[SF] Invert My heart will go on....(The End) (tvxq-yaoi) - [SF] Invert My heart will go on....(The End) (tvxq-yaoi) นิยาย [SF] Invert My heart will go on....(The End) (tvxq-yaoi) : Dek-D.com - Writer

    [SF] Invert My heart will go on....(The End) (tvxq-yaoi)

    หัวใจของผมมันเหน็บหนาวเหลือเกิน...จนถึงตอนที่ผมได้ให้ความอบอุ่นกับคุณแบบนี้ ผมให้ความอบอุ่นแก่คุณ แต่หัวใจของผมเองกลับอุ่นขึ้น...คุณว่ามันแปลกไม๊

    ผู้เข้าชมรวม

    1,982

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    1.98K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 มิ.ย. 50 / 10:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ป้าคนแต่งขอเมาส์ค่ะ!

      มาต่อ ตอน INVERT แบบรวดเร็วทันใจเลยอ่ะน่ะ........
      ขอบอกไว้นิดน่ะค่ะ ตอนนี้ป้าไม่ได้แต่ง แต่ป้าเอมี่ เป็นแต่งค่ะ....งานนี้เป็นการร่วมทุนสร้าง (อลังการไปนิดมั้งค๊ะ...5555) ค่ะ....เอิ๊ก....เอิ๊ก...

      เนื้อหารวมๆ จะเป็นความรูสึกนึกคิดของอีกฝ่ายหนึ่งค่ะ

      ถ้าใครยังไม่อ่านตอนแรก ก็ขอเชิญไปอ่านได้น่ะค๊ะ....ทางทีดีควรอ่านตอนแรกก่อนค่ะ....จะได้ทราบซึ้งค่ะ....อิอิ

      เหมือนเดิมค่ะ...ใครชอบไม่ชอบยังไง...ก็บอกมาได้เลยน่ะค๊ะ....ป้าจะรับฝาก ไปบอกป้าเอมี่ อีกทีค่ะ.......อิอิ

      เอาล่ะ...ขอเชิญอ่านได้ตามอัธยาศัยค่ะ





      **********************************

      "
      พ่อของลูก...ชิม คังมิน...ไปหาพ่อที่โซล" คำพูดสุดท้ายของแม่ที่ทิ้งเอาไว้พร้อมกับรูปถ่ายเก่าๆของผู้ชายคนหนึ่ง ที่แม่บอกว่าเป็นพ่อของผม ทำให้ผมต้องเดินทางจากบ้านเกิดมาที่เมืองใหญ่แห่งนี้ เพื่อพบหน้าพ่อแท้ๆของผม ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่เคยเห็นหน้าพ่อมาก่อน

      ตอนเล็กๆร่างกายของผมค่อนข้างอ่อนแอ แม้แต่หมอเองยังแปลกใจที่ผมสามารถผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ คงเป็นเพราะหัวใจของผมไม่เคยที่จะยอมแพ้ต่อความอ่อนแอของตัวเอง

      พ่อเข้าเมืองหลวงไปทำงานตั้งแต่ผมยังแบเบาะ และไม่เคยกลับมาอีก แต่พ่อก็ส่งเงินกลับมามิได้ขาด ผมก้มดูรูปภาพในมือซึ่งมองเผินๆก็เป็นรูปถ่ายของผมนี่แหละ

      "ลูกเป็นเหมือนเงาของพ่อ...แม่ไม่เคยคิดว่าพ่อจากไปไหน เพราะมีลูกอยู่ข้างๆ"
      ผมเพิ่งเข้าใจคำพูดของแม่เมื่อได้เห็นรูปใบนี้ เพราะผมหน้าเหมือนพ่อราวกับถอดพิมพ์ออกมา แต่ตอนนี้มันก็ 18 ปีผ่านมาแล้ว รูปร่างหน้าตาของผู้ชายในภาพจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผมก็ไม่สามารถทราบได้

      เมื่อหลายปีก่อน ผมเขียนจดหมายไปหาพ่อ บอกว่าผมแข็งแรงดีแล้ว อยากให้พ่อกลับมาอยู่ด้วยกัน พ่อไม่จำเป็นต้องเหนื่อยยากหาเงินมากมายขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว


      แต่พ่อกลับตอบกลับมาแค่สั้นๆว่า พ่อยังไม่สามารถจะกลับมาได้ เพราะพ่อยังมีคนที่ต้องดูแล


      แม่รอคอยพ่อจนวินาทีสุดท้าย ในที่สุดพ่อก็ไม่ได้กลับมา...ที่จริงผมเองก็ไม่ได้อยากจะพบพ่อมากมายอะไรนักหรอก...ผมอยู่มาได้ทุกวันนี้โดยที่ไม่เคยเห็นหน้าพ่อซักครั้ง พ่อเองก็คงไม่ได้อยากจะเจอหหน้าผมซักเท่าไรกระมัง เพราะไม่เคยมาเยี่ยมซักครั้ง...

      จดหมายก็มีมาบ้างนานๆครั้ง นี่ถ้าไม่ใช่คำสั่งเสียของแม่ผมคงอยู่ของผมไปแบบนี้จนกว่าจะหมดเวลาล่ะนะ....เอาหล่ะ ถ้าเจอตัวเป็นๆก็จะขอบคุณซะหน่อยที่อุตส่าห์ทิ้งครอบครัวไปทำงานหาเงินมาให้ใช้.....(ผมไม่ได้กำลังโกรธพ่อใช่ไม๊เนี่ย..)

      ผมเดินทางครั้งนี้...นอกจากอยากจะพบพ่อแล้ว ผมก็อยากจะเห็นว่าใครกัน ที่พ่อของผมจะต้องดูแล คนที่ทำให้พ่อไม่สามารถกลับไปหาแม่ได้....

      'ชิม คังมิน
      XX/X KIM VILL 12-160' จดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อเขียนมาเมื่อ 2 ปีที่แล้วระบุที่อยู่เอาไว้อย่างนี้ ผมไม่มีทางเลือกอื่นใด นี่เป็นเบาะแสเดียวที่ผมมี


      "ที่นี่สินะ..."
      ผมยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังใหญ่ หรูหรา ที่นี่เองที่ถูกระบุไว้ในจดหมาย พ่อของผมอยู่ที่นี่จริงๆหรือ??


      รถคันใหญ่ วิ่งเข้ามาเทียบที่ประตูหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว ผมเลี่ยงออกมายืนข้างๆโดยไม่ให้ผิดสังเกต ประตูรั้วบานใหญ่เปิดออกโดยอัตโนมัติ ผมมองตามรถคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวเข้าไปในบ้านก่อนที่ประตูจะปิดลง เมื่อรถหยุดลง


      ชายวัยกลางคน คนหนึ่งลงมาจากรถทางประตูหน้าข้างๆคนขับ และกุลีกุจอเดินมาเปิดประตูรถรับคนร่างเล็ก ที่นั่งอยู่เบาะหลังลงจากรถ ดูแล้วคงอายุไม่ต่างจาผมมากนัก เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองสมัยเด็ก คนๆนั้นคงจะอ่อนแอมากๆ มองจากที่ไกลๆยังรู้เลยว่าไม่ค่อยแข็งแรง

      ตัวผมเองนั้น...ถึงแม้ตอนเล็กๆร่างกายจะอ่อนแอมากๆ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังดีใจที่ตอนนี้สามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้จนถึงวินาทีสุดท้าย


      ผมยังคงแข็งแรง สามารถวิ่ง และทำอะไรอย่างที่อยากทำได้ ผมมองเด็กคนนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร

      วันนั้น แค่ถ้าผมเดินเข้าไปกดออด แล้วถามว่า ขอโทษครับ รู้จักคนชื่อ ชิมคังมินไม๊ครับ บางทีชีวิตผมอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนี้ก็ได้ หัวใจของผมมันคงหยุดเต้นไปนานแล้ว มันคงเป็นพรหมลิขิต….

      ผมวนเวียนอยู่ที่แถวนั้นอยู่หลายวัน ผมเอากีร์ต้าคู่ใจไปเล่น ร้อง ที่สวนสาธารณะทุกวัน เพื่อคร่าเวลา ตอนนี้ผมคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน บ้านหลังนั้น มันยิ่งใหญ่เสียจนผมรู้สึกกลัว รู้ตัวอีกทีตอนนี้ผมก็กลายเป็นศิลปินประจำสวนสาธารณะแห่งนั้นไปซะแล้ว มีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาฟังเพลงที่ผมร้อง บางคนก็โยนเศษเหรียญให้เป็นรางวัล ถึงผมจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีคนชอบเพลงของผมนะ มันเป็นเพลงที่แม่ร้องให้ผมฟังตั้งแต่เด็ก

      'แม่ครับ..ช่วยให้ผมได้เจอพ่อเร็วๆได้ไม๊ครับ...ผมจะได้กลับไปบอกแม่ได้ว่าตอนนี้พ่อเป็นยังไงบ้าง...แม่ไม่อยากรู้เหรอครับ…ผมคิดถึงแม่นะครับ แต่อย่าอย่าพาผมไปเร็วนัก' … ผมร้องเพลงไปพลางคิดถึงแม่...ผมอยากเจอพ่อนะแต่ผมจะอยู่ถึงวันนั้นไม๊...ผมจะมีโอกาสได้เห็นอาทิตย์เริ่มต้นวันใหม่อีกซักกี่ครั้ง

      "คุณหนู!....เป็นอะไรไปครับ อาการกำเริบแล้วหรอครับ....เดี๋ยวจะไปเรียกคนขับรถมารับน่ะครับ"
      ผมได้ยินเสียงโวยวายดังจากกลุ่มผู้ฟังนั้น เมื่อผมเงยหน้าขึ้น เด็กผู้ชายคนที่ผมเห็นวันนั้นยืนอยู่ตรงหน้า ยิ่งเห็นใกล้ๆแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าทะนุถนอม และน่าสงสารเป็นที่สุด

      "เอ่อ.....ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอครับ...คุณพ่อ…." ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ จึงลุกขึ้นและเดินเข้าไปหา เด็กคนนั้นดูท่าทางเหมือนจะล้มลงไปได้ในทุกขณะ

      "แต่คุณดูหน้าซีดๆน่ะครับ…มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ" ผมถามคนร่างเล็กออกไป ไม่รู้สิ..เห็นคนๆนี้แล้วรู้สึกอยากที่จะปกป้องจัง


      แล้วแล้วร่างเล็กก็ทรุดฮวบลงทันที โชคดีที่ผมยืนอยู่ใกล้ๆแล้วคว้าเอาไว้ทัน

      "คุณหนู!!!" เสียงชายวัยกลางคนที่มาด้วยกัน ตะโกนร้องดังลั่น

      "คุณครับ…รถอยู่ที่ไหนครับ…เดี๋ยวผมจะอุ้มไปส่ง" ผมพยายามที่จะไม่ตกใจ แล้วถามชายคนนั้นออกไป

      "..เอ่อ…ทางนี้ครับ…" ชายกลางคนแหวกทางเพื่อให้ ผมรีบอุ้มร่างบางในอ้อมแขนไปที่รถคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลทันที

      ภายในรถคันหรู ร่างบางยังคงไม่ได้สติ แนบซบอยู่กับอกของผม ชายกลางคนผู้นั้น ซึ่งผมมารู้ภายหลังว่าเป็นพ่อบ้านของตระกูลคิม ผู้คอยดูแลคุณหนูคิม จุนซูคนนี้ บอกว่าถ้าหากให้นอนราบจะทำให้หายใจไม่สะดวก

      "ขอบคุณมากๆนะครับ...ที่กรุณาอุ้มคุณหนูมาส่ง" พ่อบ้านวัยกลางคนเอ่ยคำขอบคุณด้วยเสียงราบเรียบ หากแต่สั่นเครือเล็กน้อย...พ่อบ้านคนนั้นจ้องหน้าผมไม่คลาดสายตา

      'กลัวผมจะทำอะไรเจ้านี่น่ะเหรอ ลำพังตัวผมเองยังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วจะไปทำอะไรใครได้' ผมคิดในใจเมื่อพ่อบ้านยังคงจ้องมองผมไม่เลิก จะว่าไปพ่อบ้านคนนี้ก็หน้าตาคุ้นๆ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

      "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร" แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากตอบ ดูเหมือนร่างบางในอ้อมแขนผมจะเริ่มขยับตัว

      "คุณหนู!…คุณหนูฟื้นแล้ว…โธ่!…คุณหนู…ทำเอาผมใจหายหมดเลย" พ่อบ้านถอนใจอย่างเสียไม่ได้ ที่ได้เห็นเจ้านายน้อยฟื้นขึ้นมา
      "……..ก็แค่เป็นลม….ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย…." ร่างเล็กพยายามจะยันกายลุกขึ้น

      "อุ้ย!!!" เสียงอุทานเล็กๆดังขึ้น เมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่ในอ้อมอกของผม ใบหน้าเล็กๆน่ารักนั้น ทำเอาผมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่เหมือนกัน เมื่อได้อยู่ใกล้ๆกันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

      "หายดีแล้วใช่มั้ยครับ….งั้นก็หมดห่วง…ผมไปก่อนล่ะ…" ผมรีบเปิดประตูลงจากรถมา 'ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย??...ผมน่ะผิวสีน้ำผึ้งนะ..ถ้าหน้าแดงจัดๆก็กลายเป็นช้ำเลืดช้ำหนองน่ะสิ'

      "………" ผมกำลังข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม……….ทันใดนั่น…เสียงเล็กๆแหบเสน่ห์ก็ดังมาจากข้างหลัง...

      "เดี๋ยวก่อนครับ…คุณ" ผมหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียก...เด็กคนนั้นโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถแล้วตะโกนเรียกผม เหมือนเด็กเรียกรถขายไอติมยังไงยังงั้น

      'ให้ตายสิ ยิ่งทำท่าน่ารักแบบนี้แล้ว...ทำให้อดยิ้มให้ไม่ได้จริงๆ'

      "คุณชื่ออะไรครับ…." เจ้าตัวเล็กถามผมด้วยเสียงสั่น..หน้าแดงเป็นลูกตำลึง น่าเอ็นดูดีจริงๆ
      "…ชางมิน…ชิมชางมินครับ…" ผมตะโกนตอบออกไป แล้วยิ้มให้ เพื่อไม่ให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกเขินอายไปกว่านี้.. 'เดี๋ยวจะเป็นลมไปอีก'
      .........................................
      ..................................
      ........................

      "หายไปไหนแล้วล่ะ...." ผมค้นหาทุกซอกทุกมุมที่คิดว่ามันน่าจะตกอยู่แต่ก็ไม่พบ...โอ้..ไม่ ผมทำกระเป๋าสตางค์หายหรือเนี่ย...เรื่องเงินน่ะไม่เท่าไร ผมไปเบิกจากธนาคารได้ แต่ในนั้นมีรูปถ่ายของพ่ออยู่นี่


      ที่พักของผมอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะนั่นมากนัก...ผมเดินกลับไปหามันที่สวนสาธารณะนั่นอีก..แต่จนแล้วจนรอดผมก็หามันไม่พบ...ผมยังไม่หมดหวังหรอก อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าบ้านหลังนั้นอยู่ที่ไหน.....
      ………………………………

      ผมตั้งนาฬิกาเอาไว้ให้ปลุกตั้งแต่ ตี 4 เพื่อที่จะมารู้สึกตัวตื่นเมื่อเลย 8 โมงมาแล้ว...แต่ไม่ใช่เพราะนาฬิกาปลุกหรอก
      "ชางมินๆ ถ้านายยังมีชีวิตอยู่ได้โปรดตื่นเถอะ…ไม่งั้นชั้นจะเอาน้ำร้อนมาลวกไข่นายแล้วนะ" ผมรู้สึกถึงแรงเขย่าที่เกิดขึ้น..มือบางบางจับอยู่ที่ไหล่เมื่อผมค่อยๆลืมตาขึ้น

      "เฮ๊ยย...พี่ เข้ามาได้ยังไง !?" คนที่อยู่ตรงหน้าผมตรงนี้เป็นเพื่อนบ้านของผมเอง พี่ยูชอน

      "ก็ไขกุณแจเข้ามาน่ะสิ...นายให้ไว้ไง...นี่นายตื่นยากขึ้นรึเปล่า หรือว่าไม่สบาย ??" ยูชอนวางมือลงไปในที่ที่คิดว่าน่าจะเป็นหน้าผากของอีกฝ่าย....ยูชอนมองไม่เห็น...

      "ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ..เอาหล่ะ ผมจะไปอาบน้ำแล้ว...วันนี้ผมมีนัด" ผมจับมือของพี่ยูชอนออกจากหน้าผากแล้วลุกขึ้นจากเตียง

      "นัดกับใครล่ะ วันนี้นายต้องไปโรงพยาบาลนะ...ทำไมนายชอบทำให้ชั้นเป็นห่วงอยู่ได้...ชั้นบ่นๆๆจบปากจะห้อยไปถึงหน้าอกแล้ว นายก็ยังทำตัวแบบนี้อยู่ได้..." ยูชอนนั่งบ่นอยู่ที่เตียงมองไม่เห็นว่าชางมินได้เดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว

      เมื่อชางมินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่ายูชอนไม่อยู่แล้ว...บนหัวเตียงมีโน๊ตตัว โย้เย้ ไม่ตรงบรรทัดเขียนเอาไว้

      'ชั้นทำอาหารเช้าไว้ให้นายแล้ว...นายจะมีนัดกับใครชั้นไม่ว่า แต่ต้องไปโรงพยาบาลก่อน
      '

      เมื่อแต่งตัวเสร็จ ผมเดินมาที่โต๊ะ อาหารเช้าที่ว่า มีเพียงโอวัลติน กับขนมปังปิ้ง....มันไม่ใช่อาหารที่ดูน่าทานและอร่อยอะไร แต่ผมก็นั่งลงและทานมันจนหมด

      พี่ยูชอนมองไม่เห็น แต่ก็พยายามทำอาหารพวกนี้ให้ผม...ถึงจะเป็นอาหารง่ายๆสำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ แต่มันคงไม่ง่ายเลย สำหรับคนที่มองไม่เห็นอย่างพี่ยูชอน

      "ขอโทษนะครับพี่…ผมอยากจะดูแลพี่ ตอบแทนที่พี่ดีกับผมมาตลอด เหมือนพี่ชายแท้ๆ...แต่ผมก็ทำไม่ได้"
      ผมพูดกับตัวเอง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา....ผมเกิดมาเพื่ออะไรกัน...มีแต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

      .................................
      .............................
      .......................

      โรงพยาบาล

      "ชางมิน...ช่วงนี้รู้สึกว่าอาการแย่ลงรึเปล่า…" นายแพทย์สูงวัยถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกที

      "ครับ มันยากขึ้นทุกทีจนผมกลัว...มันทำให้ผมแทบจะไม่กล้าหลับตาลง" นับตั้งแต่แม่จากไปลุงหมอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมพอจะเปิดใจด้วยได้ โดยเฉพาะเรื่องโรคที่ผมเป็นอยู่นี้

      "ถึงอย่างนั้น..ก็ห้ามอดนอนนะชางมิน..มันจะทำให้ร่างกายแย่ลงเร็วด้วย...กินยาแล้วใช้ชีวิตไปตามปกติเถอะนะ...หรือจะมาอยู่ที่นี่ล่ะ"


      ลุงหมอยังคงเมตตาต่อผมเหมือนเคย...ตอนนี้ผมก็อยู่ตัวคนเดียว ท่านคงจะเป็นห่วงที่ไม่มีใครดูแลผม

      "ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมครับ...ขอผมจัดการบางเรื่องให้เสร็จก่อน" ผมต้องหาพ่อให้พบก่อน

      "จะไม่ถามหรอกนะว่าเรื่องอะไร...เธอคงมีเหตุผลที่ดีพอ..แต่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ...ถ้ารู้สึกแย่ให้มาหาชั้นทันทีนะรู้ไม๊..แม่ของเธอน่ะ ฝากฝังเธอไว้กับชั้น"

      แค่คำพูดที่แสดงความห่วงไยไม่กี่คำ แค่นี้ก็ทำให้คนตัวคนเดียวอย่างผมรู้สึกดีขึ้นมากๆแล้ว...ผมจะไม่ตามหาความจริงจากคำพูดเหล่านั้นว่ามาจากใจจริงหรือไม่...หากรู้แล้วเจ็บจะรู้ไปทำไม

      "ขอบคุณมากครับ..ผมจะดูแลตัวเองให้ดี" ผมทำความเคารพลุงหมอก่อนที่จะขอตัวออกมา...ยาที่ได้มาก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่...ก็มันทำอะไรไม่ได้ไปกว่านี้แล้วนิ

      ผมตรงกลับมาที่สวนสาธารณะ และมาถึงที่นั่นเมื่อเกือบเที่ยง...ใต้ต้นไม้ เจ้าตัวเล็กกำลังหลับสัปหงกเหมือนลูกหมาหลงทาง


      ผมนั่งลงข้างๆ มองคนที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่ข้างๆ...

      'คนอย่างผม...จะปกป้องใครได้ไม๊นะ...จะทำให้ใครซักคนมีความสุขได้ไม๊ แค่ซักคนก็ยังดี'
      ผมโอบเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดไว้ในอก...

      "ฮืมม" เจ้าตัวเล็กรีบซุกตัวเพื่อหาไออุ่นจากอกผมโดยอัตโนมัติ...และยังคงหลับต่อไป
      ผมกระชับร่างเล็กในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น...เจ้าตัวเล็กนี่ชื่ออะไรผมยังไม่รู้เลย...มันออกจะแปลกๆที่ทำอย่างนี้กับคนที่เจอกันไม่กี่ครั้ง...

      หัวใจของผมมันเหน็บหนาวเหลือเกิน...จนถึงตอนที่ผมได้ให้ความอบอุ่นกับคุณแบบนี้

      ผมให้ความอบอุ่นแก่คุณ แต่หัวใจของผมเองกลับอุ่นขึ้น...คุณว่ามันแปลกไม๊...เจ้าตัวเล็ก ผมยิ้มให้กับคนที่นอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขน

      ผมมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า...ผมกอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้แบบนี้ แล้วคิดถึงแม่จัง....สมัยก่อนแม่ก็มักจะกอดผมเอาไว้แบบนี้แล้ว แล้วร้องเพลงกล่อม...ผมมักจะหลับอยู่ในอ้อมอกแม่แบบนั้นเสมอ ทำนองแบบไหนนะ มันนานจนบางครั้งผมก็ลืมเลือนไป....

      "ลัล ลัล ลา ลา ลา ลา ลา ลัล ลา" แบบนี้รึเปล่านะ ผมฮัมเพลงเบาๆ ใช่แล้วแบบนี้นั่นเอง ผมฮัมเพลงไปเรื่อยๆ และเริ่มรู้สึกสบายอารมณ์ขึ้น รู้สึกเหมือนกล่อมลูกนอนเลยแฮ๊ะ

      เจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนเริ่มขยับตัวบิดขี้เกียจ...ยืดแขนยาวเหยียดเหมือนแมวน้อย

      "อือ...ตื่นแล้วเหรอ..." ผมถามขึ้นเพราะเจ้าตัวเล็กกำลังเกาะแขนของผมอยู่อย่างเหนียวแน่น

      เจ้าตัวเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมอกผม จากนั้นก็รีบขยับตัวออกห่างทันที
      เห็นท่าแบบนี้แล้วอดขำไม่ได้จริงๆ...แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน แค่นี้เจ้าตัวเล็กก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว

      "...ขอโทษครับ...คือผมเห็นคุณกำลังสัปหงกอยู่น่ะ...เลยถือวิสาสะเอาไหล่มาให้คุณยืมวางน่ะครับ...คุณ...ไม่ได้...เป็นอะไรใช่มั้ยครับ...." ผมล่ะกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นลมไปต่อหน้าอีก


      เจ้าตัวเล็กไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้า หงึกๆ เป็นการยอมรับ

      "ก็ดีแล้วครับ...ผมจะได้ไปหาของต่อ....หามาทั้งคืนแล้วก็ยังไม่เจออีก...ไม่รู้ว่าซุ่มซ่ามทำตกไว้ที่ไหน...ผมไปน่ะครับ..." ผมบอกลาเจ้าตัวเล็ก เพื่อจะไปหากระเป๋าตังค์ต่อ...บางทีวันนี้อาจจะโชคดีหาเจอก็ได้

      "คุณครับ....คุณหาไอ้นี่อยู่ใช่มั้ย..." เจ้าตัวเล็กตะโกนเรียก แล้วยกกระเป๋าสตางค์ใบนั้นขึ้นให้ผมดู

      "โอ๊ะ!...ใช่แล้ว...คุณไปเจอมันที่ไหนน่ะ...ผมหามันทั้งคืนเลย..." ผมดีใจสุดซึ้ง รับกระเป๋ามาไว้ในมือ

      "ผมเก็บได้เมื่อวานน่ะครับ...บนรถของผม...เอ่อ....เมื่อวานต้องขอบคุณ คุณชางมินมากๆน่ะครับ...ที่...อุ้มผมมาส่ง..."
      ว่าแล้วเจ้าตัวเล็กก็หน้าแดงเรื่อถึงหู.....ผมพยายามจะมองข้ามไป เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าเขินอายไปกว่านี้

      "..อ้า!...ว่าแล้วเชียว...ว่าต้องอยู่ที่นั้น....ขอบคุณน่ะครับที่ช่วยเก็บเอาไว้ให้...." ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวเล็กเอาแต่จ้องมองผมตั้งแต่เมื่อตะกี้แล้ว....

      "...เออ...ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยน่ะครับ...."

      "ผม..คิมจุนซู...ยินดีที่รู้จักครับ...." อืม...ชื่อน่ารักจังเลย...จะได้ไม่ต้องเรียกว่าเจ้าตัวเล็ก


      "ขอเรียกจุนซูเฉยๆได้มั้ยครับ...ดูแล้ว..ท่าทางเราจะอายุใกล้เคียงกันน่ะ...." ผมยิ้มให้มิตรภาพใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น

      "ครับ...ชางมิน...." จุนซูก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน

      .............มันช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แต่ทว่าสั้นนัก.....................


      จากนั้นเราก็ได้คุยเรื่องราวต่างๆมากมาย.....จุนซูช่างดูร่าเริง ช่างพูดช่างคุย ผิดกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง...ระดมยิงคำถามต่างๆมาเสียมากมาย...ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของผม....ผมบอกจุนซูว่าเพิ่งลาออกจากร้านอาหารที่เคยไปร้องเพลงประจำช่วงกลางคืนมา...ไม่รู้จะไปที่ไหน...จึงมาเปิดหมวกร้องเพลงอยู่แถวนี้....สำหรับผมแล้วการร้องเพลงคือสิ่งที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต...ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ผมก็ไม่ได้โกหกทั้งหมด...การร้องเพลงคือสิ่งที่ผมรักที่สุด


      บ้านของจุนซูคือบ้านหลังนั้น..หลังที่พ่อระบุที่อยู่เอาไว้ในจดหมาย...ผมจะถามจุนซูได้ไม๊นะ

      "ชังมินครับ...คุณจะรำคาญไม๊ถ้าผมจะมาฟังคุณร้องเพลงทุกวัน" จุนซูถามผมแล้วทำหน้าแดง...เอาอีกแล้วทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว

      "ได้สิครับ...ผมจะดีใจเสียด้วยซ้ำถ้าจุนซูจะมาทุกวัน" แล้วผมก็ยิ้มให้กับอาการเขินอายของจุนซู…ผมรู้สึกดีเวลาที่ได้คุยกับจุนซูแบบนี้...รู้สึกดีมากๆจนผมรู้สึกกลัว....

      วันนี้ทั้งวัน ผมรู้สึกไม่สบายตัวเลย มันหนักหัวไปหมด...อาจเป็นผลข้างเคียงจากยาก็เป็นได้ จึงต้องรีบขอตัวไปทำธุระซ่ะก่อนเดี๋ยวจุนซูจะสงสัย...ว่าไอ้บ้านี่มันเป็นอะไรกันแน่ จุนซูบอกผมว่าเค้าเองก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกันกับผม...และเล่าให้ผมฟังด้วยว่าเค้าเป็นโรคหัวใจ....ผมกำชับจุนซูให้ดูแลตัวเองให้ดี...ผมคงรู้สึกแย่ถ้าจะไม่ได้เห็นจุนซูอีก...ถึงว่าสิจุนซูดูบอบบางและอ่อนแอเหลือเกิน...ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างจับใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าบอกให้รักษาตัวให้ดี

      ผมเพิ่งเข้าใจว่าเวลาที่พี่ยูชอนและลุงหมอจ้ำจี้ จ้ำไชผมให้กินยา และรักษาตัว พวกเค้ารู้สึกยังไงกัน...
      …………………………….
      ………………….
      ……………
      …….

      ทุกวันจุนซูจะมาฟังผมร้องเพลง....และอยู่จนจบการแสดง....เราคุยกันทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน นานเข้าผมเริ่มรู้สึกตัวว่า ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่มองหาจุนซูไม่กลุ่มผู้ฟังนั้น... และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยเพราะจุนซูนที่ร่าเริงแจ่มใสดูเหมือนจะส่องประกายออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มีอยู่ครั้งนึงที่จุนซูถามผมว่า...ผมจะรำคาญมั้ยที่ต้องมานั่งคุยกับจุนซูทุกวัน... 'อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้นจุนซู...ถ้าผมไม่ได้คุยกับคุณทุกวันชีวิตผมมันคงซังกะตายไปวันๆ'
      "สบายมาก..เพื่อจุนซู...ผมอยากทำ" สิ่งที่ผมพูดไม่เกินจริงเลยซักนิด เพื่อจุนซู และเพื่อตัวผมเอง..ผมอยากคุย อยากพบจุนซูทุกวัน...หัวใจของผมมันไม่เต้นจังหวะสดใสแบบนี้มานานมากแล้ว

      เราสนิทสนมมากขึ้นทุกวัน...ทุกวันผมเฝ้าคิดถึงแต่จุนซู...คิดทบทวนว่าผมรู้สึกอย่างไรกับจุนซูกันแน่...ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ...ผมไม่ได้ลังเลที่จะรักเพราะจุนซูเป็นผู้ชาย ผมรู้ตัวดีว่าผมรักจุนซูเข้าไปแล้ว..แต่เป็นเพราะตัวผมเองต่างหาก...ผมไม่อยากให้จุนซูเสียใจถ้าผมไม่อยู่ข้างๆ....โรคที่ผมเป็นมันเริ่มแสดงอาการออกชัดเจนขึ้นทุกที...จนผมลืมเรื่องตามหาพ่อไปเสียสนิท...

      .....................................................


      "พี่ยูชอน...ผมจะทำยังไงดี...ผมรักเค้าเข้าไปแล้ว...ถ้าเค้ารักตอบผม...เค้าจะต้องเจ็บปวด" ผมยืนอยู่ที่ระเบียง ซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง...พี่ยูชอนยืนอยู่ข้างๆผมโดยไม่พูดอะไร

      "ผมคงจะมีความสุขมาก ถ้าได้รักกับเค้า..แต่มันจะทำให้เค้าเจ็บปวด...พระเจ้าจะลงโทษผม" …ถ้อยคำแห่งความอัดอั้นพรั่งพรูออกมาจากปากของผม..พร้อมกับน้ำตา

      "ชางมิน...นายมองเห็นท้องฟ้าใช่ไม๊...ถึงชั้นจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ถึงท้องฟ้าเบื้องหน้า...รู้สึกถึงดวงพระเนตรของพระเจ้าที่กำลังเฝ้ามองชั้นอยู่...พระเจ้าน่ะ ไม่ได้ตาบอดหรอกนะ...ท่านแยกแยะออกระหว่างความรักและความเห็นแก่ตัว…จงอย่ากลัวที่จะรัก ชางมิน...รักด้วยความรู้สึกและใจที่บริสุทธิ์ของนาย...เค้าคนนั้นจะต้องมีความสุขที่ได้รับความรักแบบนั้นจากนาย...พระเจ้าจะเฝ้าดูและให้พรนาย"

      พี่ยูชอนเอื้อมมือมาตบบ่าผม.... 'นั่นสินะ ผมยังมีเวลาเหลือพอที่จะรัก...ผมจะทำทุกอย่างเพื่อจุนซูจากนี้ไปผมสัญญาต่อหน้าท้องฟ้า..พระเจ้า...และพี่ยูชอน' ………..

      ผมกับจุนซูยังคงพบกันทุกวัน...ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งสังเกตได้ว่าจุนซูอาการแย่ลงเรื่อย...ถึงแม้รอยยิ้มสดใสที่เคยมีเริ่มลดน้อยลง...

      "อย่าฝืนเลยจุนซู...เราหยุดพักซักวันก็ได้นะ...ให้คุณอาการดีกว่านี้เราค่อยมาพบกันก็ได้" ผมบอกจุนซูแบบนั้นแต่ในใจก็ยังกลัวว่าผมจะมีเวลาอยู่ถึงวันนั้นรึเปล่า

      "ชางมินไม่อยากเจอผมแล้วเหรอ..." จุนซูถามผมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย


      "ไม่หรอกครับ...ผมแค่อยากให้จุนซูได้พัก ระยะหลังนี้ดูจุนซูเหนื่อยมาก" ผมกลัวจุนซุจะเข้าใจผิด

      "ขออีกครั้งเดียวนะครับ...อีกวันเดียว..แล้วผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดีๆ" เจ้าตัวเล็กเริ่มออดอ้อนต่อรอง...ทำท่าแบบนั้นผมจะใจแข็งได้ยังไง

      "ไม่ใช่ว่าจากวันนี้ไปเราจะไม่ได้พบกันอีกซักหน่อยนะครับ...ก็ได้ครับพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกัน...เก็บความทรงจำดีๆเอาไว้...แล้วจุนซูต้องพักนะ"

      "ครับ ผมสัญญา..หลังจากพรุ่งนี้ผมจะรักษาตัวให้แข็งแรงที่สุด..." เจ้าตัวเล็กดีใจ ยิ้มสดใสที่ไม่ได้เห็นมาในรอบหลายวันปรากฏขึ้นอีกครั้ง....

      "งั้นพรุ่งนี้ชางมินมาหาผมที่บ้านได้ไม๊...ผมคงไปด้วยรถแท๊กซี่หรือรถเมล์ไม่ไหว"


      "ได้สิครับ...เรื่องนี้ผมก็กังวลใจอยู่เหมือนกัน...ว่าแต่เราจะไปไหนกันดี...เอาใกล้ๆก็แล้วกันนะ" ผมคิดว่าจุนซูคงไปไหนไกลๆไม่ได้

      "เรื่องนั้นแล้วแต่ชางมินก็แล้วกันครับ..." เป็นเวลาเดียวกับที่พ่อบ้านตระกูลคิมมารับคุณหนูของเค้าพอดี (ผมไม่รู้ว่าพ่อบ้านคนนี้ชื่ออะไรอ่ะ... !!)

      "พาคุณหนูไปรอที่รถ ชั้นมีเรื่องจะคุยกับคุณชางมินซักหน่อย" พ่อบ้านหันไปบอกกับคนรับใช้ที่ตามมาแล้วหันมามองผม..ส่งสายตาประมานว่าให้รอตรงนี้ก่อน...จุนซูมองตามหลังอย่างเป็นกังวลแต่ก็ไม่มีแรงมากพอที่จะทำอะไร ได้แต่ให้คนรับใช้พาไปที่รถอย่างเงียบๆ

      "เอ่อ...ได้ยินว่าพรุ่งนี้คุณจะไปเที่ยวกับคุณหนู..." คุณพ่อบ้านเริ่มคำถามแรกเหมือนว่าที่พ่อตากำลังจับผิดว่าที่ลูกเขย

      "......"


      "คุณคงรู้เรื่องที่คุณหนูไม่สบายแล้ว" คำถามที่ 2 ก็เย็นชาไม่แพ้กัน..ราวกับกำลังต่อว่าผมอยู่

      "ครับ...ผมรู้ดี"

      "...ถ้าอย่างนั้นก็...ช่วยดูแลคุณหนูด้วยนะครับ...คุณชางมิน" ผมรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงตอนเรียกชื่อผมนั้นอ่อนโยนกว่าที่แล้วมา....


      "คุณชางมิน บ้านเกิดคุณอยู่ที่ไหน...." คุณพ่อบ้านคงอยากจะสืบประวัติของผม

      "กวางจูครับ" ผมตอบตามความจริง แต่ทำไมพ่อบ้านต้องทำหน้าตกใจด้วย

      "แล้วมาอยู่ที่โซลนานรึยังครับ..เอ่อขอโทษที่ถามละลาบละล้วง..." คุณพ่อบ้านเอ่ยขอโทษผมปากคอสั่น...

      "ก็ตั้งแต่ที่แม่ผมตายไปนั่นแหละครับ" ผมสังเกตได้ว่าสีหน้าของพ่อบ้านนั้นเปลี่ยนไปดูซีดลงเรื่อยๆ

      "คุณพ่อบ้าน เป็นอะไรรึเปล่าครับ..." ผมรีบเข้าประคองเมื่อเห็นท่าทางไม่ดี

      "มะ..ไม่เป็นไรครับ..คนแก่ก็อย่างนี้" คุณพ่อบ้านจับแขนทั้ง 2 ข้างของผมไว้แล้วเลยขึ้นมามองผม...เมื่อเราสบตากัน ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้สัมผัสบางอย่างที่ตามหามานาน...ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก

      "เอ่อ..พรุ่งนี้กรุณาไปที่บ้านตระกูลคิม เวลา 10 โมงนะครับ...ช่วยตรงเวลาด้วย"

      การสนทนาจบลงอย่างสั้นๆตรงการนัดหมายเวลาและสถานที่ แล้วคุณพ่อบ้านก็เดินจากไป
      ...................................................
      ........................................
      ……………………………..

      วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ได้รับความกรุณาจากพี่ยูชอน ผมก็สามารตื่นขึ้นมาแต่งตัวไปตามนัดได้ตรงเวลา...ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่บ้านหลังนั้น...บ้านหลังที่ผมสงสัยมาตลอดว่าพ่อของผมจะอยู่ที่นั้นหรือไม่....

      ผมนั่งรอคุณหนูคิมจุนซูอยู่ที่ห้องรับแขกใหญ่...มองไปรอบๆที่นี่ช่างยิ่งใหญ่ตระกาลตา...ทั้งเฟอร์นิเจอร์ของประดับตกแต่งราคาแพง ผมเริ่มคิดได้ว่าพ่อของผมคงไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นแน่แท้...ที่นี่มันสวรรค์ชัดๆ พ่อของผมจะเข้ามาทำอะไรในที่แบบนี้..เอาหล่ะลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ...

      คนรับใช้ผู้หญิงนำน้ำและของว่างมาให้ผม และออกไปยืนซุบซิบกันที่ด้านนอก....ผมหันไปมองพร้อมยิ้มให้เป็นการทักทาย...พวกหล่อนกลับทำหน้าแดงกรี๊ดกร๊าดแล้ววิ่งหนีออกไป...

      'เห็นผมเป็นตัวอะไรเนี่ย???'…ผมได้แต่นั่งเกาหัวแกรกๆเอียงคอสงสัย ผมไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมของผู้หญิงเลยจริงๆ

      "รอนานไม๊ชางมิน" เสียงหวานแหบเสน่ห์ดังมาจากบันได เจ้าตัวเล็ก เอ๊ย!! คุณหนูคิม ร้องถามอย่างร่าเริง..

      "ไม่หรอกครับ...เอ่ออ...ว่าแต่เราจะไปกันหมดนี่เลยเหรอครับ??" ผมมองข้ามบ่าเจ้าตัวเล็กไปพบขบวนคนรับใช้เดินตามมาอีกเป็นหาง (ผมใช้คำว่าขบวน..)

      "คุณพ่อบ้านสั่งมาน่ะ...ทำไงได้ผมไม่ค่อยแข็งแรงนี่นา" เจ้าตัวเล็กก้มหน้าตอบอย่างรู้สึกผิด

      "ไม่เป็นไรครับ....ไปกันเยอะๆก็สนุกดีนะ" ผมตบบ่าปลอบใจจุนซูที่ทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้....ต้องยอมรับความจริงที่ว่าจุนซูอ่อนแอเกินกว่าจะไปไหนมาไหนลำพังได้...

      ขบวนของเราออกเดินทางกันมาจนถึงที่สวนสนุกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านและโรงพยาบาลมากนัก...นี่ตระกูลคิมเหมาสวนสนุกสำหรับการเดทของเรารึเปล่าเนี่ย...ดูมันรกร้างผู้คนจัง แต่ก็ดีแล้ว...เป็นส่วนตัวดี

      ผมพยุงจุนซูลงมาจากรถ และจับมือจุนซูเอาไว้ตลอดทางที่เราเดินเที่ยวด้วยกัน..ถึงแม้จะไม่ได้เล่นเครื่องเล่นอะไรเลย แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้ว...มือที่จับกันเอาไว้แบบนี้ทำให้รู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ของอีกฝ่าย...คนที่ผมรอคอย...คนที่ผมจะสามารถมอบความรักให้ได้ ตอนนี้อยู่ข้างๆผม

      "จงอย่ากลัวที่จะรัก ชางมิน...รักด้วยความรู้สึกและใจที่บริสุทธิ์ของนาย...เค้าคนนั้นจะต้องมีความสุขที่ได้รับความรักแบบนั้นจากนาย" คำพูดของพี่ยูชอน ผุดขึ้นในหัวสมองของผม....

      ผมพาจุนซูเดินเอื่อยๆไปเรื่อยจนกระทั่งมาหยุด...หน้าลานน้ำพุ....ผมจับมือจุนซูกุมไว้เบาๆ ......
      "จุนซูครับ...ผมมีอะไรจะบอกคุณ...." ผมยิ้มให้จุนซู..ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องเสียใจภายหลัง..ถึงแม้ว่าจุนซูจะปฏิเสธผมก็ตาม
      "อะไรหรอ....ชางมิน..." จุนซูเอ่ยอย่างยากลำบาก...
      "ผมคิดเรื่องนี้มานาน....ไตร่ตรอง...ไคร่ครวญอยู่หลายรอบ...จนแน่ใจ..ว่าผมคิดไม่ผิด...." ผมกระชับมือจุนซูแน่นเอาไปอีก
      ".........."
      ผมคิดว่า...ผมรักจุนซูครับ..." ในที่สุดผมก็ได้พูดความรู้สึกของผมออกไป...แต่ถึงกระนั้น ความจริงที่ว่าผมคงอยู่ได้อีกไม่นานก็ไม่อาจจะลบเลือนออกไปจากใจได้

      "...ผมต้องบอกก่อน....ที่มันจะสายไป...ก่อนที่ผมไม่มีโอกาสได้บอกคุณ" ก่อนที่เวลาของผมจะหมดลง...ต้องขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ผมยังมีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อบอกรัก คิมจุนซูคนนี้

      "...จุนซู...อาจจะรังเกียจผม...ผมไม่ว่าอะไรหรอก...มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นจริงๆ..." น้ำตาเริ่มเรื้อขึ้นมาที่ขอบตา ผมพยายามสะกดมันเอาไว้...ถ้าจุนซูรังเกียจผม ผมก็ไม่อยากให้จุนซูลำบากใจ

      "...ใช่มันไม่ควรเกิดขึ้นจริงๆ...มันไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา.." จุนซูเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น จนผมตกใจ

      "...จุนซู..ผมขอโทษ..." ผมทำอะไรไม่ถูก

      "...เวลาของผมเหลือน้อยเต็มที่...แต่ผมอยากให้ชางมินรู้ไว้ว่า...ผมเองก็คิดไม่ต่างไปจากชางมินเลยสักนิด....ผมรักชางมิน...มั่นใจว่ารัก..ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ...ครั้งแรกที่ได้สบตากับชางมิน..." คำตอบของจุนซูทำให้ผมรู้สึกดีใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็กังวลใจไม่แพ้กัน...เวลาของเราต่างก็เหลือน้อยด้วยกันทั้งคู่ จุนซูตัวสั่นเทา...เหมือนกำลังจะล้มลงไป


      ผมรีบคว้าร่างเล็กเอาไว้ก่อนที่ล้มลงไป และอุ้มเอาไว้แนบอก...

      'ได้ยินเสียงหัวใจของผมไม๊...มันจะเป็นของคุณไปจนกว่ามันจะหยุดเต้น' ผมมองหน้าคนในอ้อมอกน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้...มือของจุนซูค่อยๆยกขึ้นโอบรอบคอผม ยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นก่อนปล่อยให้มือตกลงไปตามแรงโน้มถ่วงโลก....ร่างเล็กในอ้อมอกที่แน่นิ่งไป

      จุนซูมาถึงโรงพยาบาลในเวลาไม่นาน เพราะสวนสนุกแห่งนี้อยู่ใกล้กับโรงพยาบาล...

      หลังจากออกจากห้องฉุกเฉิน...จุนซูถูกพาไปพักฟื้นที่ห้องพิเศษ

      "คุณชางมินกลับไปพักเถอะครับ...เดี๋ยวที่เหลือผมเฝ้าต่อให้เอง" คุณพ่อบ้านตระกูลคิม บอกให้ผมไปพัก

      "ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผมเฝ้าจุนซูให้ตอนกลางคืนเอง...คุณพ่อบ้านกลับไปพักเถอะครับ" ผมบอกคุณพ่อบ้านไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากคาดสายตาจากจุนซู

      "ถ้างั้นผมกลับไปทำธุระที่บ้านก่อนนะครับ..แล้วจะกลับมาตอนเช้า…ฝากคุณหนูด้วยนะครับ" แล้วคุณพ่อบ้านก็ขอตัวออกไป

      ผมขยับเก้าอี้เข้ามาที่ข้างเตียง..ร่างเล็กยังคงหลับไหลไม่ได้สติ...ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น เสียงชีพจรจากเครื่องวัดดังเป็นจังหวะไม่ค่อยสม่ำเมอ แต่ก็ทำให้อุ่นใจไปได้บ้าง...อย่างน้อยคนๆนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่

      ผมจับมือเล็กของจุนซูเอาไว้ แล้วยกมันขึ้นมาแนบที่แก้ม...

      "จะเห็นแก่ตัวเกินไปไม๊...ถ้าจะขอให้คนที่ต้องจากไปก่อนคือผม" ผมเฝ้าอ้อนวอนกับพระเจ้า ว่าอย่าพาแสงสดใสยามเช้าของผมไปเลย...อย่าพาจุนซูไปจากผม


      ........................
      ................
      .........


      2 วันผ่านไป แต่จุนซูก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ผมไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง ทั้งที่ง่วงแสนง่วง เพราะควาวมกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจของผม...ผมกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีก....ผมนั่งมองจุนซูเงียบๆอยู่ที่โซฟา...คุณพ่อบ้านกำลังเช็ดตัวให้จุนซูอยู่...


      'ก๊อกๆๆ!!' เสียงเคาะประตูดัวขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิด...ผมรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร...


      "ชางมิน ได้ยินว่าเธออยู่ที่นี่...มากับชั้นหน่อยได้ไม๊" ลุงหมอเจ้าของไข้ของผมนั่นเอง...ผมหันไปมองคุณพ่อบ้านเป็นการขอความเห็น

      "ไปเถอะครับ...เดี๋ยวผมดูแลเองไม่ต้องห่วง" คุณพ่อบ้านยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน..พร้อมกับหันไปกลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้จุนซู

      "ครับ...แล้วผมจะรีบกลับมา" ผมบอกคุณพ่อบ้านแล้วรีบตามลุงหมอออกมา จนถึงห้องตรวจ

      "นั่งลงสิ...ชางมิน" นายแพทย์สูงวัยพูดพร้อมกับเดินไปที่กระดานที่แปะรูป CG X-Ray สมอง เอาไว้ พร้อมกับเปิดไฟ ทำให้เห็นรายละเอียดในรูปนั้นได้จัดเจนขึ้น

      "นี่เป็นผลการ X-Ray สมองของเธอเมื่อครั้งที่แล้ว กับ ผลการX-Ray สมองของเธอครั้งล่าสุด...เธอเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันไม๊" ลุงหมอชี้ให้ผมดูภาพ X-Ray สมอง 2 ใบที่ติดอยู่ใกล้กัน

      "หมายความว่าอาการของผมแย่ลงใช่ไม๊ครับ"

      ผมถามออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ...ผลสแกนแสดงให้เห็นว่า แกนสมองของผมมันเริ่มเสื่อมสภาพลงไปทุกที ด้วยสีอันซีดจาง...เพราะเลือดเริ่มไปเลี้ยงไม่พอ...ผมฟังอาการเหล่านี้มากหลายต่อหลายหนจนเริ่มเข้าใจได้โดยที่ไม่ต้องอธิบายแล้ว

      "มันรวดเร็วกว่าที่คิดนะชางมิน...ชั้นอยากให้เธอมาพักที่นี่ อย่างน้อยชั้นจะได้ดูแลเธออย่างใกล้ชิดได้"

      "ผมมีเวลาเหลืออีกเท่าไรครับ"

      "ชั้นเกรงว่าจะไม่สามารตอบเธอได้...มีโอกาสสูงที่เธอจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกในวันใดวันหนึ่งเร็วๆนี้"

      "ครับ...เข้าใจแล้วครับ…ผมจะมาอยู่โรงพยาบาลก็ได้แต่ว่าขออยู่ห้องข้างๆจุนซูได้ไม๊ครับ"

      ลุงหมอพยักหน้า ไม่ตอบว่ากระไร แต่ท่านก็เดินเข้ามากอดผม...ผมกอดลุงหมอแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างที่ไม่คิดที่จะกลั้นมันเอาไว้...

      "ถ้าผมมีพ่ออย่างลุงหมอ มีพี่ชายแบบพี่ยูชอนผมคงมีความสุขมากๆ"
      "แล้วใครว่าเธอไม่มีล่ะเจ้าลูกชาย..." ลุงหมอยิ้มให้ผมแล้วตบหัวผมเบาๆ

      ถึงลุงหมอจะไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆของผม พี่ยูชอนจะไม่ได้เป็นพี่ชายแท้ๆของผม..แต่ทุกคนก็อยู่ข้างๆผมมาเสมอ...แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ...สำหรับช่วงชีวิตอันสั้นของผม

      ผมไม่ได้เข้มแข็งและด้านชาต่อความตายที่จะเกิดขึ้นหรอก...ตรงกันข้าม ผมหวังว่า การที่ผมจะมาอยู่ที่โรงพยาบาล มันอาจจะทำให้ผมได้อยู่กับจุนซูนานขึ้น


      ....................................


      ผมกลับมาที่ห้องของจุนซู หลังจากนั้น...แต่ไม่พบคุณพ่อบ้านอยู่ที่นั่น...ผมนั่งลงที่โซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน...ง่วงนอนจนตาแทบจะลืมไม่ขึ้น.....ในที่สุดผมก็ไม่สามารถสู้กับสังขารตัวเองได้..

      ...........
      .......
      ....


      นานเท่าไรก็ไม่รู้ที่ผมหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นจุนซุมานั่งอยู่ตรงหน้า...

      "...อืม...จุนซู!...จุนซูฟื้นแล้ว....ขอบคุณสวรรค์....." ผมโผกอดจุนซูเสียจนเสียหลัก ลงไปนอนกันอยู่ที่พื้นห้องเย็นเฉียบ.....


      "...ขอโทษครับ....ผมดีใจไปหน่อย....จุนซูไม่เป็นอะไร ...ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย...." ผมรีบดึงตัวจุนซูขึ้นมาสำรวจทันที


      "อืม....ไม่เป็นไร...ขี้เซาจัง...ปลุกตั้งนานกว่าจะตื่น..." แต่อยู่ๆจุนซูก็ทำท่าจะล้มลงไปที่พื้น....ทำให้ผมต้องรีบอุ้มจุนซูขึ้นมาไว้ที่เตียง...คว้าหาออดจะกดเรียกหมอเข้ามาดูอาการ แต่ก็ถูมือเล็กคว้าเอาไว้...เป็นการห้ามไว้ก่อน....


      "...ไม่ต้องเรียกหรอก...ผมไม่เป็นไร...หายแล้ว....ไม่อยากให้ใครเข้ามา...อยากอยู่กับชางมิน 2 คน..."เจ้าตัวเล็กก้มหน้างุด ซ่อนอาการเขินอายเอาไว้

      "...แน่ใจน่ะ...ว่าไม่เป็นไร....ไม่ต้องเรียกหมอน่ะ..." ผมถามย้ำ

      "...อืม...มีชางมินอยู่จุนซูก็ดีขึ้นแล้วล่ะ..." อย่า จุนซู อย่าทำท่าแบบนี้..ผมกำลังจะกลายร่างเป็นหมาป่า...ผมกลัวว่าแกะน้อยอย่างคุณจะตายคามือผมจริงๆ

      ผมค่อยๆเอื้อมมือไปเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมา...ผมสบตาเจ้าของริมฝีปากบอบบางนั้นเป็นการขออนุญาต...ต่อให้เป็นคนไร้เดียงสาเพียงไหน เมื่อมาเจอสายตาแบบนี้ก็น่าจะคาดเดาได้ว่ามันสื่อความหมายเช่นใด...

      เจ้าตัวจึงหรี่นัยน์ตาปรือลงเป็นการตอบรับ... ผมเลียริมฝีปากอันแห้งผากของตัวเองให้ชุ่มชื่นขึ้นก่อนที่จะบรรจงประทับมันลงไปที่ริมฝีปากบางเล็กได้รูปของอีกฝ่าย ก่อนเคล้าคลึงมันอย่างอ่อนโยน นุ่มนวล ทั้งหวานละมุนด้วยปลายลิ้นที่ดุลดันให้กลีบปากอิ่มได้ชุ่มชื้นขึ้นก่อนที่จะส่งปลายลิ้นอุ่นเข้าไปเกี่ยวกวาดรสหวานแห่งความรักจากอีกฝ่าย.... มือเริ่มซุกซนล้วงลึกเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังเนียนของร่างเล็กอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่


      ....จูบอันเนิ่นนานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนอีกฝ่ายส่งเสียง อือ..ประท้วงในลำคอว่ากำลังจะขาดใจ...จนผมต้องยอมถอนตัวออกจากรสหวานนั้นด้วยความอาวรณ์...ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจบ้าง..บางทีผมคงใจร้อนเกินไป...ผมเองก็หอบหายใจปลดปล่อยอุณหภูมิอันเร่าร้อนออกมาได้ไม่น้อย...ก่อนที่จะบรรจงทาบริมฝีปากของตัวเองลงไปที่กลีบปากสวยได้รูปนั้นอีกที...จุมพิตที่เต็มไปด้วยความรู้สึก...ทั้งหมดของผมที่มีต่อคุณ...ผมรักคุณ...จุนซู


      "พักผ่อนซ่ะน่ะครับ…คนดี…"เสียงไพเราะของชางมิน กระซิบที่ข้างหู ราวกับกล่อมเด็กน้อย ให้หลับใหล……….


      หลายวันผ่านไปผมยังคงอยู่ที่ห้องพักในโรงพยาบาล ตอนนี้ผมกำลังนั่งฟังหมอประจำตัวของจุนซูเล่าถึงอาการของจุนซูอยู่ มีทางเดียวที่จะช่วยชีวิตคุณได้.. นั่นคือจะต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจใหม่…ราวกับได้ยินเสียงจากสรวงสวรรค์…ผมดีใจมาก..มากที่สุด….ที่จุนซูมีโอกาสรอด…

      "…แต่ปัญหาก็คือ…ตอนนี้เรายังไม่สามารถหาหัวใจใหม่ให้คุณได้…แล้วไม่แน่ใจว่าหัวใจเทียมจะเหมาะกับคุณหรือป่าว….ตอนนี้คุณก็ทำได้เพียง ประคองอาการไว้..ไม่ให้ทรุดลงมากไปกว่านี้…เพื่อรอจนกว่าจะมีผู้บริจาคหัวใจให้คุณ…."

      จุนซูหันมามองหน้าผม…แววตาแห่งความหวังเมื่อกี้ จางหายไป เหลือเพียง ความเศร้าสร้อย…ผมคงต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างในเร็วๆนี้…. เรารักกัน…แต่ไม่มีทางใดเลยที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน…ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนแต่เจ็บปวด แต่ผมคงต้องเลือกทางที่ทำให้คนที่ผมรักมีชีวิตอยู่ต่อไป...

      "ชางมิน…. อย่าเสียใจไปเลย…ผมสัญญาจะดูแลตัวเองให้ดี…ไปจนกว่าจะถึงวันที่ผมได้รับหัวใจใหม่…ถึงวันนั้นแล้ว…เราจะได้อยู่ด้วยกัน…" จุนซูปลอบใจผม...

      ผมรู้ดีว่าจุนซูพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ผมไม่ได้ตอบอะไรไป ผมก้มหน้ามองพื้น อย่างเคร่งเครียด…ต้องตัดสินใจอย่างจริงจัง เสียที


      'เมื่อจุนซูตื่นมา ไม่ว่าตอนไหนก็ตาม ให้รีบปลุกผม..รู้มั้ย…ถ้าผมไม่ตื่น…ให้ทำยังไงก็ได้..ให้ผมตื่นมาคุยกับจุนซูให้ได้…ผมไม่อยากพลากจากจุนซูไปไหน..รู้มั้ยครับ…'

      ผมย้ำจุนซูให้ปลุกผมขึ้นมา..ถึงแม้ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม…ผมไม่อยากจะใช้เวลาที่เหลือไปกับการนอน..ผมยังมีเวลานอนอีกมาก

      ผมอยู่กับจุนซูจนถึงเที่ยง จึงขอตัวไปทำธุระ สักพัก ผมย้ำกับจุนซู ว่าจะรีบกลับ…อย่าเพิ่งเป็นอะไร…อย่าเพิ่งไปไหน ให้รอ ผมด้วย…เมื่อจุนซูรับปาก ว่าจะรอ……ผมก็เบาใจ

      วันนี้....ผมจะต้องไปทำธุระสำคัญบางอย่าง.... ของขวัญที่ผมจะทิ้งเอาไว้ให้คนที่ผมรักแทนตัวของผม…เมื่อผมไม่ได้อยู่เคียงข้าง…สิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำเพื่อพวกเค้าได้...

      ผมกลับมาถึงที่โรงพยาบาลราว 5 โมงเย็น


      "รอผมนานมั้ย…จุนซู…"ผมถาม


      "...อืม...ไม่นานหรอก...ชางมินเป็นอะไรรึเปล่าหน้าซีดๆน่ะ..."


      "..ไม่มีอะไรหรอก...ผมไม่มีตังค์ค่ารถน่ะ...เลยเดินมา...เหนื่อยนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย...จุนซูทานข้าวรึยัง..."


      "..ทานแล้ว..."


      "..ทานเยอะมั้ย..."


      "...เอ่อ...ก็ไม่น้อยหรอก..."


      "...แล้วยาล่ะ...ทานรึยัง..."


      "...ทานหมดแล้ว...ชางมินล่ะ ทานอะไรมารึยัง...ให้พ่อบ้านลงไปซื้อให้มั้ย..."


      "..ทานมาแล้วล่ะ...ทานเยอะไปด้วยซ้ำ...เลยไม่มีค่ารถกลับบ้าน...ถึงต้องเดินมาไงล่ะ..." ผมยิ้มให้จุนซุ...อยากมองใบหน้าที่สดใสนี้ให้มากที่สุด...เวลาที่ผมหลับไป ผมจะได้ฝันเห็นคุณ


      "แล้วทำไมไม่โทรมาล่ะ...จะได้ส่งรถไปรับ...รู้มั้ยผมเป็นห่วงแทบแย่..."


      "...ผมไม่อยากรบกวนจุนซูน่ะ..."


      ...................................


      "จุนซูครับ...ผมมีเรื่องจะบอก..." ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง


      "ฮืม?...มีอะไร..." ผมถาม


      "...ผมจะไม่อยู่หลายวันหน่อยน่ะครับ...เอ่อ...มีธุระสำคัญ..จะต้องไปสะสางให้เรียบร้อย...."ผมตอบเสียงแผ่วเบา


      "...ไปหลายวันมั้ย...เมื่อไหร่จะกลับล่ะ..."


      "..ก็หลายวันน่ะ...เมื่อเสร็จธุระแล้วผมจะรีบกลับ...มาอยู่..ข้างๆ..จุนซูน่ะครับ..."


      "...ชางมิน...ผมกลัว....ผมกลัวว่าจะอยู่รอชางมินไม่ไหวน่ะสิ...ชางมินไม่ไป..ไม่ได้หรือ..."


      "...จุนซูจะต้องอยู่สิครับ...ผมไปก็เพื่อ...จุนซูน่ะครับ...เราจะได้อยู่ด้วยกันไงครับ..." ผมย้ำเสียงหนักแน่น...


      "เพื่อผม...เพื่อเราหรอ...ชางมินจะต้องรีบกลับมาน่ะ...อย่าไปนานน่ะ...." จุนซูกระชับชายผมไว้แน่น...


      "...ครับ...สัญญา....จุนซูรอผมไม่นานหรอก..."

      ......ผมไม่ได้ไปไหนไกลหรอก จุนซู....ผมรู้ดีว่านี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน และคุยกันแบบนี้...จุนซูที่รักของผม...ผมเฝ้ามองใบหน้าที่แสนรักด้วยความอาลัยอาวรณ์...ทุกคำที่ผมพูดไป...ทุกรอยยิ้มที่ผมกำลังมอบให้คุณ..มันเริ่มทำให้ผมหายใจไม่ออก...ผมไม่อยากจะละสายตาจากคุณ ไม่อยากจะจากคุณไปไหนเลย....


      "..ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ...มันจะไม่เกิดอะไรขึ้น...ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ...บางทีช่วงที่ผมไม่อยู่..จุนซูอาจจะได้รับข่าวดีก็ได้..ใครจะไปรู้...." ผมพูดพลางกลั้วหัวเราะ...หัวเราะที่เจือด้วยน้ำตา


      "...อืมนั่นสิน่ะ...ใครจะไปรู้..." จุนซูทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้..ก่อนจะเอนกายลงนอนอย่างหมดแรง


      ......ลาก่อน..ที่รักของผม…….. ผมหวังว่าความรักของผมที่มีต่อคุณ จะทำให้เราสมหวังกันในชาติหน้า...บางทีพระเจ้าท่านคงจะสงสารผมบ้าง

      ผมก้าวออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ..กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ มาที่ห้องของผมเองซึ่งอยู่ข้างๆ...หลังจากวันนี้ไป ผมจะต้องอยู่ที่ห้องนี้ จนกว่าร่างกายของผมจะหมดสภาพ...และวันนั้น จุนซูจะได้เปลี่ยนหัวใจใหม่....ผมอยู่ใกล้ๆแค่นี้เองนะจุนซู..รู้สึกถึงความรักของผมไม๊


      ............................
      ..............................................

      ผ่านไปหลายวัน..อาการของผมเริ่มแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด...ร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกทีอันเนื่องมาจากอาการปฏิเสธอาหาร ทำให้ผมกินอะไรไม่ได้มากนัก..ทั้งอาการตื่นยากก็เริ่มจะหนักข้อขึ้นทุกที...ระยะเวลาที่ผมมีสตินั้นเริ่มจะน้อยลงทุกที....

      "พี่ยูชอนครับ...ถ้าผมหลับไป...จดหมายฉบับนี้.."

      'ก๊อกๆๆ!!' ไม่ทันที่ผมจะพูดจบก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พี่ยูชอนคลำทางไปเปิดประตู

      "คุณหมอเหรอครับ??" พี่ยูชอนถามออกไปเพราะมองไม่เห็น แต่ผมเห็นว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาคือคุณพ่อบ้านตระกูลคิมนั่นเอง

      "เอ่อ...คุณพ่อบ้าน…อย่าบอกให้จุนซูรู้นะครับ" ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคุณพ่อบ้าน...แต่คุณพ่อบ้านก็ไม่พูดอะไรและเดินเข้ามากอดผม...เล่นเอาผมงงไปหมด

      "ชางมินลูกพ่อ..." คำพูดจากปากคุณพ่อบ้านทำให้ผมตกใจอ้าปากค้าง มองหน้าคุณพ่อบ้านตาไม่กระพริบ

      "พ่อขอโทษลูก...ขอโทษที่ไม่บอกลูกให้เร็วกว่านี้" หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาอบอุ่นของชายที่ยามปกติมีสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึม

      "ใช่คุณพ่อเหรอครับ...ผมไม่ได้ฝันไปเหรอครับ" ผมเองก็เริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ความหวังที่เคยดับสิ้นไปแล้ว อยู่ดีๆมันก็เป็นจริงขึ้นมา


      "พ่อรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งลูกกับแม่มานาน...จนเมื่อพ่อมาพบลูกที่สวนสาธารณะนั่น..หน้าตาของลูก และเพลงที่ลูกร้อง...เพลงที่พ่อแต่งให้แม่" คุณพ่อบ้าน ไม่ใช่สิ พ่อของผม กอดผมเอาไว้ มันเป็นความอบอุ่นจากพ่อครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้

      "ไม่หรอกครับ..พ่อไม่เคยลืมผมใช่ไม๊ครับ..." ผมผละออกจากอ้อมกอดของพ่อ แล้วคุกเข่าลงกับพื้น ก้มลงคำนับที่แทบเท้าของพ่อ

      "ขอบคุณมากนะครับ...ที่ทำงานหนักหาเงินมาเลี้ยงผม..ขอบคุณที่ไม่เคยลืมผม...แล้วก็ขอบคุณที่ทำให้ผมได้พบกับคนที่ผมรัก.."

      ผมรู้สึกขอบคุณพ่อมากจริงๆตอนนี้...น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาจนผมแทบจะไม่สามารถมองอะไรเห็น..พ่อเองก็ทรุดลงมาประคองกอดผมเอาไว้...ผมเองก็กอดพ่อเอาไว้เหมือนกัน..ราวกับเป็นการสั่งลา นี่เป็นการกอดกันครั้งแรกในฐานะพ่อลูก..และเป็นครั้งสุดท้าย

      "ในตอนแรก...ผมรู้สึกโกรธที่พ่อเอาแต่ดูแลคนอื่นจน...ไม่เคยกลับไปเยี่ยมผมกับแม่...แต่เมื่อผมได้มาพบจุนซู...ผมอยากจะบอกว่า พ่อครับ ช่วย...ดูแลจุนซูแทนผมด้วนะครับ...ดูแลเค้าให้ดีเหมือนที่พ่อเคยทำ…มาตลอด"

      ผมรู้สึกหายใจลำบากและเหนื่อยอ่อนมากขึ้นทุกที

      "ฝาก...จดหมายนี้ให้...จุนซู....หลังจาก...ที่เค้า....หายแล้ว .....ผมง่วงเหลือเกิน....แล้วครับ"

      ผมยื่นซองจดหมายให้พ่อ พร้อมกับเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นทุกที…พ่อประคองผมขึ้นมานอนบนเตียง....ผมมองหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนจะหลับตาลง...........................................

      วันรุ่งขึ้น จุนซูก็ได้ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ........................




      '
      จุนซูที่รัก....

      สวัสดีที่รักของผม ตอนที่คุณกำลังอ่านจดหมายอยู่นี่ ผมคงตายไปแล้วล่ะ...แล้วในเมื่อคุณกำลังอ่านจดหมายของผมอยู่ มันก็แสดงว่า คุณหายเป็นปกติแล้ว ผมแน่ใจว่าคุณพ่อบ้าน คงจัดการเรื่องนี้ ได้เป็นอย่างดี


      คงเกิดคำถามขึ้นมากมายในหัวใช่มั้ย สิ่งแรกที่ผมจะบอกคุณคือ จนถึงเวลานี้ ที่คุณกำลังอ่านจดหมายของผมอยู่นี่ ไม่มีสักวินาที ที่ผมจะไม่รักคุณ เพียงแต่เวลาของผมมันไม่เอื้ออำนวยเท่านั้นเอง แค่ยื้อเวลาออกไปเพียงไม่เท่าไรก็ทำไม่ได้ ผมนี่มันไม่เอาไหนจริงๆ


      ผมป่วย..ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ได้ไม่นานก่อนหน้าที่จะได้เจอคุณเพียงไม่กี่วัน หมอบอกว่า สมองของผมทำงานผิดปกติ...นั่นเป็นสาเหตุ ที่ผมปลุกยากกว่าคนปกติ ต้องมีคนคอยปลุกไม่อย่างนั้นผมจะหลับนาน…นานจนหลับตลอดไป….

      ซึ่งคุณหมอก็บอกผมไว้ว่าผมคงเหลือเวลาอีกไม่นาน ดุได้จากผลสแกนสมองที่แกนสมองแสดงความผิดปกติรุนแรงจนเห็นได้ชัด และจากการตื่นยากขึ้นทุกวันของผม....

      โรคนี้ไม่มีทางรักษา...รอคอยเพียงเวลาที่ผมจะหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมานั่นแหล่ะถึงจะหลุดพ้นกันไป ผมแทบอยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ...จนกระทั่งเมื่อผมได้พบจุนซู ผมถึงได้รู้ว่า ชีวิตมีค่าแค่ไหน.... จุนซูเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมอยากเข้มแข็ง อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพียงแค่ให้ได้เห็นรอยยิ้ม สดใสแบบนั้นทุกวัน......


      ผมเฝ้าอธิษฐานก่อนนอน ขอให้ผมได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับเช้าวันใหม่ที่สดใสทุกวัน ผมไม่อยากต้องจากโลกนี้ไป โดยที่ไม่ได้พบหน้าคุณก่อน ไม่ได้บอกความรู้สึกข้างในให้คุณได้รับรู้...

      ผมตื่นยากขึ้นทุกวัน นาฬิกาปลุกตั้งเรียงรายเต็มหัวนอน ตั้งเวลาเหลื่อมล้ำกันไม่กี่วินาที ให้มันค่อยดังทีละเครื่องจนกระทั่งผมตื่น...แต่กระนั้นผมก็ยังไม่ยอมตื่นอยู่ดี จนเพื่อนข้างห้องต้องพังประตูเข้ามาปิดนาฬิกาปลุกทั้งหมดของผม เพราะมันส่งเสียงดังรบกวนเค้า...

      ตั้งแต่วันนั้น ผมจึงตัดสินใจไม่หลับอีกเลย...เพราะผมกลัว.......


      จุนซูจำวันที่ผมบอกรักคุณไม่ได้มั้ย คืนนั้นผมคิดอยู่หลายตะหลบ ว่าจะบอกคุณดีมั้ย บอกไปแล้วคุณจะยอมรับได้รึป่าว ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะบอกดีมั้ย ถ้าบอกแล้วคุณตอบตกลง แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ก็ผมคงถึงเวลาที่ต้องไป อีกไม่นานนี่แน่ๆ แต่ถ้าไม่บอกไปล่ะ มันคงยังค้างๆคาๆ ในใจผมไปจนตายแน่ๆ

      จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจบอกไปในที่สุด...แล้วคุณก็ตอบตกลง..รู้มั้ยผมดีใจเป็นที่สุดที่คุณก็คิดไม่ต่างไปจากผม ตอนนั้นที่คุณบอกว่าคุณเองก็คิดเช่นเดียวกันกับผม...ผมแทบหยุดหายใจเลยทีเดียว...แต่มันก็คุ้มว่ามั้ย....

      วันนั้นที่ห้องพักของโรงพยาบาล ตอนที่คุณหมอบอกว่าจุนซูยังคงมีโอกาสหายได้เพียงแต่ต้องหาหัวใจให้ได้...นั่นแหล่ะ...ผมถึงได้รู้ว่า โชคชะตา นำพาเรามาพบกันทำไมในช่วงเวลาแบบนี้...ผมจึงเริ่มคิดเรื่องการบริจาคอวัยวะกับคุณหมอประจำตัวของผม...หากว่ามันเป็นไปได้ผมอยากบริจาคหัวใจให้จุนซู...ให้คุณได้มีโอกาสอยู่ต่อ..ในเมื่อผมคงไม่ได้ใช้มันอีกต่อไปแล้ว....


      ระยะหลังมานี้ ผมเหนื่อยอ่อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผมพยายามไม่หลับ แต่ก็แพ้พ่ายไปเสียทุกที ไม่ค่อยได้พักผ่อน ร่ากายเลยปฏิเสธอาหารที่ทานเข้าไปอย่างหนัก จนคุณหมอ ต้องบอกให้ผมเข้ารักษาโดยด่วน แม้มันจะรักษาไม่ได้ก็ตามที แต่อย่างน้อยก็น่าจะจากไปโดยที่ไม่เจ็บปวดทรมานไปมากกว่านี้...

      .ผมไม่กล้าบอกความจริงให้คุณทราบเพราะทราบดีถึงอาการของจุนซู มันไม่แตกต่างไปจากผมเลยสักนิด แต่ต่างกันตรงที่ว่า จุนซูมีทางรอด.....ส่วนผมหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คงเท่ากับ 0


      ตอนนี้เป็นนี้เป็นเวลา ตี 3 ผมไม่ได้เจอหน้าจุนซูมาเป็นอาทิตย์แล้วสิน๊ะ...เราอยู่ห่างกันแค่เพียง กำแพงกั้น แต่ผมก็ต้องหักห้ามใจ ที่จะไม่ไปเจอหน้าคุณ...มันยากมาก หากเจอหน้าคุณแล้วมันจะทำให้อะไรๆมันเลวร้ายลงไปกว่านี้ ผมขอไม่เจอกันดีกว่า ผมพร้อมจะจากไปโดยเหลือไว้เพียงภาพความทรงจำเท่านั้น......


      ผมไม่ได้โกหกจุนซุน่ะครับ เรื่องที่ผมบอกว่า ผมจะกลับมาอยู่ข้างๆคุณๆ...จุนซูรู้สึกบ้างมั้ย ที่หัวใจน่ะ..ที่.มันกำลังเต้นอยู่ นั่นน่ะผมน่ะครับ...ผมอยู่ข้างๆจุนซูเสมอ ผมจะคอยให้กำลังจุนซุในยามที่คุณท้อแท้...จะอยู่คอยเป็นเพื่อน ในยามที่จุนซูเหงา....

      ผมดีใจที่ในที่สุด เราก็ได้อยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่เราฝันก็ตามเถอะ....แต่ผมก็ได้ทำอะไรเพื่อจุนซูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลาโลกนี้ไปเพียงลำพัง.....


      ผมขออนุญาตเก็บจุนซูไว้เป็นความทรงจำอันงดงามของผมได้มั้ยครับ...ผมจะขอเก็บใบหน้าขาวนวลของคุณ...ผมจะขอเก็บจูบหวานละมุนของคุณ..ผมจะขอเก็บอ้อมกอดอบอุ่นของคุณ...ผมจะเก็บทุกอย่างที่เป็นจุนซูเอาไว้ในความทรงจำ....ถึงแม้ว่าผมจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม....


      สุดท้ายนี้ผมขอให้จุนซูมีความสุขกับชีวิตใหม่ ที่อย่างน้อยผมก็มีส่วนหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน...จุนซูอย่าเสียใจ...และอย่าร้องไห้ กับการจากไปของผม..จำได้มั้ยผมบอกว่าอะไร...ที่ผมทำไปก็เพื่อจุนซู...เพื่อให้เราได้อยู่ด้วย...เห็นมั้ยผมไม่ได้ผิดสัญญาสักคำ...

      จากนี้ไปจุนซูต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า...มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อผมน่ะครับ...ส่วนผมจะรอคุณอยู่บนฟ้า..จะเฝ้ามองคุณตลอดไป...เมื่อใดก็ตามที่คุณมีความสุข..ผมขอให้คุณมองมาที่บนฟ้า แล้วส่งยิ้มให้ผมบ้าง...เวลาใดที่คุณทุกข์ใจ ขอให้รู้ไว้ว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ...จะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ...ปัญหาต่างๆมันก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดี......ผมรักจุนซูน่ะครับ...จะรักตลอดไป


      หัวใจของผมมันค่อนข้างจะรักอิสระนะครับ..เพราะฉะนั้นอย่าปิดกั้นมัน...ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าคุณได้พบคนที่ทำให้หัวใจดวงนี้เต้นได้ เหมือนตอนที่คุณพบผม...หัวใจของผมจะบอกคุณเอง...อย่ากลัวที่จะรัก พี่ชายของผมเคยบอกไว้แบบนี้



      รัก...
      ชางมิน....
      '
      ----------------------------------------


      ผ่านไป 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่ชางมินจากไป....จุนซูนำจดหมายออกมาอ่านจนนับครั้งไม่ได้ ทุกข้อความในจดหมายจุนซูจดจำมันได้ขึ้นใจ...จะให้ลืมได้อย่างไร ตราบใดที่หัวใจดวงนี้มันยังคงเต้น เตือนความจำแบบนี้...ความรักที่คนๆหนึ่งมีให้นั้นมันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะลืมเลือนไปได้....

      สวนสาธารณะแห่งนี้คือที่ที่เราพบกันเป็นครั้ง...ชางมิน คุณยังจำมันได้ไม๊...ผมชอบเวลาที่คุณร้องเพลง เวลาที่คุณยิ้ม..เวลาที่คุณพูด..ผมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคุณ...และมันคงจะดีกว่านี้ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงความทรงจำที่สวยงามแบบนี้...

      ร่างเล็กแหงนหน้ามองฟ้า...คุณมองผมอยู่รึเปล่าครับ ผมมาที่นี่ทุกวัน มาพบคุณ คุณรู้รึเปล่า....

      ลูกบาตกลิ้งมาที่เท้าของจุนซุช้าๆ...

      "ขอโทษนะครับคุณ..ช่วยส่งลูกบาตให้ผมหน่อยได้ไม๊ครับ"


      "รอเดี๋ยวนะครับ"..ร่างเล็กก้มลง แต่ทันทีที่มือสัมผัสลูกบาต.....

      'ตึก ตัก ตึก ตัก' หัวใจของผมมันเต้นแรงจนผมต้องเอามือกุมมันเอาไว้

      "คุณๆ..เป็นอะไรรึเปล่าครับ" ผู้ชายคนที่ร้องเรียกให้ผมส่งลูกบาตให้รีบวิ่งเข้ามาดู เมื่อเห็นท่าไม่ดี

      " ไม่..เป็นอะไรครับ..นี่ครับลูกบาต " ผมรีบส่งลูกบาตให้ชายคนนั้น...รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

      "ยูชอน...ทำอะไรอยู่ ให้ไปเก็บบอลแค่นี้ช้าจัง...." เสียงคนอื่นๆร้องเรียกมาจากสนามบาตเล็กๆตรงนั้น


      "คุณแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นอะไร....." เค้าถามย้ำอีกครั้ง จะด้วยอะไรไม่รู้ แต่ผมรู้สึกความเป็นห่วงเป็นใยมันว่ามันออกจากใจเค้าจริงๆ

      "ครับ...ไม่เป็นอะไรครับ" ผมตอบ

      "งั้นผมไปนะครับ..เอ่อ..ถ้าไม่รังเกียจ จะไปดูพวกผมเล่นบาตกันที่สนามก็ได้...ผมเห็นคุณมาที่นี่ทุกวัน..แต่เพิ่งมีโอกาสได้คุยกัน" ...............ชายคนนั้นชวนผมคุยอย่างเป็นมิตร..

      "เหรอครับ...คุณมาเล่นบาตที่นี่ทุกวันเหรอครับ" ………ระหว่างทางที่เดินไปที่สนามบอล

      "ครับ..มาทุกวัน แต่เมื่อก่อนนี้ผมจะมานั่งรับลมเฉยๆไม่ได้เล่นอย่างพวกเพื่อนๆพวกนั้นหรอกครับ"

      "ฮืม...ทำไมหรือครับ"

      "ผมตาบอดน่ะครับ แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้วผมได้น้องชายบริจาคดวงตาให้...ผมถึงได้เล่นบาตสเก็ตบอลได้อย่างที่อยากเล่นแบบนี้...ต้องขอบคุณเค้าครับ...เทวดาประจำตัวของผม...เอาหล่ะ คอยเชียร์ผมด้วยนะครับ...อ้อ ผมชื่อปาร์คยูชอนนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก "

      ชายคนนั้นเล่าเรื่องของตัวเองอย่างร่าเริงและสดใส...สายตาคู่สวยที่มองมานั้น...ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

      "ผมชื่อคิมจุนซู..ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ.."

      ……………………………………………….


      ….หัวใจของผมมันค่อนข้างจะรักอิสระนะครับ..เพราะฉะนั้นอย่าปิดกั้นมัน...ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าคุณได้พบคนที่ทำให้หัวใจดวงนี้เต้นได้ เหมือนตอนที่คุณพบผม...หัวใจของผมจะบอกคุณเอง...

      อย่ากลัวที่จะรัก พี่ชายของผมเคยบอกไว้แบบนี้.....

      .........................................................................

       

      'พี่ยูชอนครับ ผมฝากดวงตาคู่นี้....ไว้ดูแลหัวใจแทนผมด้วยนะครับ'

       

       

      ************************************* The End ****************************************

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×