น้อย
เมื่อสถานที่ที่ควรเป็นห้างสรรพสินค้าสำหรับทำงานพิเศษในตอนแรกนั้นได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่แสนแปลกตา
ร้านรวงหรูหราที่เคยปรากฏต่อสายตาในตอนแรก
เวลานี้นั้นได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นภาพของป่ารกชัฏเข้ามาแทนที่ เช่นเดียวกับพื้นกระเบื้องเคลือบที่กลับกลายเป็นพื้นดินอุดมซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าคา
ซ้ำยังเปลี่ยนที่กว้างบางส่วนของห้างให้คลายเป็นสระบัวขนาดใหญ่ที่มีความกว้างห่างออกไปสุดลูกหูลูกตา
ภาพสถานที่อันแสนแปลกตา
ทำฉันตัดสินใจถอดหัวมาสคอตที่สวมอยู่ออก
เพื่อที่จะได้มองภาพตรงหน้าได้ชัดมากขึ้นกว่า ทว่า ยังไม่ทันจะถอดหัวมาสคอตได้เรียบร้อยร้อยดี
กลับมีเสียงเหยียบย่างหญ้าผ่านหญ้าของใครคนหนึ่งดังแทรกความเงียบขึ้นมาเสียก่อน
ตึก… ตึก…
ด้วยความตกใจเคล้าหวาดระแวงบวกกับเสียงเหยียบย่างผ่านหญ้าดังเข้ามาใกล้มาขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่ถอดหัวมาสคอตออกได้สำเร็จ สิ่งที่ฉันทำหลังจากนั้นจึงเป็นการรีบทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้นอย่างเงียบเชียบ
ขณะกวาดตามองหาทิศทางของเสียงอย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าจุดที่ฉันทิ้งตัวลงนั่งนั้นอยู่หมิ่นเหม่กับขอบของสระบัวไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตึก… ตึก… ตึก…
หลังจากนั่งซุ่ม ใช้กอหญ้าคาอำพรางตัวได้ไม่นาน
ในที่สุดเจ้าของเสียงย่างก้าวก็ปรากฏตัวให้ได้เห็น เธอคือหญิงสาวหน้าตาสะสวย เจ้าของเรือนผมสีดำขลับถูกเกล้ามวยสูง
เธอแต่งกายด้วยผ้าซิ่นสีปูนแดง ห่มแพรจีบสีเดียวกันโดยห่มสไบปักอย่างสตรีบรรณาศักดิ์สมัยโบราณทับไว้อีกชั้น
และมีประดับหูชิ้นเดียวติดกาย
ตึก... ตึก...
ความสวยบวกกับเครื่องแต่งกายแสนแปลกตาของหญิงคนดังกล่าว
ทำเอาฉันที่กำลังแอบซุ่มอยู่บริเวณพื้นที่ใกล้ๆ
ไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
โดยเฉพาะท่วงท่าการเดินย่างผ่านหญ้าแบบระมัดระวังและดูเรียบร้อยของเธอนั้น กลับให้ความรู้สึกนิ่มนวลและอ่อนช้อยได้อย่างน่าชื่นชม
ที่บ้าก็คือแรงดึงดูดที่แผ่ซ่านออกจากผู้หญิงคนนั้น
กลับเป็นเหมือนแม่เหล็กที่สามารถสะกดฉัน ให้เดินแหวกแทรกหญ้าคาตามไปได้อย่างไร้เหตุผล
แต่การแอบลอบเดินตามนั้นก็เกินขึ้นได้ไม่นานนัก เมื่อช่วงเวลาเดียวกัน
บนเส้นทางดินที่หญิงสาวคนดังกล่าวก้าวเดินไปนั้น มีใครอีกคนปรากฏตัวเข้าขัดขวาง
กึก!
‘มาเก็บดอกบัวอีกแล้วหรือจ๊ะนางอัปสร…’ เขาคนนั้นคือผู้ชายที่ดูสภาพคล้ายกับคนปกติ แต่งกายในลักษณะเปลือยท่อนบน และท่อนล่างนุ่งห่มด้วยผ้าสีหมากที่บิดพับชายจนดูคล้ายโจงกระเบน ลักษณะคล้ายกับพวกชาวบ้านในละครพื้นบ้านยามเช้าอย่างไรก็อย่างนั้น
‘โธ่ ท่านวิรุฬล่ะก็
ทำฉันตกอกตกใจเสียหมด’
‘ได้ข่าวคราวมาว่า
แถวนี้จักมีนางสวรรค์ลงมาเก็บดอกบัวในทุกเช้า พี่จึงได้มาดักรอ มิคิดเลยว่านางสวรรค์ที่พวกชาวบ้านล่ำลือกันนั้นจะเป็นเจ้า…’
บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองพอทำให้ฉันพอคาดเดาสถานภาพของคนทั้งคู่ได้นิดหน่อย
‘แล้วนี่เป็นอย่างไรบ้างเล่าแม่จันทน์ผา
นับตั้งแต่เป็นที่โปรดปรานในแดนสรวง พี่หาได้เห็นหน้าคราตาเจ้ากับพี่สาวอีกไม่’
ที่สำคัญผู้ชายคนนั้นเรียกเธอว่าแม่จันทน์ผา!
‘สุขสบายดี…’ ลำพังแค่ชื่อเรียกที่ดังจากปากชาวบ้านหนุ่ม
มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้ฉันรู้สึกเซอร์ไพรส์
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมากลับเทียบไม่ได้เลย
เมื่อหญิงสาวให้การตอบกลับ
เพราะนอกจากบทสนทนาดังกล่าวจะบอกให้รู้ว่าเธอและเขารู้จักกันแล้ว
มันยังบอกได้เป็นอย่างดีว่า แม่นิมมานรดีของท่านอสุรานั้นมีน้องสาว
‘ทั้งฉันและพี่นิมมานรดีเจ้าค่ะ…’
Talk1 เรื่องนี้มันมีเงื่อนงำนะบอกเลยยยยยย ปล. อัตวินิบาตกรรม คือการฆ่าตัวตาย นะเออ
Talk2 สงสารทับทิม บุรุษล้อมไปหมด 555555555555
Talk3 สุขสบายดีทั้งฉันและพี่นิมมานรดีเลยเจ้า อิอิ
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น