TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt. Min - TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt. Min นิยาย TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt. Min : Dek-D.com - Writer

    TVXQ Fic (Yaoi) BeSide (Min Jae) Pt. Min

    สายตาของเค้าจับจ้องอยู่แต่คนที่เค้ารัก เค้าไม่เคยรู้ตัวเลยว่าใครบางคนที่เฝ้ามองเค้าอยู่ข้างๆมาตลอด...ผมขอแค่ได้อยู่ข้างๆเค้า..รักเค้าอยู่ในมุมของผมตรงนี้ก็พอ

    ผู้เข้าชมรวม

    2,670

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    2.67K

    ความคิดเห็น


    12

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 พ.ย. 50 / 09:53 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เรื่องนี้เป็นแบบ 2 Slide นะคร๊าบ..มี Part Of Jaejoong ด้วย...^^ 

    เป็นการร่วมทุนกันเขียนคนละ Slide กับเพื่อน...เพื่ออารมณ์ในการ
    เขียนแบบ 2 Slide ...

    ใครอยากรู้ว่า Jaejonng คิดอะไรอยู่ก็ตามลิงค์ไปนะคร๊าบบ



    BeSide Part Of Jaejoong
     http://my.dek-d.com/omaeyanai/story/view.php?id=356850
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      มันอาจฟังดูตลกน่ะ ถ้าผมจะบอกว่า หากผมมีอำนาจ ผมจะทำให้โลกนี้มีแค่เพียงกลางวัน … ไม่ใช่เพียงเพราะความมืดมันทำให้ผมหนาวเหน็บ แต่เพราะ มันทำให้ผมต้องทนนอนมองคนที่ผมรัก แอบร้องไห้ กลั้นเสียงสะอื้น จนเตียงสั่นทุกคืน…ทั้งๆที่ผมอยากจะเอื้อมมือไปคว้าตัวเค้า เข้ามากอดปลอบ แต่ทว่า มือที่เอื้อมออกไปนั้น กลับสั่นจนควบคุมไม่อยู่….

      หากมันยังเป็นอยู่แบบนี้ มันก็คงมีคนที่เจ็บพร้อมๆกันทีเดียว 2 คน งั้นผมขอสมมุติ ว่าตัวเองมีอำนาจก็แล้วกัน เพราะผมจะทำให้เหลือคนเจ็บเพียงคนเดียว และคนๆนั้นต้องไม่ใช่พี่แจจุง….

      ผมปิดสมุดบันทึกเล่มหนาลงทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงเรียกจากทีมงาน ผมหันไปมองหน้าพี่แจจุง ที่ยังคงตกตะลึง กับคำพูดของผมเมื่อสักครู่ …

      “คงเป็นเพราะ เวลาพี่ลืมตา…พี่เอาจับจ้องแต่คนที่พี่รัก…ไม่เคยมีซักครั้งที่พี่จะละสายตามองไปรอบ
      ๆน่ะสิ... พี่ถึงมองไม่เห็นคนอื่นที่อยู่รอบๆตัวพี่…ความรักของคนที่รักพี่…คนที่เผ้ามองพี่อยู
      ่ตลอดเวลาในขณะที่พี่เฝ้ามองคนอื่น… ”

      พี่คงไม่คิดใช่มั้ย ไม่เคยคิดเลยใช่มั้ยว่า ทุกครั้งที่พี่มองคนอื่น ยังมีใครอีกคนที่มองพี่อยู่เช่นกัน

      สิ่งที่ผมพูดออกไป ผมไม่ได้จะบังคับขู่เข็ญให้พี่แจจุงหันกลับมามองผม ผมแค่อยากให้พี่แจจุงรู้ว่า ยังมีคนที่รักพี่แจจุงอยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง
      ผมลุกขึ้นยืน แล้วยิ้ม ทำทีเป็นไม่ใส่ใจในคำพูดของตัวเอง เพราะไม่อยากให้พี่แจจุงลำบากใจมากเกินไปกับคำพูดของผมเมื่อครู่ ก่อนจะส่งมืออกไปให้พี่แจจุงฉุดตัวเองขึ้นมา

      ร่างบางข้างหน้า ดูจะลังเลใจอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ส่งมือมาให้ผม

      ผมคว้ามือของพี่มากุมเอาไว้ ตั้งใจว่า จะพาเดินไปด้วยกัน แต่ก็สะดุดกับรอยลึก หนาที่ฝ่ามือ… ผมเอะใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยพี่เอาไว้ตรงที่ประจำ…. จากนั้น เราจึงได้เริ่มถ่ายกันต่อ… ผมเห็น..สายตาของพี่แจจุง จับจ้องที่พี่ยุนโฮ ไม่วางตา…

      ผมไม่ได้ริษยา แต่ผมเสียใจ... เสียใจที่พี่ยุนโฮ ไม่เคยมองเห็นความอาธรณ์ของพี่แจจุงบ้างเลย...

      พอถ่ายกันเสร็จ เราทั้งหมด ต่างก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ อาบท่า สตูดิโอที่นี่ ค่อนข้างเล็กสักหน่อย ห้องน้ำอาบน้ำไม่พอให้เราอาบทีเดียวพร้อมๆกัน ผมเห็นว่าคิวยังไม่ว่าง จึงเดินไปหาพี่สต๊าฟพวกผู้หญิง ขอยืมกรรไกรตัดเล็บมาอันหนึ่ง แล้วจึงกลับมานั่งต่อคิวเหมือนเดิม เห็นพี่จุนซูกำลังเคี้ยวขนมบนโต๊ะยาวตุ้ยๆ ผมมองก็ได้แต่ยิ้มแล้วจึงหยิบสมุดบันทึกสีดำเล่มโปรดขึ้นมา...

      ทำอย่างไรดีครับ... ผมถึงจะแบ่งเบาความเจ็บปวดของพี่มาได้บ้าง เพราะทุกครั้งที่ผมมองดูความรักของพี่ ที่มันดีแต่ให้พี่เจ็บปวด มันทำให้ผมเจ็บตาม ผมอยากบอกพี่จัง ให้เลิกรักเค้าเสีย จะได้ไม่เจ็บปวดอีก แต่ผมทำไม่ได้ ผมไม่แน่ใจ ว่าหากผมพูดออกไปแล้วจะสามารถยืนข้างๆ พี่อีก เหมือนเช่นทุกทีได้อีก ...


      แรงสั่นไหวที่อีกด้านของม้านั่งทำให้ผมรู้ว่าพี่แจจุงนั่งลงที่ตรงนั้น ผมมองตามไปทางสายตาที่พี่แจจุงกำลังจดจ้องอยู่ ผมเห็นพี่ยุนโฮ กำลังยัดของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ

      “พี่ยุนโฮ…จะไปไหน” พี่จุนซูถามยุนโฮปากยังเคี้ยวขนมไม่หมดซะด้วยซ้ำ

      “พี่จะกลับไปดูยูชอนหน่อยน่ะ…ทิ้งไว้คนเดียวไม่ไว้ใจ…เดี๋ยวจะไปอาบน้ำที่บ้านเลย…ไป
      นะ” พูดจบพี่ยุนโฮก็หันมาพยักหน้าให้พี่แจจุง 1 ทีก่อนจะเดินออกจากห้องแต่งตัวไป พี่จุนซูพยักหน้าเหมือนจะรับรู้ แล้วหันไปสนใจกับขนมตรงหน้าต่อ ……….

      พี่แจจุงมองตามหลังกว้างๆของพี่ยุนโฮไม่ละสายตา

      หากพี่มองผมแบบนี้บ้างก็คงดี... อย่างน้อยๆเวลาที่ผมหันหลัง ผมยังรู้สึกอบอุ่น เพราะสายตาอาธรณ์ แบบนั้นของพี่มันส่งผ่านมาถึงผม ไม่ใช่ หนาวเย็น จนต้องห่อตัวไว้อย่างนี้

      ผมอาศัยช่วงที่พี่แจจุงกำลังเหม่อ เขยิบทีเดียวถึงตัว

      “เฮ๊ยย!!…เขยิบมาตั้งแต่เมื่อไร!?!” เสียงพี่แจจุงร้องลั่น จนผมเกือบหลุดหัวเราะ

      “ตกใจอะไรนักหนาพี่แจจุง…แค่ผมย้ายมานั่งตรงนี้…อ๊ะ!! พี่แจจุง” ผมคว้ามืออุ่นๆของพี่เอาไว้ ถูเบาๆตรงรอยลึกที่ฝ่ามือ

      “อะไร??…มือชั้นมันเป็นอะไร” .. พี่แจจุงรีบชักมือกลับทันที ไม่รู้ว่าผมทำให้พี่เจ็บป่าว

      “เล็บยาว..” ผมตอบแล้วดึงมือกลับมา

      “แล้วไง” พี่แจจุงเลิกคิ้วถามผม หน้าตาเอาเรื่อง ให้ตายเถอะ หน้าเชิดๆแบบนี้มันน่าจับจูบเสียให้หายหยิ่งเสียที แต่คงได้แต่คิด หากทำไปจริงๆ ผมคงต้องถูกพี่เกลียดเอาแน่ๆ

      “ผมจะตัดออกให้” พูดแล้วก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างตัว ก่อนจะหยิบกรรไกรตัดเล็บอันที่เพิ่งมาจากสต๊าฟออกมา…

      “ไม่ตัด!!…” พี่แจจุงตวาดตอบเสียงห้วนๆ จนผมชักหัวเสีย ไม่ใช่เพราะโกรธที่พี่ขึ้นเสียง แต่เพราะ หงุดหงิดกับคนเอาแต่ใจ ดื้อด้าน ไม่สนใจตัวเองบ้างเลย กำมือแน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เกิดรอยแผลช้ำลึกขนาดนี้ ยังไม่รู้สึกอีก ผมจึงจำเป็นต้องงัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาใช้เหมือนเดิม

      “ผมไม่ชอบให้พี่ไว้เล็บยาว…” ได้ผล...เมื่อพี่แจจุงยอมหยุดดื้อ หยุดยื้อมือกับผม ยื่นมือมาแต่โดยดี แม้จะแก้มทั้งข้างจะเป่าลมจนป่องด้วยความขัดใจ ก็เถอะ

      อย่างน้อยๆทุกครั้งที่พี่กำมือ ต่อให้มันแน่นเท่าไร พี่ก็จะได้ไม่เจ็บปวดอีก


      *********************************************

      พอผมอาบน้ำเสร็จ พี่แจจุงก็มองผมอย่างค้อนๆ แล้วหอบข้าวของส่วนตัว เดินกระแทกผมเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ยืนอึ้ง กับความอวดดีของพี่คนนี้จริงๆ

      “ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ คราวนี้” เสียงพี่จุนซูที่กำลังง่วนกับการจัดการขนมบนโต๊ะ ถามผมลอยๆ

      “ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ตัดเล็บให้ แล้วพี่เค้าก็งอนผม...เท่านั้นเอง” ผมนั่งลงข้างๆ เช็ดผมที่เปียกเบาๆ

      “ไม่น่าถาม...ทะเลาะกันเรื่องปัญญาอ่อนอีกแล้ว” พี่จุนซูยิ้มกวนๆ “ ...ดูพักนี้นายเหนื่อยๆ มีอะไรไม่สบายใจบอกฉันได้น่ะ” พูดจบก็ขยำห่อขนมในมือทิ้ง แล้วคว้าถุงใหม่แกะใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆอีกรอบ

      “หืมม์?…”ผมส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงถาม แต่พี่จุนซูกลับมองผมตาแป๋ว หยิบขนมใส่ปาก ไม่เลิก หน้ากล้องอาจจะดูว่าพี่จุนซู คนนี้ น่ารัก แอ๊บแบ๊ว ได้ตลอดเวลา แต่ใครจะรู้ว่าพี่คนนี้ ลองสนใจอะไรแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ เดินหนีไปตัวปลิวได้หรอก พี่แก ต้องเค้นถามจนได้เรื่องก่อนถึงจะปล่อยไป

      เกิดความเงียบในชั่วขณะ...

      “...ทำไมหลายคนถึงได้ทุกใจ และเจ็บปวดกับความรักนักล่ะครับ” ผมเอ่ยเบาๆ “ทั้งๆที่ใครๆก็ว่า..ความรักคือสิ่งสวยงาม.. ทำไมถึงต้องทุกข์เพราะ...รักกันด้วย” ท้ายประโยค เสียงแหบเบาจนแทบขาด

      “นั่นก็เพราะ ทุกคน ต้องการที่จะครอบครอบความรักไว้กับตัว ” พี่จุนซูวางห่อขนมลง หันมาพูดกับผมจริงจัง “ คิดอยากที่จะเป็นเจ้าของไว้แต่เพียงผู้เดียว บางที ถ้าเราหัดเข้าใจกันเสียบ้าง ว่าความรักมีไว้ดูแล ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าของ วันนั้น คนที่เจ็บเพราะรัก คงไม่มี….” มือบาง ออกจะผอมแห้งไปสักหน่อย บีบลงที่มือผมเบาๆ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่แผ่ซ่านอย่างน่าประหลาดใจ “ จำไว้น่ะ ชางมิน ความรักไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเจ้าของ แต่มีไว้เพื่อดูแล…” แล้วพี่จุนซูก็คว้าถุงขนมห่อเดิม เดินจากผมไป

      นั่นสิน่ะ… ไม่จำเป็นต้องครอบครอง แค่เพียงได้มอง ได้ดูแลก็มีความสุข…สุขที่ได้รัก..สุขได้อยู่ข้างๆได้เห็นว่าเค้ามีความสุข…เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ


      นั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่แจจุงออกมาจากห้องน้ำ… ใบหน้าขาว งามราวกับรูปปั้น ยังคงเชิดงอนไม่เลิก… แต่แทนที่ผมจะขยับปากพูด ผมกลับ ส่งยิ้มให้แทน

      ไม่รู้ทำไม บางทีผมก็ว่า การสื่อภาษากายมันง่ายกว่าการขยับปากพูดอีกน่ะ….

      ********************************************************

      พอเราทุกคน ยกเว้นพี่ยุนโฮที่ขอตัวกลับไปก่อน จัดแจงตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจึงเดินทางไปยังร้านที่จองไว้ สำหรับเลี้ยงฉลอง ปิดงานวันนี้ ดูเราทั้งหมด 3 คน มีพี่จุนซูคนเดียว ที่ออกจะดี๊ด๊า เกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า คนที่เพิ่งพูดกับผมไปเมือ่กี้ ใช่พี่จุนซูจริงๆ หรือว่า ผีเข้ากันแน่…คนอะไร บุคลิกจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วราวกับถอดเสื้อผ้าแบบนี้!!

      บรรยากาศภายในร้านครึกครื้นเพราะทีมงานบางคนถือโอกาสนี้ปล่อยแก่กันตามใจชอบ หลายคนจึงต้องคอยหัวเราะท้องขดท้องแข็งไปกับท่าทางแปลกๆ ของบรรดาทีมงานที่เคยเคร่งเครียด แต่บัดนี้กับแตกต่างกันได้อย่างไม่เชื่อ โดยเฉพาะพี่จุนซู ที่ปกติไม่คอยจะดื่มสักเท่าไร แต่วันนี้ดูท่าทางจะกึ่มๆมากเป็นพิเศษ เสียงหัวเราะถึงรวนนัก ลูกคอสะบัด 8 ชั้น ไม่มีใครเทียบทัน เสียงลั่นไปทั่วทั้งร้าน

      ไม่รู้ผมคิดมากไปหรือป่าว ที่สังเกตเห็นร่องรอยความผิดหวังจากสายตาของพี่จุนซู ยามหัวเราะก็ดูสดใสดี แต่พอเงียบไปก็เศร้า ราวกับแบกโลกทั้งโลกไว้คนเดียว..หรือบางทีผมอาจคิดมากไปเอง

      ส่วนอีกคนที่อยู่ข้างๆผม ก็กระดกน้ำใสๆ ในแก้วใบเล็กเข้าปากไม่หยุด ผมมองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ อีกไม่นาน คงได้แปลงร่างจากเทพกลายเป็นซาตานแหงๆ


      “พี่จุนซู…พี่จะอยู่ต่อรึเปล่า ผมจะพาพี่แจจุงกลับบ้านแล้ว” พี่จุนซูหันมามองผมกับพี่แจจุง 2-3 ที ด้วยตาเชื่อมปอย ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

      “ยัง….อ่ะ นายพาพี่แจจุงกลับไปก่อนเลย เดี๋ยวชั้นจะกลับพร้อม ผู้จัดการทีหลังได้” พูดจบพี่ชายตาเชื่องเหมือนแมวก็หันไปดวดเหล้ากับทีมงานต่อ ท่าทางราตรีนี้ของพี่จุนซู คงอีกยาวนานแน่ๆ

      แล้วผมก็คว้ามือพี่แจจุงไว้ เตรียมจะลากออกไปจากร้าน

      “กลับ!?…พี่บอกนายเหรอว่าพี่จะกลับ” พี่แจจุงสะบัดมือทิ้ง ถามผมเคืองๆ

      “ก็ผมเบื่อแล้ว…ไปเถอะครับ” ผมออกแรงฉุดพี่แจจุงลุกขึ้นตามมา

      “ไม่เอาๆๆ ไม่กลับ…ชางมินเปล่าพี่นะ..ปล่อย!!” ให้ตายเถอะ ตัวก็เล็ก บอบบางก็เท่านั้น ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนหนักหนาถึงดิ้นได้ดิ้นดีแบบนี้ เสียงก็ดังโวกเวกวายก็เท่านั้น มือของผมมันกำลังจะหลุด จนต้องเปลี่ยนมาล๊อคเอวไว้แทน

      ตอนนี้ทุกคนในร้านหันมามองเราเป็นตาเดียวกันเลยทีเดียว

      “พี่แจจุงเมาแล้วครับ…ผมพาพี่เค้ากลับก่อนนะครับ..เดี๋ยวพี่เค้าจะอาละวาด” ผมรีบหาข้ออ้าง ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด ยิ่งผมออกแรงลากพี่ไป ร่างบางๆในอ้อมแขนก็ยิ่งดิ้น ยิ่งแผดเสียงโวยวาย จนเหมือนคนเมาแล้วอาละวาดจริงๆ

      เมื่อมาถึงที่รถ

      “ชางมิน…พี่ไม่อยากกลับไป” พี่แจจุงบอกผมเสียงอ่อย

      “ผมรู้ครับ…พี่ขึ้นรถเถอะ” ผมเปิดประตูด้านข้างคนขับให้พี่แจจุง
      ขึ้นไป ดูเหมือนพี่จะจำใจไปเสียมากกว่า แล้วผมก็อ้อมไปนั่งประจำที่คนขับ แล้ว ออกรถ…ขับมุ่งหน้าไปตามเส้นทางคุ้นเคย

      “ชางมิน…ไม่ใช่ทางนี้นี่” พี่แจจุงมองหน้าผมเลิกลั่ก “นายหลงทางรึเปล่า??” ถามย้ำอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้ตอบ พี่แจจุงจึงเลิกถามไปเอง

      ในที่สุด…เราทั้งคู่ก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ผมตั้งใจพามา โรงเรียนเก่าของผมเอง มันอาจจะไม่ใช่สถานที่ สลักสำคัญอะไรนัก แต่ ณ วินาที ที่ตรงนี้ จะเป็นที่ของเราแต่เพียงผู้เดียว ผมอยากให้พี่แจจุงรู้สึก เหมือนอย่างที่ผมรู้สึก

      “ถึงแล้วครับ…ลงเถอะครับพี่” ผมลงมาเปิดประตูให้พี่แจจุงลงมา

      “ไปกันเถอะครับ” ผมจูงมือ พี่แจจุงเข้าไปในโรงเรียน ฝ่ามือขาวๆในมือผม มันเย็นเฉียบจนน่าตกใจ

      ทำยังไง...ถึงจะส่งผ่านความอบอุ่นจากตัวผมไปหาพี่ได้ ผมอยากให้พี่ได้รับไออุ่นจากผมบ้าง มันอาจไม่ใช่ความอบอุ่นอย่างที่พี่ต้องการ แต่มันอาจจะทดแทนความหนาวเย็น ในใจของพี่ได้ แม้เพียงชั่วขณะเดียวก็ยังดี

      “ไม่น่าเชื่อนะครับ…เมื่อปีที่แล้วผมยังเป็นนักเรียน ม. 6 ของที่นี่อยู่เลย…พอกลับมาอีกทีรู้สึกเหมือนผู้บุกลุกเลย” ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆ

      “นี่… เล่นแอบเข้ามาตอนนี้…ยังไงก็บุกลุกแหละ” เสียงหวานกระเซ้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก จนผมอดยิ้มตามไม่ได้

      ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ผมพาคนข้างๆเดินเข้ามากลางสนามฟุตบอลใหญ่…หน้าโรงเรียน สปอร์ตไลท์ 4 เสาข้างสนาม ส่องมาที่กลางสนามเป็นจุดเดียว…

      เราทั้งคู่นั่งลงตรงกลางสนามบอลพอดิบพอดี แสงไฟส่องกระทบร่างเราทั้งคู่ รวมเป็นจุดเดียว

      “พอได้มาอยู่ตรงนี้..รู้สึกเหมือนกับว่า…โลกทั้งโลกเป็นของเรา 2 คนเลยนะ” พี่แจจุงเอนตัวลงนอนไปพื้นสนามหญ้า ตากลมโตเป็นประกาย มองเหม่อขึ้นไปบนฟ้า แสงดาวข้างบน สะท้อนในตาเป็นประกายวิบวับ สุกสกาวกว่าดาวดวงไหน เสียอีก

      ผมละสายตาจากร่างบาง มองขึ้นไปยังฟ้ากว้าง รวบรวมความกล้าทั้งหมดในกายเอ่ยออกมาเป็นคำพูด“อื้อ…เป็นของพี่หมดแหละ…ทั้งสนามบอล ท้องฟ้า และดวงดาว…รวมทั้งผมด้วย”

      ร่างบางที่พื้นลุกขึ้นพรวด! จ้องหน้าผมตาโต พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าทำกับพี่แบบนี้ชางมิน…นายก็รู้ว่าพี่ยังไม่พร้อมที่จะรักใครใหม่” ผมสุดหายใจลึกๆ หันไปเผชิญหน้ากับพี่แจจุงด้วยสีหน้าเรียบที่สุดเท่าที่ผมจะปั้นได้

      หวังว่าผมจะเข้มแข็ง ได้อย่างที่ใจคิดนะ...

      “ผมรู้ดีว่าพี่ยุนโฮ เป็นคนที่พี่เฝ้ามอง…ผมจะไม่ขอให้พี่ละสายตาจากพี่ยุนโฮ หันมามองผม….ผมขอแค่นั่งอยู่ข้างๆพี่….จับมือของพี่เอาไว้ เวลาที่พี่รู้สึกโดดเดี่ยว…ขอแค่พี่ไม่ลืม ว่าผมอยู่ตรงนี้…ผมขอแค่นั้นจะได้รึเปล่า”

      ไม่ได้ครองครอบ แค่ได้ดูแล หวังว่าพี่คงจะเข้าใจน่ะครับ

      “ทำแบบนั้น มันจะเห็นแก่ตัวกับนายเกินไปรึเปล่าชางมิน” พี่แจจุงถามผมเสียงสั่น

      “ถ้าพี่มีความสุขที่ได้มองพี่ยุนโฮ…ผมก็มีความสุขที่ได้อยู่ข้างๆพี่…ถึงแม้จะในฐานะ
      เพื่อนก็ตาม” ผมจับมือพี่แจจุงไว้แน่น

      “’งั้นต่อไปนี้…นายจะเป็นเพื่อนคนสำคัญและเป็นน้องชายที่พี่รักที่สุดเลยชางมิน” ยิ้มสว่าง วาดบนใบหน้าขาว ยิ่งมอง ยิ่งหวั่นไหว

      “แค่นี้…ผมก็ดีใจแล้วครับ” ผมบีบมือพี่แน่นอีก

      ได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ได้บอกกับพี่ ได้อยู่ข้างๆพี่ อย่างที่ผมเฝ้าปรารถนา

      ************************

      เรากลับถึงคอนโด ประมาณ ตี 2 บ้านเงียบ ราวกับไม่มีคนอยู่ พี่แจจุงรีบตรงไปยังห้องพี่ยูชอนทันที หายเงียบไปสักพัก จนผมคิดว่าคงไม่ออกมาแล้ว จึงย้ายตัวเองไปยังห้องนอนของผม จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า จะเข้านอน แต่แล้วก็พบพี่แจจุงยืนพิงประตูห้องนอน นานหลายนาที หลับตาแน่น ราวกับจะปิดกั้นความคิดของตนจากโลกภายนอกทั้งหมด บรรยากาศรอบตัวพี่ มันช่างน่าหดหู่ ไม่รู้ว่าพี่ไปเจอภาพบาดตา บาดใจอะไรมาก แต่เห็นเพียงแค่นี้ ผมก็รู้สึกเจ็บแทน หากเป็นไปได้ ผมอยากเป็นคนเจ็บเสียเอง

      พี่แจจุงนิ่งอยู่อย่างนั้นนานมาก จนผมใจหาย ผมจึงต้องเดินเข้าๆไปหา กดทาบฝ่ามือตัวเองลงบนมือขาว ส่งผ่านความอบอุ่น ไปให้อีกครั้ง หวังว่าพี่จะรับมันได้


      “ชางมิน…ยังไม่นอนเหรอ” ร่างบางเงยหนาขึ้นถามผมด้วยด้วยรอยยิ้ม แต่ทว่า ใบหน้างดงามนั้นกลับอาบน้ำตา มันเป็นภาพที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น ผมตกใจจนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ได้แต่บีบมือนั่นเบาๆ และก็คล้ายกับว่า เส้นความอดทนของพี่แจจุงได้ขาดลงทันที พี่แจจุงปล่อยโฮออกมายกใหญ่ เสียงสะอึกสะอื้น หอบสั่น ราวกับเด็กก็ไม่ปาน ยิ่งดูก็ยิ่งน่าสงสาร

      เพิ่งได้เห็นกับตาตัวเองว่า...เจ็บเพราะอยากครอบครอง มันทรมานขนาดไหน

      เสียงสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่คว้าตัวพี่เข้ามากอดไว้อย่างนั้น เนิ่นนานกว่าแรงสั่นในอก จะหยุดลง พี่แจจุงดันตัวออกจากอ้อมกอดของผมในที่สุด



      “ขอโทษนะ...ที่ทำตัวน่าสมเพสแบบนี้...พี่ไม่ควรอ่อนแอแบบนี้ใช่ไม๊” ร่างบางยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตา

      “การที่เราร้องไห้ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนอ่อนแอนะครับ...แค่เป็นการระบายความรู้สึกเจ็บปวดอย่างนึงเท่านั้นเอง” ผมยิ้มตอบ แล้วยกมือขึ้นขยี้ผมเบาๆ

      “อ๊ะ...ไอ้นี่..ลาม ชั้นเป็นพี่แกนะ มาเล่นหัวกันแบบนี้ได้ไง” พี่แจจุงแขว่ะ ให้สักที

      และเรื่องราววันนั้นก็จบลงด้วยการทะเลาะของเราทั้งสอง ผมไม่คิดจะรื้อฟื้น ถามถึงสาเหตุแห่งน้ำตามากมายเหล่านั้น ผมไม่อยากรู้ว่าอะไรทำให้หน้าสวยๆ ต้องเปื้อนน้ำตา ผมรู้แค่เพียงว่า อย่างน้อยๆ วันนี้ผมก็ได้ทำให้คนที่ผมรัก ก้าวผ่านช่วงเวลาเจ็บปวดได้อย่างไม่ลำบากนัก และหากนั่นคือความรัก อย่างที่พี่จุนซูบอก ผมก็คงเข้าใจแล้วล่ะ ความสุขอย่างที่จุนซูบอก มันหมายถึงอะไร

      ท้ายที่สุด ผมก็ต้องหอบหมอนกับผ้าห่มตามมานอนกับพี่แจจุงที่ห้องยุนโฮเป็นการชั่วคราว 1 คืน ทีแรกผมตั้งใจว่า จะนอนที่พื้นแต่พี่แจจุงกลับทำหน้างองอดบอกว่า ‘รังเกียจรึไง ถึงไม่อยากนอนด้วยกัน’ ผมเกือบจะหลุดปากบอกออกไปแล้วเชียว ว่า ‘เตียงเดี่ยวแบบนี้จะนอนยังไงกันไหว’ แต่พอเห็นน้ำพี่แจจุงนั่งมองน้ำตาคลอเบ้า ก็ปิดปากสนิท ปีนขึ้นไปนอนแต่โดยดี เบียดกันสักหน่อย แต่พี่แจจุงสบายใจ อะไรก็ดีทั้งนั้นล่ะ

      ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลง ร่างบางข้างๆ ดิ้นยุกยิกๆ ขดตัวราวกับลูกแมว เบียดตัวเข้ามาใกล้ หวังจะหาไออุ่น ผมมองยิ้มๆ พลางเอื้อมมือจะเปิดไฟดวงเล็กๆที่หัวเตียง เพื่อหารีโมทแอร์ แต่จู่ๆเจ้าลุกแมวตัวบางก็พลิกตัวมา นอนทับแขนพอดี จะดึงออกก็เดี๋ยวจะตื่น จึงต้องปล่อยไว้อย่างนั้น

      พอได้มองใกล้ๆแบบนี้ แม้ภายในห้องจะมืด แต่แสงสลัวจากดวงจันทร์ก็สะท้อนดวงหน้าขาวชัดเจน ดวงตากลมโตปิดสนิท ขนตายาวเป็นแพระยับด้วยหยาดน้ำตาที่เกาะค้างอยู่ จมูกโด่งเป็นสันคม อีกทั้งแก้มนวลเนียน ....สวย...จนผมห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ ยกมืออีกข้างแตะเบาๆที่แก้มขาวๆ พวงแก้มยุ้ยๆ นิ่มมือ ลากไล้สัมผัสเบาๆที่ปลายจมูก แล้วยกมือขึ้นเกลี่ยผมปรกหน้าออก ทาบจูบเบาๆที่หน้าผาก...

      หวังว่าพี่คงฝันดีนะครับ...


      *******
      รุ่งเช้า

      ผมตื่นมาด้วยอาการหนักๆ ที่ซีกซ้าย พอลืมตาขึ้นมา ก็พบ หัวกลมของพี่แจจุงยังทับอยู่ที่แขนผม ผมพยายามกระดิกนิ้วข้างซ้าย แต่ว่ามันนิ่งสนิท...ไม่ได้การแล้วหากปล่อยไว้แบบนี้ ผมคงถูกตัดแขนซ้ายทิ้ง เพราะเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่พอแน่ๆ คงต้องหาวิธีอะไรสักอย่าง

      “ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป…ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ…อยากจะดีใจที่ได้เป็นคนสำคัญของเธ
      อ…สุดท้ายก็ยังต้องทุกข์ใจเสมอ…เพราะรักเธอข้างเดียว…โว๊!! เย๊!! อ๊ากกกกก!! ” ผมปีนคีย์อย่างสุดกำลัง และก็ได้ผลเมื่อพี่แจจุงพลิกตัวหนีไปอีกด้าน


      “ชางมินน่าาาา…จะมาปีนคีย์อะไรตอนเช้ามืดนี่เนี่ยย…” พูดจบก็ลุกขึ้นมานั่ง ทั้งที่ยังไม่ลืมตา

      “ก็อยากเพลงของคนอื่น ด้วยคีย์ของตัวเองบ้างนี่ฮะ” ผมลุกขึ้นมาค่อยลากแขนไร้เรี่ยวข้างนั้นขึ้นมา แล้วทุบเป็นการใหญ่ เพื่อกระตุ้นหลอดเลือดให้ทำงาน

      “เออ แล้วทำไมต้องอยากจะมาร้องตอนเช้ามืดนี่ด้วยนะ…. แล้วเมื่อคืนไปนอนทับแขนของตัวเองเข้ารึไงกัน…ถึงได้ทุบแขนตัวเองเป็นบ้าเป็นหลังขนา
      ดนั้น….” พี่แจจุงขยี้หูขยี้ตาเป็นการใหญ่

      “ก็ทำนองนั้น…โดนนอนทับน่ะครับ...อ๊ะ อ้อ…ผมจะไปดูจุนซูที่ห้องหน่อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนกลับมาตอนไหน” ผมตอบข้ามๆไป แล้วลุกขึ้นดูพี่จุนซูที่ห้อง โดยที่ผมยังทุบแขนซ้ายเป็นบ้าเป็นหลังไปตลอดทาง

      พอถึงที่ห้องก็พบสภาพพี่จุนซู นอนกลับหัวกลับหางไม่เป็นท่า ท่าทางคงจะเมาแพร๊ด! มาแน่ๆ ทีแรกตั้งใจจะปลุก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าการปลุกพี่จุนซูตอนแฮงค์จะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ถอยกรูด ออกมาทันที ไม่ใช่ว่าผมกลัวพี่น่ะ แต่ว่าผมไม่เสี่ยงเอาชีวิตอันมีค่าไปเสี่ยงกับเสียงหวีดร้องโหยหวนของโลมาหรอก จริงมั้ย !!...แต่แล้วผมก็ต้องสะดุดตากับ สมุดสีดำเล่มหนาคุ้นตาที่รองหัวพี่จุนซูอยู่ เมื่อยื่นหน้าไปใกล้ๆ ก็พบว่า มันคือสมุดไดอารี่ของผมเอง....

      “เฮ๊ย!!” ผมร้องเสียงหลง กระชากไดอารี่เล่มนั้นออกมาสุดแรง จนหัวพี่จุนซูหล่นปั๊ก! กระแทกขอบไม้ตรงปลายเตียงพอดี

      “อ๊า!!!.....” ไม่ใช่เสียงโลมา แต่เป็นเสียงพี่จุนซู ร้องลั่น กุมหัวไว้แน่น “ ใครว๊ะ!!” ถามอย่างโมโห ลืมตาข้างเดียวมองตาลอยๆ

      “พี่...เอาไดอารี่ผมไปรองแทนหมอนได้ไง...ดูเด๊!..คราบน้ำลายเยิ้มเลย” ผมชักยั๊ว

      “ ก็หาหมอนไม่เจอ..ไม่รู้ใครเอาไปไหนนี่หว่า...แล้วบังเอิญไปเห็นว่ามันหนาดี เลยยืมมาหนุนหน่อย...” ให้ตายเถอะ...ไอ้ผมก็ลืมนึกไปเลยว่าเอาหมอนออกมาหมด พี่จุนซูกลับมาจะเอาอะไรหนุน

      “แต่ก็นั่นหล่ะ...อย่างอื่นมีเป็น 10 อย่าง จะเอามาทำหมอน ทำไมต้องเอาไดอารี่คนอื่นมาหนุนด้วย” ผมย้อนถาม

      “คนอื่นที่ไหน...ของนายต่างหาก” พี่จุนซุหาวหวอด...แล้วซุกหัวลงกับผ้าห่ม ทำท่าจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ

      “...อย่ามายียวนน่ะพี่...ตื่นๆ...มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” ไม่ประโยชน์ เพราะโลมาเปี๊ยก กรนค่อกฟี้!!...ไปเรียบร้อยแล้ว...แต่เอาเถอะ...ผมเองก็ผิดที่นึกไม่ถึง...

      แล้วผมก็หยิบทิชชู่มาซับคราบน้ำลายที่ปกออก... แล้วก็เปิดข้างในสำรวจอีกครั้ง แต่ผมต้องสะดุดกับลายมือคุ้นๆตา ที่กระดาษแผ่นต่อจากที่ผมเขียนไว้ล่าสุด...

      ‘นายยังโชคดีกว่าใครอีกหลายคน ที่มีโอกาสได้แสดงตัวกับคนที่นายรัก ได้ส่งผ่านความรู้สึกต่างๆมากมาย ไปถึงเค้าว่านายรัก และห่วงเค้าแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆเค้าในฐานะของคนรัก แต่ในฐานะคนที่ได้รักก็ถือว่า นายเป็นคนที่น่าอิจฉาคนหนึ่งแล้วรู้มั้ย

      และถ้านายยังเห็นว่านี่คือความโชคร้าย ความเจ็บปวดแล้วล่ะก็ ขอให้รู้ไว้เลย นายเจ็บไม่ถึงครึ่งของคนบางคนหรอกนะ…

      สู้ต่อไปน่ะ...

      พี่โลมาน้อยของนาย…’


      ผมปิดไดอารี่ลง ด้วยความงุนงง... หันไปมองพี่จุนซูที่หลับตาพริ้มบนเตียงแล้วหันกลับมามองไดอารี่ในมืออีกรอบ...

      “ ย๊ากกกกก....พี่จุนซูทำแบบนี้ได้ไง....ทำน้ำลายเปียกไดอารี่ผม แล้วยังแอบอ่านไดอารี่ผมอีก... ไอ้โลมาน้อย ตายเสียเถอะ...” ผมกระโดดทิ้งตัวลงบนพี่จุนซู สุดแรง ได้ยินเสียงอั่ก! กร๊อบ! อยู่ใต้ผ้าห่ม ตามด้วยเสียงงู้งี้ ๆ...อะไรไม่รู้อีกหลายคำ...แต่ผมไม่ฟัง ยังคงกระหน่ำ ประเคนศิลปะมวยไทยให้ไปอีกหลายดอก

      ผมไม่รู้ว่า คนอีกหลายคน ที่พี่จุนซูบอกหมายถึงใครบ้าง แต่ผมมั่นใจว่า 1 ในนั่น คงหมายรวมถึง ตัวเค้าเองไว้ด้วยเป็นแน่ และบางที ในช่วงเวลาที่เราท้อใจ การที่ได้รับกำลังใจจากที่คนที่ทุกข์มากกว่า มันก็ช่วยเราได้เยอะ...ขอบคุณนะครับพี่จุนซู

      พออาบน้ำอาบท่าเสร็จเราทุกคน ยกเว้นพี่ยูชอนก็ไปรวมกันที่ โต๊ะอาหาร แล้วก็เหมือนเช่นทุกวัน ที่จะต้องเกิดสงครามแย่งไก่กันระหว่าง พี่จุนซูกับผม แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมสงสัย ว่าคนที่เขียนไดอารี่ให้กำลังใจผมเมื่อกี้ เป็นพี่จุนซูจริงรึป่าว เพราะคนที่กำลังหน้างอ แต่ก็ยังเคี้ยวไก่ทอดในปากตุ้ยๆ ไม่บ่งบอกอาการเสียใจเลยสักนิด...ตอนนี้ผมชักเชื่อสนิทใจแล้วว่า พี่จุนซูคนนี้ แอ๊บแบ๊ว ได้เนียนนัก


      *******
      ระหว่างพักทานข้าวพี่สาว ที่เป็นสต๊าฟก็เดินเข้ามาคุยกับผมอยู่พักใหญ่ๆ เรื่องจะพาลูกเข้าโรงเรียนเดียวกับที่ผมเคยเรียนอยู่ จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ผมก็เลยแนะนำไปคร่าวๆ ว่าคงจอต้องทำอย่างไรบ้าง ระหว่างนั้นเองผมเห็นพี่แจจุงเดินไปผู้จัดการ คุยอะไรบ้างอย่างหน้าตาเครียดเชียว พอพี่สต๊าฟขอตัวไป ผมจึงเดินไปหาพี่แจจุง


      “พี่ไปบอกอะไรเกี่ยวกับพี่ยุนโฮ พี่ยูชอน กับผู้จัดการเหรอครับ” ผมถามอย่างกังวล

      “คุยกับ พี่สตาฟเสร็จแล้วเหรอ” พี่แจจุงไม่ตอบ แต่หันมาถามผมค้อนๆ

      “อ๋อ...พี่เค้าถามผมเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมน่ะครับ ปีหน้าลูกชายพี่เค้าจะสอบเข้าที่นั่น เห็นแบบนั้นมีลูกโตแล้วนะครับไม่น่าเชื่อเลย…ว่าแต่พี่เถอะ คุยอะไรกับผู้จัดการเหรอครับ” ผมตอบไปตามความจริง แม้จะสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อยว่า รู้ได้ไงว่าผมคุยกับพี่สต๊าฟ

      “เพื่อยุนโฮ…คนอย่างพี่น่ะทำได้ทุกอย่างแหละ” ไม่รู้ว่าผมเข้าข้างตัวเองไปหรือป่าว เพราะดูเหมือนพี่แจจุงจะพอใจกับคำถามของผมอยู่ไม่น้อย

      “ผมไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนแบบนั้นหรอก…ผมแค่อยากรู้ว่าพี่โอเคไม๊ เท่านั้นเอง” ผมเอื้อมจับบ่าเล็กๆไว้

      “พี่โอเค…พี่สบายดี นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…แต่บ่ายนี้ เรา 3 คนคงต้องเหนื่อยกันหน่อยนะ…เพราะพี่บอกผู้จัดการไปว่ายุนโฮป่วย เพราะติดไข้จากยูชอน…ถ้าไม่ให้พัก อาการอาจจะหนักกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้” ตาแป๋วมองขึ้นสบตาผม แล้ววาดยิ้มสวยระบายบนหน้า รอยยิ้มหวานๆที่ผมไม่ค่อยเห็นสักเท่าไร

      “ไม่ต้องฝืนยิ้มหรอกครับ…เวลาที่พี่อยู่กับผม…พี่จะพูดถึงพี่ยุนโฮ ยังไงก็ได้ ผมจะรับฟังพี่เอง” ผมบอก

      “เอาเถอะ ไม่เชื่อก็ตามใจ…พี่ไปซับหน้าใหม่ก่อนดีกว่า…เดี๋ยวถ่ายจริงหน้าจะมัน” พี่แจจุงพูดจบก็หันหลังขวับ เดินหนีไปทันที ไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้พี่ขัดใจอีกรึป่าว รอยยิ้มหวานเมื่อกี้จึงหายไปรวดเร็วนัก

      บางทีผมชักน้อยใจ เพราะทำดีไปเท่าไร พี่ก็ไม่เคยเห็นค่ามันสักที เพราะดูเหมือนพี่จะอึดอัดใจเวลาที่มองหน้าผม

      ***************
      *********

      คืนนั้น…

      เราทั้ง 3 คนกลับไปถึงคอนโด เมื่อเลย 4 ทุ่มไปเล็กน้อย

      “คืนนี้…นายจะนอนที่ห้องพี่ยุนโฮอีกรึเปล่า..??” พี่จุนซูชางมินระหว่างที่กำลังเดินไปที่ห้อง …

      “เอ่อ…” ผมลังเล หันกลับไปมองพี่แจจุงขอคำตอบ

      “นายนอนคนเดียวได้ใช่ไม๊ล่ะ..จุนซู” พี่แจจุงถามกลับ

      “ได้สิ…พี่แจจุง ดีแล้วหล่ะ ชางมินน่ะชอบละเมอมาต่อยผม…ว่าแต่ห้องพี่ยุนโฮเป็นเตียงเดี่ยว พี่นอนกันเข้าไปได้ยังไงกัน”

      “ได้สิ…พื้นข้างเตียงออกจะกว้าง^^ ” ผมเหวอทันที หมายความว่าจะให้ผมนอนข้างเตียงจริงๆเหรอ

      ทันใดนั้น!! ประตูห้องพี่ยูชอนก็เปิดออกทันที พี่ยุนโฮออกมาด้วยสภาพเสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิง

      “แจจุง…ชั้นมีอะไรจะบอก…มากับชั้นหน่อยสิ” พี่ยุนโฮจับแขนพี่แจจุงหมั่บ! กำลังจะลากไปหาที่คุย แต่แล้วพี่จุนซุก็โพล้งขึ้นมาก่อน

      “คงไม่ใช่ เรื่องที่พี่ กับยูชอน ตกลงคบกันแล้วหรอกนะฮะ…” พระเจ้า !! พี่จุนซู ก็คือพี่จุนซูวันยังค่ำ จะอ้อมค้อมกว่านี่อีกสักหน่อยเป็นไม่ได้ ผมหันไปมองหน้าพี่ยุนโฮตาเหลือก สำหรับกับมองหน้าพี่แจจุงที่ยืนซีดอยู่ตรงนั้นอย่างสงสาร

      “นะ…นายรู้ได้ยังไง…จุนซู” พี่ยุนโฮถามหน้าแดงกล่ำ มือไม้ตะบิดตะบวย ด้วยอาการเขินหนัก

      ผมมองพี่แจจุงด้วยความสงสารจับใจ อยากจะพาพี่ออกไปจากตรงนี้เสียวินาทีนี้ ถ้ามีติดว่ามีพี่ยุนโฮกับพี่จุนซูยืนขวางอยู่

      “ถ้าเรื่องที่พี่ 2 คนชอบกัน ผมรู้นานแล้วฮะ…แต่เรื่องที่ตกลงคบกันแล้ว ผมสังเกตจากผมยุ่งเหยิง กะเสื้อผ้ายับๆของพี่ตอนเดินออกมาจากห้องของยูชอนครับ….” เสียงแจ้วๆของพี่จุนซุตอบได้เป็นฉากๆ ซะจน พี่ยุนโฮยิ่งหน้าแดง คอแดง ตัวแดงไปใหญ่

      “อ่ะ…ไอ้เด็กแก่แดดดด….” พี่ยุนโฮพูดตะกุกตะกัก วิ่งไล่พี่จุนซูที่หนีไปก่อนหน้าแล้ว
      “อ๊ากก….ก็มันเรื่องจริงนี่…พี่ยุนโฮจะโกรธทำไมเล่า” พี่จุนซูพูดไป แล้ววิ่งเข้าห้องนอน ล๊อกประตูอย่างรวดเร็ว

      “เปิดนะจุนซู…ออกมาให้พ่อเตะสกัดความแก่แดดซักป้าบมา!!” พี่ยุนโฮทุบประตูไม่ยั้ง..

      “ใครจะออกไปให้โง่ล่ะ…พี่กลับไปต่อกับพี่ยูชอนให้เสร็จเถอะ…อารมณ์ค้างแล้วมาลงที่ผม
      ” เสียงเถียงตบโต้ดังออกมาจากอีกฝั่งของประตู…ผมสังเกตุเห็นว่าหูของพี่ยุนโฮแดงขึ้นเร
      ื่อยๆ…

      “อ๊ากก ไอ้เด็กบ้า อย่าออกมาให้เห็นนะ…พ่อจะฆ่าให้ตายคามือเลย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็เห็นว่าแอบยิ้มอยู่


      ผมเดินเข้าไปหาพี่แจจุง โอบไหล่บางไว้เบา ร่างบางในอ้อมกอด เงยหน้าขึ้นมองผม ผมฝืนยิ้มให้บางๆ แล้วพาพี่แจจุงเข้าไปในห้อง แล้วล๊อกประตู บางทีที่พี่แจจุงอาจจะอยากร้องไห้ก็ได้

      “พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไม๊ครับ…ถึงยังไงพี่ก็ยังมีผม” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

      “พี่ไม่เป็นไรหรอกชางมิน…บอกตรงๆว่าตอนนี้ะรู้สึกโล่ง…และรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” พี่แจจุงตอบ พร้อมกับเอื้อมมาจับมือของผมไว้เบาๆ “ก็อย่างที่ชางมินบอก…พี่ไม่เป็นอะไร ก็คงเป็นเพราะพี่มีชางมินอยู่….พี่ต้องขอบใจชางมินนะ ที่คอยอยู่ข้างๆ และทำให้พี่ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วใครที่สำคัญกับพี่มากที่สุด”

      “พี่ยุนโฮน่ะเหรอครับ” ผมถามเบาๆ แม้จะรู้ดีในคำตอบ แต่ปากเจ้ากรรมก็ยังหาเรื่องให้เจ็บเนื้อไม่เลิกลา

      พี่แจจุงไม่พูดอะไรต่อ แต่ส่ายหัวเบาๆ เอื้อมมือมาสัมผัสผิวแก้มผมแทนคำคอบ

      “เป็นผม…เหรอครับ” บางทีผมอาจจะคิดไปเอง หรือไม่พี่แจจุงก็ล้อเล่น จึงต้องถามย้ำอีกสักที

      “ที่ผ่านมา พี่แค่กลัวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับยุนโฮมันจะเปลี่ยนไป…ยุนโฮจะให้ความสำคัญกับพี่น้อยลง…แต่วันนี้พี่รู้แล้วว่ามันแทนกันไม่ได้…ยุนโฮ ยังคงวิ่งมาเพื่อที่จะบอกพี่เป็นคนแรก ว่าเค้าตกลงที่จะคบกับยูชอนแล้วเค้ายังคงให้ความสำคัญกับพี่ในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด…ตัวพี่เองในขณะที่ชางมินมีความสำคัญกับ พี่มากขึ้นเรื่อยๆ…พี่หาเรื่องแกล้งนายเพือที่จะได้คุยกับนาย และอยู่ใกล้ๆนาย ทุกๆวันพี่เอาแต่คิดถึงเรื่องของนายโดยไม่รู้ตัว แต่ยุนโฮก็ยังคงเป็นเพื่อนคนสำคัญของพี่ที่สุดเหมือนเดิม…”

      ได้ฟังเต็มๆแล้วก็ยังอึ้งอยู่ดี ผมไม่เคยรู้ว่า สำหรับบางคนความรักมันจะซับซ้อนถึงเพียงนี้ สำหรับตัวผมแล้ว รักก็คือรัก... ไม่อาจเปลี่ยนเป็นความหวงแหน หรือ หึงหวงไปได้ เพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ตัวว่ารัก จะไม่ครองครอบ แต่ดูแลและรักษาไว้เท่านั้น...



      “พี่ไม่ได้รักพี่ยุนโฮเหรอครับ?” ผมจับมือพี่แจจุงไว้แน่น

      “ก็คงงั้น” ร่างบางก้มหน้าตอบอายๆ

      “แล้วพี่รักผมรึเปล่า?” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด

      “ก็คงงั้น” ดูเหมือนพี่แจจุงจะอายจนไม่กล้าสบตาผม

      “ผมจูบพี่ได้ไม๊ครับ…” ไม่รอคำตอบให้เสียเวลา ผมเชยคางพี่ขึ้นมาแล้วทาบความนุ่มนวล อย่างอ่อนโยนให้แทนความรู้สึก แทนคำพูดอีกนับพันคำ ที่ผมอยากบอกออกไป มันคงจะดี ถ้าความรู้สึกเหล่านั้น มันสามารถ สื่อไปได้ด้วยจูบนี้เพียงจูบเดียว

      จูบที่ไม่ใช่ด้วยตัณหา ความอยาก แต่เป็นดั่งสาร ที่สื่อถึงความรัก ความห่วงใยทั้งหมดที่มีให้เพียงคนๆเดียว ...

      สำหรับผม แล้วไม่ว่า จะอยู่ในสถานะใด ผมก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆ พี่เสมอ ... และตลอดไป

      Love is ‘ beside ’ you… now and forever…

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×