NC Fiction Contest : คนแปลกหน้า
เมื่อชายผู้ทิ้งความฝันของตนเอง กับเด็กน้อยผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่มาพบกัน สิ่งใดจะเกิดขึ้น
ผู้เข้าชมรวม
2,203
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ทันทีที่การกล่าวเปิดงานเสร็จสิ้น เสียงปรบมือและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ในงานก็ดังขึ้นพร้อมกับความสนุกสนานก็ได้เวลาเริ่มต้น ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าใดผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้ามาในงานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยส่วนมากก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่พาลูกหลานมาเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติที่รัฐบาลเป็นผู้จัด หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่แวะนู่นชมนี่มานานผมก็ตัดสินใจนั่งพักที่ม้านั่งใกล้ ๆ ห้องน้ำแห่งหนึ่งในบริเวณสถานที่จัดงาน เนื่องจากต้องการพักขาและไม่อยากไปเดินเบียดกับคนอื่น ๆ ปล่อยให้คนที่เขาเพิ่งมาเดินบ้างดีกว่า
ขณะที่กำลังนั่งทอดสายตามองเหล่าผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่เพลิน ๆ นั้นเอง เด็กน้อยคนหนึ่งเดินมานั่งข้าง ๆ ผม โดยไม่พูดไม่จา ซึ่งดูจากการแต่งตัวแล้วคงเป็นลูกคุณหนูที่ไหนสักแห่ง เพราะเล่นใส่ชุดสูทขาสั้นสำหรับเด็กมางานเลยทีเดียว ซึ่งสีหน้าของเด็กคนนี้ก็ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าถูกคงบังคับแต่งชุดแบบนี้แน่ ๆ แต่เด็กคนนี้มานั่งทำไมตรงนี้เล่า เวลาอย่างนี้น่าจะไปหัวเราะเฮฮาที่หน้าเวทีที่เขาจัดแสดงตัวการ์ตูนหรือไม่ก็ไปตื่นเต้นกับเครื่องบินที่นำมาจัดโชว์ไม่ใช่หรือ แถมยังมานั่งคนเดียวอีกต่างหาก ผมลองมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนที่น่าจะเป็นพ่อกับแม่ของเด็กแต่ก็ไม่พบ
"ไอ้หนู มานั่งทำไมคนเดียวล่ะผู้ปกครองไปไหน?" ผมลองถามดู เด็กน้อยหันมามองผม สีหน้าและแววตาแฝงไปด้วยความไม่ไว้ใจ ซึ่งผมเข้าใจดีเพราะว่าผมเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเจ้าหนู จะไม่ไว้วางใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมรอเด็กน้อยชั่งใจอยู่หลายวินาที ก่อนจะยอมตอบกลับมา
"พี่เลี้ยงผมไปเข้าห้องน้ำ” เด็กน้อยว่าพลางชี้ไปทางห้องน้ำหญิง ผมชะเง้อมองไปตามนิ้ว ดูท่าเด็กคนนี้คงต้องรออีกนานเลยทีเดียว เพราะที่ห้องน้ำหญิงคิวยาวเหยียดจนคนล้นออกมาข้างนอก ให้ตายสิเป็นพี่เลี้ยงเด็กประสาอะไรปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียวแล้วตัวเองไปเข้าห้องน้ำ ผมถอนใจแล้วยืดตัวพิงพนักเก้าอี้เต็มที่
"แล้วลูกลุงไปไหนล่ะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้น เพราะจู่ ๆ เด็กนี่ก็ถามผมขึ้นมา ไอ้เรื่องโดนถามผมไม่แปลกใจเท่าไหร่แต่ไอ้ที่เรียกผมว่าลุงนี่มันอะไรกัน หน้าผมแก่ขนาดนั้นเชียวรึ ถึงอายุอานามผมมันก็ไม่เข้าข่ายจะให้เรียกพี่ก็จริง แต่มันก็ไม่มากถึงขนาดให้เรียกลุงหรอกนะ... เอาเถอะไม่เรียกปู่รึทวดก็ดีแล้วมั้ง
"ลุงไม่มีลูกหรอก" ผมตอบยิ้ม ๆ
"แล้วลุงมาที่นี่ทำไม" เด็กน้อยซักต่อ
มาทำไม... ผมทวนคำถามในใจแล้วยันตัวขึ้นนั่งดี ๆ เพราะคำถามนี้ตอบยากมากพอ ๆ กับการถามว่าจะไปชุมนุมกับคนสีไหนเลยทีเดียว ใช่สิคนอายุระดับผมมาทำอะไรในงานวันเด็ก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่มีลูกหลานเหมือนคนอื่น ๆ เขา
งานวันเด็กเป็นความทรงจำที่เลือนรางมากในความรู้สึกผม เพราะตอนเด็ก ๆ ตัวผมนั้นไม่เคยมีโอกาสได้ออกไปไหนบ่อยนัก เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวยซ้ำยังเป็นเด็กบ้านนอกไกลเมือง เพิ่งจะมีโอกาสได้มาก็ตอนเข้ามาทำงานที่กรุงเทพนี่แหละแต่ก็มาเพราะงานล่ะนะ พอดีเพื่อนผมมันมาทำงานในงานวันเด็กเลยติดสอยห้อยตามมาด้วย เชื่อไหมว่าหลังจากที่ได้มาครั้งแรก ผมก็ไปงานวันเด็กทุกปีเลย
"ลุงมาเที่ยวน่ะ เห็นไหมงานเขาน่าสนุกจะตาย” ผมตอบพร้อมชี้ไปในงาน เจ้าหนูเอียงคอด้วยความไม่เข้าใจพลางพึมพำว่าไม่เห็นน่าสนุกตรงไหน ผมจึงถามกลับบ้าง
”ไม่ชอบงานหรอกเหรอ ไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้นี่ ที่จริงอยู่บ้านเล่นเกมส์ก็น่าจะสนุกกว่านะ”
เจ้าหนูหันมามองผม เหมือนผมพูดอะไรผิดไป ก่อนจะยกมือเล็ก ๆ นั่นขึ้นมาเท้าคาง
"ผมถูกบังคับมาโชว์ตัว” เด็กน้อยตอบเซ็ง ๆ "ผมสอบได้ที่หนึ่งของประเทศ"
ผมอึ้งไปสามวิ... ตัวแค่นี้อันดับหนึ่งเลยเรอะ แล้วที่ผ่านมาผมไปทำอะไรอยู่ เกิดมาจนอายุป่านนี้ยังไม่เคยทำอะไรได้เป็นอันดับหนึ่งเลยสักครั้ง ขนาดตอนเรียนอยู่ยังไม่เคยได้เกรดสี่เกินสามตัวด้วย
แต่เมื่อผมมองเด็กคนนี้อีกครั้งก็รู้ได้ว่าตำแหน่งอันดับหนึ่งของประเทศไม่ได้ทำให้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย เจ้าหนูนี่คงจะถูกบังคับเรียนพิเศษทั้งวันทั้งคืนไม่ต่างอะไรกับนักโทษ ให้ตายเถอะให้เด็กไปเครียดทีเดียวตอนเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้รึไงนะ พ่อกับแม่สมัยนี้มัวห่วงแต่อนาคตไม่สนสภาพจิตใจลูกเลย
"เก่งจังเลยนะ" กระนั้นผมก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ ยังไงอันดับหนึ่งก็ต้องแลกมาด้วยความอุตสาหะของเด็กคนนี้อยู่ดี
"แล้วเก่งขนาดนี้โตขึ้นอยากเป็นอะไรล่ะ" ผมถามต่อ
"ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรี"
คำตอบที่ได้ทำเอาผมสำลักน้ำลาย สมัยนี้เด็กเขาอยากโกงกินมากขนาดนั้นเชียวรึ ระบบการศึกษาของประเทศมันสอนกันแบบไหนนะ ไอ้แบบนี้มันใช่คำตอบที่เด็กตัวเล็ก ๆ ควรจะตอบกันรึไง ตามปกติมันต้องบอกว่าอยากเป็นหมอ เป็นตำรวจ เป็นทหารสิ ถึงจะมีผ่าเหล่าตอบว่าอยากเป็นนายกจริง แต่มันก็แค่การเรียกร้องความสนใจตอนตอบคำถามบนเวทีเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่บนเวทีและเด็กน้อยที่ตอบผมก็เป็นเด็กที่สอบได้อันดับหนึ่งของประเทศด้วย
"ผู้ใหญ่สมัยนี้ไม่ได้เรื่อง ปัญหาของประเทศมีมากมายแต่ยอมไม่แก้ไข เอาแต่โกงกินภาษีที่ได้จากประชาชน ปล่อยให้คนไม่มีความรับผิดชอบรับตำแหน่งดี ๆ ไม่สนใจชาวนาหรือเกษตรกรที่เป็นรากฐานของประเทศ คนที่ดี ๆ ก็ไม่เชิดชู คนไม่ดีก็ลอยนวล ผมไม่ชอบพวกนักการเมืองแต่จะแก้ไขปัญหาได้ผมก็ต้องใช้อำนาจ” เด็กชายกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วเปลี่ยนแปลงประเทศนี้"
...ให้ตาย ที่ผมกำลังฟังว่าที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายการบริหารประเทศอยู่หรือ! ความคิดระดับนี้มันไม่ใช่แค่เด็กไม่กี่ขวบแล้ว ขนาดนักศึกษามหาวิทยาลัยยังไม่มีคนคิดได้แบบนี้เลยมั้ง ไอ้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันกับไอ้อดีตนายกที่หนีไปต่างประเทศมันอยู่แถวนี้รึเปล่า อยากให้ได้ฟังคำพูดนี้จริง ๆ อย่าบอกนะว่าแสงสว่างของชาวไทยและอนาคตอันรุ่งโรจน์ของชาติกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม!
"แล้วคุณลุงทำอาชีพอะไรเหรอ" เด็กน้อยหันมาถามผม
"อยากรู้ทำไมหรือท่านนายก?"
"ก็ลุงดูจน ๆ น่าจะมีปัญหาอะไรในชีวิตเยอะแยะที่น่าจะนำมาทำเป็นวาระที่ควรไขไง"
...ตบปากว่าที่นายกจะติดคุกกี่ปีเนี่ย...
"ปัญหามันก็มีเป็นธรรมดาแหละอาชีพลุงมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เงินก็ได้ไม่เยอะ ก็คนมันเรียนไม่สูง สู้ท่านนายกน้อยไม่ได้หรอก"
"ไม่นะครับ ผมว่าเกษตรกรที่จบแค่ระดับประถมเก่งกว่านักการเมืองที่จบปริญญาอีก"
คำมันบาดลึก... น้ำตาแห่งความซาบซึ้งแทบจะไหลออกมาด้วยความปิติยินดีที่ล้นพ้น ผมมั่นใจแล้ว ต้องเป็นเด็กคนนี้แน่นอนที่พวกเรากำลังต้องการ
"เอาล่ะ จะบอกอาชีพของลุงให้ก็ได้ แต่บอกไปหนูคงไม่เชื่อ งั้นลุงจะแสดงให้ดูเลยล่ะกัน"
ผมถูมือไปมาเพื่อเตรียมการแสดง
“แต่ท่านนายกต้องสัญญากับประชาชนคนนี้ก่อนนะว่าจะกำจัดคนโกงกินและแก้ปัญหายากจนให้ได้”
เด็กน้อยร้องอื้ม ผมยิ้มแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อมาคลี่ออก หันซ้ายหันขวาให้ดูว่าไม่มีลุกเล่นอะไรแล้วหยิบเหรียญบาทมาชูขึ้นให้ดูเพื่อเรียกความสนใจ ก่อนจะวางลงบนผ้าเช็ดหน้า นายกฯตัวน้อยท่าทางจะรู้แล้วว่าผมกำลังจะทำอะไรจึงจ้องที่มือผมตาไม่กระพริบเพื่อจับผิด แต่ผมก็มีประสบการณ์มากพอที่จะหลอกล่อสายตาเจ้าหนูได้อยู่แล้ว ผมเริ่มผิวปากเป็นจังหวะเพลงที่นักมายากลชอบใช้เวลาแสดงเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความสนใจและลดทอนสมาธิของเด็กน้อย
ผมค่อย ๆ พับผ้าเช็ดหน้าเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีมือและปิดเหรียญจนมิด แล้วโปะไปที่จมูกของเจ้าหนูโดยไม่ให้มันตั้งตัว!มืออีกข้างล็อกแขนเด็กไว้จากข้างหลังเพื่อไม่ให้ใครเห็น มีการขัดขืนอย่างสุดชีวิตแต่ก็สู้กำลังผมไม่ได้ สุดท้ายการดิ้นรนก็ค่อย ๆ หยุดไป เมื่อเด็กสลบแล้วผมก็จับขึ้นขี่หลังแสร้งทำเป็นผู้ปกครองแล้วเดินออกจากงานไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
"ตำรวจเขาเรียกพวกลุงว่า 'แก็งลักเด็ก' น่ะ"
...
ปล. เด็กดีไม่ควรคุยกับคนแปลกหน้านะจ๊ะ
ผลงานอื่นๆ ของ Gray Fur ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Gray Fur
ความคิดเห็น