Fic [K-Project] : After Message - Fic [K-Project] : After Message นิยาย Fic [K-Project] : After Message : Dek-D.com - Writer

    Fic [K-Project] : After Message

    ข้อความที่ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ ได้รับตอนเที่ยงคืน กับอาการประหลาดๆสมัยอายุสิบห้าที่วนกลับมาอีกครั้ง

    ผู้เข้าชมรวม

    1,090

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.09K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    24
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ก.ย. 56 / 13:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    Fic  :  After  Message

     

     

    Form : [K-Project] 

     

     

    Pairing : sarumi  


     

    Talk About : ความป่วยเป็นเหตุจริงๆ  แนะนำให้อ่าน Fic [K-Project] : One Day In Rainy Day. ก่อน  ตามด้วย Fic [K-Project] : Midnight Message   แต่ถ้าขี้เกียจก็ไม่ต้องก็ได้  


    ซีรี่ย์ต่อลากยาวเชียว พรากกกก  จริงๆแค่อยากเขียนฝั่งซารุดูบ้างกับเล่นจากเรื่องที่แล้วกับอาการตกหลุมอากาศของซารุ และความโดกิ โดกิ <3 


     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ




      #1

                      งานในแต่ละวันของเซปเตอร์โฟร์จัดได้ว่าเยอะและค่อนข้างลำบาก จริงอยู่เมื่อไม่มีเหตุการณ์พิเศษอย่างปรากฏการณืเหนือธรรมชาติที่ระบุว่าผิดปรกติอะไร พวกเขาก็ดูเหมือนแค่บุคคลว่างงาน ถ้าถามว่าว่างมากแค่ไหน คงตอบได้ว่าว่างขนาดไปรับจ๊อบพาร์ทไทม์เพิ่มได้สบายๆ



                      ตรงกันข้าม หากมีเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติและเหล่าตำรวจนครบาลย้ายโอนให้คดีเหล่านั้นอยู่ในมือเซปเตอร์โฟร์ งานทุกอย่างก็ไม่ต่างไปจากน้ำป่าที่ไหลหลาก


                      เงินเดือนเยอะ แลกกับงานเยอะ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรจะคุ้นชิน แต่ก็อดบ่นไม่ได้


                      ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ เหวี่ยงเสื้อโค้ทเครื่องแบบสีน้ำเงินของเซปเตอร์โฟร์ลงสักที่ในห้อง การแฮคเข้าระบบต่างๆ เพื่อตามติดคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยพิเศษ จริงอยู่ว่ามีการแจกงานให้คนในหน่วยรับผิดชอบไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็หนีไม่พ้นหัวหน้าหน่วยพิเศษอย่างเขาก็ต้องรับเรื่องอยู่ดี

       

       

                      หากอยากให้งานเสร็จเร็วขึ้น ก็ต้องใช้ฝีมือผู้เชี่ยวชาญการสะกดรอยแบบเขานี่แหละ

       


       

                      ฟุชิมิใช้เวลาแค่อึดใจในการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำอย่างลวกๆ เปลี่ยนเครื่องแบบแสนเกะกะออกกลายเป็นชุดนอนง่ายๆ อย่างกางเกงขายาวและเสื้อยืด   เรื่องงาน ณ วินาทีนี้ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง ห่วงแต่เวลานอนที่ไม่พอของเขาน่าจะเหมาะกว่า


                      คนร่างสูงอ้าปากหาว มองดูนาฬิกาที่ตีบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ดูท่าจะเป็นการที่นอนไวเกินไปหน่อยสำหรับคนอายุใกล้เลขสอง แต่ถ้าให้เทียบกับการอดนอนเกือบสองวันที่ผ่านมา หากเขาจะนอนตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเกลียด ถือว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ


                      นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองจ้องไปที่ PDA ของตน นึกครึ้มอยากจะปิดเครื่องหนีซะจะได้จบเรื่องจบราว ไม่ต้องมานั่งหวาดผวาสะดุ้งตัวตื่นยามดึกกับสายเรียกตัวด่วนให้ไปทำงาน ทว่าในทางปฏิบัติจริงเขาไม่สามารถทำได้ หลักๆ คือขี้เกียจฟังเสียงบ่นของร้อยโทสาวผู้มีอำนาจรองจากราชาสีน้ำเงินอย่าง มุนาคาตะ เรย์ชิ มากกว่าจะมีนิสัยบ้างาน

                     


                      อย่างน้อยก็ขอหลับครบเกินห้าชั่วโมงแล้วกัน

       


       

                      มือกร้านกดปิดเสียงทุกอย่าง ยกเว้นเสียงเวลามีสายโทรเข้ามา ก่อนโยนมันขึ้นไปยังชั้นของหัวเตียงข้างๆ กับที่วางแว่นสายตากรอบสีดำ ทิ้งตัวลงกับเตียง หลุบตาสีน้ำเงินเข้มลงหลังเปลือกตาปิดประสาทการรับรู้ทุกสิ่งอย่าง และพาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา

       

       


       

      #2


                      “นี่มันอะไรกัน”  ฟุชิมิขมวดคิ้วเป็นปม พึมพำกับตัวเองหลังจากพระอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า มือกร้านเลื่อนอ่านข้อความที่มาจากเมลล์เมื่อช่วงเที่ยงคืนอีกครั้ง อีกรอบ และทวนชื่อผู้ส่งอีกหลายๆ หน


                      “ร ะ ยำเอ๊ย !” ชายหนุ่มร่างสูงพลุ่นพลันลุกจากเตียงไปจัดการธุระตัวเองด้วยความรวดเร็ว เท่าที่จะเร็วได้ ก่อนสาวเท้าเดินออกจากห้องพัก ส่งเสียงในลำคอคล้ายไม่พอใจเมื่อเหล่าเพื่อนร่วมงานในสำนักงานเอ่ยทักถามถึงจุดหมายปลายทางของเขา



                      “จะกลับมาให้ทันเวลาเข้าเวรครับ” ฟุชิมิแค่เอ่ยสั้นๆ ห้วนๆ ทันทีที่ผ่านหน้าอะวาชิม่า เซริ  เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มก้าวเท้าเร็วๆ ออกจากสำนักงานหลักเซปเตอร์โฟร์เพียงแค่เมลล์ฉบับเดียว

       


       

       

                                                                      ส่งเมื่อวานนี้  เวลา 00:34 .

                      ไม่สบาย ท่าทางจะหนักพอตัว แวะเอาข้าวเช้ามาให้ด้วยนะ

                                                                      ยาตะ  มิซากิ

       

       

       

                  ร้อนรน


                  กระวนกระวาย


                  เป็นห่วง

       

       

                      ทุกอย่างถาโถมเข้ามาแค่เสี้ยววินาทีที่อ่านเมลล์นั้นจบ  บ่นในใจตลอดระยะทางที่ไปคอนนีเวี่ยนและคิดว่าตนควรจะแวะเข้าร้านขายยาก่อนถึงห้องเช่าของเจ้าของเมลล์ที่ว่าด้วย ฟุชิมิสบถกับตัวเองเบาๆ อีกครั้งอย่างนับครั้งไม่ได้ เป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เขาคิดว่าพลาด

       

       

                      พลาดไม่เปิดเสียง


                      พลาดที่เอาแต่นอน ประสารทก็ไม่ไวพอจะลุกขึ้นมาอ่านเมลล์


                      พลาด



                 พลาดทุกอย่าง


                      พลาดแม้กระทั่งปล่อยปะละเลย ยาตะ มิซากิ จนไม่สบายแบบนี้ !!

       


       

      #3

                      “ทำไมยังไม่เปิด” ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ ขมวดคิ้ว  นิ้วเรียวกดลงที่กริ่งหน้าห้องซ้ำไปมา และเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของห้องยังไม่ปรากฏตัว ริมฝีปากบ่นงึมงำจับไม่ได้ศัพท์ มือข้างซ้ายหิ้วถุงของคอนนีเวี่ยนที่บรรจุข้าวเช้าพร้อมกับยาที่พึ่งแวะก่อนมาถึงที่หมาย

                     


                      พังเข้าไปดีไหม ?

       


       

                      ฟุชิมิเอ่ยถามตัวเองในใจ ช่วงจังหวะหนึ่งที่เขาหยุดมือจากการกดกริ่งไปจับที่ดาบที่พกมาด้วย  ยังเป็นโชคดีของเจ้าของห้องอยู่ที่ผู้มาเยือนยั้งสติทัน หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วกดกริ่งย้ำไปมาอีกสักรอบ  คราวนี้ฟุชิมิสาบานกับตัวเองเงียบๆ ว่าอีกไม่เกินห้านาทีถ้าอีกฝ่ายไม่เปิด คงต้องถึงคราวต้องพังประตูห้องจริงๆ


                      และเป็นโชคดีอีกครั้งของยาตะการาสุ ที่ไม่ต้องเสียค่าซ่อมประตูห้อง เมื่อเจ้าตัวเปิดประตูต้อนรับแขกไม่ได้เชิญทัน คนตัวเล็กอ้าปากหาวด้วยสภาพเสื้อภาพที่พึ่งตื่นและสีหน้าของคนพึ่งลุกจากที่นอน เรือนผมสีส้มหม่นเปียกชื้นจากพิษไข้ นัยน์ตาสีอำพันที่แข็งกร้าวนั้นดูอ่อนลงอย่างเห็นชัด



                      โทษที หลับเป็นตายไปหน่อยน้ำสียงนั้นแหบพร่าและงัวเงีย ซ้ำยังลืมตื่นไม่เต็มตา  คนตัวเล็กไม่มองด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าคือใคร 

       


       

                      เห็นได้ชัดว่ายาตะ มิซากิ ป่วยจริง ไม่อย่างงั้นคงเอ่ยปากไล่ตะเพิดเขาออกมาทันทีที่เห็นแล้ว

       



                      ทั้งๆ ที่ถ้าอยู่ด้วยกัน ฉันจะไม่มีทางให้นายป่วยจนอยู่ในสภาพนี้แท้ๆ

       


       

                      คนตัวสูงนึกโทษตัวเองซ้ำไปมาในใจ ว่าแล้วมือกร้านแดดที่จับดาบประจำก็ยกขึ้นแตะไปที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายอย่างเบามือและนิ่มนวล นายตัวร้อนนะ มิซากิ”  น้ำเสียงราบเรียบแต่เคลือบแฝงไปด้วยความเป็นห่วงไม่แตกต่างอะไรจากเมื่อสี่ปีที่แล้วดังขึ้น ทำเอาคนฟังนั้นสะดุ้ง



                      ดะ เดี๋ยว นี่แกมาอยู่ที่นี้ได้ไงฟุชิมิได้ยินยาตะพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมแสดงทีท่าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

       

       

                      กว่าจะมองนะ เจ้าบ้าเอ๊ย

       

       

                      แล้วทันใดนั้นที่มือกร้านก็ยื่นถุงยัดใส่มือเขาเข้าให้พร้อมๆ กับเสียงไม่พอใจในลำคอของคนร่างสูง ตามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ที่บ่นอีกยาวเหยียด มิซากินี่น่ารำคาญจริง นายไม่ใช่รึไงที่ส่งข้อความมาหาฉันนะ ห๊า ถ้าจะไม่สบายก็ควรโทรหาสิ ไม่ใช่ส่งข้อความ แบบนี้นอนอยู่ใครจะไปเห็นเล่า


                      ฉันส่งเมลล์หานาย ??” ดูเหมือนจะยังตั้งสติไม่ได้ ยาตะถือถุงที่บรรจุข้าวกล่องและยาในมือค้างไว้  อีกครั้งที่นัยน์ตาของพวกเขาทั้งสองสบมองกัน  นั้นยิ่งทำให้ฟุชิมิขมวดคิ้วหนัก อดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยบ่นต่อ


                      ใช่นะสิ แถมเป็นช่วงที่ฉันหลับลึกแล้วด้วย แบบนี้ใครจะเห็นกัน ไม่งั้นก็มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!!

       


       

                      หลุดปาก เพราะเป็นห่วงมากเกินไป

       


       

                      คนตัวสูงเลือกที่จะนิ่งเงียบและคนตัวเล็กเองก็ดูเหมือนจะนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อเช่นเดียวกัน  สองฝ่ายต่างพร้อมใจกันเงียบในชั่วขณะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทันทีที่อ่านเมลล์เจ้าปัญหา มันทำให้จิตใจเขาไม่สงบเอาเสียเลย ในหัวกังวลคิดถึงแต่ร่างเล็ก กังวล กลัว ห่วงไปหมดทุกอย่าง



                      เป็นครั้งแรกที่ฟุชิมิรู้สึกเสียใจกับการเผารอยสักที่ตราอยู่บนไหปลาร้าข้างซ้าย ตำแหน่งเดียวกับคนตรงหน้าเพราะถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น ป่านนี้คนตรงหน้าอาจจะไม่ป่วยและไม่มีทางจะอยู่ฝนสภาพย่ำแย่แบบนี้ก็ได้


                      ขอบใจจู่ๆ แนวหน้าของโฮมุระเอ่ยเสียงเบาหวิว ฟุชิมิสะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน แถมเป็นคำที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแรมปี อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นและหันหลังกลับเพื่อกลบอารมณ์ทุกอย่างของตน

       

       

                      หวั่นไหว


                  ใจเต้น


                  ทั้งๆ ที่ไม่ใช่อายุสิบห้าแล้วแท้ๆ

       


       

                      มียาเพิ่มอยู่ในนั้น รีบทานแล้วรีบกลับไปนอนซะ ถ้าไม่ดีขึ้นก็หัดเรียกพวกเพื่อนของนายมาพาไปหาหมอได้แล้วหนุ่มแว่นร่างสูงเอ่ยเร็วๆ ด้วยน้ำเสียงห้วนๆ คล้ายจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับพฤติกรรมที่ยอมถ่อสังขารไปซื้อข้าวยาให้คนอดีตเพื่อนสนิท


                      อื้อ



                      น่ารำคาญชะมัด ฉันมีงานต้องทำ ไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอกนะ


                      ซารุฮิโกะ” ไม่ใช่เสียงเรียกอย่างโกรธแค้นแบบทุกครั้งที่เจอหน้า เขาไม่รู้ว่าอีกฝายทำหน้ายังไงระหว่างที่เอ่ยปากเรียกชื่อแบบนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากทุกที


                      อะไรไม่มีแม้แต่จะหันมา แต่กลับชะงักแม้เพียงเขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ


                      ขอบใจ


                      นายพูดไปแล้ว มิซากิ


                      โทษทีนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหันมามองลอดแว่นเห็นคนร่างบางยืนกอดถุงข้าวเช้าที่เขาหิ้วมาให้ ฟุชิมิส่งเสียงไม่พอใจอีกหน ก่อนสาวเท้าเร็วๆ มาดันตัวอีกฝ่ายเข้าห้อง


                      รีบกิน แล้วรีบนอนซะ ตื่นมาก็ไปหาหมอด้วยมือกร้านที่จับดาบแตะข้างแก้มไล้ลงมาที่ต้นคอเหมือนเมื่อครั้งสมัยก่อนเมื่อพวกเขายังแค่อยู่มัธยม ก่อนผละออกล๊อคพร้อมปิดประตูห้องไว้ให้เรียบร้อย


                      ชายหนุ่มร่างสูงมีใบหน้าที่ขึ้นสี ก้าวเร็วมาได้สักพักก็หยุดพิงกำแพงตึกแถวนั้น เอื้อมมือไปจับแน่นที่แผลไฟไหม้ตรงกระดูกช่วงไหปลาร้า  คราวนี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดจนต้องระบายด้วยการเกาแผลอย่างรุนแรงเหมือนที่เคยทำ แต่เป็นอาการประหลาดๆ ที่วนกลับมาเป็นอีกรอบ 

       

       

                      พูดไปก็หาว่าเสียสติ แต่นี่เป็นอีกครั้งที่ฟุชิมิรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่คล้ายตกหลุมอากาศ ส่วนเรื่องอาการก็ไม่ต่างอะไรจากที่เคยรู้สึกเมื่อตอนมัธยมเสียเท่าไหร่ อาการแบบนี้มันกำเริบเกิดขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอบคุณพร้อมสีหน้าแบบนั้นออกมา

       

       

                      “เป็นแค่มิซากิแท้ๆ

       

       

                      ก็แค่ตกหลุมอากาศไปชั่วขณะ

                     

       

       

                      ข้อแก้ตัวเห่ยๆ ที่แม้แต่เด็กมัธยมก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่อ้างแบบนั้นแล้วเขาก็หาคงหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองได้ยาก  รึจริงๆ แล้วต้องยอมรับว่าอาการตกหลุมอากาศที่ว่านั้นมันไม่มีจริง ก็แค่อาการแทรกซ้อนในหัวใจแบบฉับพลันเท่านั้น

       

       

                      เขาน่าจะแวะไปหาหมอเช็คดูก็ดี บางทีเขาอาจจะติดไข้หวัดมาก็ได้ ถึงได้รู้สึกถึงอาการซ้ำสองนั้นอีกรอบ !!  

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×